ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา
“นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร
“เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลงกราบ แล้วเดินตรงไปยังกุฏิที่ชะง่อนผา
“กราบนมัสการครับ พระอาจารย์” เขาคลานเข้าไปตั้งแต่ขึ้นบันไดไม้สองขั้น พระอาจารย์ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง เขาพนมมือรอนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ด้วยความร้อนใจ
“เขาเป็นคนที่มีความรู้มาก มีปัญญากว่าสูสองคน มีอำนาจ มีบารมี และรู้มนต์เขมร จงตั้งมั่นในสติและสมาธิ ปัญญาของสูจะเกิด” ท่านกล่าวทั้งที่ยังคงหลับตาอยู่ แสงตะวันไม่ได้สงสัย หรือแคลงใจอะไรทั้งสิ้น เขาก้มลงกราบทันที พระอาจารย์วางหินสองก้อนลงตรงหน้า
“สีแดงให้เจ้า สีส้มนี้ให้โยมทิตย์” หินสองก้อนมีสีต่างกันชัดเจน ก้อนที่พระอาจารย์ระบุว่าให้เขามีสีแดงเข้ม ส่วนอีกก้อนที่ให้แสงอาทิตย์สีเหลืองอมส้ม
“ไปเถิด” ท่านกล่าว แสงตะวันจึงก้มลงกราบลา โดยไม่ได้ปริปากถามอะไร แม้ว่าเขาจะถามแต่พระอาจารย์ก็คงไม่ตอบอะไรทั้งนั้น เขารู้ดี เขาออกจากภูแล้วบึ่งรถกลับไปที่สนามบินทันที
“เป็นไงบ้างจ่าอิน” เขาโทรกลับไปถามลูกทีม ตอนที่กำลังบ่ายหน้าไปสนามบิน
“กำลังประชุมแผนกันครับ ตอนนี้ส่งหน่วยออกซุ่ม อยู่ตามสวน ท่านรองเป็นคนประชุมเอง” เขาพยักหน้า
“แล้วท่านรองด่าไหม” “จะเหลือเหรอสารวัตร กลับมานี่ต้องเข้าห้องเย็นก่อนเลยนะครับ”
“สวนในกรุงเทพมีตั้งหลายที่ เจาะจงที่ไหนเป็นพิเศษไหม” เขาถามแล้วถอนหายใจยาว เมื่อคิดว่าจะโดนอะไรบ้างเมื่อกลับไปถึง
“สวนลุม สวนเบญฯ สวนจตุจักร ที่ท่านรองกำชับเป็นพิเศษครับ สารวัตร” เขาวางสายแล้วไปถึงสนามบินก่อนเวลาหลายชั่วโมง อยากจะโทรหาแสงอาทิตย์ แต่ก็กลัวว่าจะไปรบกวนการทำงานของเขา เขาจึงส่งข้อความไปในไลน์ แล้วส่งรูปก้อนหินที่พระอาจารย์ให้มาแนบไปด้วย
“จะกลับแล้วเหรอ พระอาจารย์ว่าไงบ้าง” แสงอาทิตย์ส่งข้อความกลับมา
“ท่านบอกว่า คนร้ายมีความรู้มากกว่าพวกเราอีก รู้มนต์เขมรด้วย อย่างที่อาทิตย์บอกล่ะ ท่านกำชับให้มีสติ” เขาตอบไป แสงอาทิตย์ส่งสติ๊กเกอร์กลับมา เพราะเขาเองก็กำลังเร่งตรวจงานอยู่ แต่พอแสงอาทิตย์ก้มหน้าลง ก็สื่อจิตถึงพระอาจารย์ เขานิ่งไปม่านตาขยาย
“ตะวัน โทรมา” ม่านตาของเขากลับมาเป็นปกติ เขาจึงรีบพิมพ์ข้อความไปในไลน์
“ทิตย์” “ตะวัน ลุงเฉลิม อยู่นนทบุรี ถอนตะปูได้ รีบไป ถอนทั้งสองที่นะ ตะวันอย่าให้คนปกติที่ไม่รู้มนต์จับ ตะวันต้องไปเอง” แสงอาทิตย์รีบพูดออกมายาวเหยียด แทบไม่หายใจ
“ลุงเฉลิม นนทบุรี ที่ไหนล่ะทิตย์” แสงตะวันถามออกมาเพราะมันกว้างมาก
“ปากเกร็ด วัดริมน้ำ ลุงเขารออยู่ที่นั่น ตะวันรีบไปนะ ไปเลย อย่ารอ” แสงอาทิตย์อ้อนวอน ด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรน พอวางสายจากแสงอาทิตย์แสงตะวันก็กระวนกระวาย เพราะต้องรอเครื่องออก
“ผู้กอง อยู่ไหนครับตอนนี้” เขาโทรศัพท์หาผู้กองคมกริชทันที
“ห้องประชุมครับ สารวัตรอยู่ไหนครับ ทำไมไม่รีบมา”
“อย่าเพิ่งถาม ผู้กองออกมาจากห้องก่อน มีเรื่องด่วน” เขาเร่ง ผู้กองคมกริชลุกออกจากห้องทันที
“ครับ” “ไปที่ปากเกร็ด หาวัดริมน้ำ ลุงเฉลิมจะรออยู่” เขาบอกตามที่แสงอาทิตย์บอก
“เอ่อ ใครครับ แล้ววัดไหน มีชื่อไหม วัดไม่ใช่น้อยๆนะครับ”
“ผมก็รู้แค่นี้ ผู้กองรีบไป เพราะลุงเฉลิม จะเป็นคนถอนตะปูให้” พอแสงตะวันเอ่ยออกมา ผู้กองคมกริชก็ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เขารีบบึ่งออกมาจากสำนักงานทันที
“วัดที่สามแล้วนะ” เขาบ่น เพราะเดินทั่วทั้งวัด ก็ไม่เจอใครที่อ้างตัวว่าเป็นลุงที่ชื่อเฉลิมเลยสักคน เขาเดินด้วยความรีบไปที่ท่าน้ำ มีชายชราคนหนึ่งยืนนิ่งมองผิวน้ำอยู่
“มาแล้วหรือ คุณตำรวจ” ชายชราเอ่ยทัก พลันผู้กองคมกริชก็ขนลุกไปทั้งร่าง ผู้คงอาคมนี่ เขามีรังสีบางอย่างแผ่ออกมาอย่างนี้ทุกคนไหม เขาถามตัวเองในใจ
“เอ่อ สวัสดีครับ ลุง ลุงชื่อเฉลิมใช่ไหมครับ” เขาถามออกมา
“รีบไปเถอะครับ ลุงนี่ล่ะเฉลิม คุณตำรวจช่วยถือของให้หน่อยนะครับ ผมไม่มีลูกศิษย์” ลุงเฉลิมพูดแล้วเดินนำออกจากท่าน้ำทันที เขาเดินตรงไปที่รถของผู้กองคมกริชที่จอดไว้นอกวัด ผู้กองคมกริชเสียอีกที่คิดว่ารูปร่างของเขา ความหนุ่มแน่นในวัยเช่นนี้ ทำไมถึงเดินตามลุงเฉลิมไม่ทัน ข้าวของที่หอบมา ก็พะรุงพะรังเหลือทน ถึงรถได้ก็ต้องรีบไปเปิดรถให้ลุงเฉลิมแกเข้าไปนั่ง
