ฮ่องเต้ฮั่วจง จักรพรรดิของแคว้นต้าอู่ เพราะเป็นธรรมเนียมปฎิบัติที่ฮ่องเต้ต้องรับเหล่าสตรีจากชนชั้นสูง หรือแม้กระทั่งองค์หญิงรุ่นราวคราวลูกจากต่างแคว้นเพื่อผูกสัมพันธ์และเพื่อความมั่นคงในบัลลังก์ ทำให้เวลานี้พระองค์ต้องปวดหัวกับเหล่านางสนมที่มีมากจนเกินไป ถึงกับต้องปิดหูปิดตาไม่ข้องแวะกับนางสนมคนใดมากกว่าหนึ่งครั้ง วันๆเอาแต่ตรวจฎีกาและออกว่าราชการเท่านั้น ปล่อยให้เหล่าขันทีเป็นคนคัดเลือกป้ายของนางสนมในแต่ละค่ำคืนกันเอง จึงทำให้นาง….สนมที่เข้าวังมาแล้วสองปีต้องถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างเดียวดายเพียงลำพัง จ้าวซูหลิน... แพทย์สาววัยยี่สิบหกปีจากศตวรรษที่ 21 ที่ทะลุมิติมาอยู่ในร่างของพระสนมที่ไม่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ เพราะเคยใช้ชีวิตอย่างท้าทายและอิสระมาก่อนนางจึงรู้สึกเบื่อหน่ายที่จะอยู่ในวังหลวงแห่งนี้ * * * * * * * * * * "ข้าอยากออกไปจากที่นี่" "ท่านเป็นถึงพระสนม เหตุใดถึงได้มีความคิดเช่นนั้นกันล่ะพ่ะย่ะค่ะ" "ท่านไม่รู้อะไรหรอก ลำบากอยู่ข้างนอกอาจจะดีกว่าอยู่ในวังหลวงที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายนี่ก็เป็นได้" "เช่นนั้นท่านรับนี่ไป" "อะไรหรือ?" "มันคือยาพิษ" "!" "หากท่านอยากออกไปจากวังหลวงแห่งนี้ก็มีเพียงต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น!" "ท่านว่าอะไรนะ!" * * * * * * * * * *
View More“คุณหมอคะ คุณหมอ”
“มีอะไรเหรอคะ?”
“มีเคสผ่าตัดด่วนเข้ามาค่ะ”
“เวลานี้เป็นเวรหมอจุนไม่ใช่หรือ?”
“ใช่ค่ะแต่ตอนนี้คุณหมอจุนยังมาไม่ถึงโรงพยาบาลเลยค่ะ คุณไข้อาการสาหัสรอไม่ได้แล้วนะคะ”
“ได้ งั้นรีบไปกัน”
“ค่ะ”
นางพยาบาลรีบเดินตามคุณหมอไปอย่างรีบเร่งก่อนจะอธิบายเคสฉุกเฉินนี้ให้เธอฟังคร่าวๆ
“เคสนี้เป็นเคสฉุกเฉินคนไข้เป็นทายาทของตระกูลโจวซึ่งเป็นเจ้าของโรงพยาบาลนี้ด้วยค่ะ”
“โอเค เตรียมชุดกับเครื่องมือเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
“ค่ะคุณหมอ”
จ้าวซูหลินเป็นหมอหญิงที่มีฝีมือผ่าตัดเป็นอันดับหนึ่งของเมืองลั่วหนานแห่งนี้ เธอจำเป็นต้องเข้าผ่าตัดให้ทายาทตระกูลโจวที่โด่งดังที่สุดในประเทศนี้แทนคุณหมอจุนเป็นการฉุกเฉินแม้จะรู้สึกตื่นเต้นมากแต่เธอก็พยายามทำทุกอย่างอย่างระมัดระวังและตั้งใจที่สุด
การผ่าตัดใช้เวลายาวนานร่วม12ชั่วโมงในที่สุดการผ่าตัดก็เสร็จสิ้นลงและสำเร็จไปได้ด้วยดี จ้าวซูหลินออกมาจากห้องผ่าตัดด้วยอาการเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง
“คุณหมอจ้าว ขอบคุณที่เข้าผ่าตัดแทนผมนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันได้ยินว่าคุณประสบอุบัติเหตุเป็นอะไรมากหรือเปล่าค่ะ”
