ป่ายางที่ครึ้มจนแสงแดดส่องลงถึงพื้นได้เพียงรำไร ด้านล่างหญ้าถูกตัดจนเตียน มองเข้ามาเห็นต้นยางเรียงรายกันเป็นระเบียบ สวยงาม เขียวขจี ทว่าลึกเข้าไป มีกองขี้เถ้ากองใหญ่ที่เหมือนจะเพิ่งถูกสายฝนชะให้มอดเชื้อลงไม่นาน ความสวยงามเมื่อครู่มลายหายสิ้น เพราะกองขี้เถ้านั้นมันคือการเผาคนโดยวิธีนั่งยาง จากรายงานที่สารวัตรหนุ่มได้รับ เขาและลูกทีมต้องมาที่นี่ เพราะคดีนี้ปิดยังไม่ได้ แม้จะผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วก็ตาม ด้วยหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ ไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าใครคือผู้ต้องสงสัย เพราะผู้ตาย ตามประวัติมีเรื่องกับเขาไปทั่ว นักเลงนั่นเอง สายสืบจากหน่วยงานสืบสวนกลางจึงได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ลงพื้นที่ ลูกทีมทั้งห้านายแยกกำลังกัน บางนายก็เดินตรวจบริเวณโดยรอบ รอยเท้า รอยรถ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พบในที่เกิดเหตุ ที่จริงคือหลักฐาน ทว่าผ่านมาเป็นสัปดาห์ขนาดนี้ รอยเหล่านั้นคงมาจากทีมสืบสวนชุดแรกที่เข้ามาเก็บหลักฐาน และฝนก็ได้ชะล้างออกหมดแล้ว สารวัตรหนุ่มหล่อ ผู้ที่ได้ฉายาว่าสายสืบผู้หยั่งรู้ เพราะไม่มีคดีไหนที่ว่ายากแล้วเขาจะสืบไม่ได้ เขาปิดได้ทุกคดี ร. ต. อ. แสงตะวัน พิริยลักษณ์ สารวัตรหนุ่มผู้มีอนาคตไกล เขาเพิ่งจะได้รับการเลื่อนยศเมื่อสามเดือนที่ผ่านมา ด้วยผลงานที่ประจักษ์แก่ทุกสายตา เขากำลังนั่งยองๆอยู่ไม่ไกลจากกองขี้เถ้าที่หลงเหลือร่องรอยเพียงหน่อยเดียว เขาสวมถุงมือยางเรียบร้อย มือข้างซ้ายถือโทรศัพท์มือถือ เพื่อบันทึกภาพและถ่ายวีดีโอ
“ตามรายงาน ยางรถสิบล้อ ขนาด 11R22.5 จำนวน สามเส้น แสดงว่าคนร้ายต้องใจเย็นมากๆ ถึงได้นั่งเฝ้าจนเหลือเพียงกระดูกกะโหลกและฟันเพียงนิดเดียว” เขารำพึงออกมา เหมือนว่าเขากำลังพูดอยู่คนเดียว แต่ลูกทีมทั้งสี่นายรู้ดีว่าเขากำลังคุยอยู่กับใคร
“เขามาแล้ว เขาสูงประมาณ ๑๗๕ ซม. ตัวไหม้เกรียม เมา ไม่รู้ตัว ร้อน เขาไม่ได้ถูกฆาตรกรรม แล้วค่อยเอาร่างมาเผานะตะวัน เขาถูกเผาโดยที่เขายังมีชีวิตอยู่” เสียงจากปลายสายร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่เร็ว ตื่นเต้นและหวาดกลัว
“เขาบอกอะไรได้ไหมทิตย์ ใคร” “ไม่ได้ เขาพูดแล้ว แต่เราไม่ได้ยิน เขาไม่มีพลัง” สารวัตรแสงตะวันพยักหน้ารับรู้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทคนนี้ เขาไม่ใช่ตำรวจเขาเป็นเพียงคนธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา แสงอาทิตย์ สกุลผ่อง เพื่อนสนิทที่รู้ใจเขาที่สุด นับจากเรียนชั้นมัธยมต้น เขายังจำภาพของแสงอาทิตย์ในวันแรกที่เจอได้ดี เด็กชายรูปร่างผอมตัวสูงแต่ไม่เท่าเขา