“ไปที่มีนบุรีก่อนนะคุณตำรวจ วิญญาณตนนั้นกำลังจะหมดพลัง” ลุงเฉลิมเอ่ยเหมือนสั่ง ผู้กองคมกริชพยักหน้า แล้วบึ่งรถไปตามที่แกสั่งทันที
“ใครเป็นคนติดต่อลุงเหรอครับ สารวัตรเหรอครับ” เขาหันมาถาม
“พระอาจารย์” ลุงเฉลิมตอบแค่เพียงเท่านั้น แล้วเหมือนเพ่งมองไปด้านหน้านิ่ง จนผู้กองคมกริชไม่กล้าถามอะไรอีก จนรถมาจอดที่เดิมที่เขาเคยจอดตอนพาแสงอาทิตย์มา
“จะเข้าไปไหมคุณตำรวจ กลัวก็รออยู่นี่” ลุงเฉลิมเอ่ย เป็นครั้งแรกที่ผู้กองคมกริชรู้สึกว่าเขาถูกปรามาส ศักดิ์ศรีของเขา ไม่ใช่ใครที่ไหนจะมากล่าวหาเช่นนี้ได้
“ผมไม่กลัวครับ เคยเข้าไปแล้ว” เขารีบตอบขึ้นทันที ลุงเฉลิมพยักหน้าน้อยๆ
“เดี๋ยว เดินตามหลัง เท่านั้น” ลุงเฉลิมยกมือขึ้นห้าม เพราะผู้กองคมกริชจะเดินนำ เขาหยุดกึก เสียงลมจากที่นิ่งอยู่ พัดหวือขึ้นทันที และมันพัดอยู่แค่ตรงบริเวณของตึกที่เกิดเหตุ เขาถอยลงมายืนด้านหลังของลุงเฉลิม
“ของแรง ของเขมร” ลุงเฉลิมเอ่ยขึ้นแล้วหลับตา แกว่าอะไรพึมพำก่อนจะยกเท้าขึ้นกระทืบพื้นดินสามที ลมนิ่งสงบทันที ผู้กองคมกริชรู้สึกทึ่ง
“มันตรึงวิญญาณไว้ที่กำแพง ทำพิธีกำกับ ตะปูนี่ ถอนแล้วต้องเอาไปทำพิธีอีก มันถึงจะปลดปล่อยได้” ลุงเฉลิมเล่า เขาเดินนำขึ้นไปบนตึก บรรยากาศยามก่อนเที่ยง จากที่แดดจ้ากลับมืดสนิทลง ผู้กองคมกริชหันซ้ายขวา เริ่มวิตก
“ฮึฮึๆๆ” เสียงหัวเราะกึ่งคำรามดังสะท้อนก้องตึก ไม่ทราบทิศที่แน่นอน เสียงต่ำห้วนและหนาใหญ่ เกินกว่าจะเป็นเสียงของคนปกติ
“หลีกทางกู ไม่งั้นอย่าหาว่ากูไม่ปรานี” ลุงเฉลิมเอ่ยขึ้นเสียงดัง
“ฮ่าๆๆๆ” มีแต่เพียงเสียงหัวเราะ
“เฮ้ย” ผู้กองคมกริชตะโกนลั่นด้วยความตกใจ เพราะอยู่ๆก็มีเหมือนควัน หรือก้อนอะไรบางอย่างสีดำเทา กลิ้งหลุนๆมาจากทางกำแพง แต่ลุงเฉลิมยืนมองนิ่ง ด้วยสายตาที่เหมือนนิลกาลนิ่งสนิท เขาล้วงมือเข้าไปในย่ามที่สะพายมา ส่วนของที่จะใช้ในพิธี ผู้กองคมกริชเป็นคนถือ เขากำเหมือนทรายหรือเศษดินสักอย่างหว่านไป
“โฮกกกก” เสียงคำรามดังก้อง พลันก้อนนั้นก็สลายไป
“เก่งนะ แต่ยังไม่สุด เขาสอนมันไม่หมด” ลุงเฉลิมเอ่ยออกมา แววตาเยาะน้อยๆ
“ตรงนี้ล่ะ วางของลง” ลุงเฉลิมสั่ง ผู้กองคมกริชรู้สึกร้อนๆหนาวๆ แต่ก็ทำตามไม่ปริปากอะไร ของมีพานดอกไม้ธูปเทียน ขันใส่น้ำที่แกกรอกมา ดิน ค้อนตอกตะปู สายสิญจน์
“อยู่ข้างหลังลุงนะ เห็นอะไร ได้ยินอะไร ห้ามขาน ห้ามทัก” ลุงเฉลิมพูดเสียงกร้าวโดยที่ไม่หันมา
“ครับลุง” เขาเริ่มตัวสั่น หันมองไปรอบข้าง ตอนนี้ฟ้ามืดเหมือนเวลากลางคืน เขาสะดุ้งเพราะไม่ทันได้สังเกต ลมพัดด้านนอกตึกรุนแรงประหนึ่งจะโค่นเอาต้นไม้ที่รายรอบอยู่ ลงเสียให้ได้ในชั่วโมงนี้ แต่แปลกที่เปลวเทียนที่จุดหน้าลุงเฉลิมไม่ไหวติง
“กูไม่ไป” เสียงตวาดดัง จนผู้กองคมกริชผวา เสียงเข้มหนา สะท้อนมาจากรอบสารทิศ
“ไป กูบอกให้มึงไป มาจากไหนมึงกลับไปที่นั่น ถ้ามึงไม่ไป อย่าหาว่ากูใจร้าย” ลุงเฉลิมตวาดกลับไปเสียงดังเช่นกัน
“ผู้กอง ทำอะไรอยู่ มามัวงมงายอะไรอยู่ตรงนี้ ภารกิจที่สั่ง ทำหรือยัง” เสียงตวาดมาจากด้านหลัง เขาหันไปมองทันที ท่านรอง เขาเกือบจะครางออกมา ภาพนั้นคือท่านรองไม่มีผิดเพี้ยน เขายืนหน้าถมึงทึงอยู่
“อื้อ” เสียงกระแอมในคอของคนที่นั่งอยู่ข้างหน้า ทำให้เขาได้สติ รีบหันกลับมา
“โอ้ยยย อย่าทำกู กูไปแล้ว” ลุงเฉลิมวาดอักขระลงบนดินที่วางอยู่บนพาน ยกเอาเทียนมาเป็นปากกาวาด พอเสร็จแกก็ลุกขึ้นเดินดุ่มไปตรงกำแพงที่ตอกตะปู แกเอามือกำเอาดินแล้วโปะลงทันที เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดโหยหวน ผู้กองคมกริชก้มหน้าลงต่ำ เพราะเสียงตวาดด่าทอของท่านรองยังคงดังมาจากด้านหลัง
“ได้เรื่องไหมผู้กอง” เขาสะดุ้งเฮือก เพราะมันคือเสียงของสารวัตรแสงตะวัน เขาหันไปมองทั้งที่ยังคงก้มอยู่ สารวัตรแสงตะวันยืนเด่น แววตาเครียด เสียงนั้นคือเสียงของเขาแน่นอน
“เอ่อ สา” เขากำลังจะขานตอบ แต่เหมือนคิดอะไรได้ ผู้กองเพิ่งจะโทรสั่ง บอกว่าจะไปหาพระอาจารย์ที่อำนาจเจริญ ไม่ใช่แล้ว เขาจึงคลานเข้าไปใกล้ของในพิธีที่วางอยู่ เหลือแต่ขันน้ำ เอาไงดี เขาคิด
“เอาแม่งดินแถวนี้ล่ะ” เขาคิดขึ้นมาได้ ก็กอบเอาดินฝุ่นที่พื้นขึ้นมา ได้กำหนึ่งแล้วยกมือขึ้นพนม เอาน้ำในขันมาเทใส่นิดหน่อยพอให้มันหนืด เขาหันกลับไปปาดินนั้น ใส่ทั้งท่านรองและสารวัตรทันที