“อ๋อ พอดีว่ามีรถชนกันตรงกลางสะพานน่ะครับรถหลายคันรวมถึงของผมด้วยจึงติดอยู่ตรงนั้นร่วมหลายชั่วโมงเลย กว่าจะระบายรถออกมาได้นี่ผมก็เร่งมาที่โรงพยาบาลจนสุดฝีเท้าเลยนะครับ”
“แต่เพราะการผ่าตัดครั้งนี้มีคุณหมอจ้าวอยู่ด้วยผมจึงวางใจไปได้ระดับหนึ่ง คิดว่าผมคงจะไม่ถูกไล่ออกตอนนี้หรอกนะครับ”
หมอจุนพูดกับเธอด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนคนอารมณ์ดีไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยอยู่ตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น
‘ความจริงหมอจุนก็ดูหล่อจริงๆ นะเนี่ยหรือเพราะวันๆ เธอเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานถึงไม่ค่อยได้สนใจผู้ชายคนนี้กันแน่นะ’
“คุณก็พูดไปเรื่อยอุบัติเหตุไม่มีใครอยากให้เกิดหรอกค่ะ แต่ว่าตอนนี้ฉันคงต้องขอตัวไปพักก่อนนะคะอยู่ในห้องผ่าตัดเกือบครึ่งวันเลย ขอตัวก่อนนะคะ”
“ครับผม โชคดีนะครับคุณหมอจ้าว”
จ้าวซูหลินยิ้มให้หมอจุนอีกครั้งก่อนจะรีบก้าวเดินไปที่ประตูชั้นที่เธอจอดรถอยู่ เมื่อพยาบาลที่พึ่งออกมาจากห้องพักเห็นเธอเข้าก็รีบเดินตรงมาหาเธอทันที
“คุณหมอจะกลับเลยหรือค่ะ”
“ใช่ค่ะ”
“นี่ค่ะกาแฟ เดินทางปลอดภัยนะคะ”
“ขอบใจมากนะ”
จ้าวซูหลินรับเอากาแฟมาจากมือของพยาบาลสาวก่อนจะเดินไปขึ้นรถเพื่อขับกลับไปยังคอนโดหรูของเธอ แต่เพราะอาการเหนื่อยล้าที่ใช้เวลาในการผ่าตัดยาวนานเกินไปทำให้จ้าวซูหลินมีอาการเบลอๆ จังหวะที่เธอวูบไปก็ทำให้รถของเธอไถลไปชนขอบสะพานก่อนจะล่วงลงทะเลสาบด้านล่างและจมหายลงไปทีละนิด
‘กรี๊ดดดด!! ช่วยด้วยยยยย…’
- - - - - - - - - -
‘เสียงใครร้องกันนะ?'
“พระสนม!”
“พระสนมฟื้นแล้ว! ทรงเป็นเช่นไรบ้างเพคะ”
จ้าวซูหลินเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาทีละนิดเธอพยายามลืมตาขึ้นมาแต่ก็รู้สึกปวดที่ศรีษะเป็นอย่างมาก มือบางทั้งสองข้างก็ยกขึ้นมากอบกุมที่ขมับของตัวเองเอาไว้แน่น
เมื่อดวงตาทั้งสองข้างเริ่มปรับสภาพคงที่แล้วเธอก็เริ่มมองเห็นภาพที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน แต่ภาพบรรยากาศตรงหน้าก็ทำให้จ้าวซูหลินขมวดคิ้วด้วยความงุนงงทันที
‘ที่นี่ที่ไหนกัน? ไม่ใช่คอนโดของเธอนี่นา’
เมื่อตั้งสติได้ก็หันมองไปด้านข้างเตียงที่เธอนอนอยู่พบหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งอยู่บนพื้นห้องกำลังจับจ้องมองเธอด้วยความดีใจอย่างสุดซึ้ง
‘อะไรเนี่ย? ทำไมเสื้อผ้าหน้าผมถึงเหมือนกับในละครหลังข่าวอย่างนี้ล่ะ ห้องนี้อีกมันเกิดอะไรขึ้นกัน? ’
จ้าวซูหลินรีบก้มมองชุดที่ตัวเองใส่ทันที
‘เป๊ะเลย…โฮกกกนี่มันอะไรกันเนี่ย! ฉันหลุดมาในนิยายหรืออย่างไรกัน’
เธอคร่ำครวญอยู่ภายในใจเงียบๆ ก่อนจะรีบตั้งสติและถามหญิงสาวตรงหน้าไปว่า
“ที่นี่ที่ไหนหรือ?”