“นี่นาย” เสียงทักมาจากทางเข้าโรงเรียน วันนี้เป็นวันแรกที่แสงตะวันต้องเข้ามาเรียนที่โรงเรียนประจำตำบลนี้ โรงเรียนขนาดเล็กถึงกลาง มีนักเรียนเพียงห้าร้อยกว่าคนเกือบหกร้อยได้ เปิดรับนักเรียนมัธยมต้นถึงมัธยมปลาย ถนนหน้าโรงเรียนเป็นถนนคอนกรีต ป้ายชื่อของโรงเรียนที่ทำเป็นอักษรนูนสูงตัวใหญ่ บอกชื่อสถานศึกษา ทางเข้าเป็นเส้นตรงมีถนนแยกเลนกันชัดเจน ตรงกลางปลูกไม้ดอกจำพวกเฟื่องฟ้าออกดอกหลากสี มองไปเห็นอาคารและเสาธงตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ ระหว่างทางเข้าทั้งสองฝั่งมีต้นอโศกปลูกเรียงกันเป็นแถว ที่เขาต้องย้ายโรงเรียนกลางเทอมเช่นนี้ ก็เพราะบิดาเป็นตำรวจสายสืบ เขาถูกสั่งย้ายเพราะภารกิจล่าสุดล้มเหลว สถานที่กันดารห่างไกลความเจริญเช่นนี้จึงเป็นจุดหมายปลายทาง แสงตะวันไม่รู้สึกแปลก เพราะเขาย้ายโรงเรียนบ่อยจนไม่มีเพื่อสนิทแม้แต่คนเดียว เขาหันซ้ายขวา เพราะไม่แน่ใจว่าไอ้เด็กแว่นนี้เรียกใคร
“นายนั่นล่ะ” สายตาที่มองผ่านแว่นตาหนามามันดูหวาดๆพิกล
“ฉันเหรอ” เขาพยักหน้ารับ
“มีคนตามนายมานะ” “ใคร” เขาถามกลับทันที ไม่มีใครมาส่งเขา พ่อต้องเข้าไปรายงานตัวที่สถานี ก่อนที่เขาจะออกจากบ้านเช่าเสียอีก ส่วนแม่ก็เป็นแม่บ้าน เขาไม่มีใครไปรับไปส่งที่โรงเรียนตั้งแต่ ป.๑ แล้ว
“ไม่ใช่คน เขาเกาะบ่านายอยู่” “ไอ้บ้า มึงเป็นบ้าเหรอวะ หน้าตาก็เหมือนโรคจิต ดูหนังเยอะไปไหม” เขาสบถออกมาทันที วันแรกที่โรงเรียนบ้านนอก กับความรู้สึกที่น่าผิดหวัง แสงตะวันรีบเดินเข้าไปในโรงเรียน
“เราเห็นจริงๆนะ นาย” “ถ้าบ้าก็ไปโรงบาล จะมาโรงเรียนทำไม” เขารู้สึกโมโหจึงหันกลับมา
“นายประสิทธิ์ พิกุล” แทนที่เด็กแว่นนั้นจะกลัวเขา แต่สายตาของเขาเหมือนมองอยู่ที่บ่าของแสงตะวันตลอดเวลา เขาเอ่ยชื่อออกมา ใคร แสงตะวันไม่รู้สึก ไอ้นี่ถ้าจะบ้า เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าความประทับใจแรกในโรงเรียนใหม่แห่งนี้ มันคือการที่เขาต้องมาเจอกับคนบ้าเป็นคนแรก
“ปัญญาอ่อน” เขาเดินหันหลังแล้วรีบเดินขึ้นไปบนตึก เพื่อที่จะไปติดต่อที่ห้องวิชาการเรื่องการย้ายเข้ามาเรียนใหม่ พ่อของเขา จ.ส.อ. สุริยา พิริยลักษณ์ ตำรวจสายสืบรุ่นใหญ่ลายครามที่มีประการณ์โชกโชน ได้พาเขามาฝาก และทำเรื่องย้ายเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวาน เขาเดินตามครูประจำชั้นเพื่อที่จะไปเรียนที่ห้องใหม่ หลังเข้าแถวเสร็จ
“นักเรียนคะ วันนี้เรามีเพื่อนใหม่ เพิ่งย้ายมาเรียนกับเรา แนะนำตัวสิจ๊ะ” ครูประจำชั้นหันไปหาแสงตะวัน เขาเห็นท่าทางของเพื่อนในห้องที่มองเขาเป็นตาเดียว ตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินตามครูประจำชั้นเข้ามาแล้ว เขาไม่ประหม่าเพราะมันชิน อีกอย่างเขาอยากเป็นตำรวจสายสืบเหมือนพ่อ ทุกการสังเกตเขาจึงซึมซับมันมาตั้งแต่เด็ก
