Home / LGBTQ+ / Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ) / ตอนที่ ๕ ตัวตนของผู้ตาย

Share

ตอนที่ ๕ ตัวตนของผู้ตาย

Author: Mkutkomen
last update Last Updated: 2024-12-18 11:47:49

บ้านเช่าหลังเล็กแถวย่านอ่อนนุช ด้านในบ้านถูกตกแต่งใหม่หมด ให้มีสภาพเป็นออฟฟิศ นอกจากนทีผู้เป็นเจ้าของ และแสงอาทิตย์ที่เป็นมือหนึ่งแล้ว ยังมีมณีรุ่นพี่ของนทีอีกคน และมนฤดีเพื่อนรุ่นพี่ของมณีอีกที ทั้งออฟฟิศมีพนักงานแค่สี่คน แต่ตอนนี้กำลังจ้างพนักงานตรวจสอบบัญชีชั่วคราว จ้างเป็นวันๆไป ส่วนมากที่รับคือนักศึกษาที่เพิ่งจบ แต่ยังหางานไม่ได้ เพราะงานที่รับไว้มันเกินมือของทั้งสี่คนมาก

               “พี่มนกับอาทิตย์ ตรวจแผนกบัญชีนะ ส่วนผมจะดูจัดซื้อ ส่วนพี่มณีดูฝ่ายบริหาร ส่วนแผนกอื่น ให้น้องๆช่วยตรวจเอกสาร เราค่อยหอบเอามาตรวจที่นี่” นทีแจงงานในห้องประชุม มีตัวแทนของพนักงานชั่วคราวเข้าร่วมประชุมด้วย เนื่องด้วยเป็นบริษัทใหญ่ การตรวจจะต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่ทำสัญญากัน

               “เลิกงานแล้วไปเดินบิ๊กซีกันไหม” มณีเป็นคนชวน

               “ไม่เอาพี่ วันนี้ผมต้องเตรียมเอกสาร น่าจะเกือบโต้รุ่งโน่นล่ะ” นทีโอดครวญ

               “ไปๆ พี่จะแวะซื้อขนมปังพอดี ไปด้วยกันนะอาทิตย์” มนฤดีหันมาชวนแสงอาทิตย์ ที่กำลังเก็บของบนโต๊ะ

               “ได้พี่ วันนี้เลิกเร็ว กลับห้องไป ก็ไม่มีอะไรทำอยู่ดี” เขารู้สึกเหงา รู้สึกมาโดยตลอด ตอนที่เรียนมัธยมต้น เวลา ณ ตอนนั้นเขารู้สึกดีมาก เขาจดจำได้ในทุกๆตอน เพราะมันมีแสงตะวันอยู่ข้างกาย นับจากวันที่แสงตะวันยอมรับในความพิเศษของเขา เวลาไปไหนแสงตะวันก็จะไม่ยอมห่างกายของเขาเลย คิดขึ้นมาแล้วก็ยิ้ม แต่พอแสงตะวันต้องเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมหทาร ความเหงาก็ได้คืบคลานเข้ามา แม้แสงตะวันจะคอยติดต่ออยู่เสมอก็ตาม พอเรียนมหาวิทยาลัย แสงตะวันก็เลือกเหล่าเข้าโรงเรียนนายร้อย ส่วนตัวเขาต้องย้ายไปเรียนมหาลัยใจกลางภาคอีสาน ระยะทางมันห่างกันมาก แต่แสงตะวันก็ยังคงติดต่อกับเขาไม่เคยเปลี่ยน เพราะอะไร อดคิดไม่ได้ ว่ามันเป็นเพราะความพิเศษที่เขามี เพราะทุกครั้งที่แสงตะวันติดต่อมา เขามักจะมีเรื่องให้ช่วยเสมอ ไม่เป็นไร แค่เขาอยู่ตรงนั้นก็ดีแล้ว แสงอาทิตย์ปลอบใจตัวเอง และพอเรียนจบ เขาได้เข้าทำงานที่บริษัทของนที แสงตะวันเองก็เป็นนายตำรวจจบใหม่ไฟแรง ทั้งสองย้ายไปอยู่ด้วยกัน แสงอาทิตย์ดีใจมาก ความสุขของเขามันก็มีแค่นี้จริงๆ แต่พออยู่ห้องเดียวกัน ความรู้สึกเหมือนว่าเขาได้อยู่คนเดียว มันก็เป็นเงาตามตัว เพราะงานของตำรวจสืบสวนมันไม่เป็นเวลา มีคดีเข้ามาตลอด แต่เขาก็ยังดีใจ ที่แสงตะวันยังไม่มีใคร

               “เอ๊ะ ทำไมฟ้าครึ้มๆ ฝนจะตกหรือเปล่า เอาร่มไปด้วยนะเด็กๆ” มนฤดีหันมาเตือน แสงอาทิตย์เงยหน้าขึ้น พลันภาพที่เขาไม่อยากเห็นก็ปรากฏขึ้นในจิต มันไม่ใช่ภาพเคลื่อนไหว มันเป็นภาพที่มาเหมือนกดสไลด์ภาพทีละรูป

               “ฮ่า” เขาหายใจทางปากออกมาแรง เมื่อภาพชุดมันหายไป

               “อาทิตย์ ไหวไหม มานั่งก่อน” เสียงกรีดร้องของมณีและมนฤดีทำให้นที ที่นั่งเตรียมเอกสารอยู่ผุดออกมาจากโต๊ะทันที

               “หน้ามืดอีกแล้วเหรออาทิตย์” เขาเข้ามาประคอง เอากระดาษมาพัดให้ มณีก็วิ่งไปกดน้ำเย็นที่ตู้มายื่นให้

               “โอเคครับพี่ หน้ามืดนิดหน่อย ผมขอตัวไปโทรศัพท์ก่อนนะครับ” แสงอาทิตย์รีบเดินออกจากออฟฟิศ แล้วเขาเดินไปหลังบ้าน

               “น่าจะนอนน้อยล่ะ ปกติอาทิตย์แข็งแรงจะตาย” มนฤดีบอก ส่วนนทีนิ่งเงียบอยู่ เขาน่าจะเห็นอะไรอีกแล้วสินะ

               “ตะวัน ฟังนะ” ปลายสายไม่ใช่ใครอื่น แสงตะวันเอาหูฟังเสียบใส่หูแล้วยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้ทุกคนในรถเงียบ

               “ดาว รอยกรีดรูปดาวที่ข้อเท้า เส้นผม คนร้ายตัดเส้นผมเขาไปด้วย กลางหัว คนร้ายตัวสูง ล่ำ เหมือนคนออกกำลังกาย ผิวขาว” “เห็นหน้าไหม” แสงตะวันถามทันที

               “ไม่เห็น เขาใส่หมวกโม่งสีดำ มีรอยสัก รูปดาวที่ไหล่ขวา” เสียงของแสงอาทิตย์รัวเร็ว เมื่อวางสายไปเขาก็ทรุดลงหอบ นทีเดินตามออกมาจึงได้พยุงตัวขึ้น