“โฮกก” ร่างทั้งสองสลายไปทันทีพร้อมกับเสียงคำราม ลุงเฉลิมหันมาดู แกพยักหน้าน้อยๆ แล้วแกก็หันกลับไปว่าคาถาเสียงดัง บรรยากาศที่ตึงเครียดมันดูขลัง จนประสาทของผู้กองคมกริชขมวดเป็นเกลียว ที่เคยบอกว่าผ่านอะไรมากนักต่อนัก มันคนละอย่างกับสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้อย่างสิ้นเชิง
“เอาค้อนมา” เสียงของลุงเฉลิมตะโกนมา ผู้กองคมกริชจึงได้สติรีบเงยหน้าขึ้นจากที่หมอบอยู่ เขารีบหยิบค้อน แล้ววิ่งไปหาลุงเฉลิมทันที แกฉวยได้ค้อนก็เป่าคาถาใส่
“น้ำมนต์มา” เขาไม่รีรอรีบวิ่งกลับไป แล้วคว้าขันน้ำมนต์มาถือไว้ ลุงเฉลิมยกเอาขันน้ำมนต์ขึ้นว่าคาถา พอจบก็ยกขึ้นใส่ปากแกพ่นน้ำมนต์ออกไปเป็นสายใส่บริเวณที่ตอกตะปูตรึงไว้
“โอ้ยยยยย” เสียงกรีดร้องที่โหยหวนดังอยู่ทั่วบริเวณ แล้วมันค่อยๆแว่วหายออกไป พลันจากที่ฟ้ามืดเช่นเวลากลางคืน ก็สว่างจ้าเป็นเวลาเท่าที่มันควรจะเป็น
“คุณตำรวจ มาถอนออกได้เลย แต่อย่าจับนะ มันยังเหลืออาถรรพ์อยู่” ลุงเฉลิมหันมาบอก ผู้กองก็พยักหน้ารับ แล้วเดินเข้าไปเอาค้อนดึงตะปูออกมา ตะปู ๕ นิ้วที่มีสนิมเกรอะกรัง ถูกถอนออกมา ทั้งหมดสามดอก ลุงเฉลิมเอาผ้าขาวที่ลงอักขระมารองแล้วห่อกลับ
“ตะปูตอกฝาโลง” แกเอ่ยขึ้น เหมือนรู้ว่าผู้กองคมกริชจะถามอะไร ผู้กองคมกริชสีหน้าตื่นเมื่อรู้
“คุณตำรวจ มากรวดน้ำให้วิญญาณดวงนี้หน่อย เขาไม่มีพลังเหลือแล้ว” ลุงเฉลิมบอกแล้วยื่นขันน้ำให้
“ตั้งจิตดีๆนะ แผ่เมตตาให้เขา บุญกุศลใดที่คุณตำรวจเคยทำมา จากการช่วยเหลือคนตามหน้าที่ หรืออะไรก็แล้วแต่ แผ่ให้เขาได้” ลุงเฉลิมบอกแล้วแกก็สวดคาถากรวดน้ำ มีลมพัดมาวูบหนึ่งเย็นเยียบ
“รีบไปเถอะ อีกที่ก็หนักเหมือนกัน มันใช้ผีคนละตัว” ลุงเฉลิมบอก ผู้กองจึงรีบลุก
“แล้วของ พอเหรอครับ” เขาถามเพราะของที่เตรียมมาถูกใช้ไปหมดแล้ว
“ไม่ต้องห่วง รีบเถอะ” เสียงนั้นนิ่งจนเขาเองนึกขนลุก แววตานั้นที่นิ่งกว่าเสียงมันยิ่งน่าเกรงขาม ท่าทางของแกเย็นเหมือนน้ำแข็ง เดินเหินเบา สายตาแน่นิ่ง ผู้กองคมกริชรีบเดินตามออกจากพื้นที่
“ตะปูที่ถอน ปลดปล่อยได้ส่วนหนึ่งเท่านั้น” พอผู้กองคมกริชเหยียบคันเร่งออกจากที่เกิดเหตุ ลุงเฉลิมก็เอ่ยออกมา
“หมายความว่ายังไงครับ ไหนลุงบอกว่า ปลดปล่อยเขาแล้วนี่ครับ” เขาหันขวับ ตาเบิกขึ้น
“ใช่ แต่แค่ส่วนหนึ่ง ที่เหลือมันเอาไปทำพิธี มันถึงได้ตัดชิ้นส่วนไป”
“ตัดชิ้นส่วน เส้นผมน่ะเหรอครับ” เขาหันมาถาม
“มันไม่ได้มีแค่นั้นหรอกนะ ที่มันเอาไป” แววตาของลุงเฉลิมมองไปเบื้องหน้านิ่งดุจหิน
“เอ่อ มันเอาอะไรไปอีกครับ” เขาถามออกมาด้วยความประหม่า ทำไมในรายงานมันระบุว่ามีเพียงเส้นผม กับรอยกรีดรูปดาวเท่านั้นล่ะ
“ผิวหนัง แล้วก็ต่อมลูกหมาก” “หา ต่อมลูกหมาก” เขาอุทานออกมาเสียงดัง ลุงเฉลิมยังคงนิ่งอยู่ เขาถอนหายใจออกมาน้อยๆ
“อืม มันจะเอาไปทำของ” “ลุงรู้ไหมครับ ว่ามันเป็นใคร วิปริตมาก” เขาสบถออกมา
“ลุงเห็นแค่นี้ล่ะ คนที่สื่อสารได้ มีอยู่แล้วนี่ ลุงแค่สัมผัสได้เท่านั้น” แกตอบเสียงนิ่งเหมือนเคย
“เอ่อ ลุงหมายถึง คุณอาทิตย์เหรอครับ” เขาถามออกมาเสียงเบา ลุงเฉลิมไม่ตอบ แต่มันยืนยันคำถามของเขาด้วยการหลับตาลงของแก ไม่ผิดแน่ เพราะเขาพอจะรู้ ว่าคนที่มีความสามารถพิเศษ คือแสงอาทิตย์ สารวัตรเป็นเพื่อนกับแสงอาทิตย์ เขาอาจจะวานให้แสงอาทิตย์ช่วยสื่อสารกับสิ่งที่มองไม่เห็น ถึงว่า สารวัตรชอบคุยโทรศัพท์ เวลามีงานสำคัญหรือในสถานการณ์ที่ตึงเครียด แปลก ทำไมคนหน้าตาเนิร์ดอย่างนั้น ถึงมีความสามารถพิเศษ แววตาที่เหมือนมีตาดำสองวง ซ้อนกันอยู่นั่นก็น่าสนใจมาก คือถ้าเจอกันข้างนอก เขาไม่ได้น่าสนใจอะไรเลย แต่พอได้รู้จักวันนั้น ทำไมภาพใบหน้าของชายแว่นหนาคนนั้น ถึงยังวนเวียนอยู่ในหัวของเขานะ ไม่ไม่ ไม่ได้ เขาไม่ชอบเพศเดียวกัน เกลียด
“เป็นไปไม่ได้หรอก เขามีของเขาอยู่แล้ว ใครก็แยกจากกันไม่ได้” อยู่ๆลุงเฉลิมก็เอ่ยขึ้น ผู้กองคมกริชถึงกับสะดุ้ง
“ลุงว่าอะไรนะครับ” แกไม่ตอบหลับอยู่เหมือนเคย ผู้กองคมกริชได้แต่เกาหัว อย่าบอกนะว่าอีตาลุงนี่อ่านใจ อ่านความคิดของคนอื่นได้ น่ากลัวเป็นบ้า ผ่านไปชั่วโมงกว่าเขาก็พาลุงเฉลิมมาที่โคกหนองนา บ่ายแก่มากแล้ว เจ้าของไม่กล้าที่จะมานาในช่วงนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นที่กั้นห้ามคนเข้าก็ยังไม่มารื้อออก สภาพทุกอย่างยังคงไม่ถูกเคลื่อนย้าย รอยเลือดนั่นอีก ไม่ว่าใครก็ต้องผวา แต่ผู้กองคมกริชได้โทรนัดให้ลุงภิรมย์ เจ้าของที่มารอ และได้เตรียมของที่ลุงเฉลิมต้องการใช้มาด้วย