“ผมชื่อ แสงตะวัน พิริยลักษ์ ชื่อเล่นตะวัน ยินดีที่ได้รู้จักทุกคน ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ” เขาเปล่งเสียงดังชัดเจน สายตาดูนิ่งมองไปรอบๆ แล้วสายตาก็มาหยุดกึกอยู่ที่คนคุ้นตา ให้ตายเถอะ เขาสบถในใจ เพราะเด็กแว่นคนที่ทำให้บรรยากาศในที่ใหม่ของเขาเสีย ดันมาเรียนห้องเดียวกับเขาอีก
“ตายจริง นี่แสดงว่าห้องเรามีดวงอาทิตย์สองดวงแล้วสิ ร้อนแรงมาก” ครูประจำชั้นแซว แล้วเพื่อนๆก็หัวเราะฮือฮาขึ้นมา ครูประจำชั้นบอกให้แสงตะวันไปนั่งที่ว่าง และที่ตรงนั้นคือที่ข้างเด็กชายใส่แว่น
“ดูแลเพื่อนใหม่ด้วยล่ะ นายแสงอาทิตย์ นั่งข้างกันอย่าแผ่รังสีความร้อนใส่กันมากนักล่ะ เพื่อนๆเขาจะทนร้อนไม่ได้ ขอให้แผ่แต่รังสีความอบอุ่นออกมาก็พอแล้ว” เสียงหัวเราะชอบใจของเพื่อนดังไม่หยุด แสงตะวันรู้สึกไม่สบอารมณ์ เพราะทุกคนทำให้เขาดูเหมือนว่าเขาเป็นตัวตลก ไอ้แว่นนี่อีก สายตาที่มองมาเหมือนว่าเขากลัว และไม่มองหน้าเขาแต่มองไปที่บ่า
“เขาจะทำให้นายเจ็บ” เขาเอ่ยออกมาอย่างหวาดๆ
“มึงเป็นบ้าหรือไงวะ นี่คือวิธีทักทาย คนที่มึงไม่รู้จักเหรอ ไอ้บ้าเอ้ย” เขาตวาดออกมา ทุกเสียงในห้องเงียบกริบ หันมามองเป็นตาเดียว ครูประจำชั้นเดินออกไปสักพักแล้ว สายตาของแสงตะวันถมึงทึงใส่แสงอาทิตย์ เขาหงุดหงิดและไม่พอใจมาก
“ไอ้ทิตย์มันไปว่าอะไรเขาวะ ด่าซะแรงเลย” เพื่อนในห้องเอ่ยขึ้น
“ไม่ใช่ว่ามันเห็นอะไรอีกนะ อึ๋ยย ขนลุก” “มันบอกว่ามันไม่เห็นมานานแล้วนี่ อย่าบอกนะ” เสียงซุบซิบดังขึ้น สายตาทุกคู่มองมาที่แสงอาทิตย์ เขาห่อไหล่ลง ความสามารถพิเศษที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ทำให้เพื่อนๆกลัวที่จะคบกับเขา เพราะกลัวว่าเขาจะเอ่ยทักเรื่องที่ไม่อยากได้ยินขึ้น เขาจึงไม่มีเพื่อน แต่พอเวลาเดือดร้อนขึ้นมาจริงๆ เขาก็เป็นตัวเลือกแรกที่เพื่อนจะวิ่งเข้าหา แสงตะวันสังเกตสายตาของเพื่อนๆ และคำซุบซิบ เขาเบนสายตามาที่แสงอาทิตย์ ยิ่งเห็นหน้ายิ่งรู้สึกไม่ชอบใจ เขาจึงเดินออกจากห้องโดยไม่เรียน
“บังเอิญบ้าอะไรวะ ชื่อดันมาเหมือนกันอีก” เขาบ่นออกมา เขานั่งอยู่ที่ใต้ร่มไม้ใหญ่
“ทำไมพ่อย้ายให้มาเรียนโรงเรียนบ้านป่า อย่างนี้ด้วยนะ ไม่เห็นจะมีอะไรที่น่าสนใจเลย แล้วนี่จะสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยได้ไหมเนี่ย” จุดประสงค์หลักของเขา คือการได้เป็นตำรวจตามรอยผู้เป็นพ่อ เขาอยากทำงานสายสืบเพราะชอบส่วนตัว และมีแบบอย่างที่ดีจากพ่อ
