“เยี่ยม!”
เจ้าอาวาสขมวดคิ้วมองนางนิ่ง ‘เด็กคนนี้คงไม่เล่นอะไรแผลงๆหรอกนะ’
จ้าวซูหลินรีบหยิบเอาของสิ่งนั้นในกล่องออกมาทันที ก่อนจะยื่นไปให้เจ้าอาวาสดู
“ท่านดูสิ เป็นตามที่ข้าขอจริงๆด้วย”
“หยึย! คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วย”
“อะไรกันเจ้าคะ ก็แค่ตุ๊กแกตัวเดียวท่านกลัวทำไมกัน”
“มะ มันจะตัวใหญ่เกินไปไหม”
“น่ารักออก”
‘ตรงไหน’
“จะ…เจ้าไปเถอะ กลับไปได้แล้ว”
“ทำไมกัน ข้ายังมีเรื่องที่จะปรึกษาท่านอยู่นะเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็เก็บเจ้าสิ่งนั้นไปเสียก่อนสิ”
“น่ารักจะตายไป”
จ้าวซูหลินถึงจะบ่นๆไปแต่ก็ยอมเก็บตุ๊กแกตัวเขื่องลงในกล่องทันที
“เฮ้อ...เหตุใดเจ้าถึงได้ต่างจากนางนักนะ จ้าวซูหลินคนก่อนทั้งอ่อนโยนและขี้อาย แต่เจ้า…”
“ก็ข้าไม่ใช่นาง”
“มันก็ใช่”
“ข้าอยากรู้ว่าข้าจะได้กลับบ้านหรือไม่”
“มันอยู่ที่ชะตาลิขิต”
“เอาอีกแล้วอะไรๆก็ชะตาลิขิต ท่านพูดอย่างอื่นเป็นหรือไม่”
“ข้าพูดตามที่ข้าหยั่งรู้มาข้าอยู่ที่นี่เพื่อรอเจ้ามานานนับหลายปีแล้ว ต่อไปนี้ก็จะได้เป็นอิสระได้ออกไปทำตามสิ่งที่ข้าต้องการเสียที”
“ท่านจะไปไหนหรือเจ้าคะ”
“นางหนูเจ้าเองก็มีของวิเศษนี้แล้วอยากได้สิ่งใดก็ขอเพียงแค่ปรารถนาในใจ แต่ก็มีข้อจำกัดอย่าได้โลภมากอย่าได้คิดชั่วร้ายไม่เช่นนั้นกล่องนี้จะหายไปตลอดกาล”
จ้าวซูหลินมองกล่องในมือนิ่งก่อนจะเงยหน้ามองไปที่เจ้าอาวาสอีกครั้ง
“แล้วท่านจะไม่อยู่ที่นี่แล้วเช่นนั้นหรือเจ้าคะ”
“ข้าเองก็มีสิ่งที่ต้องทำ มีที่ที่อยากไปเช่นเดียวกันกับเจ้า”
“เฮ้อ…เช่นนั้นข้าขอบคุณที่ท่านตั้งหน้าตั้งตาอยู่รอข้านะเจ้าคะ”
“ก็บอกไปแล้วว่าเป็น…”
“พอแล้วเจ้าค่ะข้ารู้แล้ว”
‘อะไรๆก็ลิขิตสวรรค์อยู่นั่นล่ะ’
“ข้าจะไปส่งเจ้าเอง”
“ข้าว่าข้าน่าจะจำทางออกได้เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นหรือ”
เมื่อจ้าวซูหลินเดินออกมาจากอารามก็พบซั่วอิงกำลังนั่งตบยุงอยู่เพียงลำพังใต้ต้นไม้ใหญ่
“พระสนมข้ารอท่านนานมากเลยนะเพคะ แล้วนั่นถืออะไรมาหรือเพคะ”
“กล่องไม้ของข้าน่ะ ข้าลืมมันเอาไว้เมื่อครั้งที่มาครั้งที่แล้ว พวกเรากลับกันเถอะ”
“พระสนม”
“อะไรอีก”
“ข้าว่าที่นี่แปลกๆนะเจ้าคะ”
“แปลกอย่างไร”
“ก็…”
จ้าวซูหลินหันมองไปรอบๆ ‘เหตุใดตอนที่มาถึงไม่เห็นจะมีต้นไม้เยอะเช่นนี้กันล่ะ’
“ข้าบอกแล้วว่าข้าจะไปส่งพวกเจ้าเองตามข้ามา”
จ้าวซูหลินจำต้องเดินตามเจ้าอาวาสไปทันทีโดยมีซั่วอิงเดินตามหลังนางไปติดๆ เดินกันไม่นานก็มาถึงตีนเขาเสียที
“ขอบคุณท่านเจ้าอาวาสมากนะเจ้าค่ะ”
“โชคดีล่ะนางหนูจำเอาไว้มีเพียงตัวเจ้าเท่านั้นที่จะพึ่งพาตัวเองได้ ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นจงตั้งสติให้มั่นแล้วเจ้าจะพบหนทางออกในเรื่องนั้นเอง”
จ้าวซูหลินค้อมคำนับเจ้าอาวาสอีกครั้งแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับพบกลับความว่างเปล่า
“หายไปไหนแล้ว เร็วชะมัด”
“พระสนมไปกันเถอะเพคะ”
“อืม”