“อืม แรงเอาเรื่อง” พอแต่ขาเหยียบลงบนดิน ลุงเฉลิมก็เอ่ยออกมา ทั้งลุงภิรมย์และหลานทั้งสองคน รวมถึงผู้กองคมกริช ต่างหน้าซีดกันเป็นแถบ
“ผีพราย ตัวนี้เป็นผู้หญิง” ลุงเฉลิมพูดเรื่อยๆ เหมือนไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร แต่ทั้งสี่คนที่เดินถือของตามแกมาเหงื่อเริ่มผุด ความรู้สึกในตัวมันเย็นทั้งที่แดดเปรี้ยงร้อนนะอุ
“กลางคืนไม่มีใครผ่านไปผ่านมาได้เลยครับ หมอ” ลุงภิรมย์เล่าทันที
“ผมไม่ใช่หมอผี เรียกลุงเถอะ” แกเสียงเข้มขึ้น เหมือนไม่พอใจที่โดนเรียกว่าเป็นหมอผี ทั้งสี่คนมองหน้ากัน รีบขอโทษแกทันที
“ไม่แปลกหรอก วิญญาณที่ออกมารบกวนอาละวาด คือผีพรายตัวนี้ล่ะ ส่วนวิญญาณที่ถูกตรึงไว้จะส่งแค่เสียง เสียงโหยหวนนั่นล่ะ เขาอาฆาตมากนะ วิญญาณตนนี้” ทั้งสี่คนด้านหลังเบียดตัวเข้าหากันทันที มองซ้ายขวาหน้าหลังอย่างหวาดระแวง
“ตรงนี้ล่ะ ช่วยยกรื้อแคร่ออกด้วย” ลุงเฉลิมเดินมาหยุดอยู่ที่หน้ากระท่อม
“ไปเอาค้อนกับชะแลงมา” ลุงภิรมย์หันไปสั่งหลานชายทั้งสอง ระหว่างนั้นลุงเฉลิม ก็ขอขันน้ำมนต์ แกเทน้ำใส่แล้วว่าคาถา ให้ผู้กองไปหักเอากิ่งไม้มากำหนึ่ง แล้วแกก็พรมน้ำมนต์นั่นรอบกระท่อมก่อน เสียงลมหวีดหวิวจากที่ร้อนระอุ กลับเย็นเหมือนลมของหน้าหนาว หลังคากระท่อมลั่นเหมือนมันจะหลุดออกจากตะปูที่ยึดไว้
“เอามานี่ก่อน” ลุงเฉลิมยกมือห้ามหนุ่มน้อยสองคน ที่ถือค้อนกับชะแลงมาเพื่องัดพื้นแคร่ แกเอามาจับไว้แล้วว่าคาถาก่อนจะส่งคืนให้
“กรี๊ดดดด” ทันทีที่พื้นกระดานถูกงัด เสียงกรีดร้องก็ดังระงมรอบทิศ สองหนุ่มน้อยชะงักมือ ลุงเฉลิมพยักหน้าให้ทำต่อ ผู้กองเห็นว่าช้าจึงเข้าไปแย่งชะแลงมาแล้วงัดเอง
“ไป ออกไป อย่ามายุ่งกับกู” เสียงตวาดลั่น ทั้งสี่คนสะดุ้ง
“มึงสิไป ที่นี่ไม่ใช่ที่ของมึง จะไปดีๆไหม หรือให้กูส่งไปเหมือนตัวที่แล้ว” ลุงเฉลิมนั่งลงกับพื้น วางของทันที พองัดกระดานเสร็จทั้งสี่คนก็มานั่งด้านหลังของลุงเฉลิม
“เห็นอะไร ได้ยินอะไร อย่าทัก อย่าขานเด็ดขาดนะลุง ไอ้น้อง” ผู้กองคมกริชเป็นคนกำชับ ทั้งสามคนหยักหน้าแล้วก้มหน้างุดทันที
“ฮ่าๆ มึงจะเก่งสักแค่ไหนกันเชียว” เสียงหัวเราะที่มากับลมเหมือนเคลื่อนวิทยุที่ไม่ตรงสถานี มันขาดๆหายๆ ลุงเฉลิมยังคงนิ่ง ปากก็พึมพำว่าคาถาต่อ ไม่นานก็ทำพิธีเสร็จ ผู้กองคมกริชเป็นคนถอนตะปูเช่นเคย
“ขุดดู” ลุงเฉลิมบอก ลุงภิรมย์จึงพยักหน้าให้หลานชาย วิ่งกลับไปเอาเสียมมา ทั้งสองเกี่ยงกันแต่ก็ต้องยอมวิ่งไปด้วยกัน ผู้กองคมกริชเป็นคนขุดเช่นเคย ใต้หลุมที่ตรึงตะปูนั้นคือห่อผ้าสีแดงคล้ำ กลิ่นเหม็นตลบ ทุกคนเบือนหน้าหนียกเว้นแต่ลุงเฉลิม
“ไม่ต้องเปิด เอามานี่” ลุงเฉลิมรีบบอก เพราะเหมือนว่าผู้กองกำลังจะเปิด
“เถ้าผีพราย ทาด้วยเลือดคนตาย” ลุงเฉลิมเอ่ยออกมา
“ให้ผมกลับไปส่งที่วัดนะครับลุง” พอทุกอย่างเสร็จสิ้น ในเวลาเกือบพลบค่ำ ผู้กองคมกริชก็อาสาจะไปส่งลุงเฉลิมกลับที่เดิม
“ไม่เป็นไร คุณตำรวจรีบกลับไปเถอะ บอกสารวัตรตะวันด้วยล่ะ ว่าถึงแม้จะถอนตะปูได้ แต่วิญญาณยังไม่ได้รับการปลดปล่อยทั้งหมด ส่วนหนึ่ง มันเอาไปทำพิธีแล้ว ลุงช่วยได้แค่นี้ ไอ้หนูนั่นก็คงเหมือนกัน” ลุงเฉลิมคงหมายถึงแสงอาทิตย์
“แล้วลุงจะกลับยังไงครับ เดี๋ยวผมจะบอกสารวัตร ตามที่ลุงบอก” เขาเป็นห่วงขึ้นมาเพราะระยะทางมันไกลกัน
“อย่าห่วง รีบไปเถอะ คืนนี้ ถ้าทัน มันจะตรึงตะปูไม่สำเร็จ” สิ่งที่ลุงเฉลิมพูดทำให้ผู้กองคมกริชหันขวับ
“หมายถึงอะไรครับลุง มันจะมีคนตายคืนนี้เหรอครับ” เขาถามด้วยเสียงที่ตื่นๆ
“ลุงบอกอะไรไม่ได้หรอกนะ ทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ ไปล่ะ” พูดจบ แกก็ลงจากรถเดินหันหลังทันที ผู้กองคมกริชดับเครื่องแล้วมัวแต่ปลดเข็มขัด พอลงรถมาทั้งท้องถนนเส้นเล็กๆ ที่ออกมาจากโคกหนองนา ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตใดๆ เขาขยี้ตาแล้วหันซ้ายหันขวา ไม่แน่ใจอีกวิ่งออกไปดูรอบๆ จนมั่นใจว่าลุงเฉลิมแกไม่ได้เป็นลมล้มพับไป ไม่มีร่องรอย ผู้กองคมกริชรีบกลับขึ้นมาบนรถ ด้วยชนที่ลุกชูชันทั่วสรรพางค์กาย
“อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย
“เขาไม่ได้ตายมาก่อนหน้านี้ นี่ไม่ใช่การอำพราง แต่มันคือการเผาเขาทั้งเป็น โอ ตะวัน มันโหดร้ายมาก เขาโกรธแค้น เขาไม่ยอม” ชายหนุ่มสูงเพรียว สวมแว่นสายตาหนาเตอะ หลับตานิ่งเปลือกตานั้นกรอกไปมาเหมือนว่าการหลับตาไม่ได้ช่วยให้เขาปิดจอภาพได้เลย ภาพที่เขาเห็นผ่านสัมผัสพิเศษหรือ ตาที่สามนั้น คือร่างของชายรูปร่างสูง ตัวดำไหม้เกรียม เขาปรากฏร่างในสภาพที่เขาตาย “เขาบอกได้ไหม ว่าใคร” สารวัตรหนุ่มถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น “เขาบอกไม่ได้ มันผิดกฎ” กฎที่ว่าคือกฎหลังความตาย วิญญาณไม่สามารถจะเอ่ยปากบอกว่าตัวเขาเองตายโดยใคร กรรม มันคือการฝืนกรรม “เห็นอะไรอีก ทิตย์” เขาร้อนใจ “ของกิน เหล้า เขาไม่มีพลังแล้วตะวัน” ทั้งสองสนทนากันผ่านสายโทรศัพท์ สารวัตรหนุ่มมีหูฟังไร้สายเสียบไว้ที่หูด้านขวา ส่วนหนุ่มแว่นหนาเปิดลำโพงเพราะเขากำลังใช้สมาธิเพ่ง ไม่นานภาพเหล่านั้นก็จางหายไป เขาถอนออกจากสมาธิแล้วหายใจหอบ พลังงานที่ใช้ไปทำให้เขาแทบทรุด ทุกครั้งเขาจะไม่ได้ใช้พลังหากว่าเพียงแค่เห็น แต่ครั้งใดที่เขาต้องการที่จะสื่อสาร เขาจะสูญเสียพลังงานไปอย่างรวดเร็ว
ป่ายางที่ครึ้มจนแสงแดดส่องลงถึงพื้นได้เพียงรำไร ด้านล่างหญ้าถูกตัดจนเตียน มองเข้ามาเห็นต้นยางเรียงรายกันเป็นระเบียบ สวยงาม เขียวขจี ทว่าลึกเข้าไป มีกองขี้เถ้ากองใหญ่ที่เหมือนจะเพิ่งถูกสายฝนชะให้มอดเชื้อลงไม่นาน ความสวยงามเมื่อครู่มลายหายสิ้น เพราะกองขี้เถ้านั้นมันคือการเผาคนโดยวิธีนั่งยาง จากรายงานที่สารวัตรหนุ่มได้รับ เขาและลูกทีมต้องมาที่นี่ เพราะคดีนี้ปิดยังไม่ได้ แม้จะผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วก็ตาม ด้วยหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ ไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าใครคือผู้ต้องสงสัย เพราะผู้ตาย ตามประวัติมีเรื่องกับเขาไปทั่ว นักเลงนั่นเอง สายสืบจากหน่วยงานสืบสวนกลางจึงได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ลงพื้นที่ ลูกทีมทั้งห้านายแยกกำลังกัน บางนายก็เดินตรวจบริเวณโดยรอบ รอยเท้า รอยรถ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พบในที่เกิดเหตุ ที่จริงคือหลักฐาน ทว่าผ่านมาเป็นสัปดาห์ขนาดนี้ รอยเหล่านั้นคงมาจากทีมสืบสวนชุดแรกที่เข้ามาเก็บหลักฐาน และฝนก็ได้ชะล้างออกหมดแล้ว สารวัตรหนุ่มหล่อ ผู้ที่ได้ฉายาว่าสายสืบผู้หยั่งรู้ เพราะไม่มีคดีไหนที่ว่ายากแล้วเขาจะสืบไม่ได้ เขาปิดได้ทุกคดี ร. ต. อ. แสงตะวัน พิริยลักษณ์ สารวัตรหนุ่มผู้มีอนาคตไกล เขาเพ
“เป็นอะไรไปลูก วิ่งหน้าตาตื่นเชียว” แสงเดือนแม่ของแสงตะวันร้องทัก เธอกำลังง่วนอยู่ในครัวกำลังเตรียมอาหารเย็นไว้ให้สามีและผู้เป็นลูก “มะ ไม่มีอะไรครับแม่ พ่อยังไม่กลับเหรอครับ” เขาแกล้งทำตัวให้เป็นปกติทั้งที่ขนลุกชันทั่วทั้งร่าง เขาไม่เคยเชื่อที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แม้ในใจลึกๆก็แอบเอนเอียงบ้าง เพราะบิดาเป็นผู้พร่ำสอน “เป็นตำรวจสายสืบ บางทีมันก็ต้องพึ่งพาสิ่งที่เรามองไม่เห็น ยังมีอีกหลายอย่าง ที่มนุษย์อย่างเรา จินตนาการไปไม่ถึงหรอกนะตะวัน” คำสอนของพ่อเขาเคยบอกไว้ ตอนที่เห็นพ่อกำลังกุมบางอย่างไว้ในมือ แล้วยกขึ้นพนม สวดคาถาเป่าออกมาก่อนจะออกไปทำงาน “น่าจะกลับเร็วๆนี้ล่ะ โรงเรียนใหม่เป็นยังไงบ้างลูก มีเพื่อนใหม่หรือยัง” เธอหันมาถามเพราะกำลังปรุงอาหารในหม้ออยู่ “ก็ดีครับ เพื่อนที่นี่ดูเข้าหาง่ายกว่าในเมือง” เขาตอบและกำลังคิดถึงเรื่องที่เพิ่งจะผ่านมาเมื่อครู่ เสียงหัวเราะ ต้นไม้ที่ไหวเหมือนมันเขย่าวิ่งตามรถของเขานั้น มันคือลมประเภทไหนกันนะ แล้วด้านหลังจากที่มองกระจก ทำไมมันนิ่งสนิท มันคืออะไรกันแน่ “แม