               “มีอะไรเหรอครับสารวัตร” ผู้กองคมกริชเอ่ยถาม

               “พอจะเห็นอะไรลางๆแล้วล่ะ” ทุกคนหันขวับทันที ไม่มีใครปริปากรอให้เขาพูดออกมา

               “ถ้าไม่ผิด น่าจะมีรอยกรีดที่ข้อเท้า รูปดาว เส้นผมที่กลางกระหม่อม ถูกตัดไปหนึ่งกระจุก คนร้ายน่าจะตัวสูง ผิวขาว หุ่นล่ำเหมือนคนออกกำลังกาย ใส่หมวกโม่งพรางใบหน้า มีรอยสักที่ไหล่ขวา รูปดาว” แสงตะวันรีบเอ่ยออกมาเร็วเช่นกัน ใจของเขาเต้นระทึก ขอให้มันจริงเถอะ แบบนี้จะได้หาตัวคนร้ายได้ง่ายหน่อย ตอนนี้ทุกคนปักหมุดไปที่หมอและพวกบุรุษพยาบาล เพราะมีการฉีดยาชาเข้าที่ไขสันหลังของผู้ตาย คนที่รู้และทำแบบนั้นได้ ต้องมีความรู้ทางการแพทย์ดี พอเข้าไปในห้องเก็บศพ เจ้าหน้าที่ก็เอาศพออกมาจากตู้แช่ ให้ตำรวจสืบสวนทั้งสี่นายดู

               “จริงด้วยสารวัตร รอยกรีดที่ข้อเท้า เล็กมาก นึกว่ารอยขีดข่วนเสียอีก ถึงว่าภาพถึงถ่ายไม่เห็น” จ่าอินอุทานออกมา ด้วยท่าทางที่ตื่นเต้น เขารีบถ่ายรูปไว้ทันที

               “เส้นผมตรงกลางกระหม่อม มีรอยตัดไปจริงๆด้วยครับ น่าจะประมาณกระจุกเล็กๆ ไม่เป็นที่สังเกต” จ่าหนุ่มร้องออกมาในเวลาต่อมา แสงตะวันขมวดคิ้ว

               “มันสื่อถึงอะไร ไหนจะรอยสักที่ไหล่ของคนร้ายอีก หรือว่า ไอ้นี่จะเป็นฆาตรกรต่อเนื่องเหรอวะ” เขารำพึงออกมา

               “ไม่น่าจะใช่นะครับสารวัตร ไม่เคยมีคดีทำนองนี้เลย ตามสถิติ น่าจะเป็นพวกคลั่งลัทธิ หรือบูชาอะไรบางอย่างไหมครับ” ผู้กองคมกริชแสดงความคิดเห็น

               “เราคงต้องลงลึก ว่าตัวตนของผู้ตายเป็นยังไงแล้วล่ะ แบ่งทีมกันไป ไม่งั้นเราตามไม่ทันมันแน่ ผู้กอง ช่วยไปสืบเกี่ยวกับหมอในระยะไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ” “สักกี่กิโลดีครับ” ผู้กองคมกริชถามทันที

               “๑๐ กินโลก่อนครับ มันกว้างและเยอะมาก อีกอย่าง ผมเองยังคิดไม่ออกเลย ว่าเราจะเริ่มจากตรงไหน จ่าหนุ่ม ช่วยไปที่โรงงานของผู้ตาย เผื่อเจออะไรนี่น่าสงสัย จ่าอิน ช่วยดูกล้องวงจรในรัศมี ๒๐ กิโลจากที่เกิดเหตุ ส่วนผมจะไปช่วยผู้กอง เพราะผมคิดว่าการที่มีคนเบิกยาออกมาจากโรงพยาบาล มันน่าจะมีประวัติของยาที่หายไปบ้างล่ะ มีอะไรติดต่อกัน และรายงานผมตลอดนะ” เมื่อตกลงกันเรียบร้อยก็กลับมาที่สำนักงาน และแยกย้ายไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบ ผู้กองเป็นคนขับรถ ส่วนแสงตะวันก็นั่งดูแฟ้ม เขาจดอะไรโยงใยทั่วกระดาษ

               “ลำไส้ฉีกขาด หือ ไหนบอกเขาขาดอากาศหายใจ” แสงตะวันอ่านมาถึงผลชันสูตรที่ส่งมาอีกรอบ

               “ลำไส้ฉีกขาด มันก็ไม่น่าแปลกนี่ครับ แผลใหญ่ขนาดนั้น ตามปากคำของผู้ที่เคยนัดกับผู้ตาย เขามีรสนิยมทางเพศที่วิตถาร เขาให้ล้วงเข้าไปในทวารของเขา ด้วยท่อนแขนนะครับ” ผู้กองคมกริชทำท่าขนลุกขนพอง จนแสงตะวันเหล่มอง

               “แล้วผู้กองคิดว่า การที่ลำไส้ขาด คือก่อนที่มันจะขาด เขาจะทนได้นานแค่ไหนครับ ถ้าคนร้ายวิตถารกว่า ทำไมถึงทำให้เขาขาดอากาศ ทำไมไม่ทำให้เขาตายอย่างทรมานล่ะ” แสงตะวันขมวดคิ้ว เอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มไปมา

               “น่าคิดครับ หรือกลัวว่าผู้ตายจะส่งเสียง ไม่ใช่ บ้านร้างห่างจากถนน และไม่มีผู้สัญจรผ่านไปมา ร้องให้คอแตกยังไง ก็ไม่น่าจะมีคนได้ยิน แล้วเขาขาดอากาศจากอะไร บีบคอ เชือก ก็ไม่มีร่องรอย” ผู้กองกริชเหมือนถามตัวเอง

               “นั่นล่ะที่ผมสงสัย ไม่มีร่องรอยอะไรทิ้งไว้ให้เราตามเลย แม้แต่รอยเท้า” ทั้งสองต่างนิ่งคิดไปในความคิดของตัวเอง เข้าไปสอบถามทุกโรงพยาบาลจนค่ำ หมอ หรือบุรุษพยาบาล ที่มีรสนิยมทางเพศเช่นนี้ มีเป็นกุรุสยิ่งในยุคสมัยปัจจุบัน ที่ความคิดความอ่าน การยอมรับความหลากหลายทางเพศเปิดกว้าง ยิ่งหายากสำหรับคนที่ต้องสงสัยหรือมีพิรุธเลย และอยู่ๆจะเข้าไปโต้งๆแบบนั้นก็ไม่ได้ เขาต้องติดต่อแผนกบุคคลอย่างเป็นทางการ ทุกที่มีกฎมีระเบียบของเขา แม้จะใช้อำนาจในการสืบสวนในมือ แต่พวกเขาก็ไม่อยากจะทำ เพราะมันจะยิ่งทำให้คนแตกตื่นกันไปใหญ่

               “ไม่มีเลยสารวัตร ให้ตายเถอะ” “เฮ้อ แล้วถ้าไม่ใช่หมอที่รู้เรื่องการใช้เข็มกับยา แล้วมันจะเป็นใครวะ” แสงตะวันสบถออกมาอย่างหัวเสีย หมุดที่ปักอาชีพหมอยังไม่ถอน เพียงแต่วงที่จะสืบมันกว้างมาก

               “ครับจ่าหนุ่ม” แสงตะวันรับสาย

               “พบเข็มฉีดยา ในตู้ล็อกเกอร์ของนายทวีครับ เอ่อ มียาไอซ์ซุกอยู่ด้วยครับ” แสงตะวันรีบเปิดลำโพงทันที

               “เก็บมาให้หมด เจอกันที่ไหนดี ไม่ใช่ที่สำนักงาน ผมไม่อยากเข้าไปแล้ว” “สารวัตร อีกนานไหมครับถึงเข้ามาแถวนี้” แสงตะวันหันไปหาผู้กองคมกริช

               “ขึ้นทางด่วนไปจ่าหนุ่ม นัดมาเลย” ผู้กองคมกริชบอก

               “เอาเป็นร้านกาแฟที่ปั้มกิ่งแก้ว กม. ๔ ดีไหมครับ ผมจะไปรอที่นั่น” เมื่อตกลงสถานที่กันแล้ว ผู้กองกริชก็บ่ายหน้าขึ้นทางด่วนทันที

               “ผมว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นหมอแล้วล่ะครับ ที่จะฉีดยาได้” แสงตะวันไม่พูดอะไร เขาเหมือนคิดอะไรอยู่ในใจ