“เปรี๊ยะ โครม” เสียงกิ่งไม้หักดังมาจากบนหัว เขาเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็ต้องรีบกระโจนออกจากใต้ร่มไม้ กิ่งไม้ขนาดเขื่องที่ไม่มีแม้แต่ลม มันดันหักและกำลังร่วงลงมาจุดที่เขานั่งพอดี เขากลิ้งไปกับพื้นฝุ่นคลุ้งกระจาย นี่ถ้าเขากระโดดออกมาไม่ทัน มีหวังได้เข้าโรงพยาบาลแน่นอน นี่ยิ่งทวีความหงุดหงิดในใจของเขาเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว เขาเดินกลับเข้าไปในห้อง ตอนหมดคาบวิชา
“สวัสดี ตะวัน นายเป็นลูกของตำรวจ ที่เพิ่งย้ายมาใหม่เหรอ เราชื่อบอสนะ เป็นลูกกำนัน” เพื่อนเข้ามาทักทาย เขาก็ทักทายกลับแต่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แปลกที่เขาเหล่สายตาไปที่เด็กชายแว่นหนา ที่นั่งก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่
“เลิกเรียนแล้ว พวกนายทำอะไรกัน” แสงตะวันหันไปถาม
“ก็เล่นบอล เล่นด้วยกันไหม โรงเรียนเขากำลังจะฟอร์มทีมรุ่นอายุ ๑๕ ปี พวกเราไปเล่นกับรุ่นพี่ได้” แสงตะวันสนใจเพราะเขาต้องวิ่งทุกวันเพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรง เพราะสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย ต้องสอบทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ พอเลิกเรียนเขาก็เล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆ
“เฮ้ย พวกมึง มีคนจมน้ำที่บ่อหลังหมู่ ๖” เล่นไปสักครึ่งชั่วโมงก็มีรุ่นพี่ขับรถมอเตอร์ไซค์เข้ามา เสียงตะโกนนั้น ทำให้กิจกรรมกลางสนามหยุดลง โดยเฉพาะแสงตะวัน
“บ่อที่ว่า มันอยู่ตรงไหนวะ ไปยังไง” เขาหันไปถามบอสลูกชายกำนัน
“เส้นหลังโรงเรียนนี่ล่ะ ตรงไปเรื่อยๆก็เจอเอง ผ่านป่าละเมาะไปสองป่า นายจะไปดูเหรอ”
“อือ เขาห้ามเหรอวะ” “ไม่ห้าม แต่นายไม่กลัวหรือไง นั่นคนตายนะ” แสงตะวันไม่ตอบ แต่เขารีบไปฉวยเอากระเป๋า แล้วรีบวิ่งกลับบ้านเพื่อจะเอามอเตอร์ไซค์ที่บ้านไปยังสถานที่เกิดเหตุ
“อย่าเพิ่งไปแตะต้องศพนะ รอตำรวจมาก่อน” เขาใช้เวลาไม่นานก็มาถึงที่เกิดเหตุ มีไทยมุงอยู่จำนวนหนึ่งประมาณ ๒๐ คน ร่างของผู้ตายถูกนำขึ้นมาที่ริมตลิ่ง ร่างนั้นซีดจนเหลือง เขากวาดสายตาไปรอบๆ ไม่มีลักษณะของการต่อสู้ มีเพียงรอยเท้า ซึ่งแยกไม่ออกว่าของผู้ตายหรือคนที่ไปงมศพขึ้นมา ผู้ตายไม่สวมเสื้อ สวมแต่กางเกงยีนส์สีเข้ม ที่ผ่านการใช้งานมานานนมเพราะลักษณะของเนื้อผ้าดูเปื่อยยุ่ย
“เขาไม่ได้จมน้ำตาย เขาถูกวางยา” เสียงที่เอ่ยขึ้นด้านหลังทำให้เขาสะดุ้ง
“เฮ้ย ไอ้บ้า นี่มึงมานี่ด้วยเรอะ” เขาตกใจ เพราะเด็กแว่นหนายืนอยู่ด้านหลังเขา สายตาไม่ได้มองไปที่ศพ แต่มองไปอีกทาง
“มึงว่าอะไรนะ” เขาเห็นว่าเด็กแว่นหนาจะไม่ได้สนใจเขา จึงถามย้ำ
“เขาถูกวางยา แล้วเอามาโยนลงน้ำ” “รู้ได้ไงวะ อย่าบอกนะว่าเห็น ไอ้บ้า” เขาไม่เชื่อ เพราะการที่จะเป็นตำรวจที่เก่งและดีนั้น หลักวิทยาศาสตร์ หลักฐานเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องงมงายพรรค์นี้