พวกนางเดินลัดเลาะป่ารกร้างก่อนจะเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน เดินไปตามรั้วราชวังเรื่อยๆจนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่ยักษ์บานนั้น รอยยิ้มของจ้าวซูหลินที่ยิ้มมาตลอดทางก็ค่อยๆหุบลง
“เฮ้อ… ข้าไม่อยากกลับเข้าไปข้างในเลยซั่วอิง”
“ทำอย่างไรได้ล่ะเจ้าคะพวกเราเป็นคนของวังหลวงแล้ว อีกอย่างท่านเป็นถึงพระสนมย่อมไม่มีทางที่จะออกจากวังหลวงแห่งนี้ได้”
จ้าวซูหลินเบ้ปากก่อนจะนั่งลงตรงขอบพักประตู
“เฮ้อ … ชีวิตของข้าช่างน่าเวทนายิ่งนัก”
“พระสนม ถึงอย่างไรท่านก็มีตำแหน่งย่อมอยู่ในวังได้สบายอยู่แล้วนะเพคะ”
“แล้วหากว่าฮ่องเต้ตายล่ะ เหล่าสนมเช่นข้าไม่ต้องตายตามไปด้วยหรอกหรือ”
พรู๊ดดด….~
ฮ่องเต้ที่นั่งรอคอยการกลับมาของนางอยู่บนหลังคามาเนิ่นนานนับหนึ่งชั่วยาม[1]เห็นจะได้ เขากำลังนั่งดื่มเหล้าองุ่นที่นางให้ไว้ก่อนจะออกไปนอกวังอยู่ แต่เมื่อได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ก็ทำเอาเขาสำลักเหล้าทันที
“นี่นางกล้าแช่งข้าเลยงั้นหรือ”
“ฝ่าบาทโปรดทรงระงับโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ พระสนมอาจจะไม่ทันระวังอีกทั้งนางอาจจะคับแค้นใจที่ถูกทอดทิ้งเพียงลำพังที่ท้ายวังแห่งนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าก็ไม่ได้คิดจะลงโทษนางเสียหน่อย”
“ดูท่าทางพระสนมจะมีความสุขมากเมื่อออกจากวังนะพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“เจ้าจะพูดอะไร”
“ถ้าหากว่าฝ่าบาททรงปล่อยพระสนมไป..”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรตามกฎหากนางไม่ได้ทำสิ่งใดผิดย่อมปลดนางจากตำแหน่งนี้ไม่ได้ หรือหากไม่ได้สร้างผลงานให้แก่วังหลวงย่อมไม่มีทางขอพระราชทานรางวัลจากข้าเพื่อออกจากวังได้เช่นกัน”
“เช่นนั้นก็ทำเสียสิพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“ฝ่าบาทเป็นเพียงคนเดียวที่จะปลดปล่อยนางได้หรือว่าความจริงแล้วฝ่าบาทเองก็ไม่อยากจะปล่อยพระสนมไปจริงๆล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หันพระพักตร์ไปมององค์รักษ์คนสนิทของเขาทันที
‘ใช่ ในใจของข้าไม่อยากที่จะปล่อยนางไปเองนั่นล่ะ’
‘เฮ้อ….เหตุใดข้าถึงเป็นคนแบบนี้กันนะ’
- - - - - - - - - -
[1] 1 ชั่วยาม = 2 ชั่วโมง
จ้าวซูหลินนั่งเอามือเท้าคางมองกล่องวิเศษที่ได้รับมาจากเจ้าอาวาสอยู่นานสองนาน กล่องที่ดูธรรมดาๆแต่ความจริงแล้วกลับไม่ธรรมดาอย่างที่เห็น เพราะเมื่อนางลองใช้งานกล่องตัวนี้แล้วกลับพบว่าภายในไม่ได้บรรจุเพียงแค่ตัวยาชนิดต่างๆ เท่านั้น แต่ยังมีทุกสิ่งที่ผู้เป็นเจ้าของต้องการโผล่ออกมาในขนาดย่อส่วนอีกด้วย“ช่างวิเศษเสียจริง เช่นนี้ข้าก็อยู่ที่นี่ได้อย่างสบายแล้วล่ะสิ”“ว่าแต่ขอเงินเยอะๆเลยได้หรือไม่นะ’‘นางหนูเจ้าเองก็มีของวิเศษนี้แล้วอยากได้สิ่งใดก็ขอเพียงแค่ปรารถนาในใจ แต่ก็มีข้อจำกัดอย่าได้โลภมากอย่าได้คิดชั่วร้ายไม่เช่นนั้นกล่องนี้จะหายไปตลอดกาล’ เมื่อคิดถึงคำพูดของเจ้าอาวาสครั้งที่ไปเยือนที่วัดฮุ่ยหลอได้ก็ทำเอานางล้มเลิกความคิดนั้นไปทันที“ไม่ได้สิ หากกล่องนี้หายไปจริงๆข้าจะไม่แย่หรอกหรือ เฮ้อ….”“พระสนม!”ขณะที่จ้าวซูหลินเอาแต่นั่งลูบๆ คลำๆ กล่องอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงของซั่วอิงตะโกนเรียกนางมาแต่ไกล นางหันไปมองตามเสียงเรียกก็เห็นว่าซั่วอิงกำลังวิ่งมาหานางด้วยความรวดเร็ว ใบหน้าแสดงออกถึงความตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก“มีอะไรหรือซั่วอิง ตื่นเต้นอะไรกัน”“เมื่อครู่ตอนที่หม่อมฉันไปห้องเครื่อง ได้ยิน
