ST ผับ
You were the shadow to my light Did you feel us Another start You fade away Afraid our aim is out of sight Wanna see us Alive Where are you now Where are you now Where are you now Was it all in my fantasy Where are you now Were you only imaginary Where are you now Atlantis Under the sea Under the sea Where are you now Another dream The monsters running wild inside of me I'm faded I'm faded So lost I'm faded I'm faded So lost I'm faded เสียงดนตรีเบสหนักๆ กระชากใจเหล่านักท่องราตรีทั้งหลาย ในทุกๆ ค่ำคืน ที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ต่างหลั่งไหลเข้ามาในที่แห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย ผมนั่งกระดกเหล้าเข้าปากไปแก้วต่อแก้ว ไม่รู้ว่าเผลอดื่มเข้าไปเยอะแค่ไหนแล้ว แต่ที่รู้ๆ คือตอนนี้อารมณ์ของผมยังขุ่นอยู่ “แดกให้ตาย มันไม่ตายหรอกนะ” ราเรซแย่งแก้วเหล้าเปล่าๆ ที่ผมพึ่งกระดกเข้าปากไปเมื่อกี้ เอาไปวางไว้ห่างตัวผม การที่ราเรซแย่งแก้วไปแบบนี้ นั่นหมายความว่าผมดื่มเยอะไปแล้ว เพราะถ้าผมยังดูโอเครอยู่ ไอ้พวกนี้มันก็จะไม่ห้าม แต่ถ้าผมเริ่มดูไม่โอเคร พวกสามตัวนี้ก็จะเตรียมหิ้วผมกับคอนโดทันที ถึงผมจะปากหมาไปหน่อย แต่ไอ้พวกนี้ก็ไม่เคยทิ้งผมเลย ในสายตาของคนอื่น พวกผมอาจจะดูหยิ่งๆนะ แต่ถ้าลองได้สัมผัสแล้วจะรู้ว่าพวกเรานั้นอ่อนโยนต่อจุดซ่อนเร้น? สงสัยจะเมาแล้วล่ะครับ “มาเที่ยวทั้งที ทำหน้าแบบนี้เหรอว่ะ หมดสนุกพอดี” เลโอพูดขึ้น มันจงใจพูดใส่ผม เพราะผมทำให้บรรยากาศในโต๊ะค่อนข้างตึงเครียดนิดหน่อย “ถ้ามึงอยากสนุก ก็ลงไปดิ้นดิ ด้านล่างนั่นแจ่มๆ ทั้งนั้นเลย” บิ๊กไบค์บอกเลโอ ซึ่งคนกะหล่อนอย่างไอ้เลโอก็ไม่มีพลาดแน่นอน มันลุกออกจากโซฟาพร้อมกับลากบิ๊กไบค์ลงไปยังฟอร์เต้นด้านล่างด้วย “อยากแดก ก็แดกไป” ราเรซพูดขึ้น เมื่อผมเอื้อมมือไว้คว้าแก้วเหล้ามาชงใหม่พร้อมกับยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว “กูไปห้องน้ำก่อนนะ” ผมลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายถึงกับเซนิดๆ จู่ๆ พื้นก็เอียงซะงั้น “มึงไหวป่ะเนี้ย ให้กูพาไปไหม” ราเรซถามอย่างเป็นห่วง ถ้าไอ้นี่เป็นผู้หญิงนะ ผมจะจับมันทำเมียเป็นคนแรกเลย ก็มีแต่มันนี่แหละที่คอยเป็นห่วงเป็นใยผม ไม่รู้ว่ามันแสดงหรือว่าเต็มใจทำ บางทีผมก็แอบคิดนะ ว่ามันกำลังทำคะแนนอยู่... “กูไหว เดี๋ยวมา” ผมยกมือขึ้นห้ามมันไว้ เมื่อราเรซทำท่าจะลุกขึ้นตาม ผมเดินเซนิดหน่อยจนมาถึงห้องน้ำชาย มันก็ไม่ได้หนักอะไรมากหรอกแค่ไม่เหมือนเดิม มึนหัวอยู่หน่อยๆ พอทำธรุะส่วนตัวเสร็จผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำ โดยที่ไม่ทันมองอะไรก็ชนเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่ง ตุบ!! “ว๊าย!!” “โทษที ไม่ทันมอง” ผมขอโทษเธอไป โดยที่ไม่ได้สนใจมองหน้าเธอเลย เพราะมันค่อนข้างมืดก็เลยมองไม่ค่อยเห็น “โต้ง...” เสียงผู้หญิงที่ผมเดินชนเมื่อกี้เรียกชื่อผม “รู้จักกันเหรอ” ผมพยายามเพ่งสายตามองฝ่าความมืดนี้ เพื่อให้เห็นหน้าของเธอคนนี้ชัดๆ “น้ำหวานเอง” เธอบอกชื่อตัวเอง “ออ... ขอตัวก่อนนะ” “เดี๋ยวสิ!” ผมกำลังจะก้าวเดินหนีก็ต้องชะงัก เมื่อน้ำหวานยื่นแขนเข้ามาเกาะแขนของผมไว้ เธอพยายามเบียดหน้าอกหน้าใจของตัวเองถูไถไปมากับลำแขนของผม อยากได้ผมล่ะสิ... “มีไร” ผมหันกลับมาถามน้ำหวาน เพราะตอนนี้เริ่มยืนไม่อยู่ล่ะ สมองมันตือไปหมด “ไปหาที่คุยกัน” ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไร น้ำหวานก็ลากผมออกมายังลานจอดรถใต้ดินของผับ เธอผลักผมเข้ามายังซอกมุมอับ แล้วก็ตามมาด้วยร่างบางที่พยายามเบียดร่างกายของเธอเข้ามาเสียดสีกับร่างกายของผมให้ได้มากที่สุด ใบหน้าของน้ำหวานซุกไซ้ไปมาที่ซอกคอของผมอย่างบ้าคลั่ง “หยุดเถอะ!” ผมบอกน้ำหวานเสียงแหบพร่า เมื่อเธอพยายามที่จะแกะกระดุมเสื้อของผมออก ผมรีบรวบมือของเธอไว้ แต่น้ำหวานก็ไม่ยอมหยุด เธอพยายามเขย่งปลายเท้าขึ้นเพื่อจะจูบผมให้ได้ ผมพึ่งรู้สึกถึงข้อดีของความสูงตัวเองก็วันนี้แหละ เมื่อเธอไม่สามารถจูบผมได้ เธอก็เปลี่ยนมาเล้าโลมด้วยการพรมจูบที่ซอกคอเหมือนเดิม ผมยืนกัดฟันแน่นพยายามตั้งสติให้ได้มากที่สุด ไม่ให้ลุ่มหลงไปกับการยั่วยวนของน้ำหวาน แต่ว่า...มันก็ทำได้ยากเหลือเกิน ด้วยฤทธิ์เหล้าแล้วด้วย มันทำให้ผมเริ่มคล่อยตามเธอ เริ่มไม่ต่อต้าน เริ่มจะตอบโต้... เคล้ง!!! เสียงเหมือนสิ่งของบางอย่างกระทบกับพื้น ทำให้ผมได้สติรีบดันร่างของน้ำหวานให้ออกห่างตัว แล้วก็หันมองไปยังต้นเสียงที่ได้ยินเมื่อกี้ นั่นมัน.... “พี่โต้ง..” เธอเอ่ยชื่อผม พร้อมกับสีหน้าตกใจอย่างมาก ก็นะ..ดันมาเห็นฉากอันเร่าร้อนเมื่อกี้ซะได้ เป็นใครก็ต้องตกใจทั้งนั้นแหละ แล้วยิ่งเป็นเด็กๆแล้วด้วย ยิ่งแตกตื่นเข้าไปใหญ่ “มาทำอะไรที่นี่” ผมเดินเข้าไปหาเธอ เมื่อเริ่มซางเมานิดหน่อย “แก้มทำงานพิเศษที่นี่ค่ะ” แก้มใสตอบ “ป่ะ! ไปคุยกันที่อื่น” ผมเดินเข้าไปคว้าหมับที่ข้อมือของแก้มใสแล้วพาเธอเดินออกมาจากลานจอดรถ “เดี๋ยวสิ โต้ง!! รอน้ำหวานด้วย!!” เสียงน้ำหวานเรียกไล่หลังมาทำให้ผมกลับแก้มใสต้องรีบก้าวยาวๆ และเปลี่ยนจากก้าวเป็นเริ่มวิ่ง ทางด้านหน้าเป็นทางเลี้ยวพอดี ผมจึงอาศัยช่วงมุมอับของตึกเป็นที่กำบังจากสายตาของน้ำหวาน ผมดึงร่างบางของแก้มใสเข้ามากอดแล้วก็ดันให้เธอชิดกับกำแพงเอาตัวเองบังแก้มใสไว้ เป็นจังหวะเดี๋ยวกันกับที่น้ำหวานวิ่งตามมาแต่เธอก็มองไม่เห็นพวกเราอยู่ดี เพราะจุดที่ผมกับแก้มใสหลบอยู่มันค่อนข้างมืดมาก “ไปไหนนะ เร็วจัง” เสียงน้ำหวานบ่นอย่างอารมณ์เสีย ผมเงี่ยหูฟังจนแน่ใจแล้วว่าน้ำหวานได้เดินไปไกลแล้ว จึงค่อยพาแก้มใสเดินออกมาจากมุมตึก “เออ...พี่โต้งค่ะ” ผมหันมามองหน้าแก้มใสอย่าง งงๆ ว่าเธอเรียกผมทำไม แก้มใสชูมือของตัวเองที่ถูกมือของผมกุมไว้อยู่ยกขึ้นมาให้ดู เมื่อเห็นดังนั้นผมก็รีบปล่อยมือแก้มใสทันที ไม่รู้ว่าเผลอไปจับมือเธอตอนไหน ตอนเดินหนีน้ำหวานมาผมจับที่ข้อมือของแก้มใสเอง สงสัยจะเป็นตอนที่เริ่มวิ่งหนีแน่ๆ “โทษที” ผมได้แต่ยิ้มแก้เก้อส่งไปให้ “ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่..ทำไมต้องหนีด้วยค่ะ” แก้มใสตามขึ้น พร้อมกับเดินนำผมมานั่งที่ม้าหินอ่อน ไม่ไกลจากตัวตึกเท่าไร “นั่นสิ แต่ยังไงก็...