Home / LGBTQ+ / Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ) / ตอนที่ ๑๐ ที่เกิดเหตุ

Share

ตอนที่ ๑๐ ที่เกิดเหตุ

Author: Mkutkomen
last update Last Updated: 2025-01-06 12:05:45

ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา

               “นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร

               “เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลงกราบ แล้วเดินตรงไปยังกุฏิที่ชะง่อนผา

               “กราบนมัสการครับ พระอาจารย์” เขาคลานเข้าไปตั้งแต่ขึ้นบันไดไม้สองขั้น พระอาจารย์ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง เขาพนมมือรอนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ด้วยความร้อนใจ

               “เขาเป็นคนที่มีความรู้มาก มีปัญญากว่าสูสองคน มีอำนาจ มีบารมี และรู้มนต์เขมร จงตั้งมั่นในสติและสมาธิ ปัญญาของสูจะเกิด” ท่านกล่าวทั้งที่ยังคงหลับตาอยู่ แสงตะวันไม่ได้สงสัย หรือแคลงใจอะไรทั้งสิ้น เขาก้มลงกราบทันที พระอาจารย์วางหินสองก้อนลงตรงหน้า

               “สีแดงให้เจ้า สีส้มนี้ให้โยมทิตย์” หินสองก้อนมีสีต่างกันชัดเจน ก้อนที่พระอาจารย์ระบุว่าให้เขามีสีแดงเข้ม ส่วนอีกก้อนที่ให้แสงอาทิตย์สีเหลืองอมส้ม

               “ไปเถิด” ท่านกล่าว แสงตะวันจึงก้มลงกราบลา โดยไม่ได้ปริปากถามอะไร แม้ว่าเขาจะถามแต่พระอาจารย์ก็คงไม่ตอบอะไรทั้งนั้น เขารู้ดี เขาออกจากภูแล้วบึ่งรถกลับไปที่สนามบินทันที

               “เป็นไงบ้างจ่าอิน” เขาโทรกลับไปถามลูกทีม ตอนที่กำลังบ่ายหน้าไปสนามบิน

               “กำลังประชุมแผนกันครับ ตอนนี้ส่งหน่วยออกซุ่ม อยู่ตามสวน ท่านรองเป็นคนประชุมเอง” เขาพยักหน้า

               “แล้วท่านรองด่าไหม” “จะเหลือเหรอสารวัตร กลับมานี่ต้องเข้าห้องเย็นก่อนเลยนะครับ”

               “สวนในกรุงเทพมีตั้งหลายที่ เจาะจงที่ไหนเป็นพิเศษไหม” เขาถามแล้วถอนหายใจยาว เมื่อคิดว่าจะโดนอะไรบ้างเมื่อกลับไปถึง

               “สวนลุม สวนเบญฯ สวนจตุจักร ที่ท่านรองกำชับเป็นพิเศษครับ สารวัตร” เขาวางสายแล้วไปถึงสนามบินก่อนเวลาหลายชั่วโมง อยากจะโทรหาแสงอาทิตย์ แต่ก็กลัวว่าจะไปรบกวนการทำงานของเขา เขาจึงส่งข้อความไปในไลน์ แล้วส่งรูปก้อนหินที่พระอาจารย์ให้มาแนบไปด้วย

               “จะกลับแล้วเหรอ พระอาจารย์ว่าไงบ้าง” แสงอาทิตย์ส่งข้อความกลับมา

               “ท่านบอกว่า คนร้ายมีความรู้มากกว่าพวกเราอีก รู้มนต์เขมรด้วย อย่างที่อาทิตย์บอกล่ะ ท่านกำชับให้มีสติ” เขาตอบไป แสงอาทิตย์ส่งสติ๊กเกอร์กลับมา เพราะเขาเองก็กำลังเร่งตรวจงานอยู่ แต่พอแสงอาทิตย์ก้มหน้าลง ก็สื่อจิตถึงพระอาจารย์ เขานิ่งไปม่านตาขยาย

               “ตะวัน โทรมา” ม่านตาของเขากลับมาเป็นปกติ เขาจึงรีบพิมพ์ข้อความไปในไลน์

               “ทิตย์” “ตะวัน ลุงเฉลิม อยู่นนทบุรี ถอนตะปูได้ รีบไป ถอนทั้งสองที่นะ ตะวันอย่าให้คนปกติที่ไม่รู้มนต์จับ ตะวันต้องไปเอง” แสงอาทิตย์รีบพูดออกมายาวเหยียด แทบไม่หายใจ

               “ลุงเฉลิม นนทบุรี ที่ไหนล่ะทิตย์” แสงตะวันถามออกมาเพราะมันกว้างมาก

               “ปากเกร็ด วัดริมน้ำ ลุงเขารออยู่ที่นั่น ตะวันรีบไปนะ ไปเลย อย่ารอ” แสงอาทิตย์อ้อนวอน ด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรน พอวางสายจากแสงอาทิตย์แสงตะวันก็กระวนกระวาย เพราะต้องรอเครื่องออก

               “ผู้กอง อยู่ไหนครับตอนนี้” เขาโทรศัพท์หาผู้กองคมกริชทันที

               “ห้องประชุมครับ สารวัตรอยู่ไหนครับ ทำไมไม่รีบมา”

               “อย่าเพิ่งถาม ผู้กองออกมาจากห้องก่อน มีเรื่องด่วน” เขาเร่ง ผู้กองคมกริชลุกออกจากห้องทันที

               “ครับ” “ไปที่ปากเกร็ด หาวัดริมน้ำ ลุงเฉลิมจะรออยู่” เขาบอกตามที่แสงอาทิตย์บอก

               “เอ่อ ใครครับ แล้ววัดไหน มีชื่อไหม วัดไม่ใช่น้อยๆนะครับ”

               “ผมก็รู้แค่นี้ ผู้กองรีบไป เพราะลุงเฉลิม จะเป็นคนถอนตะปูให้” พอแสงตะวันเอ่ยออกมา ผู้กองคมกริชก็ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เขารีบบึ่งออกมาจากสำนักงานทันที

               “วัดที่สามแล้วนะ” เขาบ่น เพราะเดินทั่วทั้งวัด ก็ไม่เจอใครที่อ้างตัวว่าเป็นลุงที่ชื่อเฉลิมเลยสักคน เขาเดินด้วยความรีบไปที่ท่าน้ำ มีชายชราคนหนึ่งยืนนิ่งมองผิวน้ำอยู่

               “มาแล้วหรือ คุณตำรวจ” ชายชราเอ่ยทัก พลันผู้กองคมกริชก็ขนลุกไปทั้งร่าง ผู้คงอาคมนี่ เขามีรังสีบางอย่างแผ่ออกมาอย่างนี้ทุกคนไหม เขาถามตัวเองในใจ

               “เอ่อ สวัสดีครับ ลุง ลุงชื่อเฉลิมใช่ไหมครับ” เขาถามออกมา

               “รีบไปเถอะครับ ลุงนี่ล่ะเฉลิม คุณตำรวจช่วยถือของให้หน่อยนะครับ ผมไม่มีลูกศิษย์” ลุงเฉลิมพูดแล้วเดินนำออกจากท่าน้ำทันที เขาเดินตรงไปที่รถของผู้กองคมกริชที่จอดไว้นอกวัด ผู้กองคมกริชเสียอีกที่คิดว่ารูปร่างของเขา ความหนุ่มแน่นในวัยเช่นนี้ ทำไมถึงเดินตามลุงเฉลิมไม่ทัน ข้าวของที่หอบมา ก็พะรุงพะรังเหลือทน ถึงรถได้ก็ต้องรีบไปเปิดรถให้ลุงเฉลิมแกเข้าไปนั่ง