สุริยาเป็นคนขับรถไปส่งแสงอาทิตย์ที่บ้าน เขาไม่ยอมให้แสงตะวันเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ เพราะเขาเชื่ออย่างที่แสงอาทิตย์บอก เชื่อทุกคำ เพราะนี่มันคือตำหนิของอาชีพของเขา ไม่มีวันลืม สายสืบที่มีฝีมือฉกาจอย่างเขา แม้จะมีผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่าเป็นคนออกคำสั่ง แต่ด้วยความไม่ละเอียดของเขาเอง ผู้ต้องหาฆ่าตัวตาย และหลังจากนั้นความจริงถึงกระจ่าง ว่าเขาบริสุทธิ์ และเป็นเขาเองที่กลับไปสืบ แต่มันสายไปแล้ว มันยุติธรรมกับประสิทธิ์แล้วหรือ เขาโดนสั่งย้ายทันที หลังจากที่เขานำความจริงออกมารายงานเบื้องสูง ผู้บังคับบัญชาสายตรงได้สั่งห้ามเขาแล้ว ปล่อยให้เรื่องเงียบไปเสีย แต่เขาทำไม่ได้ “ยังไม่นอนกันอีกเหรอ” เขากลับเข้าบ้านมาค่อนข้างดึก เพราะเขาจอดรถคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่หน้าซอยเข้าบ้าน แสงเดือนและแสงตะวันยังคงนั่งรอเขา สายตาทั้งสองที่มองมา ต้องการฟังจากปากของเขา “มันเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจพ่อมาโดยตลอด ที่โดนคำสั่งย้ายมานี่ ก็เพราะเรื่องนี้ล่ะ” เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเล่าออกมา “คดีมันปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ” แสงเดือนถาม “ใช่ แต่มันไม่ถูก คนร้ายตัว
“ไม่อร่อยเหรอตะวัน ทำไมมองแต่หน้าเรา” เสียงทักของแสงอาทิตย์ทำให้เขาตื่นจากภวังค์ เขายิ้ม “อร่อยสิ คิดถึงทิตย์ล่ะ” “หือ ก็นั่งอยู่นี่ไง” แสงอาทิตย์ขมวดคิ้วแล้วยกนิ้วขึ้นขยับแว่น เวลาเขาเขินเขามักจะขยับแว่นตาแก้เขิน “เปล่า คิดถึงอดีต” แสงอาทิตย์พยักหน้า “เรื่องอะไรเหรอ” “ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน” แสงอาทิตย์ขยับแว่นหลายที บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้ “ตะวันว่างเหรอ ถึงได้คิดถึงเรื่องเก่าๆ หรือมีอะไรป่ะ” เสียงที่ถามนั้นดูไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก “ไม่มีอะไร ก็คิดถึงขึ้นมาไง แล้วงานเป็นไงบ้างช่วงนี้” แสงตะวันตักข้าวเข้าปาก สายตายังคงจับที่ใบหน้าของแสงอาทิตย์ แว่นหนานั้นเหมือนจะปิดบังดวงตากลมโตของเขา ดวงตาที่มีวงรัศมีสองชั้น ดวงตาที่พิเศษ แสงอาทิตย์รู้สึกเขิน จึงลุกเข้าไปในครัวเพื่อหยิบเอาบางอย่างแก้เขิน “มีรายงาน พบศพผู้เสียชีวิตที่บ้านร้าง ย่านมีนบุรี สภาพศพเปลือยกายและถูกพันธนาการด้วยเชือก ส่วนสาเหตุการตาย คาดว่าผู้ตายน่าจะขาดอากาศหายใจ และโดนทรมานก่อนที่จะสิ้นใจ ความคืบหน้า ทีมข่าวของเราจะติดตามต่อไปค
บ้านเช่าหลังเล็กแถวย่านอ่อนนุช ด้านในบ้านถูกตกแต่งใหม่หมด ให้มีสภาพเป็นออฟฟิศ นอกจากนทีผู้เป็นเจ้าของ และแสงอาทิตย์ที่เป็นมือหนึ่งแล้ว ยังมีมณีรุ่นพี่ของนทีอีกคน และมนฤดีเพื่อนรุ่นพี่ของมณีอีกที ทั้งออฟฟิศมีพนักงานแค่สี่คน แต่ตอนนี้กำลังจ้างพนักงานตรวจสอบบัญชีชั่วคราว จ้างเป็นวันๆไป ส่วนมากที่รับคือนักศึกษาที่เพิ่งจบ แต่ยังหางานไม่ได้ เพราะงานที่รับไว้มันเกินมือของทั้งสี่คนมาก “พี่มนกับอาทิตย์ ตรวจแผนกบัญชีนะ ส่วนผมจะดูจัดซื้อ ส่วนพี่มณีดูฝ่ายบริหาร ส่วนแผนกอื่น ให้น้องๆช่วยตรวจเอกสาร เราค่อยหอบเอามาตรวจที่นี่” นทีแจงงานในห้องประชุม มีตัวแทนของพนักงานชั่วคราวเข้าร่วมประชุมด้วย เนื่องด้วยเป็นบริษัทใหญ่ การตรวจจะต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่ทำสัญญากัน “เลิกงานแล้วไปเดินบิ๊กซีกันไหม” มณีเป็นคนชวน “ไม่เอาพี่ วันนี้ผมต้องเตรียมเอกสาร น่าจะเกือบโต้รุ่งโน่นล่ะ” นทีโอดครวญ “ไปๆ พี่จะแวะซื้อขนมปังพอดี ไปด้วยกันนะอาทิตย์” มนฤดีหันมาชวนแสงอาทิตย์ ที่กำลังเก็บของบนโต๊ะ “ได้พี่ วันนี้เลิกเร็ว กลับห้องไป
“มันยังมีอยู่เหรอวะ เรื่องแบบนี้” จ่าอินโพล่งขึ้นตอนที่ขับรถกลับสำนักงาน ทั้งสามคนมีสีหน้าที่เคร่งเครียด จ่าหนุ่มขับรถกลับไปคนเดียว และกำลังขับตามกันมานี่เอง “นั่นสิ ผมไม่คิดว่าผมจะตาฝาดหรอกนะ นี่มันพศ.ไหนแล้ว” ผู้กองคมกริชเอง ก็พยายามหาเหตุผลมาหักล้างกับสิ่งที่ตาเห็น “แต่เห็นพร้อมกันสี่คน ผมว่ามันไม่น่าจะเป็นอะไรที่หาเหตุผลมาหักล้างได้ง่ายๆหรอกครับ บางอย่างที่เราไม่คิดว่ามี แต่มันอาจจะมีก็ได้นี่ครับ” แสงตะวันเอ่ยออกมาเสียงเรียบ นั่นยิ่งทำให้ทั้งสองคนขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล “จ่าขอรายงานด้วยครับ ผมขอดูก่อน” พอไปถึงสำนักงาน เขาก็เดินไปที่โต๊ะของจ่าหนุ่ม แฟ้มรายงานสรุปคดีเบื้องต้น เขากวาดตาอ่านอย่างละเอียด ใช่ มันบอกได้เท่านี้จริงๆ รายงานทั้งหมด มีเพียงข้อมูลของผู้ตาย ส่วนคนร้าย มีเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น เขาเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม แล้วเดินเอาแฟ้มไปไว้ในห้องของรองผู้กำกับ “เอ๊ะ นั่นทิตย์นี่ วันนี้เลิกงานค่ำเหรอ” สามทุ่มกว่า แสงตะวันขับรถกลับห้องชุดที่ซื้อไว้ ก่อนจะถึงเขาเห็นแสงอาทิตย์ เหมือนกำลังเดินเขาจึงตีไฟแ
“อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย
ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา “นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร “เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลง
“อ้าวผู้กอง ไปเอาผลชันสูตรถึงไหนครับเนี่ย” ทันทีที่ผู้กองคมกริชกลับเข้าไปในสำนักงาน จ่าหนุ่มก็เอ่ยแซวขึ้นทันที เพราะนี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว “พอดีไปธุระมานิดหน่อยน่ะจ่า สารวัตรครับ นี่ผลตรวจครั้งที่สองครับ” เขาวางแฟ้มไว้ต่อหน้าแสงตะวัน เขาหันมาพยักหน้า ตาเริ่มโหลลึกเพราะนอนน้อยกันทุกคน “วันนี้ผมเหมือนจะเจอเพื่อนสารวัตรด้วยนะครับ” เขาเอ่ยแล้วยิ้ม สายตาจ้องมองอยู่ ว่าแสงตะวันจะมีปฏิกริยายังไง ได้ผล เขาหันขวับทันที “ใคร เพื่อนคนไหน” เสียงนั้นห้วนจนเหมือนตวาด “เอ่อ คุณอาทิตย์น่ะครับ พอดีบังเอิญเจอที่หน้าตึก ที่แกไปทำงาน” แสงตะวันหน้าเปลี่ยนสี “รู้จักกันได้ยังไง” เขาจ้องจนบรรยากาศไม่ดี เขาเหมือนจะรู้ตัว เขาจึงลุกขึ้น “ผู้กอง คุยกันหน่อยสิ” เขาเดินออกไปทันที ผู้กองคมกริชอมยิ้มด้วยความบรรลุเป้าหมาย สองจ่านั่งมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น “ครับ สารวัตร” ผู้กองคมกริชเดินตามออกไปหน้าตึก แสงตะวันยืนปักหลักหันหลังเหมือนยักษ์ เขาหันหน้ากลับมา “คุณไปรู้จักเพื่อนผมได
“รอยกรีดรูปดาวนี่ มันน่าจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง ของฆาตรกรนะครับ” ผู้กองคมกริชเอ่ยขึ้น หลังจากที่หันหน้าเข้าจอ เขาพิจารณาอยู่นานจากการดูแฟ้มภาพ รายแรกอยู่ที่ข้อเท้า รายล่าสุดอยู่ที่หลังหู “รอยสักไงครับ” แสงตะวันเอ่ยขึ้น “รอยสัก เฮ้อ มันไม่ได้ตามง่ายๆเลยนะ คนเขาสักทั่วบ้านทั่วเมือง ยิ่งรูปดาว ไม่ใช่รูปที่เฉพาะเจาะจงอะไรด้วย” ผู้กองคมกริชถอนหายใจออกมา “รอยรองเท้า จากรูปนี่เป็นคอมแบตทหารเบอร์ ๑๐ ครับ ไม่ใช่ตราของกองทัพ น่าจะซื้อตามตลาดหรือไม่ก็เว็บไซต์” จ่าอินหันมารายงาน “เอาเข้าไป แต่ละอันที่เราได้มา มันคนละทิศคนละทาง เราจะหาจุดเชื่อมโยงยังไงล่ะทีนี้” แสงตะวันเอนหลังพิงพนักแรงๆ “แล้วประวัติล่ะจ่าหนุ่ม ได้หรือยัง” เขาหันไปทางจ่าหนุ่ม “ยังไม่มีความคืบหน้า จากที่ได้มาครับ เวบไซต์ของโรงเรียนไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก พรุ่งนี้ผมคงต้องไปแต่เช้า” “อย่าลืมร่างรายงานไว้ด้วยนะ รองน่าจะเรียกหาเร็วๆนี้ล่ะ” เขาทำเสียงหงุดหงิด เมื่อเอ่ยถึงผู้บังคับบัญชา “รองก็น่าจะรู้ ว่าม
จุดเกิดเหตุคือโคกหนองนา ผู้แจ้งเหตุคือเจ้าของที่ มีไทยมุง นักข่าวมุง ผู้คนมากมายออกันอยู่เต็มพื้นที่ เจ้าหน้าที่ของสภ.ต่างกันคนไม่ให้เข้า ศพเพิ่งถูกเคลื่อนย้ายไป ทีมของแสงตะวันต้องจอดรถไว้บนถนนไกลพอสมควร “นี่เขามีงานบุญกันหรือไง ไม่รู้เหรอว่ามันมีคนตาย” จ่าหนุ่มบ่นออกมา “สวัสดีครับ ผม ร.ต.อ. แสงตะวัน พิริยะลักษณ์ จากสำนักงานสืบสวนกลาง ได้รับมอบหมายให้มาดูแลคดีนี้ครับ” แสงตะวันรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ ที่ดูจากยศน่าจะสูงสุด “สวัสดีครับสารวัตร ผม ร.ต.ต. สุรวุฒิ คงมี มีหน้าที่ดูแลคดีนี้ครับ เชิญสารวัตรทางนี้ครับ” หลังจากนั้นก็เดินตามผู้หมวดเข้าไปในพื้นที่ จ่าหนุ่มและผู้กองคมกริช รายงานตัวต่อหน้าทีมที่มากับผู้หมวดอีกครั้ง “พบศพตอนเวลา ๗ น. โดยประมาณ ผู้แจ้งคือเจ้าของที่ คนไหนครับ” แสงตะวันอ่านในรายงานแล้วเงยหน้าขึ้น “ผมครับ เจ้าของที่” คุณลุงที่ยกมือขึ้น แล้วเดินเข้ามาใกล้ เขามีสีหน้าที่หวาดกลัว ท่างยังคงตื่นกลัวอยู่มาก “คุณลุง” “ภิรมย์ครับ ผมชื่อภิรมย์” เขาแนะนำตัว แสงตะวันพยักหน้า “คุณ
“มันยังมีอยู่เหรอวะ เรื่องแบบนี้” จ่าอินโพล่งขึ้นตอนที่ขับรถกลับสำนักงาน ทั้งสามคนมีสีหน้าที่เคร่งเครียด จ่าหนุ่มขับรถกลับไปคนเดียว และกำลังขับตามกันมานี่เอง “นั่นสิ ผมไม่คิดว่าผมจะตาฝาดหรอกนะ นี่มันพศ.ไหนแล้ว” ผู้กองคมกริชเอง ก็พยายามหาเหตุผลมาหักล้างกับสิ่งที่ตาเห็น “แต่เห็นพร้อมกันสี่คน ผมว่ามันไม่น่าจะเป็นอะไรที่หาเหตุผลมาหักล้างได้ง่ายๆหรอกครับ บางอย่างที่เราไม่คิดว่ามี แต่มันอาจจะมีก็ได้นี่ครับ” แสงตะวันเอ่ยออกมาเสียงเรียบ นั่นยิ่งทำให้ทั้งสองคนขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล “จ่าขอรายงานด้วยครับ ผมขอดูก่อน” พอไปถึงสำนักงาน เขาก็เดินไปที่โต๊ะของจ่าหนุ่ม แฟ้มรายงานสรุปคดีเบื้องต้น เขากวาดตาอ่านอย่างละเอียด ใช่ มันบอกได้เท่านี้จริงๆ รายงานทั้งหมด มีเพียงข้อมูลของผู้ตาย ส่วนคนร้าย มีเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น เขาเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม แล้วเดินเอาแฟ้มไปไว้ในห้องของรองผู้กำกับ “เอ๊ะ นั่นทิตย์นี่ วันนี้เลิกงานค่ำเหรอ” สามทุ่มกว่า แสงตะวันขับรถกลับห้องชุดที่ซื้อไว้ ก่อนจะถึงเขาเห็นแสงอาทิตย์ เหมือนกำลังเดินเขาจึงตีไฟแ