ขอบคุณนะ” ผมหันไปขอบคุณแก้มใสจากใจจริง ถ้าแก้มใสไม่ทำของหล่นอยู่ใกล้ๆ ผมคงไม่มีสติแน่นอน เพราะมันเริ่มคล่อยตามไปแล้ว “เรื่องอะไรคะ ที่วิ่งหนีเป็นเพื่อนนะเหรอ” แก้มใสถามพร้อมกับยิ้มขำ ท่าทางสดใสของแก้มใสมันทำให้ผมเผลอยิ้มและขำตามไปด้วย “เอ้อ! ว่าแต่ เรามาทำงานอะไรที่นี่” แก้มใสอายุเท่ากับต้าหนิงเธอแค่สิบเจ็ดเอง เด็กอายุแค่นี้ มันจะมีงานอะไรให้เธอทำในสถานที่บันเทิงแบบนี้ นอกซะจากงานอย่างว่า... “หรือว่า....” ผมหันมามองหน้าแก้มใสอย่างตกใจที่คิดอะไรได้ “ไม่ใช่นะคะ แก้มมาเป็นลูกมือให้เชฟอยู่ในครัวค่ะ” แก้มใสรีบอธิบายให้ผมฟังทันทีที่ความคิดของผมเริ่มเตลิดไปไกล “ออ...ขยันนะเราน่ะ” ผมชมจากใจจริง ผมก็พอรู้เรื่องราวความเป็นไปของครอบครัวแก้มใสบ้าง เพราะต้าหนิงมักจะเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ “ทำไงได้ล่ะคะ แก้มแค่อยากช่วยเบาภาระของแม่ นิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี” แก้มใสนั่งยิ้มตลอดเวลาที่พูดถึงแม่ของตัวเอง เธอคงจะรักแม่มากสินะ . . .“ดึกแล้วนะ จะกลับยังไง” ผมอดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ ที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ต้องกลับบ้านดึกดื่นแบบนี้ทุกวัน “กลับแท็กซี่ค่ะ ดึกขนาดนี้คงไม่มีรถเมล์แล้วล่ะ” แก้มใสบอก “ป่ะ! เดี๋ยวพี่ไปส่ง” “แต่พี่โต้งดื่มแล้วนะคะ จะขับไหวเหรอ” แก้มใสมองหน้าผมอย่างพิจารณา “ใครบอกว่าพี่จะขับล่ะ” ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะยื่นมือไปให้แก้มใสจับเพื่อดึงมือเธอให้ลุกขึ้นยืนตาม แก้มใสก็ยื่นมือมาจับมือของผมเพื่อเป็นที่ยึดให้ตัวเองลุกขึ้น “ยังไงคะ” แก้มใสหันมาถาม ด้วยสีหน้าที่งงอยู่ “พี่จะนั่งแท็กซี่ไปส่ง เป็นผู้หญิงกลับคนเดียวมันอันตรายนะ” ผมยิ้มให้แก้มใสอย่างใจดี ก็นะ...เวลาเห็นแก้มใสแล้วผมก็อดนึกถึงน้องสาวของตัวเองไม่ได้ ต้าหนิงเป็นคนที่ภายนอกดูเข้มแข็งแต่ภายในกลับอ่อนไหวกับอะไรง่ายๆ ส่วนแก้มใสแลดูภายนอกเหมือนบอบบาง แต่ภายในเธอกลับเข้มแข็งอย่างน่าน่าทึ่ง ผมรักเธอเหมือนน้องสาวแท้ๆ เลยล่ะ ผมจึงอดเป็นห่วงไม่ได้ ถ้าหากต้องปล่อยให้เธอนั่งแท็กซี่กลับบ้านเพียงคนเดียว ผมนั่งแท็กซี่มาส่งแก้มใสจนถึงหน้าบ
เมื่อเดินเข้ามาด้านหลังร้าน ก็เห็นมิรินกำลังวุ่นวายกับการจัดของใส่กล่องลังใบใหญ่ สงสัยจะเป็นของที่จะเอาไปบริจาค มีทั้งเสื้อผ้า อาหารแห้งและอื่นๆ อีกมากมาย“พี่มิริน เรซหาผู้ช่วยมาให้ล่ะ” ราเรซเดินเข้าไปบอกลูกพี่ลูกน้องของตัวเองมิรินหันมามองหน้าผม พร้อมรอยยิ้ม แต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นแหละ รอยยิ้มแสนสวยนั้นก็หายวับไปในทันตา สงสัยจะยังโกรธเรื่องเมื่อวานอยู่แฮะ ชกแค่หมัดเดียวเอง มันจะเจ็บสักแค่ไหนกันเชียวมิรินตอนนี้ฉันกับบัวตองกำลังนั่งอยู่ในงานเลี้ยงต้อนรับพี่เฟยอยู่ที่บ้านของเขา ฉันลากบัวตองมางานด้วยเพราะไม่อยากมาคนเดียว ถึงแม่กับคุณตาจะมาด้วยก็เถอะ สักพักพวกท่านก็ต้องไปพบปะพูดคุยกับเพื่อนๆ ร่วมธุรกิจของตัวเองกัน“จะลากฉันมา เพื่อ!!” บัวตองหันมาบ่นฉันด้วยใบหน้าที่เซ็งสุดๆ“ก็ถ้ามาคนเดียวฉันก็จะเซ็งแบบแกนี่ไง” ฉันหันไปตอบบัวตองด้วยความรู้สึกเหมือนกัน“มิรินมานี่หน่อย” แม่เฌอรีนโบกมือเรียกให้ฉันเดินไปหา ซึ่งแม่กำลังคุยกับพ่อแม่ของพี่เฟยและตัวพี่เฟยด้วย ไม่อยากเดินไปหาแม่เลยแฮะ ฉันหันไปมองเพื่อนอย่างขอความช่