               “ไปที่มีนบุรีก่อนนะคุณตำรวจ วิญญาณตนนั้นกำลังจะหมดพลัง” ลุงเฉลิมเอ่ยเหมือนสั่ง ผู้กองคมกริชพยักหน้า แล้วบึ่งรถไปตามที่แกสั่งทันที

               “ใครเป็นคนติดต่อลุงเหรอครับ สารวัตรเหรอครับ” เขาหันมาถาม

               “พระอาจารย์” ลุงเฉลิมตอบแค่เพียงเท่านั้น แล้วเหมือนเพ่งมองไปด้านหน้านิ่ง จนผู้กองคมกริชไม่กล้าถามอะไรอีก จนรถมาจอดที่เดิมที่เขาเคยจอดตอนพาแสงอาทิตย์มา

               “จะเข้าไปไหมคุณตำรวจ กลัวก็รออยู่นี่” ลุงเฉลิมเอ่ย เป็นครั้งแรกที่ผู้กองคมกริชรู้สึกว่าเขาถูกปรามาส ศักดิ์ศรีของเขา ไม่ใช่ใครที่ไหนจะมากล่าวหาเช่นนี้ได้

               “ผมไม่กลัวครับ เคยเข้าไปแล้ว” เขารีบตอบขึ้นทันที ลุงเฉลิมพยักหน้าน้อยๆ

               “เดี๋ยว เดินตามหลัง เท่านั้น” ลุงเฉลิมยกมือขึ้นห้าม เพราะผู้กองคมกริชจะเดินนำ เขาหยุดกึก เสียงลมจากที่นิ่งอยู่ พัดหวือขึ้นทันที และมันพัดอยู่แค่ตรงบริเวณของตึกที่เกิดเหตุ เขาถอยลงมายืนด้านหลังของลุงเฉลิม

               “ของแรง ของเขมร” ลุงเฉลิมเอ่ยขึ้นแล้วหลับตา แกว่าอะไรพึมพำก่อนจะยกเท้าขึ้นกระทืบพื้นดินสามที ลมนิ่งสงบทันที ผู้กองคมกริชรู้สึกทึ่ง

               “มันตรึงวิญญาณไว้ที่กำแพง ทำพิธีกำกับ ตะปูนี่ ถอนแล้วต้องเอาไปทำพิธีอีก มันถึงจะปลดปล่อยได้” ลุงเฉลิมเล่า เขาเดินนำขึ้นไปบนตึก บรรยากาศยามก่อนเที่ยง จากที่แดดจ้ากลับมืดสนิทลง ผู้กองคมกริชหันซ้ายขวา เริ่มวิตก

               “ฮึฮึๆๆ” เสียงหัวเราะกึ่งคำรามดังสะท้อนก้องตึก ไม่ทราบทิศที่แน่นอน เสียงต่ำห้วนและหนาใหญ่ เกินกว่าจะเป็นเสียงของคนปกติ

               “หลีกทางกู ไม่งั้นอย่าหาว่ากูไม่ปรานี” ลุงเฉลิมเอ่ยขึ้นเสียงดัง

               “ฮ่าๆๆๆ” มีแต่เพียงเสียงหัวเราะ

               “เฮ้ย” ผู้กองคมกริชตะโกนลั่นด้วยความตกใจ เพราะอยู่ๆก็มีเหมือนควัน หรือก้อนอะไรบางอย่างสีดำเทา กลิ้งหลุนๆมาจากทางกำแพง แต่ลุงเฉลิมยืนมองนิ่ง ด้วยสายตาที่เหมือนนิลกาลนิ่งสนิท เขาล้วงมือเข้าไปในย่ามที่สะพายมา ส่วนของที่จะใช้ในพิธี ผู้กองคมกริชเป็นคนถือ เขากำเหมือนทรายหรือเศษดินสักอย่างหว่านไป

               “โฮกกกก” เสียงคำรามดังก้อง พลันก้อนนั้นก็สลายไป

               “เก่งนะ แต่ยังไม่สุด เขาสอนมันไม่หมด” ลุงเฉลิมเอ่ยออกมา แววตาเยาะน้อยๆ

               “ตรงนี้ล่ะ วางของลง” ลุงเฉลิมสั่ง ผู้กองคมกริชรู้สึกร้อนๆหนาวๆ แต่ก็ทำตามไม่ปริปากอะไร ของมีพานดอกไม้ธูปเทียน ขันใส่น้ำที่แกกรอกมา ดิน ค้อนตอกตะปู สายสิญจน์

               “อยู่ข้างหลังลุงนะ เห็นอะไร ได้ยินอะไร ห้ามขาน ห้ามทัก” ลุงเฉลิมพูดเสียงกร้าวโดยที่ไม่หันมา

               “ครับลุง” เขาเริ่มตัวสั่น หันมองไปรอบข้าง ตอนนี้ฟ้ามืดเหมือนเวลากลางคืน เขาสะดุ้งเพราะไม่ทันได้สังเกต ลมพัดด้านนอกตึกรุนแรงประหนึ่งจะโค่นเอาต้นไม้ที่รายรอบอยู่ ลงเสียให้ได้ในชั่วโมงนี้ แต่แปลกที่เปลวเทียนที่จุดหน้าลุงเฉลิมไม่ไหวติง

               “กูไม่ไป” เสียงตวาดดัง จนผู้กองคมกริชผวา เสียงเข้มหนา สะท้อนมาจากรอบสารทิศ

               “ไป กูบอกให้มึงไป มาจากไหนมึงกลับไปที่นั่น ถ้ามึงไม่ไป อย่าหาว่ากูใจร้าย” ลุงเฉลิมตวาดกลับไปเสียงดังเช่นกัน

               “ผู้กอง ทำอะไรอยู่ มามัวงมงายอะไรอยู่ตรงนี้ ภารกิจที่สั่ง ทำหรือยัง” เสียงตวาดมาจากด้านหลัง เขาหันไปมองทันที ท่านรอง เขาเกือบจะครางออกมา ภาพนั้นคือท่านรองไม่มีผิดเพี้ยน เขายืนหน้าถมึงทึงอยู่

               “อื้อ” เสียงกระแอมในคอของคนที่นั่งอยู่ข้างหน้า ทำให้เขาได้สติ รีบหันกลับมา

               “โอ้ยยย อย่าทำกู กูไปแล้ว” ลุงเฉลิมวาดอักขระลงบนดินที่วางอยู่บนพาน ยกเอาเทียนมาเป็นปากกาวาด พอเสร็จแกก็ลุกขึ้นเดินดุ่มไปตรงกำแพงที่ตอกตะปู แกเอามือกำเอาดินแล้วโปะลงทันที เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดโหยหวน ผู้กองคมกริชก้มหน้าลงต่ำ เพราะเสียงตวาดด่าทอของท่านรองยังคงดังมาจากด้านหลัง

               “ได้เรื่องไหมผู้กอง” เขาสะดุ้งเฮือก เพราะมันคือเสียงของสารวัตรแสงตะวัน เขาหันไปมองทั้งที่ยังคงก้มอยู่ สารวัตรแสงตะวันยืนเด่น แววตาเครียด เสียงนั้นคือเสียงของเขาแน่นอน

               “เอ่อ สา” เขากำลังจะขานตอบ แต่เหมือนคิดอะไรได้ ผู้กองเพิ่งจะโทรสั่ง บอกว่าจะไปหาพระอาจารย์ที่อำนาจเจริญ ไม่ใช่แล้ว เขาจึงคลานเข้าไปใกล้ของในพิธีที่วางอยู่ เหลือแต่ขันน้ำ เอาไงดี เขาคิด