“เขาบอก เขายืนอยู่นั่นไง ทองคำ ขวานเงิน” เด็กแว่นหนายังคงเอ่ยออกมาช้าๆ สายตาไม่ได้หวาดกลัวเหมือนตอนที่มองเขา แสงตะวันมองไปตามทางที่สายตาของเด็กแว่นหนามอง ขอบสระที่ไกลจากร่างนอนแน่นิ่งอยู่สิบกว่าเมตรได้
“เพ้อเจ้อ” เขาไม่สนใจ
“ไปดูที่กระท่อมปลายนา ใต้ต้นหว้า” แสงตะวันหันกลับมาทันที
“อะไรอีก เพ้อจนสร้างเรื่องเป็นตุเป็นตะนะมึง ถ้าไม่มีอะไรทำก็กลับบ้านไปอ่านหนังสือไป เกะกะ” เขาสบถ ตำรวจมาถึงพอดี หนึ่งในนั้นคือพ่อของเขา เขาต้องรีบหลบเพราะพ่อของเขาคงต่อว่า ที่เขามาอยู่ในที่เกิดเหตุเช่นนี้
“มึงว่ากระท่อมปลายนา อยู่ตรงไหนนะ พาไปสิ ถ้าไม่จริงนะมึง จะไปบอกทุกคนว่ามึงบ้า เพ้อเจ้อ” แสงอาทิตย์เหลือบสายตาขึ้นจากแว่นหนา เขาไม่ตอบแต่เดินนำไปอีกทาง เดินอยู่สัก ๕๐๐ เมตรก็มีกระท่อมปลายนาตั้งอยู่ ไม่ไกลจากกระท่อมมีต้นหว้าต้นใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขา โคนของต้นหว้าใหญ่ราวสี่คนโอบได้ แสงตะวันรู้สึกประหลาดใจ
“ก็แหงล่ะ มึงคนในพื้นที่นี่” เขาไม่ยอมเชื่อง่ายๆ
“เขาถูกวางยา ในเหล้าขาว” แสงอาทิตย์เอ่ยขึ้นมองไปที่ใต้ต้นหว้า แสงตะวันเดินตรงไปยังใต้ต้นหว้า เขาเดินวนรอบต้น ขวดเหล้าขาวจริงๆด้วย มันวางอยู่ แต่ในนั้นไม่มีเหล้าเหลืออยู่แล้ว สภาพขวดใหม่เหมือนเพิ่งเปิดดื่ม เขาเริ่มตะลึงแต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ
“มีขวดพลาสติกที่ตัดทำเป็นแก้ว” แสงอาทิตย์เพิ่มความดังของเสียงขึ้น แสงตะวันจึงมองหา ไม่มี นั่นไง
“ใกล้กระท่อม ทิศตะวันออก” เขาหันไปมองที่แสงอาทิตย์ ทำเสียงไม่พอใจในลำคอ แต่ก็ลองเดินไปดูตามที่เขาบอก มีขวดพลาสติกตัดเพื่อทำเป็นแก้วจริงๆด้วย เขาก้มลง
“อย่าไปจับ มียานอนหลับยังเหลืออยู่ในแก้ว และในขวดเหล้า” แสงอาทิตย์ตะโกนบอกมา
“บังเอิญอีกล่ะมั้ง” เขาบอกตัวเองเบาๆ
“นี่นาย มาดูรอยลากนี่สิ” เสียงเรียกทำให้แสงตะวันรีบวิ่งไปทันที เขาพยายามมองที่พื้นก่อนจะวิ่ง ว่ามีรอยเท้าหลงเหลืออยู่ไหม
“รอยลากจริงด้วย น้ำหนักของสิ่งที่ลากน่าจะประมาณ ๖๐ ถึง ๗๐ กิโล” เขาวิเคราะห์ทันที
“ทำไมรอยลากมันมาถึงแค่ตรงนี้ล่ะ” “เขาโดนแบกไปไง” แสงอาทิตย์พูดขึ้น
“ทำไมนายรู้” เขาถามเสียงตึง
“ก็เขาบอกอยู่นี่ไง” “ใคร ไหน ใครมาบอก เพ้อเจ้อ มีนายกับเราอยู่แค่สองคน” สรรพนามที่แสงตะวันเรียกแสงอาทิตย์เปลี่ยนไป โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว
“นายคงไม่เชื่อ” “แน่นอน ใครจะเชื่อวะ” แสงตะวันพูดสวน แสงอาทิตย์ถอนหายใจ
“ตอนนี้เขายืนร้องไห้ นายทองคำ ขวานเงิน คนที่ฆ่าเขาอยากได้ที่ดินแปลงนี้ ญาติกัน เขาต้องดูแลแม่ที่ป่วยติดเตียง เขาสงสารแม่ คนร้ายหลอกให้เขามากินเหล้าที่นี่ เขาน่าสงสารมากนะ เพราะมีแค่เขากับแม่ เขา” แสงอาทิตย์หลับตาลง เหงื่อผุดขึ้นเต็มดวงหน้า เขาล้มฟุบลงทันที