“พระสนมท่านลืมได้เช่นไรเพคะ ที่นี่ก็คือตำหนักหนิงเซียงของท่านอย่างไรเล่าเพคะ”
“เดี๋ยวนะ! เธอ..เอ้ยไม่ใช่…”
“เจ้าเรียกข้าว่าพระสนมอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้วเพคะ”
จ้าวซูหลินรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมากความทรงจำครั้งสุดท้ายที่เธอนึกขึ้นได้คือคืนวันที่เธอผ่าตัดให้คนไข้สำเร็จไปได้ด้วยดี แล้วเธอก็ขับรถออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับไปยังคอนโดทันทีไม่ใช่หรือ
‘ระหว่างทางเกิดอะไรขึ้น? แล้วทำไมตื่นขึ้นมาแล้วถึงได้มาอยู่ที่แห่งนี้กันได้ล่ะเนี่ย’
จ้าวซูหลินกุมศรีษะเอาไว้ด้วยความสับสนกับสิ่งที่พบเจอในตอนนี้
“พระสนมเจ็บตรงไหนหรือเพคะ”
“ฉัน เอ้ยไม่ใช่!...ข้า ข้าคือใครนะ แล้วเจ้าชื่ออะไร”
“ท่านก็คือพระสนมซูหลินในฮ่องเต้ฮั่วจงอย่างไรล่ะเพคะ ส่วนข้าเป็นนางกำนัลรับใช้ข้างกายของท่านชื่อซั่วอิง”
“พระสนมซูหลินงั้นหรือ?”
“พระสนมจำอะไรไม่ได้เลยหรือเพคะ หรือว่าตอนที่ท่านตกลงไปในทะเลสาปหัวของท่านฟาดไปโดนโขดหินจนความทรงจำขาดหายไปใช่หรือไม่เพคะ”
“ตกน้ำงั้นหรือ? อะ…อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้กระมัง”
“ว่าแต่ข้าตกน้ำงั้นหรือ แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน”
“เมื่อวานท่านตั้งใจไปแอบดูฝ่าบาทไม่คิดว่าพระสนมลิ่งเฟยจะมาพบเข้าแล้วแกล้งผลักท่านจนตกลงไปในน้ำอย่างไรล่ะเพคะ ยังดีที่ฝ่าบาทเปลี่ยนเส้นทางมาตรงที่พวกเราอยู่พอดี ไม่เช่นนั้น…”
“ไม่เช่นนั้นอะไร?”
“ท่านอาจจะตายไปแล้วนะสิเพคะ”
‘ก็ตายไปแล้วจริงๆน่ะสิข้าถึงมาอยู่ในร่างนี้ได้ ให้ตายสิเคยอ่านแค่ในนิยายไม่คิดไม่ฝันว่าจะเกิดขึ้นกับข้าจริงๆ ’
-5 ปีผ่านไป-เทศกาลโคมไฟวนเวียนกลับมาในอีกรอบปีแล้ว แต่ปีนี้นั้นจ้าวซูหลินกลับรู้สึกว่าช่างเงียบเหงายิ่งนัก ในทุกๆปี นางจะนั่งชมโคมไฟรูปแบบต่างๆกับฮ่องเต้เสมอแต่มาปีนี้กลับต้องนั่งเหงาเดียวดายอยู่เพียงลำพัง“ฝ่าบาท หากชาติหน้ามีจริงขอให้พวกเรากลับมาพบกันอีกครั้งนะเพคะ”ฮ่องเต้ฮั่วจงสวรรคตไปเมื่อหนึ่งปีก่อนหลังเทศกาลโคมไฟของปีที่แล้วพอดี จ้าวซูหลินไม่อาจยื้อชีวิตพระองค์ได้อีกต่อไปแล้วอาจเพราะเครื่องมือที่มีไม่มากพอและตัวนางเองก็ไม่อยากทำให้พระองค์ต้องเจ็บปวดอีกต่อไปแม้จะเป็นไปตามประวัติศาสตร์ที่ฮ่องเต้ฮั่วจงต้องสวรรคตในวัยเพียงแค่สี่สิบชันษา