“ชื่อแก้มใสเหรอ พี่ชื่อมิรินนะ” ฉันหันไปคุยกับสาวน้อยที่ยังยืนอยู่ข้างโต้งอยู่ พยายามส่งยิ้มให้เธออย่างใจดี เธอก็ดูน่ารักและใสซื่อดีนะ“ค่ะ พี่มิรินใช้แก้มได้เต็มที่เลยนะคะ งานหนักงานเบาแก้มทำได้หมดค่ะ แก้มไม่เกี่ยงงาน” แก้มใสตอบอย่างแข็งขัน ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับโต้ง ซึ่งเขาก็ยิ้มกลับมาให้แก้มใสอย่างอบอุ่น แถมยังเอื้อมมือขึ้นมาลูบผมเธออย่างเอ็นดูอีก ผู้หญิงคนนี้คงจะมีความสำคัญกับเขามากสินะ ถึงได้ให้ราเรซมาคุยเรื่องฝากงานกับฉัน“โอเครจ๊ะ งั้นมาเริ่มงานพรุ่งนี้นะ เดี๋ยวไปวัดตัวกับพี่แอนได้เลย พี่แอนจะได้หาชุดให้เราถูกไซร์”ถ้าฉันปฏิเสธก็คงจะดูเป็นคนที่แย่ในสายตาของเขาอีกล่ะ ฉันจึงตัดสินใจรับแก้มใสเข้าทำงาน ไม่อยากให้เขาต้องรู้สึกเสียหน้าที่อุตส่าห์พามาฝากด้วยตัวเอง ถึงจะให้ราเรซพูดแทนก็เถอะ“กำลังทำอะไรอยู่เหรอคะ” แก้มใสเดินเข้ามาถามหลังจากที่ไปวัดตัวกับพี่แอนเสร็จแล้ว เธอส่งยิ้มสดใสมาให้ เพราะความสดใสของเธอนี่เอง ถึงทำให้ผู้ชายอย่างเขายิ้มได้“กำลังแพ็คของใส่กล่องเอาไปบริจาคนะ” ฉันก็พลอยยิ้มตามเธอไปด้วย“ให้แก้มช่วยนะคะ แก้มอยากช่
“ก็กินที่ชอบสิ” ฉันตอบน้องชายไป“ทั้งที่มันไม่อร่อย พี่ก็จะกินใช่ไหม” ราเรซถามย้ำอีกครั้ง ซึ่งมันทำให้ฉันเริ่มระแวงน้องชายอยู่หน่อยๆ ไม่รู้ว่าสิ่งที่ฉันตอบไป มันจะมีผลอะไรตามมาหรือเปล่า“ถ้าให้เลือกจริงๆ ก็อยากจะกินของที่ชอบและอร่อยด้วยนั่นแหละ”“ของที่พี่ไม่ชอบ ใช่ว่ามันจะไม่ดีหรือไม่อร่อย พี่ต้องลองกินดูสักครั้งถึงจะรู้ว่าเป็นยังไง มันอาจจะอร่อยกว่าของที่พี่ชอบก็ได้นะ เราแค่ยอมเปิดใจรับมันดู” ราเรซขยิบตาให้ฉันหนึ่งที เมื่อพูดจบ“ต้องการจะบอกอะไรพี่” ฉันถามออกไปอย่างรู้ทัน“พี่ลองมองไปตรงนั้น ใช้ใจมอง อย่าใช้สมองมอง เพราะมันจะเกิดการต่อต้าน แค่เปิดใจแล้วทำตามความรู้สึกซะ ก่อนที่มันจะสายไป” ฉันหันไปมองตามสายตาของราเรซ ซึ่งสิ่งที่น้องชายของฉันอยากให้มองก็คือแก้มใสกับโต้ง ที่แสดงความสนิทสนมจนใจของฉันมันเริ่มสั่นด้วยความหวั่นไหวกับภาพตรงหน้าที่ได้เห็น ใจฉันมันบอกว่า ฉันไม่อยากเห็นภาพแบบนี้...“โต้ง..” แล้วริมฝีปากของฉันก็เอ่ยเรียกเขาเองโดยอัตโนมัติ จนตัวฉันเองก็ยังตกใจ โต้งหันมามองฉันอย่าง งงๆ“มีอะไร” โต้งเดินมายืนอยู่ตรงห
“แกะเข็มขัดให้หน่อยสิ” โต้งกระซิบบอกเสียงแผ่วเบา ฉันเอื้อมมือที่สั่นเทาไปแกะเข็มขัดออกให้เขาอย่างระมัดระวัง เมื่อแกะเสร็จฉันก็ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว“ไปรอด้านนอกนะ” ฉันหันหลังให้เตรียมจะเดินออกไป ก็โดนแขนหนารวบตัวไว้ก่อน“ไม่ให้ไป”“ไหนจะไม่ทำไง” ฉันรีบท้วงทันที“บอกตอนไหน” โต้งตอบกลับมา“ก็...” เขายังไม่ได้พูดจริงๆ แหละ ฉันคิดไปเองต่างหากมือหนาเอื้อมมือมาจับปอยผมของฉันไปทัดที่หลังหู ก่อนที่ริมฝีปากหนาจะกดลงมาจูบเม้มเบาๆ ที่ซอกคออย่างหยอกล้อ เพียงแค่เขาสัมผัสเบาๆ มันก็ทำให้ขนลุกชันไปทั่วร่าง“อือออ โต้ง” ฉันพยายามควบคุมและประคองสติตัวเองให้ได้ แต่มันก็ทำได้ยากเหลือเกิน“ครับ...” โต้งขานรับเสียงหวาน มันทำให้ร่างฉันถึงกับอ่อนระทวยโรยแรงไปเลยทีเดียวมือหนาเลื่อนผ่านใต้รักแร้เอื้อมมายังด้านหน้ากอบกุมเอาก้อนเนื้อนิ่มบีบเคล้นผ่านเสื้อผ้าตัวบาง ความอุ่นร้อนจากมือหนาแทบจะแผดเผาเสื้อผ้าที่ฉันใส่อยู่ล่ะ รู้สึกเหมือนโดนเขาสัมผัสโดนผิวเนื้อไปแล้วทั้งที่ร่างกายของฉันยังมีเสื้อผ้าอยู่“ยะ หยุดเถอะ...” เสียงฉันขาดห่วงไป เมื่อชุดเดรสที่สวมใส่อยู่ร่วงลงสู่พื้นโดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลยโต้งจับไหล่มนของฉัน