               “เอาแม่งดินแถวนี้ล่ะ” เขาคิดขึ้นมาได้ ก็กอบเอาดินฝุ่นที่พื้นขึ้นมา ได้กำหนึ่งแล้วยกมือขึ้นพนม เอาน้ำในขันมาเทใส่นิดหน่อยพอให้มันหนืด เขาหันกลับไปปาดินนั้น ใส่ทั้งท่านรองและสารวัตรทันที

               “โฮกก” ร่างทั้งสองสลายไปทันทีพร้อมกับเสียงคำราม ลุงเฉลิมหันมาดู แกพยักหน้าน้อยๆ แล้วแกก็หันกลับไปว่าคาถาเสียงดัง บรรยากาศที่ตึงเครียดมันดูขลัง จนประสาทของผู้กองคมกริชขมวดเป็นเกลียว ที่เคยบอกว่าผ่านอะไรมากนักต่อนัก มันคนละอย่างกับสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้อย่างสิ้นเชิง

               “เอาค้อนมา” เสียงของลุงเฉลิมตะโกนมา ผู้กองคมกริชจึงได้สติรีบเงยหน้าขึ้นจากที่หมอบอยู่ เขารีบหยิบค้อน แล้ววิ่งไปหาลุงเฉลิมทันที แกฉวยได้ค้อนก็เป่าคาถาใส่

               “น้ำมนต์มา” เขาไม่รีรอรีบวิ่งกลับไป แล้วคว้าขันน้ำมนต์มาถือไว้ ลุงเฉลิมยกเอาขันน้ำมนต์ขึ้นว่าคาถา พอจบก็ยกขึ้นใส่ปากแกพ่นน้ำมนต์ออกไปเป็นสายใส่บริเวณที่ตอกตะปูตรึงไว้

               “โอ้ยยยยย” เสียงกรีดร้องที่โหยหวนดังอยู่ทั่วบริเวณ แล้วมันค่อยๆแว่วหายออกไป พลันจากที่ฟ้ามืดเช่นเวลากลางคืน ก็สว่างจ้าเป็นเวลาเท่าที่มันควรจะเป็น

               “คุณตำรวจ มาถอนออกได้เลย แต่อย่าจับนะ มันยังเหลืออาถรรพ์อยู่” ลุงเฉลิมหันมาบอก ผู้กองก็พยักหน้ารับ แล้วเดินเข้าไปเอาค้อนดึงตะปูออกมา ตะปู ๕ นิ้วที่มีสนิมเกรอะกรัง ถูกถอนออกมา ทั้งหมดสามดอก ลุงเฉลิมเอาผ้าขาวที่ลงอักขระมารองแล้วห่อกลับ

               “ตะปูตอกฝาโลง” แกเอ่ยขึ้น เหมือนรู้ว่าผู้กองคมกริชจะถามอะไร ผู้กองคมกริชสีหน้าตื่นเมื่อรู้

               “คุณตำรวจ มากรวดน้ำให้วิญญาณดวงนี้หน่อย เขาไม่มีพลังเหลือแล้ว” ลุงเฉลิมบอกแล้วยื่นขันน้ำให้

               “ตั้งจิตดีๆนะ แผ่เมตตาให้เขา บุญกุศลใดที่คุณตำรวจเคยทำมา จากการช่วยเหลือคนตามหน้าที่ หรืออะไรก็แล้วแต่ แผ่ให้เขาได้” ลุงเฉลิมบอกแล้วแกก็สวดคาถากรวดน้ำ มีลมพัดมาวูบหนึ่งเย็นเยียบ

               “รีบไปเถอะ อีกที่ก็หนักเหมือนกัน มันใช้ผีคนละตัว” ลุงเฉลิมบอก ผู้กองจึงรีบลุก

               “แล้วของ พอเหรอครับ” เขาถามเพราะของที่เตรียมมาถูกใช้ไปหมดแล้ว

               “ไม่ต้องห่วง รีบเถอะ” เสียงนั้นนิ่งจนเขาเองนึกขนลุก แววตานั้นที่นิ่งกว่าเสียงมันยิ่งน่าเกรงขาม ท่าทางของแกเย็นเหมือนน้ำแข็ง เดินเหินเบา สายตาแน่นิ่ง ผู้กองคมกริชรีบเดินตามออกจากพื้นที่

               “ตะปูที่ถอน ปลดปล่อยได้ส่วนหนึ่งเท่านั้น” พอผู้กองคมกริชเหยียบคันเร่งออกจากที่เกิดเหตุ ลุงเฉลิมก็เอ่ยออกมา

               “หมายความว่ายังไงครับ ไหนลุงบอกว่า ปลดปล่อยเขาแล้วนี่ครับ” เขาหันขวับ ตาเบิกขึ้น

               “ใช่ แต่แค่ส่วนหนึ่ง ที่เหลือมันเอาไปทำพิธี มันถึงได้ตัดชิ้นส่วนไป”

               “ตัดชิ้นส่วน เส้นผมน่ะเหรอครับ” เขาหันมาถาม

               “มันไม่ได้มีแค่นั้นหรอกนะ ที่มันเอาไป” แววตาของลุงเฉลิมมองไปเบื้องหน้านิ่งดุจหิน

               “เอ่อ มันเอาอะไรไปอีกครับ” เขาถามออกมาด้วยความประหม่า ทำไมในรายงานมันระบุว่ามีเพียงเส้นผม กับรอยกรีดรูปดาวเท่านั้นล่ะ

               “ผิวหนัง แล้วก็ต่อมลูกหมาก” “หา ต่อมลูกหมาก” เขาอุทานออกมาเสียงดัง ลุงเฉลิมยังคงนิ่งอยู่ เขาถอนหายใจออกมาน้อยๆ

               “อืม มันจะเอาไปทำของ” “ลุงรู้ไหมครับ ว่ามันเป็นใคร วิปริตมาก” เขาสบถออกมา

               “ลุงเห็นแค่นี้ล่ะ คนที่สื่อสารได้ มีอยู่แล้วนี่ ลุงแค่สัมผัสได้เท่านั้น” แกตอบเสียงนิ่งเหมือนเคย

               “เอ่อ ลุงหมายถึง คุณอาทิตย์เหรอครับ” เขาถามออกมาเสียงเบา ลุงเฉลิมไม่ตอบ แต่มันยืนยันคำถามของเขาด้วยการหลับตาลงของแก ไม่ผิดแน่ เพราะเขาพอจะรู้ ว่าคนที่มีความสามารถพิเศษ คือแสงอาทิตย์ สารวัตรเป็นเพื่อนกับแสงอาทิตย์ เขาอาจจะวานให้แสงอาทิตย์ช่วยสื่อสารกับสิ่งที่มองไม่เห็น ถึงว่า สารวัตรชอบคุยโทรศัพท์ เวลามีงานสำคัญหรือในสถานการณ์ที่ตึงเครียด แปลก ทำไมคนหน้าตาเนิร์ดอย่างนั้น ถึงมีความสามารถพิเศษ แววตาที่เหมือนมีตาดำสองวง ซ้อนกันอยู่นั่นก็น่าสนใจมาก คือถ้าเจอกันข้างนอก เขาไม่ได้น่าสนใจอะไรเลย แต่พอได้รู้จักวันนั้น ทำไมภาพใบหน้าของชายแว่นหนาคนนั้น ถึงยังวนเวียนอยู่ในหัวของเขานะ ไม่ไม่ ไม่ได้ เขาไม่ชอบเพศเดียวกัน เกลียด

               “เป็นไปไม่ได้หรอก เขามีของเขาอยู่แล้ว ใครก็แยกจากกันไม่ได้” อยู่ๆลุงเฉลิมก็เอ่ยขึ้น ผู้กองคมกริชถึงกับสะดุ้ง