               “แต่เขารู้ตำแหน่ง ในการเจาะสันหลังได้ยังไงครับ ผมว่ามันน่าคิดตรงนี้” แสงตะวันทำให้ผู้กองกริชเองนิ่งคิดเหมือนกัน ทั้งสองต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง จนรถเลี้ยวเข้าที่ปั๊มจุดนัดพบ จ่าหนุ่มรออยู่แล้วที่ร้านกาแฟ

               “ยังไงจ่าหนุ่ม” ผู้กองคมกริชเอ่ยทัก

               “ตะลึงกันทั้งโรงงานสิครับ ไม่มีใครคาดคิด ว่านายทวีจะเสพยาไอซ์ ไม่มีพิรุธอะไรเลย” “ไหน” ผู้กองคมกริชนั่งลงข้างจ่าหนุ่ม ส่วนแสงตะวันนั่งฝั่งตรงข้าม เข็มฉีดยามี ๔ อัน ใช้แล้วสอง มีถุงใส่บรรจุเกร็ดสีขาวขุ่นอยู่ถุงหนึ่ง

               “เรื่องแบบนี้ เขาก็คงไม่ทำให้มันพิรุธหรอก แล้วเอาอะไรมาเยอะแยะเลยพี่จ่า” แสงตะวันเห็นกล่องที่วางข้างๆ กล่องใหญ่

               “ของใช้ส่วนตัวผู้ตายครับ ภรรยาเขาอนุญาตแล้ว มียูเอสบี โน้ตบุ๊ค แล้วก็พวกอุปกรณ์” จ่าหนุ่มสาธยาย ทั้งผู้กองคมกริชและแสงตะวันให้ความสนใจกับของในกล่อง

               “เราต้องกลับไปที่ฐาน” แสงตะวันบอกเหมือนสั่ง เพราะเขาพูดแล้วก็ลุกขึ้น ทั้งสองจึงลุกตาม พอทั้งสามไปถึง ก็เห็นจ่าอินกำลังเปิดเทปกล้องวงจรปิดที่ขอมาได้อยู่ที่โต๊ะ

               “ได้เรื่องไหมครับ สารวัตร” เขาลุกขึ้นแล้วทำความเคารพ

               “ในส่วนของผมกับผู้กอง ยัง แต่ส่วนของจ่าหนุ่ม ได้ เยอะเลยล่ะ” แสงตะวันบอก จ่าอินตาโต

               “แล้วเจออะไรบ้างไหม จ่าอิน” ผู้กองคมกริชถาม

               “ไม่เลยครับ ไม่มีรถคันไหนผิดปกติเลย แต่ถึงจะให้ผิดปกติยังไง กล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ ในระยะ ๑๐ โล ไม่มีกล้องเลยครับ มีแต่ด้านหน้าที่เป็นร้านสะดวกซื้อ ซึ่งก่อนเวลาเกิดเหตุและหลัง ไม่มีรถหรือใครเป็นที่สงสัยเลยครับ แต่ว่า ทางผ่านบ้านร้างมันมีหลายทางนะครับ เหมือนคนร้ายมันจะรู้ ว่าถ้าเข้าด้านหลัง มันจะมีแต่ทุ่งนา” เสียงของแสงตะวันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

               “เอาเถอะ เราต้องสืบของที่มีก่อน เข้ารหัสโน้ตบุ๊คกับมือถือของผู้ตายได้ใช่ไหม” “ได้ครับ” จ่าอินตอบแล้วทุกคนก็เข้าประจำที่ โดยเปิดโน้ตบุ๊คก่อน นอกจากไฟล์งานแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นที่ผิดสังเกต แต่มีแฟ้มลับที่ต้องเข้ารหัส จ่าอินลองเข้ารหัสเดียวกับที่เปิดเข้าเครื่อง ไม่ผ่าน เขาทำเสียงไม่พอใจในลำคอแล้วลองใหม่ ไม่ผ่าน

               “อย่าให้มันล็อคนะ แฮ็กเข้าได้ไหม” ผู้กองคมกริชถาม

               “ได้ครับ แต่ต้องใช้เวลาพอสมควร” “งั้นเราดูมือถือก่อน” มือถือถูกต่อเข้าหน้าจอคอมพิวเตอร์ สิ่งที่ทีมดูคือแฟ้มภาพและวีดีโอ บันทึกการโทรเข้าออก แอพพลิเคชั่นในการสนทนา ข้อมูลด้านอื่นจะไม่เข้าไปยุ่ง

               “เริ่มติดต่อกันก่อนเกิดเหตุสองวัน ตอน ๓ ทุ่ม ๑๐ นาที โดยคนร้ายทักเข้ามาก่อน” “อันนี้อยู่ในแฟ้มแล้วจ่าหนุ่ม ไม่ต้องดูแล้ว ไอ้แอพพลิเคชั่นนี้ ถ้ามีคนมาสมัคร แล้วถ้าเราอยากได้ข้อมูล ต้องติดต่อที่ไหน” แสงตะวันเอ่ยขึ้น

               “น่าจะเป็นแอพต่างประเทศครับ ผมจะลองติดต่อดู” จ่าอินอาสา ข้อมูลส่วนมากเป็นการคุยในเรื่องอย่างว่าทั้งสิ้น แอพพลิเคชั่นอื่นๆไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวนัก แม้เขาจะล็อกอินเข้าอยู่เป็นประจำ ถึงแม้เขาจะเล่นทุกแอพพลิเคชั่น แต่การนัดหมายนั้นถือได้ว่าน้อยครั้งมาก อย่างคนที่ถูกเรียกมาสอบนั้น คือนัดกันหลายเดือนผ่านมาแล้ว คงเป็นเพราะฐานะทางสังคมและครอบครัว

               “มาดูของที่เหลือกันก่อน” แสงตะวันเหนื่อยกับการที่จะดูเรื่องพรรค์นี้ บทสนทนาในแช็ทของแอพพลิเคชั่น มันโจ่งแจ้ง ดิบ เถื่อน จากการที่คิดว่าเขาเอง ก็มีประสบหารณ์ในการทำงานไม่น้อย เจอคดีที่คล้ายกันมาก็มาก แต่ครั้งนี้มันดูเกินกว่าที่เขาเคยเจอมาคนละโยชน์เลย

               “อันนี้ผ้าอะไร สามเหลี่ยม” จ่าหนุ่มที่สวมถุงมือ หยิบผ้าสามเหลี่ยมขึ้นมาดู

               “กางเกงในจ่า โห เขามีเป็นคอลเล็กชั่นเลยนะ ทั้งกุญแจมือ แส้ ชุดหนัง ผ้าปิดตา หน้ากาก นี่เขาซื้อกันที่ไหนวะเนี่ย” จ่าอินอุทาน

               “ในเวบเยอะแยะจ่าอิน” “จ่าเคยซื้อเหรอ” จ่าอินถามทันที

               “เราเป็นสายสืบ เราก็ต้องรู้ไหม” “โอ้ย ไม่รู้อยากด้วยหรอก นี่ไง จ่าหนุ่มถึงต้องเป็นคนไปตรวจค้น” จ่าอินแซว แสงตะวันกระแอม ทั้งสองจึงเงียบแล้วหันมาตรวจดูของที่อยู่ในกล่อง