และแม้นางอยากที่จะยื้อชีวิตให้เขาได้อยู่กับนางนานๆมากกว่านี้แต่นางก็ไม่อยากฝืนชะตาลิขิตอีกต่อไปได้เพียงแค่หวังว่าหากชาติหน้ามีจริง นางและเขาจะกลับมาพบกันในสถานะที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในชาตินี้ มีเพียงกันและกันและสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้โดยไม่ต้องผิดต่อใคร-โรงเตี๊ยมฟู่อันหลง-เช้าวันนี้จ้าวซูหลินรู้สึกว
ฮ่องเต้และฮองเฮาเดินเข้ามาในงานด้วยท่วงท่าสง่างามยิ่ง ฮ่องเต้นั้นสวมฉลองพระองค์ด้วยชุดสีเหลืองทองอร่ามปักลายมังกรงามสง่า ส่วนฮองเฮาสวมชุดคลุมพญาหงส์สวยตระการตาปิ่นห้อยพญาหงส์สีแดงทองทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยความสูงค่าทรงสง่าดูมีท่วงท่าของพระมารดาของแผ่นดินเป็นอย่างมาก บนโถงพิธีมงคลเทียนสีแดงถูกจุดสว่างตำแหน่งเก้าอี้สูงมีฮ่องเต้และฮองเฮาประทับอยู่ ด้านนอกโถงพิธีมงคลมีขุนนางที่หลี่กงอี้เชื้อเชิญมาร่วมงานรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย“ได้ฤกษ์แล้ว ต้อนรับบ่าวสาว” ผู้ดูแลจวนเดินออกมายืนป่าวประกาศด้วยเสียงอันดังดนตรีมงคลก็เริ่มบรรเลง เกี้ยวเจ้าสาวหามมาถึงนอกประตูใหญ่ของจวนตระกูลหลี่แล้ว ซั่วอิงถูกประคองลงจากเกี้ยวขณะนั้นก็ได้ยินเสียงประทัดดังปึงปังความปีติยินดีเบิกบานลั่นทั่วทั้งท้องฟ้าพรมสีแดงถูกปูมาจนถึงใต้เท้าของนาง “เจ้าสาวมาแล้ว” มีคนร้องขึ้น ซั่วอิงถูกประคองมาถึงหน้าโถงรับแขก จากนั้นมีสาวใช้สองคนเดินเข้ามารับช่วงต่อจากจ้าวซูหลินสาวใช้สองคนประคองซั่วอิงซ้ายขวาเดินเข้ามาในพิธีชุดมงคลแดงปักท
เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกปีแล้วจ้าวซูหลินยังคงอาศัยอยู่ในวังเพื่อถวายการรักษาฮ่องเต้อย่างต่อเนื่อง หลายๆครั้งที่นางพาฮ่องเต้แอบหนีออกจากวังเพื่อไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านในหลายๆหมู่บ้าน อะไรที่เขาไม่เคยทำจ้าวซูหลินก็พาทำหมดทุกอย่างหลี่กงอี้ที่เดิมทีเป็นกังวลเกี่ยวกับพระวรกายของฝ่าบาทแต่เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ยังคงแข็งแรงไปไหนมาไหนได้ไม่รู้เหน็ดเหนื่อยเขาจึงไม่เอ่ยคัดค้านใดๆ ทำได้เพียงแค่ตามทั้งสองคนไปในทุกๆที่เท่านั้น“ท่านกงอี้”“แม่นางซูหลิน มีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ”“เปล่าเสียหน่อยข้าเพียงแค่จะถามท่านว่าท่านไม่คิดจะแต่งงานบ้างหรือ”“ข้าหรือ?”“ใช่สิเจ้าคะ”“ข้าเห็นนะ ท่านแอบไปที่โรงเตี๊ยมของข้าบ่อยๆ”“อะไรกันนั่นข้าไม่ได้สั่งเสียหน่อย เจ้าไปที่นั่นทำไม? คงไม่ได้แค่ไปกินข้าวกระมัง”“อะเอ่อ ฝ่าบาทคือว่า”“ว่าอย่างไร อ้ำอึ้งอยู่ได้”“คือว่ากระหม่อม”“เจ้าชอบซั่วอิงงั้นหรือ แค่ช