               “ลุงว่าอะไรนะครับ” แกไม่ตอบหลับอยู่เหมือนเคย ผู้กองคมกริชได้แต่เกาหัว อย่าบอกนะว่าอีตาลุงนี่อ่านใจ อ่านความคิดของคนอื่นได้ น่ากลัวเป็นบ้า ผ่านไปชั่วโมงกว่าเขาก็พาลุงเฉลิมมาที่โคกหนองนา บ่ายแก่มากแล้ว เจ้าของไม่กล้าที่จะมานาในช่วงนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นที่กั้นห้ามคนเข้าก็ยังไม่มารื้อออก สภาพทุกอย่างยังคงไม่ถูกเคลื่อนย้าย รอยเลือดนั่นอีก ไม่ว่าใครก็ต้องผวา แต่ผู้กองคมกริชได้โทรนัดให้ลุงภิรมย์ เจ้าของที่มารอ และได้เตรียมของที่ลุงเฉลิมต้องการใช้มาด้วย

               “อืม แรงเอาเรื่อง” พอแต่ขาเหยียบลงบนดิน ลุงเฉลิมก็เอ่ยออกมา ทั้งลุงภิรมย์และหลานทั้งสองคน รวมถึงผู้กองคมกริช ต่างหน้าซีดกันเป็นแถบ

               “ผีพราย ตัวนี้เป็นผู้หญิง” ลุงเฉลิมพูดเรื่อยๆ เหมือนไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร แต่ทั้งสี่คนที่เดินถือของตามแกมาเหงื่อเริ่มผุด ความรู้สึกในตัวมันเย็นทั้งที่แดดเปรี้ยงร้อนนะอุ

               “กลางคืนไม่มีใครผ่านไปผ่านมาได้เลยครับ หมอ” ลุงภิรมย์เล่าทันที

               “ผมไม่ใช่หมอผี เรียกลุงเถอะ” แกเสียงเข้มขึ้น เหมือนไม่พอใจที่โดนเรียกว่าเป็นหมอผี ทั้งสี่คนมองหน้ากัน รีบขอโทษแกทันที

               “ไม่แปลกหรอก วิญญาณที่ออกมารบกวนอาละวาด คือผีพรายตัวนี้ล่ะ ส่วนวิญญาณที่ถูกตรึงไว้จะส่งแค่เสียง เสียงโหยหวนนั่นล่ะ เขาอาฆาตมากนะ วิญญาณตนนี้” ทั้งสี่คนด้านหลังเบียดตัวเข้าหากันทันที มองซ้ายขวาหน้าหลังอย่างหวาดระแวง

               “ตรงนี้ล่ะ ช่วยยกรื้อแคร่ออกด้วย” ลุงเฉลิมเดินมาหยุดอยู่ที่หน้ากระท่อม

               “ไปเอาค้อนกับชะแลงมา” ลุงภิรมย์หันไปสั่งหลานชายทั้งสอง ระหว่างนั้นลุงเฉลิม ก็ขอขันน้ำมนต์ แกเทน้ำใส่แล้วว่าคาถา ให้ผู้กองไปหักเอากิ่งไม้มากำหนึ่ง แล้วแกก็พรมน้ำมนต์นั่นรอบกระท่อมก่อน เสียงลมหวีดหวิวจากที่ร้อนระอุ กลับเย็นเหมือนลมของหน้าหนาว หลังคากระท่อมลั่นเหมือนมันจะหลุดออกจากตะปูที่ยึดไว้

               “เอามานี่ก่อน” ลุงเฉลิมยกมือห้ามหนุ่มน้อยสองคน ที่ถือค้อนกับชะแลงมาเพื่องัดพื้นแคร่ แกเอามาจับไว้แล้วว่าคาถาก่อนจะส่งคืนให้

               “กรี๊ดดดด” ทันทีที่พื้นกระดานถูกงัด เสียงกรีดร้องก็ดังระงมรอบทิศ สองหนุ่มน้อยชะงักมือ ลุงเฉลิมพยักหน้าให้ทำต่อ ผู้กองเห็นว่าช้าจึงเข้าไปแย่งชะแลงมาแล้วงัดเอง

               “ไป ออกไป อย่ามายุ่งกับกู” เสียงตวาดลั่น ทั้งสี่คนสะดุ้ง

               “มึงสิไป ที่นี่ไม่ใช่ที่ของมึง จะไปดีๆไหม หรือให้กูส่งไปเหมือนตัวที่แล้ว” ลุงเฉลิมนั่งลงกับพื้น วางของทันที พองัดกระดานเสร็จทั้งสี่คนก็มานั่งด้านหลังของลุงเฉลิม

               “เห็นอะไร ได้ยินอะไร อย่าทัก อย่าขานเด็ดขาดนะลุง ไอ้น้อง” ผู้กองคมกริชเป็นคนกำชับ ทั้งสามคนหยักหน้าแล้วก้มหน้างุดทันที

               “ฮ่าๆ มึงจะเก่งสักแค่ไหนกันเชียว” เสียงหัวเราะที่มากับลมเหมือนเคลื่อนวิทยุที่ไม่ตรงสถานี มันขาดๆหายๆ ลุงเฉลิมยังคงนิ่ง ปากก็พึมพำว่าคาถาต่อ ไม่นานก็ทำพิธีเสร็จ ผู้กองคมกริชเป็นคนถอนตะปูเช่นเคย

               “ขุดดู” ลุงเฉลิมบอก ลุงภิรมย์จึงพยักหน้าให้หลานชาย วิ่งกลับไปเอาเสียมมา ทั้งสองเกี่ยงกันแต่ก็ต้องยอมวิ่งไปด้วยกัน ผู้กองคมกริชเป็นคนขุดเช่นเคย ใต้หลุมที่ตรึงตะปูนั้นคือห่อผ้าสีแดงคล้ำ กลิ่นเหม็นตลบ ทุกคนเบือนหน้าหนียกเว้นแต่ลุงเฉลิม

               “ไม่ต้องเปิด เอามานี่” ลุงเฉลิมรีบบอก เพราะเหมือนว่าผู้กองกำลังจะเปิด

                “เถ้าผีพราย ทาด้วยเลือดคนตาย” ลุงเฉลิมเอ่ยออกมา

               “ให้ผมกลับไปส่งที่วัดนะครับลุง” พอทุกอย่างเสร็จสิ้น ในเวลาเกือบพลบค่ำ ผู้กองคมกริชก็อาสาจะไปส่งลุงเฉลิมกลับที่เดิม

               “ไม่เป็นไร คุณตำรวจรีบกลับไปเถอะ บอกสารวัตรตะวันด้วยล่ะ ว่าถึงแม้จะถอนตะปูได้ แต่วิญญาณยังไม่ได้รับการปลดปล่อยทั้งหมด ส่วนหนึ่ง มันเอาไปทำพิธีแล้ว ลุงช่วยได้แค่นี้ ไอ้หนูนั่นก็คงเหมือนกัน” ลุงเฉลิมคงหมายถึงแสงอาทิตย์

               “แล้วลุงจะกลับยังไงครับ เดี๋ยวผมจะบอกสารวัตร ตามที่ลุงบอก” เขาเป็นห่วงขึ้นมาเพราะระยะทางมันไกลกัน

               “อย่าห่วง รีบไปเถอะ คืนนี้ ถ้าทัน มันจะตรึงตะปูไม่สำเร็จ” สิ่งที่ลุงเฉลิมพูดทำให้ผู้กองคมกริชหันขวับ