สามสิบนาทีต่อมา.... เขาให้ฉันเดินออกมาจากห้องก่อน เพื่อไม่ให้ใครจับพิรุธเราได้ เมื่อฉันเดินออกมาก็เห็นลูกค้ากำลังเข้าร้านเต็มเลย ซึ่งแก้มใสก็ช่วยต้อนรับอย่างแข็งขัน เด็กคนนี้ขยันจริงๆ “นานจัง ถ่ายได้กี่ยก เฮ้ย! กี่ชุดล่ะ” ราเรซเดินเข้ามากระซิบถามฉัน เป็นจังหวะเดียวกันกับร่างสูงเดินมาหยุดยืนอยู่หลังฉันพอดี “ยกเดียว” โต้งตอบราเรซ “เฮ้ย! จริงเหรอเนี้ย” ราเรซแสดงสีหน้าอย่างตื่นเต้นพร้อมกับเดินเข้าไปกระซิบถามเพื่อนรัก แต่ฉันนี้สิ หน้าแดงจนไม่รู้จะเอาไปซุกไว้ที่ไหนแล้วเนี้ย เพราะฉันเป็นคนพาเขาเข้าไปเอง แล้วก็.... ฉันยืนสลัดหัวแรงๆ เมื่อภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้ฉายขึ้นมาในหัว “เป็นอะไร ทำไมหน้าแดงแบบนั้น นี่คงไม่ได้คิด...อะไรอยู่ใช่ไหม” โต้งเอื้อมมือหนามาวางไว้บนหัวของฉัน พร้อมกับโน้มหน้าลงมาถามในระยะห่างไม่ถึงเซ็น สายตาของเขามีแววล้อเลียนฉันอยู่ในนั้น “ถะ ถอยออกไปเลย” ฉันย่นหน้าให้เขาอย่างโกรธเคือง แต่โต้งกลับยืนขำฉันอย่างน่ารัก ^o^ ใช่...ฉันยอมรับ โต้งน่ารักจริงๆ “ว่าแต่ จะสวีสกันอีก
โต้ง ผมชำเลืองไปมองใบหน้ารูปไข่แสนสวยของมิรินที่ตอนนี้กำลังหลับใหลซบอยู่กับไหล่ของผม ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอซึ่งบ่งบอกว่าเธอหลับไปแล้วจริงๆ ไม่ได้แกล้งหลับเหมือนทีแรก เธอน่าจะดื้ออีกสักหน่อยนะ ไม่น่ายอมง่ายๆ เลย มันทำให้ผมอดทำโทษเธอ ถ้าดื้ออีกสักหน่อยละก็... หึๆ ต้องขอบคุณไอ้เลโอมากๆ ที่ขอเปลี่ยนที่นั่งให้กับผม จุดประสงค์ของมันจริงๆ ก็อยากจะนั่งใกล้สาวล่ะครับ ส่วนผมนั้นคือผลพลอยได้ ความจริงผมไม่ได้ตั้งใจจะมาหรอก ที่ยอมไปลงชื่อก็เพราะเธอคนนี้แหละ ผมไม่ชอบใจที่ไอ้รุ่นพี่คนนั้นเล่นหูเล่นตาใส่มิริน ผมดูออก..ว่ามันชอบมิริน ทีแรกผมคิดไว้ว่า เมื่อถึงวันเดินทางผมจะแกล้งมาสายเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไป แต่ว่า... สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานมันทำให้ผมไม่สามารถปล่อยเธอไปได้จริงๆ ผมต้องตามมาดูแลของของผม ไม่อย่างนั้น โดนไอ้พวกรุ่นพี่คาบไปแดกแน่ๆ ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะเกินเลยหรอกนะ แต่พอมิรินเปิดโอกาสให้แล้ว ผมก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้เลย มิรินเปรียบเสมือนแม่เหล็ก ที่คอยดึงดูดผมทุกครั้งที่ได้เข้าใกล้เธอ “ตื่นครั
โต้ง : นอนยัง มิริน : ... (อ่านแล้ว) ... โต้ง : มิริน มิริน :... (อ่านแล้ว) ... โต้ง : ตอบผัวหน่อยสิครับ มิริน : โต้ง!! โต้ง : เนะ จำได้ด้วย น่ารักจัง มิริน : ไปเอาเบอร์มาจากไหน โต้ง : น้องเรซให้มา มิริน : บังคับเรซล่ะสิ โต้ง : รู้ใจผัวซะจริง มิริน : โต้ง!! โต้ง : ครับ มิริน : ง่วงแล้ว โต้ง : ฝันดีครับ มิริน : อืม โต้ง : แค่เนี้ย! มิริน : ฝันดีค่ะ เพียงแค่นี้ก็ทำให้ผมนอนหลับฝันหวานทั้งคืนแล้วล่ะ ผมหันไปคว้าเอาแขนของราเรซมากอดพลางนึกไปว่ามันคือมิริน พร้อมกับพรมจูบเบาที่ต้นแขนของราเรซ “หนักล่ะ มึง” ราเรซบ่น พร้อมกับดันหน้าผมให้ออกห่างจากแขนของมัน ตุบ!! “โอ๊ย!! ไอ้เชี้ยโต้ง” เมื่อมันไม่ให้ผมกอดแขน ผมก็เลยถีบมันหนีซะเลย ก่อนจะหันมาอีกฝั่งแล้วนึกถึงใบหน้าของมิรินต่อ...