ฮ่องเต้หันไปสบตาหลี่กงอี้ทันทีเมื่อสัมผัสได้ว่ากำลังถูกเขาจ้องมองอยู่ และเพราะกลัวว่าเจ้าหมอนี่จะหลุดปากพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปจึงได้ส่งสายตาให้เขารีบไปรอที่รถม้าโดยเร็วที่สุด“ว่าแต่พวกเจ้าสองคนจะไปไหนกันหรือ”“คือว่าข้าจะทำอาหารไปถวายฮองเฮาน่ะเจ้าค่ะ ก็เลยตั้งใจว่าจะออกไปซื้อวัตถุดิบมาเตรียมตัวกันเสียหน่อย”“เช่นนั้นให้ข้านำทางให้หรือไม่”“ท่านไม่ต้องทำงานหรอกหรือเจ้าคะ”“ข้าทำมาทั้งคืนแล้ว ตอนนี้ข้าว่าง”จ้าวซูหลินฉีกยิ้มทันที ‘มีคนพาไปก็ดีกว่าไปกันเองเยอะเลย’“เช่นนั้นก็ดีเลยเจ้าค่ะ ข้าเองก็ไปที่ท่าเรือไม่ถูก”“เจ้าจะไปที่ท่าเรือทำไมกัน”“ข้าอยากได้ของทะเลเจ้าค่ะ ใต้เท้ารีบไปกันเถอะหากไปช้าข้ากลัวว่าของดีๆจะหมดเสียก่อน”จ้าวซูหลินถือวิสาสะรีบเดินมาจูงแขนเขาออกเดินไปทันที ฮ่องเต้ตาโตมองมือของนางที่จับมือถือแขนเขาอยู่ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นฮ่องเต้และมีสถานะเป็นสามีของนางเองก็เถอะ แต่ถึงอย่างไรเวลานี้เขาก็อยู่ในฐานะบุรุษอื่นที่นางพึ่งรู้จักทำเช่นนี้ย่อมไม่สมควร“แม่นางซู เจ้าจะมาจับมือถือแขนข้าแบบนี้ไม่ได้นะชายหญิงไม่ควรแตะต้องตัวกันเจ้าไม่รู้หรืออย่างไร”“ช่างมันเถอะเจ้าค่ะ ข้าไม่สนใจก
จ้าวซูหลินละสายตาจากใต้เท้าโจวก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองสถานที่ตรงหน้า ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทำให้นางถึงกับตะลึงไปเลยท่าเรือแห่งนี้ใหญ่มากจริงๆมีเรือประมงขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่หลายลำด้วยกัน ผู้คนมากหน้าหลายตาทั้งพ่อค้าแม่ค้าและชาวบ้านต่างเดินควักไคว่กันเต็มท่าเรือเลยก็ว่าได้“คนเยอะมากถึงเพียงนี้เลยหรือ นี่พวกเรามาช้าไปใช่หรือไม่”“ไม่ใช่หรอกขอรับแม่นางซูเวลานี้เป็นเวลาปกติที่ผู้คนจะออกมาท่าเรือกันขอรับ ท่าเรือแห่งนี้เป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแล้วในแต่ละวันจึงมีผู้คนมาที่นี่กันมากเช่นนี้ล่ะขอรับ”“อย่างนี้นี่เอง”จ้าวซูหลินยืนมองผู้คนที่เดินไปมาจนทั่วทั้งท่าเรือ จังหวะนั้นก็มีบุรุษหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาทางที่พวกนางกำลังยืนอยู่“ฝ่า….” ฮ่องเต้รีบถลึงตาใส่องค์รักษ์รักษาพระองค์ที่ล่วงหน้ามาจัดการที่นี่ก่อนแล้วทันทีที่ได้ยินการเรียกขานจากอีกฝ่าย“อะเอ่อ นายท่านเรือประมงเข้ามาเทียบท่าพอดีขอรับ”“ดีมาก พวกเขาขนของลงมาแล้วหรือยัง”“เรียบร้อยแล้วขอรับนายท่าน”“อืม”“พวกเราไปดูกันเถอะ”“เจ้าค่ะ”‘เหอะๆ..ทีตอนพูดกับลูกน้องเสียงเข้มเชียว แต่พอหันมาพูดกับพระสนมเสียงสองก็มา’“เฮอะ!…”“อะไรของเจ้า?