“ก็ฮองเฮาอย่างไรเล่าเพคะ คนที่มีอำนาจในวังหลังมากสุดก็คือฮองเฮา ลองใครกล้านินทาหม่อมฉันดูสิฮองเฮาต้องออกหน้าจัดการแทนแน่นอน”“แล้วการที่เข้ามาดูแลรักษาอาการของพระองค์มันผิดตรงไหนกัน ใครๆก็รู้ว่าหม่อมฉันเป็นหมอ”“ข้าไม่ได้ว่าอะไร กลัวก็เพียงว่าคนที่เจ้าชอบจะมองเจ้าไม่ดี”“หม่อมฉันไม่มีลูกตาให้มองใครแล้วนะเพคะ”“แล้วเจ้ามองใครอยู่หรือ”จ้าวซูหลินยิ้มเบาๆนางไม่ตอบคำถามนี้แต่กลับกำลังค้นหาขวดยาเพื่อนำมาให้ฮ่องเต้เสวยอีกครั้ง“เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าข้ากินยาแล้วหรือ”“นั่นยาของหมอหลวง ส่วนนี่ของหม่อมฉัน”“ได้อย่างไรข้ากินแล้วนะ”“อย่าดื้อสิเพคะ หากท่านหายดีในเร็ววันหม่อมฉันจะพาพระองค์อบออกไปเที่ยวนอกวัง”“เที่ยวนอกวัง?”“ใช่แล้วเพคะ”“ไม่กี่วันข้างหน้าก็ถึงเทศกาลโคมไฟแล้วนะเพคะ หม่อมฉันอยากไปดูโคมไฟสวยๆ ฝ่าบาทก็ต้องไปกับหม่อมฉันด้วยนะเพคะ”จ้าวซูหลินยิ้มก่อนจะยื่นเม็ดยาที่นางสกัดออกมาเองใส่พระหัตถ์ของฝ่าบาทฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะเล็กน้อย‘เอาก็เอา อย่างน้อยถ้าหายดีก็จะได้พานางไปเที่ยวเล่
“ท่านน่าจะบอกข้าให้รู้เร็วกว่านี้”“ก็ฝ่าบาทไม่ยอมให้ข้าบอกท่านนี่นา เอาแต่ขู่ข้าว่าหากข้าปากโป้งไปบอกท่านจะตัดหัวข้าทิ้งเสีย ข้าเป็นองค์รักษ์ไม่กลัวตายหรอกนะแต่ข้าเพียงแค่กลัวว่าจะไม่มีใครอยู่คอยดูแลพระองค์ก็เท่านั้นเอง”‘ไม่กลัวตายเลยจริงจริ๊ง’“ใช่สินะ ใครจะไปรู้พระทัยฝ่าบาทเท่าท่านกัน”“แต่ก็อย่างที่ข้าตำหนิท่าน หากบอกข้าเร็วกว่านี้อาการของฝ่าบาทก็จะไม่ทรุดลงเร็วเช่นนี้”“แล้วแม่นางซูหลิน ฝ่าบาทจะทรงหายดีใช่หรือไม่”“ท่านรู้จักข้ามานานรู้ใช่หรือไม่ว่าข้าไม่พูดโกหก แม้บางครั้งจะจำเป็นต้องโกหกก็ตาม”“ข้ารู้”“ฝ่าบาทร่างกายอ่อนแอลงอย่างมากสุดก็ห้าปี”“ห้าปีงั้นหรือ”“พอจะจัดการอะไรๆ ได้ใช่หรือไม่”“ข้านึกว่าจะไม่นานเพียงนั้น”“ท่านกงอี้!”“ข้าพูดเรื่องจริงทั้งไทเฮาและฮองเฮาต่างก็วิตกเพราะรัชทายาทเองก็อายุได้เพียงสิบชันษายังไ