               “หมายถึงอะไรครับลุง มันจะมีคนตายคืนนี้เหรอครับ” เขาถามด้วยเสียงที่ตื่นๆ

               “ลุงบอกอะไรไม่ได้หรอกนะ ทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ ไปล่ะ” พูดจบ แกก็ลงจากรถเดินหันหลังทันที ผู้กองคมกริชดับเครื่องแล้วมัวแต่ปลดเข็มขัด พอลงรถมาทั้งท้องถนนเส้นเล็กๆ ที่ออกมาจากโคกหนองนา ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตใดๆ เขาขยี้ตาแล้วหันซ้ายหันขวา ไม่แน่ใจอีกวิ่งออกไปดูรอบๆ จนมั่นใจว่าลุงเฉลิมแกไม่ได้เป็นลมล้มพับไป ไม่มีร่องรอย ผู้กองคมกริชรีบกลับขึ้นมาบนรถ ด้วยชนที่ลุกชูชันทั่วสรรพางค์กาย

Related chapters

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๑ คดีริมบึงกลางเมือง ๓๖๗

    “อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย

    Last Updated : 2025-01-06
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๒ ถอนตะปู

    “วันนี้รองลางาน แปลก ปกติไม่เคยลา แกบอกไม่สบาย” พอมาถึงที่สำนักงาน จ่าอินก็รีบรายงานทันที แสงตะวันขมวดคิ้ว “แกเป็นอะไร” “เหมือนจะหวัดครับ เพราะแกไม่เคยลงพื้นที่ เมื่อคืนก็ไปเฝ้าตั้งแต่หัววัน คงโดนน้ำค้าง” น้ำค้าง? แสงตะวันนึกขัน ตำรวจอะไรจะไม่ถูกกับน้ำค้าง นี่แสดงว่าเรียนมาเพื่อเซ็นเอกสารอย่างเดียวเลยสินะ เขานึกปรามาสอยู่ในใจ เพราะเขาเองกว่าจะมาอยู่จุดนี้ได้ บุกป่าฝ่าดงก็ไปมาหมดแล้ว อดข้าวสามวัน อดนอนเป็นอาทิตย์ การฝึกก็โหด แค่น้ำค้างเนี่ยนะ ต่อให้เป็นฝนตกเขาก็ไม่เป็นอะไร “โล่งไปนะครับ สารวัตร” จ่าหนุ่มยิ้มแห้งๆ “ไม่โล่งหรอกพี่จ่า แสดงว่าเรายังพอมีเวลา มีอะไรคืบหน้าไหม ที่โรงเรียน” เขาถาม และมองหาผู้กองคมกริช “ผู้กองไปเบิกผลตรวจของที่เจอเมื่อวานครับ” จ่าอินเหมือนจะรู้ใจ เขาพยักหน้า “มีกลุ่มของนักกีฬาโรงเรียนครับ และสารวัตรครับ ผมว่าเราน่าจะเจออะไรบางอย่างแล้วครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยสายตาที่วาวระยับ “หือว่ามาจ่า” เขาเองก็ตื่นเต้น รีบนั่งลงที่โต๊ะหันหน้าเข้าหา “นักกีฬาฟุตบอลโรงเรียน และทั้งสามคนที่ตายคือสมาชิก ใน

    Last Updated : 2025-01-21
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๓ ฐานปฏิบัติการลับ

    แสงอาทิตย์กำลังปิดรายงาน เพื่อส่งให้นทีรีวิว ก่อนที่จะส่งมอบให้ลูกค้า เหลือรายงานสรุปที่ต้องส่งทีหลัง เขารู้สึกโล่งมาก เพราะตรวจบัญชีหนักหน่วงมาทั้งอาทิตย์ เวลาพักผ่อนแทบจะไม่มี ซ้ำช่วงนี้ยังมีเรื่อง มีวิญญาณที่ขอความช่วยเหลือ ยิ่งถอนตะปูตรึงวิญญาณได้แล้ว เหมือนว่าวิญญาณทั้งสามจะปรากฏร่างให้แสงอาทิตย์เห็นบ่อยขึ้น “วันนี้เลิกเร็ว รีบกลับไปพักเถอะทุกคน เราค่อยนัดเลี้ยงกันพรุ่งนี้ วันนี้ทุกคนน่าจะไม่ไหว ขอบใจมากนะเด็กๆ พรุ่งนี้มีกินเลี้ยงกันนะ เดี๋ยวพี่แจ้งชื่อร้านและเวลาไปอีกที มาให้ได้กันทุกคนนะ” นทีบอกพนักงานที่จ้างมาชั่วคราว พอแยกย้ายกันกลับ เหลือแต่พนักงานประจำที่กำลังเก็บของ “กลับไปถึงบ้าน พี่จะกระโดดขึ้นเตียง แล้วนอนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ปวดเมื่อยมาก” มนฤดีบ่นอุบ “ไปนวดไหมพี่มน นี่ก็ไม่ไหว นั่งจ้องเอกสารทั้งวัน ปวดตามาก” มณีเอ่ยชวน “เออ ดีเหมือนกัน อ่อนนุชเหมือนเดิมเหรอ” “มีร้านเปิดใหม่ ก็ใกล้ร้านเดิมที่เราเคยไปล่ะเจ๊ ไปด้วยกันไหม นที อาทิตย์” มณีหันมาชวนหนุ่มโสดทั้งสองคน “วันนี้ผมขอตัวครับ ผมรู้สึกมึนๆยังไม่หาย อยากกลับไปนอน” แสงอาท

    Last Updated : 2025-01-21
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๔ คดีโรงหนังร้าง ๓๖๘

    ตลอดทั้งคืนไม่มีใครกลับบ้าน ต่างพากันประชุมกันอยู่ที่ห้องรับแขก แสงตะวันเข้าไปนอนในห้องกับแสงอาทิตย์ เขาสละห้องนอนส่วนตัว ให้ผู้กองกับจ่าอิน ส่วนจ่าหนุ่มนอนอยู่ที่โซฟา “เวลาไม่ได้ทำคดีแล้ว บางทีมันก็สบายอย่างนี้สินะ” แสงตะวันเอ่ยขึ้นหลังจากตื่นนอน แสงอาทิตย์ลุกไปนานเป็นชั่วโมงแล้ว “อ้าว ตื่นไวจังจ่า เป็นไง นอนหลับไหม” เขาทักจ่าหนุ่มที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ที่โซฟา “ตื่นสักพักล่ะครับ คุณอาทิตย์สิครับ ตื่นก่อนใคร มาต้มกาแฟให้แต่เช้า ตอนนี้ยังไปทำอาหารเช้าให้ด้วยครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยอย่างอารมณ์ดี แสงตะวันเดินไปเทกาแฟใส่แก้ว แล้วเดินเข้าไปในครัวขนาดเล็ก แสงอาทิตย์กำลังง่วนอยู่ กับการปิ้งขนมปังและทอดไข่ดาว “ทำไรทิตย์” เขาพิงเคาท์เตอร์แล้วเอ่ยถาม “ปิ้งขนมปัง พี่จ่าเขากินกาแฟหมดยัง ตะวันเอาออกไปให้เขาหน่อยสิ เดี๋ยวเรากำลังทอดไข่ดาว” แสงอาทิตย์ไม่ได้หันมามอง เขากำลังจดจ้องอยู่ที่การทอดไข่ดาวแบบไร้น้ำมันอยู่ “ขอโทษนะทิตย์ ที่ต้องทำให้ทิตย์ต้องตื่นมาวุ่นวายแบบนี้ เราคิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะไปหาที่ประชุมลับที่ไหนดี นอกจากห้องของเรา” เขาเอ่ยเสียงท

    Last Updated : 2025-01-21
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๕ ผู้กองคมกริช