               “อ้าว ยังไม่นอนเหรอทิตย์” ไม่มีอะไรคืบหน้า ของที่ได้มาเป็นของผู้ตาย แต่ถูกส่งตรวจหาลายมือ และดีเอ็นเอแปลกปลอม แต่ด้วยลักษณะที่ผู้ตายเก็บไว้เป็นอย่างดี ผลตรวจก็คงไม่ได้โยงไปถึงคนร้าย แสงตะวันเชื่อแบบนั้น เพราะตามประวัติการสนทนาในแอพพลิเคชั่น เขาเพิ่งคุยกันได้ไม่กี่วัน แล้วก็นัดเจอ และถูกพบเป็นศพ เขากลับมาที่ห้องตอนเกือบเที่ยงคืน พอเปิดประตูก็เห็นว่าแสงอาทิตย์กำลังนั่งรออยู่

               “พอดีเราเตรียมงานไปด้วยน่ะ รอตะวันด้วย” แสงอาทิตย์ตอบแล้วยิ้มให้

               “กินไรมายัง” “เรียบร้อยแล้ว แวะกินเตี๋ยวก่อนเข้าห้อง พอก่อนเถอะทิตย์ เดี๋ยวพักผ่อนไม่พอก็หน้ามืดอีกหรอก” แสงตะวันเดินเข้าไปหาแล้วแย่งเอกสารที่วางอยู่ตรงหน้าออกมา

               “ตะวัน” แสงอาทิตย์เรียกเขาเสียงเครียด

               “ว่าไงทิตย์” เสียงที่ตอบมาทุ้มจนใจของคนที่เรียกสั่น

               “คดีนี้ ไม่ธรรมดานะ เราพยายามจะสื่อสาร แต่เหมือนมีบางอย่างปิดกั้นเอาไว้ เหมือนเขาจะรวบรวมพลัง แล้วติดต่อเรามาเอง”

               “วิญญาณเขาคงไม่มีพลังล่ะ นี่ก็ตามสืบทุกทาง แต่ไร้วี่แววของคนร้ายเลย คนร้ายคนนี้เหมือนรู้ว่าควรหลบหลีกยังไง จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีอะไรที่จะระบุตัว หรือชี้ไปหาใครเลย แค่ชี้ไปให้พอได้สงสัย ก็ไม่มี” แสงตะวันถอนหายใจออกมา

               “เออ รอยกรีดที่ข้อเท้า มีจริงๆ เส้นผมที่ถูกตัดไปก็ด้วย เขาทำแบบนี้เพื่ออะไร”

               “เราพยายามเพ่งแล้ว ไม่เห็นอะไรเลย มีแต่เงาสีดำ พลังงานบางอย่าง แต่รอยกรีดรูปดาวนั่น มันเหมือนกับรอยสักที่ไหล่ของคนร้ายเลยนะตะวัน” “เราก็พยายามสืบอยู่ วันนี้ไปโรงพยาบาลในรัศมีหลายกิโล แต่ก็คว้าน้ำเหลว อ้อ พอดีผลชันสูตรเพิ่มเติมออกน่ะ ผู้ตายขาดอากาศหายใจ ทั้งๆที่โดนล้วงทวารหนัก จนไส้แตกขนาดนั้น แต่มันแปลกที่เขาไม่ดิ้นรนขัดขืนเลย ที่จริง เขาถูกบล็อกไขสันหลัง” แสงตะวันเล่ารูปคดีให้แสงอาทิตย์ฟัง ทั้งๆที่มันผิดจรรยาบรรณ แต่แสงตะวันไม่คิดแบบนั้น เพราะทุกคดียากๆที่ปิดได้ ก็เพราะเขาเล่าให้แสงอาทิตย์ฟังนี่ล่ะ ถ้าจะว่าไป คนที่ชี้เบาะแสจนไขคดีได้คือ แสงอาทิตย์ต่างหาก เขาเพียงแต่สืบตามที่แสงอาทิตย์ได้นำทาง

               “ล้วงทวาร” แสงอาทิตย์ครางออกมา หน้าซีด

               “ไปนอนเถอะทิตย์ เราเองก็เหนื่อยเต็มทน เครียดทั้งวัน” แสงตะวันลุกขึ้น เพื่อที่จะเดินเข้าห้องไปเพื่ออาบน้ำ ส่วนแสงอาทิตย์ลุกขึ้นเช่นกัน เขาพยายามไม่คิดอะไรมาก ในเมื่อเขาพยายามจะสื่อสารแล้ว แต่ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมา เขาคงทำได้แค่รอ

               “สารวัตร ท่านรองเรียก” พอไปทำงาน ทันทีกี่ก้าวเข้าไปที่สำนักงาน จ่าอินก็รีบเข้ามาบอกทันที แสงตะวันขมวดคิ้ว ท่านรองผู้กำกับคือหัวหน้างานโดยตรงของแสงตะวัน

               “ครับ ท่านรอง” เขาเคาะประตู เมื่อมีสัญญาณเขาจึงเปิดประตูเข้าไป เสียงที่หนักแน่นและการยืนตรงทำความเคารพ สายตาที่ปราดมองมาดูต้องการคำตอบ

               “ว่าไงสารวัตร นี่ผ่านมาสองวันแล้วนะ ไม่มีอะไรคืบหน้าบ้างเลยรึ” น้ำเสียงนั้นถามเสียงเข้ม สายตาคมดุปรายมองมา

               “ทีมพยายามสืบแล้วครับ แต่ไม่มีหลักฐานอะไร ที่พอจะชี้ตัวผู้ก่อเหตุได้เลยครับ ท่านรอง”

               “ฮึ แล้วไอ้ฉายา สารวัตรผู้หยั่งรู้นี่ ได้มันมาจากไหนกันล่ะ หรือว่าที่จริง ฟลุ๊ค” เสียงนั้นเย้ยหยันเต็มทน แสงตะวันได้แต่นิ่ง ในใจของเขานั้นเดือดปุดๆ

               “คงฟลุ๊คครับ” “ไม่ได้ให้คุณมาเล่นลิ้นกับผม ที่เรียกมาวันนี้ คือคุณต้องรายงานความคืบหน้า ข่าวออกทุกวัน แต่ทางตำรวจที่ได้คดีนี้มาจากสภ.กลับไม่มีข่าวคืบหน้า หน้าที่ของคุณ คือรายงานผมแค่นี้เหรอ” เขาตวาดเสียงดัง

               “ขอโทษครับท่านรอง ทีมจะเร่งมือครับ” “หวังว่าพรุ่งนี้ ผมจะมีรายงาน วางอยู่บนโต๊ะก่อนเข้างานนะ อย่ามัวแต่เหลิงเพราะคำชม แต่ทำงานไม่เอาอ่าวแบบนี้ ออกไปได้แล้ว” แสงตะวันทำความเคารพ แล้วออกมา เขาถอนหายใจแรง หน้าแดงเถือกเพราะโกรธ ใช่สิ นั่งรอรายงานอยู่ในห้องอย่างเดียว ส่วนทีมก็วิ่งกันขาขวิด เขานึกสบถในใจ

               “ท่านรองว่าอะไรสารวัตร เสียงดังออกมาถึงนี่” จ่าอินเป็นหน่วยกล้าตาย เดินเข้าไปถามก่อนที่แสงตะวันจะหย่อนก้นลงเก้าอี้

               “ในเมื่อได้ยินหมด จะถามทำไมล่ะจ่า ตามนั้นล่ะครับ พวกเราไม่มีเวลาแล้ว จ่าหนุ่ม วันนี้เขียนรายงาน สรุปที่เราได้มาทั้งหมด แล้วเอามาให้ผมดูก่อน ค่อยเอาไปวางไว้ที่โต๊ะท่านรอง ก่อนเลิกงาน” เขาสั่ง