รถยนต์หรูจอดสนิทที่หน้าร้านกาแฟร้านหนึ่ง ซึ่งเป็นตึกคูหาสามชั้น ข้างๆ ตึกนั้นมีสนามฟุตบอลหญ้าเทียมอยู่หลายสนามซึ่งก็ใหญ่โตพอสมควร ฉันลงมายืนอยู่ข้างรถแล้วมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มาบ้านของโต้ง รู้สึกประหม่าจังแฮะ พ่อแม่ของเขาจะชอบฉันหรือเปล่านะ ความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้นอยู่ในใจ“ป่ะ เข้าบ้านกัน” โต้งเดินมาจับมือฉันแล้วเดินนำเข้าไปยังร้านกาแฟที่อยู่ชั้นล่างสุดของตึกคูหา“ม๊า” โต้งเอ่ยเรียกหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ซึ่งกำลังเช็ดตู้กระจกอยู่“อ้าว โต้ง กลับมาตั้งแต่เมื่อไร” โต้งเดินเข้าไปสวมกอดแม่ของเขาพร้อมกับหอมแก้มเสียงดังฟอด เวลาอยู่กับแม่นี่ เป็นหมาน้อยเชียวนะ“สาวสวยคนนี้ คือมิรินใช่ไหม” แม่ของโต้งหันมามองฉัน“สวัสดีค่ะ” ฉันรีบยกมือไหว้ท่านทันที“สวยจังเลย มิน่าล่ะ ตาโต้งถึงได้ตามหวงนักหวงหนา ถึงขนาดโทรไปขู่ต้นหลิวให้ส่งบอดี้การ์ดไปค่อยดูแลให้เนะ!” แม่ของโต้งพูดไปด้วยยิ้มไปด้วย นี่แม่เขารู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ ฉันแอบส่งสายตาดุไปให้โต้ง แต่เขาก็ไม่สะทกสะท้านอะไรหรอกแถมยังยิ้มหวานกลับมาให้อีก โต้งยิ้มหวานเหมือนแ
“สวัสดีครับ ผมธนาธร บรรณาลักษณ์ หรือจะเรียกว่า โต้ง ก็ได้ครับ”“คุณธนาธร ยังเด็กอยู่เลยนะครับเนี้ย” มีเสียงหนึ่งจากผู้ร่วมประชุมเอ่ยขึ้น“จะไม่เด็กได้ไง มันยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ” พี่เฟยพูดแทรกขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์“จริงเหรอครับ แล้วแบบนี้ คุณจะทำงานได้เหรอ”“ผมยังเรียนไม่จบก็จริงครับ แต่ผมก็สามารถทำงานร่วมกับทุกคนได้ ซึ่งผมก็พิสูจน์ให้ได้เห็นแล้ว ในช่วงสามปีที่ผ่านมา” โต้งหันไปตอบคำถามจากผู้ร่วมประชุม“ยังไงก็...ช่วยเป็นคุณครูสอนวิชาให้ผมเพิ่มเติมหน่อยนะครับ ผมเชื่อว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด ต่อให้ผมเรียนจบ ผมก็ยังต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมอีกเยอะ เพราะในตำรากับชีวิตจริงมันต่างกัน จริงไหมครับ ท่านรองประธาน” โต้งพูดกับผู้ร่วมประชุมด้วยท่าทีสุภาพ และท้ายประโยคนั้นได้หันมาพูดกับแม่เฌอรีน พร้อมรอยยิ้มแม่เฌอรีนถึงกลับพูดไม่ออก ก่อนจะหันมามองหน้าฉันเชิงเป็นคำถามว่า ฉันรู้เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า ฉันจึงส่ายหน้าตอบกลับแม่ไปตามความจริง“นี่มันอะไรกันค่ะ คุณพ่อ!!”เมื่อการประชุมจบลง แม่เฌอรีนรีบเดินมาหาคุณตาที่ห้
“ถ้าคิดว่าทำให้ถอยได้ก็ลองดูสิ”“โต้ง อือออ”ใบหน้าคมโน้มลงมาซุกไซร์ซอกคอฉันทันทีพร้อมกับที่มือบางถูกมือหนาตรึงไว้กับเตียงนอนที่ข้างหัว ทำให้ฉันไม่สามารถขัดขืนเขาได้ ใจอยากจะต่อต้านเขาเหลือเกินแต่เรี่ยวแรงกลับมีไม่พอที่จะผลักไสเขาออกไป ร่างกายของฉันถูกมือหนาถอดเสื้อผ้าออกไปทีล่ะชิ้นจนไม่เหลือสิ่งใดปกปิด ทุกส่วนบนร่างกายถูกริมฝีปากหนาครอบครองและทิ้งร่องรอยความเป็นเจ้าของไว้ทุกที่ที่ริมฝีปากสัมผัส“คิดถึงโต้งหรือเปล่า หื้อ..” ริมฝีปากหนากระซิบถามพร้อมกับงับเข้ากับติ่งหูอย่างหยอกล้อ“คิดถึง..อืออออ” ฉันถึงกลับครางเสียงแผ่ว เมื่อช่วงล่างถูกนิ้วร้ายล่วงล้ำเข้าไปสร้างความปั่นป่วนอย่างวาบหวิว“อยากกลับมาหาโต้งไหม..อ่า..” ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารินรดอยู่บริเวณดอกบัวคู่งาม ชวนให้ขนกายรุกชันไปทั่วร่าง“อยากสิ... อ๊ะ!!” ช่วงล่างบิดเร่าตามจังหวะจากมือหนา“ยังรักโต้งอยู่ไหม..” ฉันเลือนสายตาขึ้นมาสบเข้ากับตาคมอย่างแน่วแน่“มิรินรักโต้ง...” โต้งยกยิ้มอย่างพอใจกับคำตอบที่ได้รับ“ขอกินหน่อยนะ” โต้งถอดนิ้วเรียวออกจากส่วนนั้นแล