    “เมื่อไหร่จะจับตัวคนร้ายได้สักทีวะ แม่งไอ้พวกวิปริตพวกนี้ เวลามันรัก มันรักฝังใจ เวลามันแค้น ดูเอาเถอะ ฆ่าไม่บันยะบันยัง รกโลก” ผู้กองคมกริชสบถออกมาระหว่างทาง จ่าหนุ่มที่เป็นพลขับหันกลับทันที “เอ่อ ผู้กอง ทำไมถึงมีอคติกับคนพวกนี้จังล่ะครับ มีอะไรไหม” จ่าหนุ่มถามออกมา เหมือนจะแซวเพราะน้ำเสียงไม่จริงจังนัก “บ้าเหรอจ่า ผมนี่นะจะไปมีอะไร ชีวิตนี้ไม่อยากย่างกรายคนพวกนี้หรอก ไม่ชอบส่วนตัวน่ะ” เขารีบตอบออกมาด้วยเสียงที่ดัง จ่าหนุ่มได้แต่ขมวดคิ้ว ผู้กองคมกริชหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถ หวนคิดไปถึงวันวาน ที่เขาเกลียดคนจำพวกนี้เข้าไส้แบบนี้ “แบมว่าไปติวก็ดีนะ กริช เขาการันตีไม่ใช่เหรอ ว่าที่นี่คนที่ติวส่วนมากสอบได้” เด็กสาวในวัยมัธยม กำลังเกาะแขนเด็กหนุ่ม ที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน ทั้งสองกำลังยืนอยู่หน้าสถาบันติว “ก็ได้ ลองดู พี่ทิวก็ติวจากที่นี่ ตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่” ความใฝ่ฝันของเด็กหนุ่ม คือการสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย เขาสอบเมื่อปีที่แล้วแต่ภาคปฏิบัติเขาไม่ผ่าน เขากลับมามุมานะออกกำลัง เล่นกีฬาอย่างหนัก จนรูปร่างของเด็กหนุ่มกำยำขึ้น “ถ้า

    Last Updated : 2025-01-21
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๖ ท้าทาย

    “จ่าไปซื้อเหล้ามาหน่อยสิครับ” พอถึงห้อง แสงตะวันก็ควักเงินออกมายื่นให้จ่าอิน เขาทำหน้าตาตื่น นานทีปีหนถึงจะเห็นแสงตะวันดื่มเหล้า และนี่มันเพิ่งจะบ่ายกว่าๆเอง “เอ่อ เอาแต่หัววันเลยเหรอครับ สารวัตร” จ่าอินยื่นมือไปรับเงินมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ไม่ใช่ผมหรอกที่จะกิน เราทุกคนนั่นล่ะ แม่งเครียด” เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย จ่าอินจึงรีบออกไปจากห้อง “ทิตย์ ยังไม่กลับห้องเหรอ อยู่ไหน” เขาโทรไปหาแสงอาทิตย์เพราะเข้าห้องมาก็ไม่เห็นวี่แวว “พอดีเราแวะซื้อของที่ซุปเปอร์น่ะ ท่าทางตะวัน จะใช้ห้องเราเป็นฐานอีกนานไม่ใช่เหรอ ของในตู้เย็นเริ่มหมดแล้ว เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว แล้วตะวันอยู่ไหน” “เพิ่งถึงห้อง” เขาตอบน้ำเสียงรู้สึกผิด จริงสิ ทีมมาใช้ห้อง ไม่ใช่แต่ห้องนี่นะ ทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง ก็ต้องให้ลูกทีมใช้ด้วย รวมถึงข้าวปลาอาหาร “ทิตย์ซื้ออะไรบ้างแล้วอ่ะ เดี๋ยวเราให้พี่จ่ากับผู้กองไปช่วย” “ไม่ต้องหรอกตะวัน เราซื้อไม่เยอะเท่าไหร่หรอก ถือกลับได้ ตะวันหิวยัง รอแป๊บนะ เราซื้อข้าวปั้นไปฝาก” น้ำเสียงนั้น ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ มันยั

    Last Updated : 2025-01-21
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๗ ทุกนาทีมีค่า

    “ข้อมูลที่เรารวบรวมมาได้เกี่ยวกับโรงเรียน ตัดผู้ต้องสงสัยออกไปได้เยอะเลยครับ เพราะคนที่อยู่ในทีมฟุตบอลตอนนั้น ส่วนมากอยู่ต่างจังหวัด และต่างประเทศ เวลาที่เกิดเหตุ เกือบทั้งหมดมีพยานยืนยันที่อยู่ชัดเจน แม้กระทั่งน้องชายของนายธรรผู้ตาย เฟสบุ๊คของเขายังคงใช้งานอยู่ เมื่อวานก็เพิ่งจะโพสต์รูปภาพ ว่าอยู่ที่บอสตันครับ” จ่าอินรายงาน ทุกคนหน้าเครียด คิดไม่ตกว่าจะไปทางไหนดี มันเหมือนจะเจอทางสว่าง แต่แสงนั้นดับพรึ่บลง โดยที่ยังไม่ทันได้บ่ายหน้าไปหาแสงเสียด้วยซ้ำ “โอ้ย ให้มันได้อย่างนี้สิวะ” แสงตะวันแหกปากออกมา เขาคิดไม่ออก หาทางไม่เจอ เขาทึ้งหัวตัวเอง อาการที่เขาไม่เคยแสดงออกมา ลูกทีมไม่มีใครเคยได้เห็น ว่าสารวัตรผู้หยั่งรู้จะจนแต้มขนาดนี้ แต่ทุกคนก็เข้าใจดีว่ามันยากมาก “มันต้องมีเหตุจูงใจครับ หรือว่านี่ มันคือพฤติกรรม สร้างสถานการณ์เลียนแบบ” ผู้กองคมกริชขมวดคิ้ว หน้าเครียดไม่ต่างกัน “เลียนแบบ แล้วมันไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง เห็นนายวันชัยบอกว่าเรื่องนี้ถูกปิดเงียบ เพราะพ่อของนายสมโชติ เป็นคนจัดการ มีแต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งถูกกำชับไม่ให้เปิดปาก” “แล้วเด็ก

    Last Updated : 2025-01-21
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   บทนำ

    “เขาไม่ได้ตายมาก่อนหน้านี้ นี่ไม่ใช่การอำพราง แต่มันคือการเผาเขาทั้งเป็น โอ ตะวัน มันโหดร้ายมาก เขาโกรธแค้น เขาไม่ยอม” ชายหนุ่มสูงเพรียว สวมแว่นสายตาหนาเตอะ หลับตานิ่งเปลือกตานั้นกรอกไปมาเหมือนว่าการหลับตาไม่ได้ช่วยให้เขาปิดจอภาพได้เลย ภาพที่เขาเห็นผ่านสัมผัสพิเศษหรือ ตาที่สามนั้น คือร่างของชายรูปร่างสูง ตัวดำไหม้เกรียม เขาปรากฏร่างในสภาพที่เขาตาย “เขาบอกได้ไหม ว่าใคร” สารวัตรหนุ่มถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น “เขาบอกไม่ได้ มันผิดกฎ” กฎที่ว่าคือกฎหลังความตาย วิญญาณไม่สามารถจะเอ่ยปากบอกว่าตัวเขาเองตายโดยใคร กรรม มันคือการฝืนกรรม “เห็นอะไรอีก ทิตย์” เขาร้อนใจ “ของกิน เหล้า เขาไม่มีพลังแล้วตะวัน” ทั้งสองสนทนากันผ่านสายโทรศัพท์ สารวัตรหนุ่มมีหูฟังไร้สายเสียบไว้ที่หูด้านขวา ส่วนหนุ่มแว่นหนาเปิดลำโพงเพราะเขากำลังใช้สมาธิเพ่ง ไม่นานภาพเหล่านั้นก็จางหายไป เขาถอนออกจากสมาธิแล้วหายใจหอบ พลังงานที่ใช้ไปทำให้เขาแทบทรุด ทุกครั้งเขาจะไม่ได้ใช้พลังหากว่าเพียงแค่เห็น แต่ครั้งใดที่เขาต้องการที่จะสื่อสาร เขาจะสูญเสียพลังงานไปอย่างรวดเร็ว