บ้านเช่าหลังเล็กแถวย่านอ่อนนุช ด้านในบ้านถูกตกแต่งใหม่หมด ให้มีสภาพเป็นออฟฟิศ นอกจากนทีผู้เป็นเจ้าของ และแสงอาทิตย์ที่เป็นมือหนึ่งแล้ว ยังมีมณีรุ่นพี่ของนทีอีกคน และมนฤดีเพื่อนรุ่นพี่ของมณีอีกที ทั้งออฟฟิศมีพนักงานแค่สี่คน แต่ตอนนี้กำลังจ้างพนักงานตรวจสอบบัญชีชั่วคราว จ้างเป็นวันๆไป ส่วนมากที่รับคือนักศึกษาที่เพิ่งจบ แต่ยังหางานไม่ได้ เพราะงานที่รับไว้มันเกินมือของทั้งสี่คนมาก “พี่มนกับอาทิตย์ ตรวจแผนกบัญชีนะ ส่วนผมจะดูจัดซื้อ ส่วนพี่มณีดูฝ่ายบริหาร ส่วนแผนกอื่น ให้น้องๆช่วยตรวจเอกสาร เราค่อยหอบเอามาตรวจที่นี่” นทีแจงงานในห้องประชุม มีตัวแทนของพนักงานชั่วคราวเข้าร่วมประชุมด้วย เนื่องด้วยเป็นบริษัทใหญ่ การตรวจจะต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่ทำสัญญากัน “เลิกงานแล้วไปเดินบิ๊กซีกันไหม” มณีเป็นคนชวน “ไม่เอาพี่ วันนี้ผมต้องเตรียมเอกสาร น่าจะเกือบโต้รุ่งโน่นล่ะ” นทีโอดครวญ “ไปๆ พี่จะแวะซื้อขนมปังพอดี ไปด้วยกันนะอาทิตย์” มนฤดีหันมาชวนแสงอาทิตย์ ที่กำลังเก็บของบนโต๊ะ “ได้พี่ วันนี้เลิกเร็ว กลับห้องไป
“ไม่อร่อยเหรอตะวัน ทำไมมองแต่หน้าเรา” เสียงทักของแสงอาทิตย์ทำให้เขาตื่นจากภวังค์ เขายิ้ม “อร่อยสิ คิดถึงทิตย์ล่ะ” “หือ ก็นั่งอยู่นี่ไง” แสงอาทิตย์ขมวดคิ้วแล้วยกนิ้วขึ้นขยับแว่น เวลาเขาเขินเขามักจะขยับแว่นตาแก้เขิน “เปล่า คิดถึงอดีต” แสงอาทิตย์พยักหน้า “เรื่องอะไรเหรอ” “ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน” แสงอาทิตย์ขยับแว่นหลายที บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้ “ตะวันว่างเหรอ ถึงได้คิดถึงเรื่องเก่าๆ หรือมีอะไรป่ะ” เสียงที่ถามนั้นดูไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก “ไม่มีอะไร ก็คิดถึงขึ้นมาไง แล้วงานเป็นไงบ้างช่วงนี้” แสงตะวันตักข้าวเข้าปาก สายตายังคงจับที่ใบหน้าของแสงอาทิตย์ แว่นหนานั้นเหมือนจะปิดบังดวงตากลมโตของเขา ดวงตาที่มีวงรัศมีสองชั้น ดวงตาที่พิเศษ แสงอาทิตย์รู้สึกเขิน จึงลุกเข้าไปในครัวเพื่อหยิบเอาบางอย่างแก้เขิน “มีรายงาน พบศพผู้เสียชีวิตที่บ้านร้าง ย่านมีนบุรี สภาพศพเปลือยกายและถูกพันธนาการด้วยเชือก ส่วนสาเหตุการตาย คาดว่าผู้ตายน่าจะขาดอากาศหายใจ และโดนทรมานก่อนที่จะสิ้นใจ ความคืบหน้า ทีมข่าวของเราจะติดตามต่อไปค
สุริยาเป็นคนขับรถไปส่งแสงอาทิตย์ที่บ้าน เขาไม่ยอมให้แสงตะวันเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ เพราะเขาเชื่ออย่างที่แสงอาทิตย์บอก เชื่อทุกคำ เพราะนี่มันคือตำหนิของอาชีพของเขา ไม่มีวันลืม สายสืบที่มีฝีมือฉกาจอย่างเขา แม้จะมีผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่าเป็นคนออกคำสั่ง แต่ด้วยความไม่ละเอียดของเขาเอง ผู้ต้องหาฆ่าตัวตาย และหลังจากนั้นความจริงถึงกระจ่าง ว่าเขาบริสุทธิ์ และเป็นเขาเองที่กลับไปสืบ แต่มันสายไปแล้ว มันยุติธรรมกับประสิทธิ์แล้วหรือ เขาโดนสั่งย้ายทันที หลังจากที่เขานำความจริงออกมารายงานเบื้องสูง ผู้บังคับบัญชาสายตรงได้สั่งห้ามเขาแล้ว ปล่อยให้เรื่องเงียบไปเสีย แต่เขาทำไม่ได้ “ยังไม่นอนกันอีกเหรอ” เขากลับเข้าบ้านมาค่อนข้างดึก เพราะเขาจอดรถคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่หน้าซอยเข้าบ้าน แสงเดือนและแสงตะวันยังคงนั่งรอเขา สายตาทั้งสองที่มองมา ต้องการฟังจากปากของเขา “มันเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจพ่อมาโดยตลอด ที่โดนคำสั่งย้ายมานี่ ก็เพราะเรื่องนี้ล่ะ” เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเล่าออกมา “คดีมันปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ” แสงเดือนถาม “ใช่ แต่มันไม่ถูก คนร้ายตัว