               “พวกเรา ต้องออกไปข้างนอกกัน” แสงตะวันไม่ทันได้นั่งก็หันหลังกลับ แล้วเดินออกไปจากสำนักงานทันที เขาหงุดหงิดมากเป็นพิเศษ ท่านรองผู้กำกับ พ.ต.ต. ธีรนิล พงศ์สุภามาศ จบนายร้อยที่เดียวกับแสงตะวัน เป็นรุ่นพี่ ๘ ปี หลังจากจบนายร้อย เขาได้สอบชิงทุนไปเรียนต่อที่อเมริกาได้ พอจบ ก็เหมือนจะต่อด้านกฎหมาย เพิ่งกลับมาประจำการได้ปีกว่า นับเป็นท่านรองที่ไฟแรง ซ้ำยังมีบุคลิกที่ดี หล่อคมคาย ท่านรองเตี้ยกว่าแสงตะวันไม่กี่เซ็นต์ แต่ตัวหนากว่า เพราะเหมือนคนออกกำลังกายดูแลรักษาหุ่นตัวเองเป็นอย่างดี ยังไม่สมรส แต่มีแฟนสาวที่เป็นดาราคบหากันอยู่ ก่อนหน้านี้ ท่านรองไม่ค่อยมาวุ่นวายกับคดีมากเท่าไหร่นัก ส่วนมากเขาจะแนะนำแนวทาง อ่านรายงานและแก้ให้ ก่อนจะส่งขึ้นไปในระดับชั้นที่สูงกว่า แต่ทำไมครั้งนี้ เขาจึงดูเกรี้ยวกราด และคำพูดที่เย้ยหยันนั่น แสงตะวันก็เพิ่งเคยจะได้ยิน แต่ก็ไม่น่าแปลก เพราะข่าวนี้ดังและเป็นที่สนใจของสังคม ท่านรองคงได้รับการกดดันลงมาอีกทีหนึ่ง แสงตะวันคิดระหว่างที่เดินไปขึ้นรถ มีผู้กองคมกริชและจ่าอินวิ่งตามมา

               “เราจะไปที่ไหนกันดีครับ สารวัตร” จ่าอินถาม วันนี้มาด้วยกันทั้งสามคน

               “ไม่รู้ จ่ารู้ก็พาไปเลยครับ” เขาอารมณ์ไม่ดี จ่าอินทำหน้าเจื่อนลงแล้วมองกระจกมองหลัง ขอความช่วยเหลือจากผู้กองคมกริช

               “ไปที่เกิดเหตุอีกทีเถอะจ่า เผื่อมีอะไรตกหล่น วันนี้เราเพิ่มรัศมีออกให้กว้างหน่อย” ผู้กองเอ่ยขึ้น หลังจากเห็นสายตาของจ่าอิน

               “เขาไม่น่าจะนัดเจอกันที่นี่ ตอนกลางคืนคงเปลี่ยวมาก มาคนเดียวไม่น่ากล้า น่าจะนัดกันข้างนอก แล้วเข้ามาพร้อมกัน” แสงตะวันบอก สายตาก็มองไปรอบๆ ทุกอย่างยังคงเดิม เทปที่กั้นก็ยังคงอยู่ แต่ไม่มีหลักฐานอะไรหลงเหลือในที่เกิดเหตุแล้ว

               “งั้นผมออกไปตรวจดูรอบนอก” จ่าอินเสนอตัว ไม่มีเสียงตอบรับแปลว่าอนุญาต เขาจึงเดินออกมา

               “สารวัตรครับ ไปดูตึกข้างๆกันไหมครับ” แสงตะวันพยักหน้า

               “หือ ดูซากถุงยางอนามัย กับถุงสารหล่อลื่นนี่สิครับ” ผู้กองคมกริชทำท่าสะอิดสะเอียน กับภาพที่เห็นที่กองอยู่ที่พื้น แสงตะวันมองตามแต่เขาไม่ได้มีทีท่าเหมือนผู้กองคมกริช

               “แสดงว่าที่นี่ เป็นสถานที่นัดพบของคนกลุ่มนี้” เขาสรุป

               “น่าจะใช่ครับ รีสอร์ทก็เยอะแยะ ทำไมไม่ไปที่แบบนั้นวะ” เขาสบถออกมา

               “มันผิดรสนิยมไปไงผู้กอง” เขาตอบเพียงเท่านั้น ก็เดินตรวจดูเผื่อว่าจะมีอะไรที่สะดุดตา ระหว่างนั้น ก็มีสายเรียกเข้ามาที่โทรศัพท์ของแสงตะวัน

Related chapters

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๖ มืดแปดด้าน

    “มันยังมีอยู่เหรอวะ เรื่องแบบนี้” จ่าอินโพล่งขึ้นตอนที่ขับรถกลับสำนักงาน ทั้งสามคนมีสีหน้าที่เคร่งเครียด จ่าหนุ่มขับรถกลับไปคนเดียว และกำลังขับตามกันมานี่เอง “นั่นสิ ผมไม่คิดว่าผมจะตาฝาดหรอกนะ นี่มันพศ.ไหนแล้ว” ผู้กองคมกริชเอง ก็พยายามหาเหตุผลมาหักล้างกับสิ่งที่ตาเห็น “แต่เห็นพร้อมกันสี่คน ผมว่ามันไม่น่าจะเป็นอะไรที่หาเหตุผลมาหักล้างได้ง่ายๆหรอกครับ บางอย่างที่เราไม่คิดว่ามี แต่มันอาจจะมีก็ได้นี่ครับ” แสงตะวันเอ่ยออกมาเสียงเรียบ นั่นยิ่งทำให้ทั้งสองคนขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล “จ่าขอรายงานด้วยครับ ผมขอดูก่อน” พอไปถึงสำนักงาน เขาก็เดินไปที่โต๊ะของจ่าหนุ่ม แฟ้มรายงานสรุปคดีเบื้องต้น เขากวาดตาอ่านอย่างละเอียด ใช่ มันบอกได้เท่านี้จริงๆ รายงานทั้งหมด มีเพียงข้อมูลของผู้ตาย ส่วนคนร้าย มีเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น เขาเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม แล้วเดินเอาแฟ้มไปไว้ในห้องของรองผู้กำกับ “เอ๊ะ นั่นทิตย์นี่ วันนี้เลิกงานค่ำเหรอ” สามทุ่มกว่า แสงตะวันขับรถกลับห้องชุดที่ซื้อไว้ ก่อนจะถึงเขาเห็นแสงอาทิตย์ เหมือนกำลังเดินเขาจึงตีไฟแ

    Last Updated : 2024-12-18
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๗ คดีโคกหนองนา ๓๖๖

    จุดเกิดเหตุคือโคกหนองนา ผู้แจ้งเหตุคือเจ้าของที่ มีไทยมุง นักข่าวมุง ผู้คนมากมายออกันอยู่เต็มพื้นที่ เจ้าหน้าที่ของสภ.ต่างกันคนไม่ให้เข้า ศพเพิ่งถูกเคลื่อนย้ายไป ทีมของแสงตะวันต้องจอดรถไว้บนถนนไกลพอสมควร “นี่เขามีงานบุญกันหรือไง ไม่รู้เหรอว่ามันมีคนตาย” จ่าหนุ่มบ่นออกมา “สวัสดีครับ ผม ร.ต.อ. แสงตะวัน พิริยะลักษณ์ จากสำนักงานสืบสวนกลาง ได้รับมอบหมายให้มาดูแลคดีนี้ครับ” แสงตะวันรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ ที่ดูจากยศน่าจะสูงสุด “สวัสดีครับสารวัตร ผม ร.ต.ต. สุรวุฒิ คงมี มีหน้าที่ดูแลคดีนี้ครับ เชิญสารวัตรทางนี้ครับ” หลังจากนั้นก็เดินตามผู้หมวดเข้าไปในพื้นที่ จ่าหนุ่มและผู้กองคมกริช รายงานตัวต่อหน้าทีมที่มากับผู้หมวดอีกครั้ง “พบศพตอนเวลา ๗ น. โดยประมาณ ผู้แจ้งคือเจ้าของที่ คนไหนครับ” แสงตะวันอ่านในรายงานแล้วเงยหน้าขึ้น “ผมครับ เจ้าของที่” คุณลุงที่ยกมือขึ้น แล้วเดินเข้ามาใกล้ เขามีสีหน้าที่หวาดกลัว ท่างยังคงตื่นกลัวอยู่มาก “คุณลุง” “ภิรมย์ครับ ผมชื่อภิรมย์” เขาแนะนำตัว แสงตะวันพยักหน้า “คุณ