    Last Updated : 2024-12-11

Latest chapter

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๗ ทุกนาทีมีค่า

    “ข้อมูลที่เรารวบรวมมาได้เกี่ยวกับโรงเรียน ตัดผู้ต้องสงสัยออกไปได้เยอะเลยครับ เพราะคนที่อยู่ในทีมฟุตบอลตอนนั้น ส่วนมากอยู่ต่างจังหวัด และต่างประเทศ เวลาที่เกิดเหตุ เกือบทั้งหมดมีพยานยืนยันที่อยู่ชัดเจน แม้กระทั่งน้องชายของนายธรรผู้ตาย เฟสบุ๊คของเขายังคงใช้งานอยู่ เมื่อวานก็เพิ่งจะโพสต์รูปภาพ ว่าอยู่ที่บอสตันครับ” จ่าอินรายงาน ทุกคนหน้าเครียด คิดไม่ตกว่าจะไปทางไหนดี มันเหมือนจะเจอทางสว่าง แต่แสงนั้นดับพรึ่บลง โดยที่ยังไม่ทันได้บ่ายหน้าไปหาแสงเสียด้วยซ้ำ “โอ้ย ให้มันได้อย่างนี้สิวะ” แสงตะวันแหกปากออกมา เขาคิดไม่ออก หาทางไม่เจอ เขาทึ้งหัวตัวเอง อาการที่เขาไม่เคยแสดงออกมา ลูกทีมไม่มีใครเคยได้เห็น ว่าสารวัตรผู้หยั่งรู้จะจนแต้มขนาดนี้ แต่ทุกคนก็เข้าใจดีว่ามันยากมาก “มันต้องมีเหตุจูงใจครับ หรือว่านี่ มันคือพฤติกรรม สร้างสถานการณ์เลียนแบบ” ผู้กองคมกริชขมวดคิ้ว หน้าเครียดไม่ต่างกัน “เลียนแบบ แล้วมันไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง เห็นนายวันชัยบอกว่าเรื่องนี้ถูกปิดเงียบ เพราะพ่อของนายสมโชติ เป็นคนจัดการ มีแต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งถูกกำชับไม่ให้เปิดปาก” “แล้วเด็ก

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๖ ท้าทาย

    “จ่าไปซื้อเหล้ามาหน่อยสิครับ” พอถึงห้อง แสงตะวันก็ควักเงินออกมายื่นให้จ่าอิน เขาทำหน้าตาตื่น นานทีปีหนถึงจะเห็นแสงตะวันดื่มเหล้า และนี่มันเพิ่งจะบ่ายกว่าๆเอง “เอ่อ เอาแต่หัววันเลยเหรอครับ สารวัตร” จ่าอินยื่นมือไปรับเงินมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ไม่ใช่ผมหรอกที่จะกิน เราทุกคนนั่นล่ะ แม่งเครียด” เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย จ่าอินจึงรีบออกไปจากห้อง “ทิตย์ ยังไม่กลับห้องเหรอ อยู่ไหน” เขาโทรไปหาแสงอาทิตย์เพราะเข้าห้องมาก็ไม่เห็นวี่แวว “พอดีเราแวะซื้อของที่ซุปเปอร์น่ะ ท่าทางตะวัน จะใช้ห้องเราเป็นฐานอีกนานไม่ใช่เหรอ ของในตู้เย็นเริ่มหมดแล้ว เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว แล้วตะวันอยู่ไหน” “เพิ่งถึงห้อง” เขาตอบน้ำเสียงรู้สึกผิด จริงสิ ทีมมาใช้ห้อง ไม่ใช่แต่ห้องนี่นะ ทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง ก็ต้องให้ลูกทีมใช้ด้วย รวมถึงข้าวปลาอาหาร “ทิตย์ซื้ออะไรบ้างแล้วอ่ะ เดี๋ยวเราให้พี่จ่ากับผู้กองไปช่วย” “ไม่ต้องหรอกตะวัน เราซื้อไม่เยอะเท่าไหร่หรอก ถือกลับได้ ตะวันหิวยัง รอแป๊บนะ เราซื้อข้าวปั้นไปฝาก” น้ำเสียงนั้น ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ มันยั

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๕ ผู้กองคมกริช

    “เมื่อไหร่จะจับตัวคนร้ายได้สักทีวะ แม่งไอ้พวกวิปริตพวกนี้ เวลามันรัก มันรักฝังใจ เวลามันแค้น ดูเอาเถอะ ฆ่าไม่บันยะบันยัง รกโลก” ผู้กองคมกริชสบถออกมาระหว่างทาง จ่าหนุ่มที่เป็นพลขับหันกลับทันที “เอ่อ ผู้กอง ทำไมถึงมีอคติกับคนพวกนี้จังล่ะครับ มีอะไรไหม” จ่าหนุ่มถามออกมา เหมือนจะแซวเพราะน้ำเสียงไม่จริงจังนัก “บ้าเหรอจ่า ผมนี่นะจะไปมีอะไร ชีวิตนี้ไม่อยากย่างกรายคนพวกนี้หรอก ไม่ชอบส่วนตัวน่ะ” เขารีบตอบออกมาด้วยเสียงที่ดัง จ่าหนุ่มได้แต่ขมวดคิ้ว ผู้กองคมกริชหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถ หวนคิดไปถึงวันวาน ที่เขาเกลียดคนจำพวกนี้เข้าไส้แบบนี้ “แบมว่าไปติวก็ดีนะ กริช เขาการันตีไม่ใช่เหรอ ว่าที่นี่คนที่ติวส่วนมากสอบได้” เด็กสาวในวัยมัธยม กำลังเกาะแขนเด็กหนุ่ม ที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน ทั้งสองกำลังยืนอยู่หน้าสถาบันติว “ก็ได้ ลองดู พี่ทิวก็ติวจากที่นี่ ตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่” ความใฝ่ฝันของเด็กหนุ่ม คือการสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย เขาสอบเมื่อปีที่แล้วแต่ภาคปฏิบัติเขาไม่ผ่าน เขากลับมามุมานะออกกำลัง เล่นกีฬาอย่างหนัก จนรูปร่างของเด็กหนุ่มกำยำขึ้น “ถ้า