“สะ สนมซู ไม่ใช่ว่าเจ้าตายไปแล้วหรอกหรือ แล้วเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่!”“ไทเฮา ฮองเฮา เรื่องนี้หม่อมฉันจะมาอธิบายทีหลังนะเพคะ ตอนนี้ให้หม่อมฉันตรวจอาการของฝ่าบาทก่อน”“เจ้ารักษาคนเป็นหรือ”“ฮองเฮาที่กระหม่อมพาพระสนมมาก็เพราะว่านางมีฝีมือทางการแพทย์พ่ะย่ะค่ะ เห็นสมควรให้นางลองรักษาฝ่าบาทไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”ฝ่าบาทที่เดิมกำลังจะบรรทมต่อเพราะฤทธิ์ยาที่หมอหลวงให้กิน แต่ก็ต้องตื่นตกใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่าจ้าวซูหลินมาที่นี่‘มาได้อย่างไร?’ฮ่องเต้รีบทอดพระเนตรดูคนตรงหน้าทันที‘ชัดเลย จ้าวซูหลินจริงๆ! ต้องเป็นเจ้าบ้าหลี่กงอี้แน่ๆ อยากหัวหลุดจากบ่ามากหรืออย่างไรกัน’หลี่กงอี้ที่เหมือนจะรู้ตัวว่ามีสายตาอาฆาตจากฝ่าบาทมุ่งมาทางเขาก็รีบหลบไปที่หลังของจ้าวซูหลินทันที นางแปลกใจเล็กน้อยที่อยู่ๆหลี่กงอี้ก็มาหลบที่หลังของนางแต่เมื่อหันไปมองดูคนบนเตียงก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ!“ตะ…ใต้เท้า!”
-โรงเตี๊ยมฟู่อันหลง-“ท่านกงอี้”“แม่นางซูหลิน ข้าบอกแล้วว่าให้ท่านเรียกข้าว่ากงอี้ก็พอขอรับ”“ทำไมล่ะข้าไม่ได้เป็นพระสนมแล้วตอนนี้ท่านน่าจะมีตำแหน่งสูงกว่าข้าเสียด้วยซ้ำ คิดอะไรมากกันเจ้าคะข้าเรียกท่านตามที่คนอื่นๆเรียกน่ะถูกแล้ว”“เช่นนั้นก็ตามใจท่านเถอะ”“แล้วใต้เท้าไม่มาด้วยหรอกหรือ”“คือว่า”“มีอะไรหรือไม่เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนั้นกัน”“ใต้เท้าทำงานหนักทุกวัน ไม่อาจมาหาท่านเหมือนเช่นเคยได้ขอรับ”“เป็นเช่นนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นท่านคอยข้าสักครู่ข้าจะไปทำอาหารฝากไปให้ใต้เท้านะเจ้าค่ะ”“ขอรับ”หลี่กงอี้อยากจะบอกนางเหลือเกินว่าตอนนี้ฝ่าบาทนั้นประชวรหนัก แม้แต่หมอหลวงยังพูดกันว่าเวลานี้ไร้หนทางรักษาแล้ว เขาเองก็เคยเห็นนางรักษาให้ชาวบ้านด้วยวิธีการต่างๆมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เคยเสนอให้ฝ่าบาทบอกความจริงกับนางแต่พระองค์ก็ไม่ยอม แล้วเขาจะทำเช่นไรต่อดี?อยากจะช่วยชีวิตของฝ่าบาทใจจะขาดแต่ก็กลัวหัวจะหลุดจากบ่า‘เฮ้อ…เกิดเป็นข้านี่ลำบากชะมัด’“นี่เจ้าค่ะ ฝากท่านดูแลใต้เท้าด้วยนะเจ้าคะแม้ว่าข้าจะไม่ได้เป็นอะไรกับใต้เท้า แต่ข้านั้นเห็นเขาเป็นเหมือนพี่ชายคนหนึ่งมีอะไรให้ข้าช่วย ท่านรีบมาบอกข้าได้เลย