“เฮ้ย นาย ไอ้แว่น” แสงตะวันรีบเข้าไปประคองร่างของแสงอาทิตย์ทันที แว่นตาหนาของเขาหลุดออกจากกรอบหน้า หน้าตาของนายแว่นหนานี้อ่อนเยาว์ ผิวเนียนละเอียด แพขนตายาวดำ คิ้วดกหนา สันจมูกเรียวคม ปากซีด
“ตะวัน นั่นตะวันเรอะ” เสียงร้องทักมาทำให้เขาหันไปมอง เขาตกใจจนสะดุ้ง เพราะเสียงนั้นคือพ่อของเขาเอง
“มาทำอะไรที่นี่ พ่อเคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่ามาในที่เกิดเหตุ แล้วนั่นใคร” จ่าสุริยาตรงดิ่งเข้าหาบุตรชาย ด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์ วันแรกที่ได้เข้ารายงานตัว เขาก็มีงานเข้าทันที
“เพื่อนที่โรงเรียน เขาเป็นลม” แสงตะวันรีบรายงาน จ่าสุริยานั่งยองๆลงข้างๆ ตบหน้าของแสงอาทิตย์เบาๆเพื่อเรียกสติ
“ไอ้หนูๆ ไม่มีน้ำด้วยสิ หาอะไรมาพัดให้เพื่อนหน่อย แล้วทำไมตะวันถึงมาอยู่ตรงนี้ล่ะ”
“ผมเห็นว่าตรงนี้มีกระท่อม เลยเดินมาดูครับ พ่อ ผมเจอขวดเหล้าขาวด้วยนะ เหมือนเพิ่งเปิด” เขารีบบอก จ่าสุริยาหูผึ่งทันที
“ไหน ได้จับไหม” “ไม่ได้จับ มีขวดพลาสติกที่ปาดก้นเอาทำแก้วด้วย อยู่ตรงนั้น แล้วก็เหมือนรอยลาก” จ่าสุริยาทำเสียงในลำคอ แล้วรีบเดินตรงดิ่งไปยังจุดที่ลูกชายแจ้ง เขาเดินกลับมาด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
“พอเพื่อนฟื้นแล้ว รีบพากันออกไปจากที่นี่ อย่าบอกใครว่าตะวันเป็นคนเจอ เดี๋ยวพ่อจัดการเอง” เขาไล่ให้แสงตะวันรีบออกจากพื้นที่ ใช้เวลาอยู่สักพักแสงอาทิตย์ก็ขยับเปลือกตา
“นาย รู้สึกตัวแล้วใช่ไหม” เขาร้องเรียก
“เราเป็นลมเหรอ” “อือดิ ทำไม ไม่ได้กินข้าวรึไง”
“เปล่า เราใช้พลังเยอะไป ปวดหน้าผาก” แสงอาทิตย์เอามือขึ้นกุมหน้าผาก
“เราต้องรีบไปจากที่นี่ ตอนนี้” เขาดึงแขนของแสงอาทิตย์ให้ลุกขึ้น แต่เขาเพิ่งจะฟื้นจึงไม่มีแรง แสงตะวันออกแรงดึงมากเกินไป พอมีแรงต้านเขาก็ล้มกลับมาที่เดิม คือทับร่างของแสงอาทิตย์เอาไว้
“เอ่อ” สายตาที่มองสบกัน แม้มันจะเพียงไม่กี่วินาที ในแววตาที่ปราศจากแว่นหนากั้นนั้น มันมีประกายบางอย่าง ที่ทำให้แสงตะวันม่านตาขยายขึ้น หลุมลึกในดวงตานั้น มันลึกจนเกินจะประมาณ เขาเหมือนกำลังจมดิ่งลงไปในหลุมนั้น
“เป็นอะไรไปลูก วิ่งหน้าตาตื่นเชียว” แสงเดือนแม่ของแสงตะวันร้องทัก เธอกำลังง่วนอยู่ในครัวกำลังเตรียมอาหารเย็นไว้ให้สามีและผู้เป็นลูก “มะ ไม่มีอะไรครับแม่ พ่อยังไม่กลับเหรอครับ” เขาแกล้งทำตัวให้เป็นปกติทั้งที่ขนลุกชันทั่วทั้งร่าง เขาไม่เคยเชื่อที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แม้ในใจลึกๆก็แอบเอนเอียงบ้าง เพราะบิดาเป็นผู้พร่ำสอน “เป็นตำรวจสายสืบ บางทีมันก็ต้องพึ่งพาสิ่งที่เรามองไม่เห็น ยังมีอีกหลายอย่าง ที่มนุษย์อย่างเรา