“จริง ถ้าเธอไม่เชื่อ ถามไลลาดูก็ได้ เพราะตอนที่มิรินบอกกับฉันไลลาก็อยู่ด้วย”ผมหันไปมองหน้าแม่ไลลาที่ผมรักและเคารพท่านเหมือนแม่แท้ๆ ซึ่งเมื่อผมหันหน้าไปหาแม่ไลลา ท่านก็พยักหน้าให้เพื่อเป็นการยืนยันในสิ่งที่แม่เฌอรีนพูด ว่ามันคือเรื่องจริง“ทำไมครับ ทำไมมิรินถึงอยากไป” ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดี และยังต้องการคำตอบที่มากกว่านี้ ผมยังไม่ปักใจเชื่อ“ฉันขอโทษนะ ที่ผิดคำพูดกับเธอ แต่มันคือความต้องการของมิริน ซึ่งฉันเองก็ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้ มิรินก็ดื้อดึงไม่ว่าจะทำอย่างไร มิรินก็ไม่ยอมไป แต่ครั้งนี้ มิรินเป็นคนขอไปเอง”“มันเป็นความต้องการของคุณน้าอยู่แล้วนี่ครับ คงจะสมใจแล้วล่ะซิ” ผมจ้องหน้าแม่เฌอรีนตาเขม็งด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ“ไอ้โต้ง ใจเย็น” ราเรซเดินเข้ามาจับไหล่ผมไว้ เมื่อผมเผลอก้าวเดินเข้าหาแม่เฌอรีนอย่างลืมตัว“งั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องรักษาคำพูดอีกต่อไป”“นั้นก็แล้วแต่เธอ” แม่เฌอรีนตอบกลับมาด้วยใบหน้าและท่าทีที่ไม่สะทกสะท้านอะไร ท่านคงคิดว่า การที่ส่งมิรินไปไกลผมแบบนั้น คิดว่าผมจะตามไปไม่ได้ล่ะสิ“ผมขอบอก
“แม่ค่ะ”“มิริน”ฉันเดินเข้าไปหาแม่ทั้งสอง ก่อนจะนั่งลงข้างๆ กับแม่เฌอรีน พร้อมกับสวมกอดแม่อย่างแนบแน่น ฉันเข้าใจแล้ว ฉันเข้าใจในสิ่งที่แม่พยายามจะบอกฉันแล้ว“เป็นอะไรไปล่ะ หื้อออ” แม่ลูบผมฉันอย่างอ่อนโยน“มิรินขอโทษนะคะ ที่มิรินดื้อกับแม่” ฉันเงยหน้ามองผู้เป็นแม่พร้อมรอยยิ้ม ถึงแม้ว่า...ลึกๆ แล้วฉันจะเจ็บปวดอยู่ก็ตาม แต่ฉันต้องผ่านมันไปให้ได้“ไม่เป็นไรหรอกลูก แม่ไม่เคยโกรธลูกเลย”“มิรินตัดสินใจแล้วค่ะ”“อะไรลูก”“มิรินจะไปเรียนต่อที่ลอนดอน”“จริงเหรอลูก” แม่สวมกอดฉันกลับอย่างดีใจฉันไม่อาจทนความเจ็บปวดแบบนี้ได้อีกแล้ว ในเมื่อตอนนี้เขาก็มีคนที่ยืนอยู่ข้างกายเขาแล้ว ฉันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรออีกต่อไป เรื่องของฉันกับโต้ง มันคงจบแล้วจริงๆ ฉันไม่อาจทนเห็นเขาไปไหนมาไหนกับผู้หญิงคนอื่นได้ เพราะฉันทำใจไม่ได้จริงๆหนึ่งอาทิตย์ต่อมา.... ณ สนามบิน“ทำไมมันเร็วแบบนี้อ่ะแก แล้วฉันจะอยู่ยังไง...” เสียงบัวตองพูดด้วยร้องไห้ไปด้วย ซึ่งด้านหลังของเธอก็มีพี่ยูคอยดูแลไม่ห่าง“
“นี่เธอ...”ผมถึงกลับชาวาบไปทั้งตัวเมื่อเจอกับแม่เฌอรีนพร้อมทั้งแม่ไลลา ราเรซและมิริน ผมจึงยกมือไหว้แม่ๆ ทั้งสองซึ่งแม่ไลลาเองก็ส่งยิ้มมาให้อย่างใจดีเหมือนอย่างเคย ส่วนแม่เฌอรีนนั้น ไม่ต้องพูดถึงหรอกครับ มองจิกผมอย่างเอาเรื่องเลยล่ะ ผมนึกว่าพากันกลับไปแล้วซะอีก ซวยแล้วไหมล่ะ ท่านต้องเดาออกแน่ๆ ว่าเมื่อคืนนี้มิรินอยู่กับผมไม่ใช่ราเรซ“เธอพักอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ” แม่เฌอรีนมองหน้าผมด้วยสายตาดุร้าว ก่อนจะหันมองหน้ามิรินอย่างจับผิด“ครับ” ผมพยายามซ่อนความตื่นกลัวเอาไว้ภายใต้ใบหน้าที่ใครๆ ก็มองว่าหยิ่งนี้“แสดงว่า....”“รอด้วยสิ โต้ง!!” ท่านกำลังจะถามอะไรผมต่อ ก็มีเสียงของต้นหลิวตะโกนขึ้นมาขัดซะก่อน“อุ๊ย!! ขอโทษค่ะ มีแขกอยู่เหรอ” ต้นหลิวยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองก่อนจะหันมาถามผมอย่างสงสัย“เปล่าหรอก ไปกันเถอะ” ผมคว้ามือต้นหลิวกำลังจะพาเธอเดินออกจากตรงนี้ แต่ว่า.. ก้าวไปได้เพียงก้าวเดียวเท่านั้น ผมก็ต้องชะงักกับคำพูดของแม่เฌอรีน“อยู่กับแฟนนี่เอง”“อ้อ ไม่ชะ....” ต้นหลิวกำลังจะปฏิเสธ ผมจึงพูดขัดขึ้นทันที เพราะถ้าห