    Last Updated : 2024-12-18
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๘ จุดเชื่อมโยง

    “รอยกรีดรูปดาวนี่ มันน่าจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง ของฆาตรกรนะครับ” ผู้กองคมกริชเอ่ยขึ้น หลังจากที่หันหน้าเข้าจอ เขาพิจารณาอยู่นานจากการดูแฟ้มภาพ รายแรกอยู่ที่ข้อเท้า รายล่าสุดอยู่ที่หลังหู “รอยสักไงครับ” แสงตะวันเอ่ยขึ้น “รอยสัก เฮ้อ มันไม่ได้ตามง่ายๆเลยนะ คนเขาสักทั่วบ้านทั่วเมือง ยิ่งรูปดาว ไม่ใช่รูปที่เฉพาะเจาะจงอะไรด้วย” ผู้กองคมกริชถอนหายใจออกมา “รอยรองเท้า จากรูปนี่เป็นคอมแบตทหารเบอร์ ๑๐ ครับ ไม่ใช่ตราของกองทัพ น่าจะซื้อตามตลาดหรือไม่ก็เว็บไซต์” จ่าอินหันมารายงาน “เอาเข้าไป แต่ละอันที่เราได้มา มันคนละทิศคนละทาง เราจะหาจุดเชื่อมโยงยังไงล่ะทีนี้” แสงตะวันเอนหลังพิงพนักแรงๆ “แล้วประวัติล่ะจ่าหนุ่ม ได้หรือยัง” เขาหันไปทางจ่าหนุ่ม “ยังไม่มีความคืบหน้า จากที่ได้มาครับ เวบไซต์ของโรงเรียนไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก พรุ่งนี้ผมคงต้องไปแต่เช้า” “อย่าลืมร่างรายงานไว้ด้วยนะ รองน่าจะเรียกหาเร็วๆนี้ล่ะ” เขาทำเสียงหงุดหงิด เมื่อเอ่ยถึงผู้บังคับบัญชา “รองก็น่าจะรู้ ว่าม

    Last Updated : 2024-12-23
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๙ ข้อตกลง

    “อ้าวผู้กอง ไปเอาผลชันสูตรถึงไหนครับเนี่ย” ทันทีที่ผู้กองคมกริชกลับเข้าไปในสำนักงาน จ่าหนุ่มก็เอ่ยแซวขึ้นทันที เพราะนี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว “พอดีไปธุระมานิดหน่อยน่ะจ่า สารวัตรครับ นี่ผลตรวจครั้งที่สองครับ” เขาวางแฟ้มไว้ต่อหน้าแสงตะวัน เขาหันมาพยักหน้า ตาเริ่มโหลลึกเพราะนอนน้อยกันทุกคน “วันนี้ผมเหมือนจะเจอเพื่อนสารวัตรด้วยนะครับ” เขาเอ่ยแล้วยิ้ม สายตาจ้องมองอยู่ ว่าแสงตะวันจะมีปฏิกริยายังไง ได้ผล เขาหันขวับทันที “ใคร เพื่อนคนไหน” เสียงนั้นห้วนจนเหมือนตวาด “เอ่อ คุณอาทิตย์น่ะครับ พอดีบังเอิญเจอที่หน้าตึก ที่แกไปทำงาน” แสงตะวันหน้าเปลี่ยนสี “รู้จักกันได้ยังไง” เขาจ้องจนบรรยากาศไม่ดี เขาเหมือนจะรู้ตัว เขาจึงลุกขึ้น “ผู้กอง คุยกันหน่อยสิ” เขาเดินออกไปทันที ผู้กองคมกริชอมยิ้มด้วยความบรรลุเป้าหมาย สองจ่านั่งมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น “ครับ สารวัตร” ผู้กองคมกริชเดินตามออกไปหน้าตึก แสงตะวันยืนปักหลักหันหลังเหมือนยักษ์ เขาหันหน้ากลับมา “คุณไปรู้จักเพื่อนผมได

    Last Updated : 2025-01-06
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๐ ที่เกิดเหตุ

    ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา “นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร “เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลง

    Last Updated : 2025-01-06
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๑ คดีริมบึงกลางเมือง ๓๖๗

    “อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย

    Last Updated : 2025-01-06
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   บทนำ

    “เขาไม่ได้ตายมาก่อนหน้านี้ นี่ไม่ใช่การอำพราง แต่มันคือการเผาเขาทั้งเป็น โอ ตะวัน มันโหดร้ายมาก เขาโกรธแค้น เขาไม่ยอม” ชายหนุ่มสูงเพรียว สวมแว่นสายตาหนาเตอะ หลับตานิ่งเปลือกตานั้นกรอกไปมาเหมือนว่าการหลับตาไม่ได้ช่วยให้เขาปิดจอภาพได้เลย ภาพที่เขาเห็นผ่านสัมผัสพิเศษหรือ ตาที่สามนั้น คือร่างของชายรูปร่างสูง ตัวดำไหม้เกรียม เขาปรากฏร่างในสภาพที่เขาตาย “เขาบอกได้ไหม ว่าใคร” สารวัตรหนุ่มถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น “เขาบอกไม่ได้ มันผิดกฎ” กฎที่ว่าคือกฎหลังความตาย วิญญาณไม่สามารถจะเอ่ยปากบอกว่าตัวเขาเองตายโดยใคร กรรม มันคือการฝืนกรรม “เห็นอะไรอีก ทิตย์” เขาร้อนใจ “ของกิน เหล้า เขาไม่มีพลังแล้วตะวัน” ทั้งสองสนทนากันผ่านสายโทรศัพท์ สารวัตรหนุ่มมีหูฟังไร้สายเสียบไว้ที่หูด้านขวา ส่วนหนุ่มแว่นหนาเปิดลำโพงเพราะเขากำลังใช้สมาธิเพ่ง ไม่นานภาพเหล่านั้นก็จางหายไป เขาถอนออกจากสมาธิแล้วหายใจหอบ พลังงานที่ใช้ไปทำให้เขาแทบทรุด ทุกครั้งเขาจะไม่ได้ใช้พลังหากว่าเพียงแค่เห็น แต่ครั้งใดที่เขาต้องการที่จะสื่อสาร เขาจะสูญเสียพลังงานไปอย่างรวดเร็ว

    Last Updated : 2024-12-11
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑. พระอาทิตย์สองดวง