จินตนาการไปไม่ถึงหรอกนะตะวัน” คำสอนของพ่อเขาเคยบอกไว้ ตอนที่เห็นพ่อกำลังกุมบางอย่างไว้ในมือ แล้วยกขึ้นพนม สวดคาถาเป่าออกมาก่อนจะออกไปทำงาน “น่าจะกลับเร็วๆนี้ล่ะ โรงเรียนใหม่เป็นยังไงบ้างลูก มีเพื่อนใหม่หรือยัง” เธอหันมาถามเพราะกำลังปรุงอาหารในหม้ออยู่ “ก็ดีครับ เพื่อนที่นี่ดูเข้าหาง่ายกว่าในเมือง” เขาตอบและกำลังคิดถึงเรื่องที่เพิ่งจะผ่านมาเมื่อครู่ เสียงหัวเราะ ต้นไม้ที่ไหวเหมือนมันเขย่าวิ่งตามรถของเขานั้น มันคือลมประเภทไหนกันนะ แล้วด้านหลังจากที่มองกระจก ทำไมมันนิ่งสนิท มันคืออะไรกันแน่ “แม
“เขาไม่ได้ตายมาก่อนหน้านี้ นี่ไม่ใช่การอำพราง แต่มันคือการเผาเขาทั้งเป็น โอ ตะวัน มันโหดร้ายมาก เขาโกรธแค้น เขาไม่ยอม” ชายหนุ่มสูงเพรียว สวมแว่นสายตาหนาเตอะ หลับตานิ่งเปลือกตานั้นกรอกไปมาเหมือนว่าการหลับตาไม่ได้ช่วยให้เขาปิดจอภาพได้เลย ภาพที่เขาเห็นผ่านสัมผัสพิเศษหรือ ตาที่สามนั้น คือร่างของชายรูปร่างสูง ตัวดำไหม้เกรียม เขาปรากฏร่างในสภาพที่เขาตาย “เขาบอกได้ไหม ว่าใคร” สารวัตรหนุ่มถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น “เขาบอกไม่ได้ มันผิดกฎ” กฎที่ว่าคือกฎหลังความตาย วิญญาณไม่สามารถจะเอ่ยปากบอกว่าตัวเขาเองตายโดยใคร กรรม มันคือการฝืนกรรม “เห็นอะไรอีก ทิตย์” เขาร้อนใจ “ของกิน เหล้า เขาไม่มีพลังแล้วตะวัน” ทั้งสองสนทนากันผ่านสายโทรศัพท์ สารวัตรหนุ่มมีหูฟังไร้สายเสียบไว้ที่หูด้านขวา ส่วนหนุ่มแว่นหนาเปิดลำโพงเพราะเขากำลังใช้สมาธิเพ่ง ไม่นานภาพเหล่านั้นก็จางหายไป เขาถอนออกจากสมาธิแล้วหายใจหอบ พลังงานที่ใช้ไปทำให้เขาแทบทรุด ทุกครั้งเขาจะไม่ได้ใช้พลังหากว่าเพียงแค่เห็น แต่ครั้งใดที่เขาต้องการที่จะสื่อสาร เขาจะสูญเสียพลังงานไปอย่างรวดเร็ว
“เป็นอะไรไปลูก วิ่งหน้าตาตื่นเชียว” แสงเดือนแม่ของแสงตะวันร้องทัก เธอกำลังง่วนอยู่ในครัวกำลังเตรียมอาหารเย็นไว้ให้สามีและผู้เป็นลูก “มะ ไม่มีอะไรครับแม่ พ่อยังไม่กลับเหรอครับ” เขาแกล้งทำตัวให้เป็นปกติทั้งที่ขนลุกชันทั่วทั้งร่าง เขาไม่เคยเชื่อที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แม้ในใจลึกๆก็แอบเอนเอียงบ้าง เพราะบิดาเป็นผู้พร่ำสอน “เป็นตำรวจสายสืบ บางทีมันก็ต้องพึ่งพาสิ่งที่เรามองไม่เห็น ยังมีอีกหลายอย่าง ที่มนุษย์อย่างเรา จินตนาการไปไม่ถึงหรอกนะตะวัน” คำสอนของพ่อเขาเคยบอกไว้ ตอนที่เห็นพ่อกำลังกุมบางอย่างไว้ในมือ แล้วยกขึ้นพนม สวดคาถาเป่าออกมาก่อนจะออกไปทำงาน “น่าจะกลับเร็วๆนี้ล่ะ โรงเรียนใหม่เป็นยังไงบ้างลูก มีเพื่อนใหม่หรือยัง” เธอหันมาถามเพราะกำลังปรุงอาหารในหม้ออยู่ “ก็ดีครับ เพื่อนที่นี่ดูเข้าหาง่ายกว่าในเมือง” เขาตอบและกำลังคิดถึงเรื่องที่เพิ่งจะผ่านมาเมื่อครู่ เสียงหัวเราะ ต้นไม้ที่ไหวเหมือนมันเขย่าวิ่งตามรถของเขานั้น มันคือลมประเภทไหนกันนะ แล้วด้านหลังจากที่มองกระจก ทำไมมันนิ่งสนิท มันคืออะไรกันแน่ “แม