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๔ คดีโรงหนังร้าง ๓๖๘

    ตลอดทั้งคืนไม่มีใครกลับบ้าน ต่างพากันประชุมกันอยู่ที่ห้องรับแขก แสงตะวันเข้าไปนอนในห้องกับแสงอาทิตย์ เขาสละห้องนอนส่วนตัว ให้ผู้กองกับจ่าอิน ส่วนจ่าหนุ่มนอนอยู่ที่โซฟา “เวลาไม่ได้ทำคดีแล้ว บางทีมันก็สบายอย่างนี้สินะ” แสงตะวันเอ่ยขึ้นหลังจากตื่นนอน แสงอาทิตย์ลุกไปนานเป็นชั่วโมงแล้ว “อ้าว ตื่นไวจังจ่า เป็นไง นอนหลับไหม” เขาทักจ่าหนุ่มที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ที่โซฟา “ตื่นสักพักล่ะครับ คุณอาทิตย์สิครับ ตื่นก่อนใคร มาต้มกาแฟให้แต่เช้า ตอนนี้ยังไปทำอาหารเช้าให้ด้วยครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยอย่างอารมณ์ดี แสงตะวันเดินไปเทกาแฟใส่แก้ว แล้วเดินเข้าไปในครัวขนาดเล็ก แสงอาทิตย์กำลังง่วนอยู่ กับการปิ้งขนมปังและทอดไข่ดาว “ทำไรทิตย์” เขาพิงเคาท์เตอร์แล้วเอ่ยถาม “ปิ้งขนมปัง พี่จ่าเขากินกาแฟหมดยัง ตะวันเอาออกไปให้เขาหน่อยสิ เดี๋ยวเรากำลังทอดไข่ดาว” แสงอาทิตย์ไม่ได้หันมามอง เขากำลังจดจ้องอยู่ที่การทอดไข่ดาวแบบไร้น้ำมันอยู่ “ขอโทษนะทิตย์ ที่ต้องทำให้ทิตย์ต้องตื่นมาวุ่นวายแบบนี้ เราคิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะไปหาที่ประชุมลับที่ไหนดี นอกจากห้องของเรา” เขาเอ่ยเสียงท

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๓ ฐานปฏิบัติการลับ

    แสงอาทิตย์กำลังปิดรายงาน เพื่อส่งให้นทีรีวิว ก่อนที่จะส่งมอบให้ลูกค้า เหลือรายงานสรุปที่ต้องส่งทีหลัง เขารู้สึกโล่งมาก เพราะตรวจบัญชีหนักหน่วงมาทั้งอาทิตย์ เวลาพักผ่อนแทบจะไม่มี ซ้ำช่วงนี้ยังมีเรื่อง มีวิญญาณที่ขอความช่วยเหลือ ยิ่งถอนตะปูตรึงวิญญาณได้แล้ว เหมือนว่าวิญญาณทั้งสามจะปรากฏร่างให้แสงอาทิตย์เห็นบ่อยขึ้น “วันนี้เลิกเร็ว รีบกลับไปพักเถอะทุกคน เราค่อยนัดเลี้ยงกันพรุ่งนี้ วันนี้ทุกคนน่าจะไม่ไหว ขอบใจมากนะเด็กๆ พรุ่งนี้มีกินเลี้ยงกันนะ เดี๋ยวพี่แจ้งชื่อร้านและเวลาไปอีกที มาให้ได้กันทุกคนนะ” นทีบอกพนักงานที่จ้างมาชั่วคราว พอแยกย้ายกันกลับ เหลือแต่พนักงานประจำที่กำลังเก็บของ “กลับไปถึงบ้าน พี่จะกระโดดขึ้นเตียง แล้วนอนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ปวดเมื่อยมาก” มนฤดีบ่นอุบ “ไปนวดไหมพี่มน นี่ก็ไม่ไหว นั่งจ้องเอกสารทั้งวัน ปวดตามาก” มณีเอ่ยชวน “เออ ดีเหมือนกัน อ่อนนุชเหมือนเดิมเหรอ” “มีร้านเปิดใหม่ ก็ใกล้ร้านเดิมที่เราเคยไปล่ะเจ๊ ไปด้วยกันไหม นที อาทิตย์” มณีหันมาชวนหนุ่มโสดทั้งสองคน “วันนี้ผมขอตัวครับ ผมรู้สึกมึนๆยังไม่หาย อยากกลับไปนอน” แสงอาท

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๒ ถอนตะปู

    “วันนี้รองลางาน แปลก ปกติไม่เคยลา แกบอกไม่สบาย” พอมาถึงที่สำนักงาน จ่าอินก็รีบรายงานทันที แสงตะวันขมวดคิ้ว “แกเป็นอะไร” “เหมือนจะหวัดครับ เพราะแกไม่เคยลงพื้นที่ เมื่อคืนก็ไปเฝ้าตั้งแต่หัววัน คงโดนน้ำค้าง” น้ำค้าง? แสงตะวันนึกขัน ตำรวจอะไรจะไม่ถูกกับน้ำค้าง นี่แสดงว่าเรียนมาเพื่อเซ็นเอกสารอย่างเดียวเลยสินะ เขานึกปรามาสอยู่ในใจ เพราะเขาเองกว่าจะมาอยู่จุดนี้ได้ บุกป่าฝ่าดงก็ไปมาหมดแล้ว อดข้าวสามวัน อดนอนเป็นอาทิตย์ การฝึกก็โหด แค่น้ำค้างเนี่ยนะ ต่อให้เป็นฝนตกเขาก็ไม่เป็นอะไร “โล่งไปนะครับ สารวัตร” จ่าหนุ่มยิ้มแห้งๆ “ไม่โล่งหรอกพี่จ่า แสดงว่าเรายังพอมีเวลา มีอะไรคืบหน้าไหม ที่โรงเรียน” เขาถาม และมองหาผู้กองคมกริช “ผู้กองไปเบิกผลตรวจของที่เจอเมื่อวานครับ” จ่าอินเหมือนจะรู้ใจ เขาพยักหน้า “มีกลุ่มของนักกีฬาโรงเรียนครับ และสารวัตรครับ ผมว่าเราน่าจะเจออะไรบางอย่างแล้วครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยสายตาที่วาวระยับ “หือว่ามาจ่า” เขาเองก็ตื่นเต้น รีบนั่งลงที่โต๊ะหันหน้าเข้าหา “นักกีฬาฟุตบอลโรงเรียน และทั้งสามคนที่ตายคือสมาชิก ใน

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๑ คดีริมบึงกลางเมือง ๓๖๗

    “อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๐ ที่เกิดเหตุ

    ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา “นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร “เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลง

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๙ ข้อตกลง

    “อ้าวผู้กอง ไปเอาผลชันสูตรถึงไหนครับเนี่ย” ทันทีที่ผู้กองคมกริชกลับเข้าไปในสำนักงาน จ่าหนุ่มก็เอ่ยแซวขึ้นทันที เพราะนี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว “พอดีไปธุระมานิดหน่อยน่ะจ่า สารวัตรครับ นี่ผลตรวจครั้งที่สองครับ” เขาวางแฟ้มไว้ต่อหน้าแสงตะวัน เขาหันมาพยักหน้า ตาเริ่มโหลลึกเพราะนอนน้อยกันทุกคน “วันนี้ผมเหมือนจะเจอเพื่อนสารวัตรด้วยนะครับ” เขาเอ่ยแล้วยิ้ม สายตาจ้องมองอยู่ ว่าแสงตะวันจะมีปฏิกริยายังไง ได้ผล เขาหันขวับทันที “ใคร เพื่อนคนไหน” เสียงนั้นห้วนจนเหมือนตวาด “เอ่อ คุณอาทิตย์น่ะครับ พอดีบังเอิญเจอที่หน้าตึก ที่แกไปทำงาน” แสงตะวันหน้าเปลี่ยนสี “รู้จักกันได้ยังไง” เขาจ้องจนบรรยากาศไม่ดี เขาเหมือนจะรู้ตัว เขาจึงลุกขึ้น “ผู้กอง คุยกันหน่อยสิ” เขาเดินออกไปทันที ผู้กองคมกริชอมยิ้มด้วยความบรรลุเป้าหมาย สองจ่านั่งมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น “ครับ สารวัตร” ผู้กองคมกริชเดินตามออกไปหน้าตึก แสงตะวันยืนปักหลักหันหลังเหมือนยักษ์ เขาหันหน้ากลับมา “คุณไปรู้จักเพื่อนผมได

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status