‘ให้ตายสิ ใต้เท้าเป็นโรคหัวใจหรือนี่’หากเป็นยุคที่นางจากมาการรักษาโรคหัวใจก็ไม่ได้น่ากลัวถึงเพียงนั้นแต่ในยุคนี้ที่เครื่องไม้เครื่องมือไม่ทันสมัย อุปกรณ์ไม่เพียงพอเช่นนี้น่ากังวลใจยิ่งนัก เวลานี้นางรู้สึกหวาดกลัวเมื่อรู้ว่าตัวเองจะไม่สามารถยื้อชีวิตคนไข้ของนางเอาไว้ได้“กงอี้ เจ้าช่วยเคลื่อนย้ายใต้เท้าไปด้านในทีข้าต้องทำการรักษาโดยด่วน”“เช่นนั้นแม่นางซูพวกเราพานายท่านกลับจวนก่อนดีหรือไม่ขอรับ”“ตอนนี้ไม่ได้ร่างกายใต้เท้าอ่อนแอนักทำตามที่ข้าบอกเถอะ ห้องด้านในข้าทำความสะอาดเพื่อทำการรักษาคนบาดเจ็บไปเมื่อคืนนี้แล้ว ตอนนี้ห้องนั้นว่างท่านพาเขาเข้าไปเถอะ”“ก็ได้ขอรับ”หลี่กงอี้รีบสั่งให้คนที่ติดตามเขามาด้วยยกตัวฮ่องเต้ขึ้นแล้วนำร่างของเขาไปไว้ในห้องด้านในตามคำสั่งของจ้าวซูหลินทันทีจ้าวซูหลินรีบเดินตามพวกเขาไปติดๆก่อนจะไล่ให้คนอื่นๆออกไปจากห้องให้หมด แม้กงอี้อยากจะทัดทานแต่เพราะหญิงสาวตรงหน้าคืออดีตพระสนมและยังคงเป็นนางในดวงใจของฮ่องเต้ เขาจึงไม่สามารถพูดคัดค้านสิ่งใดได้จ้าวซูหลินทำการรักษาฮ่องเต้อย่างสุดความสามารถ ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วยามถึงได้เปิดประตูออกมาภายใต้การรออย่างใจจดใจจ่อของบร
เวลาล่วงเลยผ่านมานานนับหกเดือนแล้ว จ้าวซูหลินรู้สึกสนุกกับการใช้ชีวิตที่นี่เป็นอย่างมาก นางรู้สึกว่าชีวิตนี้ของนางมีคุณค่ามากกว่าแต่ก่อนขึ้นเยอะเลยนอกจากการหมักเหล้าองุ่นขายในโรงเตี๊ยมของนางเองแล้ว นางยังใช้วิชาการแพทย์ที่ติดตัวมาตั้งแต่อยู่ในยุคที่นางจากมา มาใช้ประโยชน์ในที่แห่งนี้อีกด้วยบริเวณรอบๆ เมืองหลวงยังมีอีกหลายหมู่บ้านน้อยใหญ่ที่ยังขาดแคลนหมอ ชาวบ้านส่วนมากยังไม่มีเงินมากพอที่จะไปหาหมอดีๆรักษาเวลาเจ็บป่วยได้ เมื่อพวกเขาเจ็บป่วยไม่มีเงินไปหาหมอในเมืองก็ทำได้เพียงแค่นอนรอความตายเท่านั้นจ้าวซูหลินเห็นถึงความยากลำบากนั้นนางจึงออกเดินทางไปในหลายๆหมู่บ้าน บ้างก็ค้างที่หมู่บ้านนั้นๆ อยู่หลายครั้งหลายคราแต่ทุกครั้งจะมีใต้เท้าโจวอยู่เคียงข้างเสมอ หรือหากเขามาไม่ได้ก็จะส่งหลี่กงอี้องค์รักษ์คนสนิทมาอยู่ดูแลนางแทนนางเป็นคนนอกครอบครัวยังดูแลดีถึงเพียงนี้ เช่นนั้นคนในครอบครัวของใต้เท้าเองก็คงอยู่ดีมีสุขร่มเย็นกันถ้วนหน้ากระมัง“ฝ่าบาท”“วันนี้นางทำอะไรงั้นหรือ”“แม่นางซูหลินออกไปรักษาบาดแผลให้กับชาวบ้านที่ถูกดินถล่มพ่ะย่ะค่ะ”“มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเหตุใดถึงพึ่งมารายงานข้ากัน”“กระหม
Comments