ป่ายางที่ครึ้มจนแสงแดดส่องลงถึงพื้นได้เพียงรำไร ด้านล่างหญ้าถูกตัดจนเตียน มองเข้ามาเห็นต้นยางเรียงรายกันเป็นระเบียบ สวยงาม เขียวขจี ทว่าลึกเข้าไป มีกองขี้เถ้ากองใหญ่ที่เหมือนจะเพิ่งถูกสายฝนชะให้มอดเชื้อลงไม่นาน ความสวยงามเมื่อครู่มลายหายสิ้น เพราะกองขี้เถ้านั้นมันคือการเผาคนโดยวิธีนั่งยาง จากรายงานที่สารวัตรหนุ่มได้รับ เขาและลูกทีมต้องมาที่นี่ เพราะคดีนี้ปิดยังไม่ได้ แม้จะผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วก็ตาม ด้วยหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ ไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าใครคือผู้ต้องสงสัย เพราะผู้ตาย ตามประวัติมีเรื่องกับเขาไปทั่ว นักเลงนั่นเอง สายสืบจากหน่วยงานสืบสวนกลางจึงได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ลงพื้นที่ ลูกทีมทั้งห้านายแยกกำลังกัน บางนายก็เดินตรวจบริเวณโดยรอบ รอยเท้า รอยรถ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พบในที่เกิดเหตุ ที่จริงคือหลักฐาน ทว่าผ่านมาเป็นสัปดาห์ขนาดนี้ รอยเหล่านั้นคงมาจากทีมสืบสวนชุดแรกที่เข้ามาเก็บหลักฐาน และฝนก็ได้ชะล้างออกหมดแล้ว สารวัตรหนุ่มหล่อ ผู้ที่ได้ฉายาว่าสายสืบผู้หยั่งรู้ เพราะไม่มีคดีไหนที่ว่ายากแล้วเขาจะสืบไม่ได้ เขาปิดได้ทุกคดี ร. ต. อ. แสงตะวัน พิริยลักษณ์ สารวัตรหนุ่มผู้มีอนาคตไกล เขาเพ
“เขาไม่ได้ตายมาก่อนหน้านี้ นี่ไม่ใช่การอำพราง แต่มันคือการเผาเขาทั้งเป็น โอ ตะวัน มันโหดร้ายมาก เขาโกรธแค้น เขาไม่ยอม” ชายหนุ่มสูงเพรียว สวมแว่นสายตาหนาเตอะ หลับตานิ่งเปลือกตานั้นกรอกไปมาเหมือนว่าการหลับตาไม่ได้ช่วยให้เขาปิดจอภาพได้เลย ภาพที่เขาเห็นผ่านสัมผัสพิเศษหรือ ตาที่สามนั้น คือร่างของชายรูปร่างสูง ตัวดำไหม้เกรียม เขาปรากฏร่างในสภาพที่เขาตาย “เขาบอกได้ไหม ว่าใคร” สารวัตรหนุ่มถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น “เขาบอกไม่ได้ มันผิดกฎ” กฎที่ว่าคือกฎหลังความตาย วิญญาณไม่สามารถจะเอ่ยปากบอกว่าตัวเขาเองตายโดยใคร กรรม มันคือการฝืนกรรม “เห็นอะไรอีก ทิตย์” เขาร้อนใจ “ของกิน เหล้า เขาไม่มีพลังแล้วตะวัน” ทั้งสองสนทนากันผ่านสายโทรศัพท์ สารวัตรหนุ่มมีหูฟังไร้สายเสียบไว้ที่หูด้านขวา ส่วนหนุ่มแว่นหนาเปิดลำโพงเพราะเขากำลังใช้สมาธิเพ่ง ไม่นานภาพเหล่านั้นก็จางหายไป เขาถอนออกจากสมาธิแล้วหายใจหอบ พลังงานที่ใช้ไปทำให้เขาแทบทรุด ทุกครั้งเขาจะไม่ได้ใช้พลังหากว่าเพียงแค่เห็น แต่ครั้งใดที่เขาต้องการที่จะสื่อสาร เขาจะสูญเสียพลังงานไปอย่างรวดเร็ว