โต้ง“จำไว้นะ ไม่มีใครแทนที่มิรินได้”ผมเอ่ยพูดกับร่างบางที่กำลังค่อยๆ หลับตาลงอย่างหมดแรง ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมพูดไปเมื่อกี้มิรินจะได้ยินหรือเปล่า เพราะดูเหมือนว่า ผมได้ทำให้เธอสลบคาอกไปแล้วความจริงยาที่ผมกินเข้าไปไม่ได้รุนแรงอะไรมากหรอก ผมพอจะควบคุมมันได้อยู่ แต่ยัยตัวเล็กนี้สิ ดันมายั่วผมสะงั้น แล้วใครมันจะไปทนได้ล่ะครับ บอกให้กลับบ้านก็ไม่ยอมกลับอีก ก็เลยโดนจัดหนักเข้าให้จริงๆ แล้วคงเป็นเพราะผมคิดถึงมิรินมากกว่า ผมหยุดไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันแบบนี้อีกไหม ไหนๆ ไอ้เพื่อนตัวดีทั้งสามของผมมันก็อุตส่าห์ช่วยขนาดนี้แล้วจะทำให้พวกมันผิดหวังได้ไงผมรู้ทันพวกมันสามตัวดี โดยฉะเพราะบิ๊กไบค์มันรู้ว่าในแก้วเหล้านั้นมียาปลุกเซ็กส์อยู่และที่มันไม่ยอมบอกตั้งแต่แรกเพราะมันอยากให้ผมกับมิรินได้มีช่วงเวลานี้ด้วยกันบิ๊กไบค์ถึงได้ยุยงให้ผมดื่มแทน เพราะถ้าหากมิรินดื่มเข้าไป เธออาจจะเป็นอันตรายได้ ก็อ่อนแอซะขนาดนั้นน่ะนะ แต่จะอย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณในความฉลาดของไอ้บิ๊กไบค์ เพราะมันผมถึงได้อยู่กับมิรินในคืนนี้ ถ้าหากผมไม่ดื่มสิ่งนั้
“เครื่องดื่มสำหรับสาวสวยครับ” จู่ๆ ก็มีบริกรถือถาดเครื่องดื่มที่มีสีสันน่าทานเอามาเสิร์ฟให้ฉัน“ให้มิรินเหรอคะ” ฉันเอ่ยถามอย่างงงๆ“ใช่ครับ มีโน๊ตมาให้ด้วยครับ” บริกรวางถาดลงบนโต๊ะแล้วเดินออกไปทันที ฉันก้มหน้าลงไปอ่านแผ่นกระดาษโน๊ตที่แปะมาบนถาด“สำหรับคนสวย ถ้าอยากจะขอบคุณ ขอเป็นเบอร์โทรแทนนะครับ” ฉันอ่านออกเสียง ก่อนจะหันหน้าไปหาราเรซด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม“ฝีมือพวกมึงใช่ไหม” โต้งเอ่ยถามราเรซและเลโอ“จะบ้าเหรอ พวกกูก็นั่งอยู่ตรงนี้ตลอด” เลโอตอบ“งั้น ไอ้ไบค์สินะ” โต้งพูด“อะไรมึง” แล้วบิ๊กไบค์ก็เดินเข้ามาพอดี“มึงใช่ไหม” โต้งหันไปถามบิ๊กไบค์ บิ๊กไบค์เดินเข้ามาที่โต๊ะก่อนจะโน้มหน้ามามองที่ถาดตรงหน้าฉัน“ไม่ใช่กู” บิ๊กไบค์ตอบพร้อมกับนั่งลงที่โซฟาพร้อมกับยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม“พวกกูไม่ได้แกล้งมึงหรอกนะ ไอ้โต้ง” ราเรซพูดขึ้นบ้าง“แล้วพี่ควรทำไงเรซ ต้องดื่มมันไหม” ฉันหันไปถามน้องชาย“ไม่ต้องดื่ม” แต่โต้งกลับตอบแทนซะงั้น“เหล้าแก้วนี้แพงอยู่นะ แสดงว่าคนที่สั่งมาให้ ม
“เครื่องดื่มสำหรับสาวสวยครับ” จู่ๆ ก็มีบริกรถือถาดเครื่องดื่มที่มีสีสันน่าทานเอามาเสิร์ฟให้ฉัน“ให้มิรินเหรอคะ” ฉันเอ่ยถามอย่างงงๆ“ใช่ครับ มีโน๊ตมาให้ด้วยครับ” บริกรวางถาดลงบนโต๊ะแล้วเดินออกไปทันที ฉันก้มหน้าลงไปอ่านแผ่นกระดาษโน๊ตที่แปะมาบนถาด“สำหรับคนสวย ถ้าอยากจะขอบคุณ ขอเป็นเบอร์โทรแทนนะครับ” ฉันอ่านออกเสียง ก่อนจะหันหน้าไปหาราเรซด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม“ฝีมือพวกมึงใช่ไหม” โต้งเอ่ยถามราเรซและเลโอ“จะบ้าเหรอ พวกกูก็นั่งอยู่ตรงนี้ตลอด” เลโอตอบ“งั้น ไอ้ไบค์สินะ” โต้งพูด“อะไรมึง” แล้วบิ๊กไบค์ก็เดินเข้ามาพอดี“มึงใช่ไหม” โต้งหันไปถามบิ๊กไบค์ บิ๊กไบค์เดินเข้ามาที่โต๊ะก่อนจะโน้มหน้ามามองที่ถาดตรงหน้าฉัน“ไม่ใช่กู” บิ๊กไบค์ตอบพร้อมกับนั่งลงที่โซฟาพร้อมกับยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม“พวกกูไม่ได้แกล้งมึงหรอกนะ ไอ้โต้ง” ราเรซพูดขึ้นบ้าง“แล้วพี่ควรทำไงเรซ ต้องดื่มมันไหม” ฉันหันไปถามน้องชาย“ไม่ต้องดื่ม” แต่โต้งกลับตอบแทนซะงั้น“เหล้าแก้วนี้แพงอยู่นะ แสดงว่าคนที่สั่งมาให้ ม