    ป่ายางที่ครึ้มจนแสงแดดส่องลงถึงพื้นได้เพียงรำไร ด้านล่างหญ้าถูกตัดจนเตียน มองเข้ามาเห็นต้นยางเรียงรายกันเป็นระเบียบ สวยงาม เขียวขจี ทว่าลึกเข้าไป มีกองขี้เถ้ากองใหญ่ที่เหมือนจะเพิ่งถูกสายฝนชะให้มอดเชื้อลงไม่นาน ความสวยงามเมื่อครู่มลายหายสิ้น เพราะกองขี้เถ้านั้นมันคือการเผาคนโดยวิธีนั่งยาง จากรายงานที่สารวัตรหนุ่มได้รับ เขาและลูกทีมต้องมาที่นี่ เพราะคดีนี้ปิดยังไม่ได้ แม้จะผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วก็ตาม ด้วยหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ ไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าใครคือผู้ต้องสงสัย เพราะผู้ตาย ตามประวัติมีเรื่องกับเขาไปทั่ว นักเลงนั่นเอง สายสืบจากหน่วยงานสืบสวนกลางจึงได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ลงพื้นที่ ลูกทีมทั้งห้านายแยกกำลังกัน บางนายก็เดินตรวจบริเวณโดยรอบ รอยเท้า รอยรถ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พบในที่เกิดเหตุ ที่จริงคือหลักฐาน ทว่าผ่านมาเป็นสัปดาห์ขนาดนี้ รอยเหล่านั้นคงมาจากทีมสืบสวนชุดแรกที่เข้ามาเก็บหลักฐาน และฝนก็ได้ชะล้างออกหมดแล้ว สารวัตรหนุ่มหล่อ ผู้ที่ได้ฉายาว่าสายสืบผู้หยั่งรู้ เพราะไม่มีคดีไหนที่ว่ายากแล้วเขาจะสืบไม่ได้ เขาปิดได้ทุกคดี ร. ต. อ. แสงตะวัน พิริยลักษณ์ สารวัตรหนุ่มผู้มีอนาคตไกล เขาเพ

    Last Updated : 2024-12-11

Latest chapter

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๑ คดีริมบึงกลางเมือง ๓๖๗

    “อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๐ ที่เกิดเหตุ

    ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา “นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร “เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลง

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๙ ข้อตกลง

    “อ้าวผู้กอง ไปเอาผลชันสูตรถึงไหนครับเนี่ย” ทันทีที่ผู้กองคมกริชกลับเข้าไปในสำนักงาน จ่าหนุ่มก็เอ่ยแซวขึ้นทันที เพราะนี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว “พอดีไปธุระมานิดหน่อยน่ะจ่า สารวัตรครับ นี่ผลตรวจครั้งที่สองครับ” เขาวางแฟ้มไว้ต่อหน้าแสงตะวัน เขาหันมาพยักหน้า ตาเริ่มโหลลึกเพราะนอนน้อยกันทุกคน “วันนี้ผมเหมือนจะเจอเพื่อนสารวัตรด้วยนะครับ” เขาเอ่ยแล้วยิ้ม สายตาจ้องมองอยู่ ว่าแสงตะวันจะมีปฏิกริยายังไง ได้ผล เขาหันขวับทันที “ใคร เพื่อนคนไหน” เสียงนั้นห้วนจนเหมือนตวาด “เอ่อ คุณอาทิตย์น่ะครับ พอดีบังเอิญเจอที่หน้าตึก ที่แกไปทำงาน” แสงตะวันหน้าเปลี่ยนสี “รู้จักกันได้ยังไง” เขาจ้องจนบรรยากาศไม่ดี เขาเหมือนจะรู้ตัว เขาจึงลุกขึ้น “ผู้กอง คุยกันหน่อยสิ” เขาเดินออกไปทันที ผู้กองคมกริชอมยิ้มด้วยความบรรลุเป้าหมาย สองจ่านั่งมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น “ครับ สารวัตร” ผู้กองคมกริชเดินตามออกไปหน้าตึก แสงตะวันยืนปักหลักหันหลังเหมือนยักษ์ เขาหันหน้ากลับมา “คุณไปรู้จักเพื่อนผมได

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๘ จุดเชื่อมโยง

    “รอยกรีดรูปดาวนี่ มันน่าจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง ของฆาตรกรนะครับ” ผู้กองคมกริชเอ่ยขึ้น หลังจากที่หันหน้าเข้าจอ เขาพิจารณาอยู่นานจากการดูแฟ้มภาพ รายแรกอยู่ที่ข้อเท้า รายล่าสุดอยู่ที่หลังหู “รอยสักไงครับ” แสงตะวันเอ่ยขึ้น “รอยสัก เฮ้อ มันไม่ได้ตามง่ายๆเลยนะ คนเขาสักทั่วบ้านทั่วเมือง ยิ่งรูปดาว ไม่ใช่รูปที่เฉพาะเจาะจงอะไรด้วย” ผู้กองคมกริชถอนหายใจออกมา “รอยรองเท้า จากรูปนี่เป็นคอมแบตทหารเบอร์ ๑๐ ครับ ไม่ใช่ตราของกองทัพ น่าจะซื้อตามตลาดหรือไม่ก็เว็บไซต์” จ่าอินหันมารายงาน “เอาเข้าไป แต่ละอันที่เราได้มา มันคนละทิศคนละทาง เราจะหาจุดเชื่อมโยงยังไงล่ะทีนี้” แสงตะวันเอนหลังพิงพนักแรงๆ “แล้วประวัติล่ะจ่าหนุ่ม ได้หรือยัง” เขาหันไปทางจ่าหนุ่ม “ยังไม่มีความคืบหน้า จากที่ได้มาครับ เวบไซต์ของโรงเรียนไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก พรุ่งนี้ผมคงต้องไปแต่เช้า” “อย่าลืมร่างรายงานไว้ด้วยนะ รองน่าจะเรียกหาเร็วๆนี้ล่ะ” เขาทำเสียงหงุดหงิด เมื่อเอ่ยถึงผู้บังคับบัญชา “รองก็น่าจะรู้ ว่าม

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๗ คดีโคกหนองนา ๓๖๖

    จุดเกิดเหตุคือโคกหนองนา ผู้แจ้งเหตุคือเจ้าของที่ มีไทยมุง นักข่าวมุง ผู้คนมากมายออกันอยู่เต็มพื้นที่ เจ้าหน้าที่ของสภ.ต่างกันคนไม่ให้เข้า ศพเพิ่งถูกเคลื่อนย้ายไป ทีมของแสงตะวันต้องจอดรถไว้บนถนนไกลพอสมควร “นี่เขามีงานบุญกันหรือไง ไม่รู้เหรอว่ามันมีคนตาย” จ่าหนุ่มบ่นออกมา “สวัสดีครับ ผม ร.ต.อ. แสงตะวัน พิริยะลักษณ์ จากสำนักงานสืบสวนกลาง ได้รับมอบหมายให้มาดูแลคดีนี้ครับ” แสงตะวันรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ ที่ดูจากยศน่าจะสูงสุด “สวัสดีครับสารวัตร ผม ร.ต.ต. สุรวุฒิ คงมี มีหน้าที่ดูแลคดีนี้ครับ เชิญสารวัตรทางนี้ครับ” หลังจากนั้นก็เดินตามผู้หมวดเข้าไปในพื้นที่ จ่าหนุ่มและผู้กองคมกริช รายงานตัวต่อหน้าทีมที่มากับผู้หมวดอีกครั้ง “พบศพตอนเวลา ๗ น. โดยประมาณ ผู้แจ้งคือเจ้าของที่ คนไหนครับ” แสงตะวันอ่านในรายงานแล้วเงยหน้าขึ้น “ผมครับ เจ้าของที่” คุณลุงที่ยกมือขึ้น แล้วเดินเข้ามาใกล้ เขามีสีหน้าที่หวาดกลัว ท่างยังคงตื่นกลัวอยู่มาก “คุณลุง” “ภิรมย์ครับ ผมชื่อภิรมย์” เขาแนะนำตัว แสงตะวันพยักหน้า “คุณ

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๖ มืดแปดด้าน

    “มันยังมีอยู่เหรอวะ เรื่องแบบนี้” จ่าอินโพล่งขึ้นตอนที่ขับรถกลับสำนักงาน ทั้งสามคนมีสีหน้าที่เคร่งเครียด จ่าหนุ่มขับรถกลับไปคนเดียว และกำลังขับตามกันมานี่เอง “นั่นสิ ผมไม่คิดว่าผมจะตาฝาดหรอกนะ นี่มันพศ.ไหนแล้ว” ผู้กองคมกริชเอง ก็พยายามหาเหตุผลมาหักล้างกับสิ่งที่ตาเห็น “แต่เห็นพร้อมกันสี่คน ผมว่ามันไม่น่าจะเป็นอะไรที่หาเหตุผลมาหักล้างได้ง่ายๆหรอกครับ บางอย่างที่เราไม่คิดว่ามี แต่มันอาจจะมีก็ได้นี่ครับ” แสงตะวันเอ่ยออกมาเสียงเรียบ นั่นยิ่งทำให้ทั้งสองคนขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล “จ่าขอรายงานด้วยครับ ผมขอดูก่อน” พอไปถึงสำนักงาน เขาก็เดินไปที่โต๊ะของจ่าหนุ่ม แฟ้มรายงานสรุปคดีเบื้องต้น เขากวาดตาอ่านอย่างละเอียด ใช่ มันบอกได้เท่านี้จริงๆ รายงานทั้งหมด มีเพียงข้อมูลของผู้ตาย ส่วนคนร้าย มีเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น เขาเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม แล้วเดินเอาแฟ้มไปไว้ในห้องของรองผู้กำกับ “เอ๊ะ นั่นทิตย์นี่ วันนี้เลิกงานค่ำเหรอ” สามทุ่มกว่า แสงตะวันขับรถกลับห้องชุดที่ซื้อไว้ ก่อนจะถึงเขาเห็นแสงอาทิตย์ เหมือนกำลังเดินเขาจึงตีไฟแ

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๕ ตัวตนของผู้ตาย

    บ้านเช่าหลังเล็กแถวย่านอ่อนนุช ด้านในบ้านถูกตกแต่งใหม่หมด ให้มีสภาพเป็นออฟฟิศ นอกจากนทีผู้เป็นเจ้าของ และแสงอาทิตย์ที่เป็นมือหนึ่งแล้ว ยังมีมณีรุ่นพี่ของนทีอีกคน และมนฤดีเพื่อนรุ่นพี่ของมณีอีกที ทั้งออฟฟิศมีพนักงานแค่สี่คน แต่ตอนนี้กำลังจ้างพนักงานตรวจสอบบัญชีชั่วคราว จ้างเป็นวันๆไป ส่วนมากที่รับคือนักศึกษาที่เพิ่งจบ แต่ยังหางานไม่ได้ เพราะงานที่รับไว้มันเกินมือของทั้งสี่คนมาก “พี่มนกับอาทิตย์ ตรวจแผนกบัญชีนะ ส่วนผมจะดูจัดซื้อ ส่วนพี่มณีดูฝ่ายบริหาร ส่วนแผนกอื่น ให้น้องๆช่วยตรวจเอกสาร เราค่อยหอบเอามาตรวจที่นี่” นทีแจงงานในห้องประชุม มีตัวแทนของพนักงานชั่วคราวเข้าร่วมประชุมด้วย เนื่องด้วยเป็นบริษัทใหญ่ การตรวจจะต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่ทำสัญญากัน “เลิกงานแล้วไปเดินบิ๊กซีกันไหม” มณีเป็นคนชวน “ไม่เอาพี่ วันนี้ผมต้องเตรียมเอกสาร น่าจะเกือบโต้รุ่งโน่นล่ะ” นทีโอดครวญ “ไปๆ พี่จะแวะซื้อขนมปังพอดี ไปด้วยกันนะอาทิตย์” มนฤดีหันมาชวนแสงอาทิตย์ ที่กำลังเก็บของบนโต๊ะ “ได้พี่ วันนี้เลิกเร็ว กลับห้องไป

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๔ คดีบ้านร้าง ๓๖๕

    “ไม่อร่อยเหรอตะวัน ทำไมมองแต่หน้าเรา” เสียงทักของแสงอาทิตย์ทำให้เขาตื่นจากภวังค์ เขายิ้ม “อร่อยสิ คิดถึงทิตย์ล่ะ” “หือ ก็นั่งอยู่นี่ไง” แสงอาทิตย์ขมวดคิ้วแล้วยกนิ้วขึ้นขยับแว่น เวลาเขาเขินเขามักจะขยับแว่นตาแก้เขิน “เปล่า คิดถึงอดีต” แสงอาทิตย์พยักหน้า “เรื่องอะไรเหรอ” “ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน” แสงอาทิตย์ขยับแว่นหลายที บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้ “ตะวันว่างเหรอ ถึงได้คิดถึงเรื่องเก่าๆ หรือมีอะไรป่ะ” เสียงที่ถามนั้นดูไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก “ไม่มีอะไร ก็คิดถึงขึ้นมาไง แล้วงานเป็นไงบ้างช่วงนี้” แสงตะวันตักข้าวเข้าปาก สายตายังคงจับที่ใบหน้าของแสงอาทิตย์ แว่นหนานั้นเหมือนจะปิดบังดวงตากลมโตของเขา ดวงตาที่มีวงรัศมีสองชั้น ดวงตาที่พิเศษ แสงอาทิตย์รู้สึกเขิน จึงลุกเข้าไปในครัวเพื่อหยิบเอาบางอย่างแก้เขิน “มีรายงาน พบศพผู้เสียชีวิตที่บ้านร้าง ย่านมีนบุรี สภาพศพเปลือยกายและถูกพันธนาการด้วยเชือก ส่วนสาเหตุการตาย คาดว่าผู้ตายน่าจะขาดอากาศหายใจ และโดนทรมานก่อนที่จะสิ้นใจ ความคืบหน้า ทีมข่าวของเราจะติดตามต่อไปค

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๓ จับแพะ

    สุริยาเป็นคนขับรถไปส่งแสงอาทิตย์ที่บ้าน เขาไม่ยอมให้แสงตะวันเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ เพราะเขาเชื่ออย่างที่แสงอาทิตย์บอก เชื่อทุกคำ เพราะนี่มันคือตำหนิของอาชีพของเขา ไม่มีวันลืม สายสืบที่มีฝีมือฉกาจอย่างเขา แม้จะมีผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่าเป็นคนออกคำสั่ง แต่ด้วยความไม่ละเอียดของเขาเอง ผู้ต้องหาฆ่าตัวตาย และหลังจากนั้นความจริงถึงกระจ่าง ว่าเขาบริสุทธิ์ และเป็นเขาเองที่กลับไปสืบ แต่มันสายไปแล้ว มันยุติธรรมกับประสิทธิ์แล้วหรือ เขาโดนสั่งย้ายทันที หลังจากที่เขานำความจริงออกมารายงานเบื้องสูง ผู้บังคับบัญชาสายตรงได้สั่งห้ามเขาแล้ว ปล่อยให้เรื่องเงียบไปเสีย แต่เขาทำไม่ได้ “ยังไม่นอนกันอีกเหรอ” เขากลับเข้าบ้านมาค่อนข้างดึก เพราะเขาจอดรถคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่หน้าซอยเข้าบ้าน แสงเดือนและแสงตะวันยังคงนั่งรอเขา สายตาทั้งสองที่มองมา ต้องการฟังจากปากของเขา “มันเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจพ่อมาโดยตลอด ที่โดนคำสั่งย้ายมานี่ ก็เพราะเรื่องนี้ล่ะ” เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเล่าออกมา “คดีมันปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ” แสงเดือนถาม “ใช่ แต่มันไม่ถูก คนร้ายตัว

DMCA.com Protection Status