จ้าวซูหลินโอดครวญในใจเงียบๆ ก่อนจะล่ะความสนใจจากบุรุษตรงหน้าแล้วเดินไปซื้อของอย่างอื่นเพิ่มอีกทันที“ซั่วอิงเอาของไปไว้ที่รถม้าได้แล้ว”“เจ้าค่ะนายหญิง”“มาข้าช่วยเอง”กงอี้รีบยื่นมือเข้าไปช่วยถือของจากซั่วอิงอีกแรง แม้จะช่วยกันถือจนเต็มไม้เต็มมือของทั้งคู่แล้ว แต่ก็ยังดูเหมือนว่าจะยังถือกันไม่หมดจนจ้าวซูหลินเองต้องเข้ามาช่วยพวกเขาอีกที“นายหญิงพวกข้าถือเองได้เจ้าค่ะ”“ไม่เป็นไรมือข้าว่าง กลับไปที่รถม้ากัน”“เจ้าค่ะ/ขอรับ”คล้อยหลังจ้าวซูหลินและบรรดาคนรับใช้เดินจากไปแล้ว ฮ่องเต้ที่อมยิ้มอยู่ก็ฉีกยิ้มกว้างขึ้นมาทันที“แม่ค้าคนนั้นพูดถูกใจข้าเสียจริง เจ้าเอาตำลึงเงินไปให้นางเพิ่มอีก100ตำลึง”“ห๋า?”“อะไร? ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ”“ดะ ได้ยินขอรับนายท่าน ไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”ฮ่องเต้เมื่อสั่งการตามที่ปรารถนาแล้วก็รีบเดินตามหลังจ้าวซูหลินไปในทันที ถงมิ่งองค์รักษ์อีกคนที่ถูกส่งมาเฝ้าท่าเรือตั้งแต่เช้าตรู่ได้แต่ยืนเกาหัวแกร๊กๆ“แค่พูดถูกใจก็ได้ร้อยตำลึงเลยเชียว อะไรของฝ่าบาทกันเนี่ย”**************************** -วังหลวง-เมื่อรถม้าจอดนิ่งสนิทตรงประตูท้ายวังหลวงแล้ว จ้าวซูหลินและซั่วอิงก็รีบขนของ
“ฮองเฮา ทรงเสวยสักนิดนะเพคะ”“ข้าไม่กินอะไรทั้งนั้นเอาออกไปได้แล้ว”“แต่ว่าฮองเฮาพระองค์ไม่เสวยอะไรเลยมาร่วมสองวันแล้วนะเพคะ หม่อมฉันเกรงว่า…”“เอาออกไป!”เหล่านางกำนัลที่รับใช้ข้างกายของฮองเฮาต่างก็มองหน้ากันไปมาด้วยความเหนื่อยใจอย่างยิ่ง“กินสักหน่อยเถอะเพคะ หม่อมฉันทำเองกับมือเลยนะ”“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่า….”“สนมซู! เจ้าเองหรอกหรือ”“ใช่แล้วเพคะ หม่อมฉันได้ยินมาว่าพระองค์ไม่ยอมเสวยสิ่งใดเลย จึงตื่นแต่เช้าทำอาหารอร่อยๆมาให้ลองเสวยดู”“อะไรหรือ”“โจ๊กกุ้งเพคะ ลองเสวยดูสักนิดก็ยังดีนะเพคะ”จ้าวซูหลินออดอ้อนให้ฮองเฮายอมเสวยอาหารที่นางทำมาอย่างมุ่งมั่นจนพระนางถึงกลับอมยิ้มออกมาทันที“ก็ได้”ฮองเฮารับเอาถ้วยโจ๊กมาจากมือของจ้าวซูหลินก่อนจะค่อยๆตักเข้าพระโอษฐ์“อร่อย ไม่น่าเชื่ออาหารหน้าตาธรรมดาแค่รสชาติกลับไม่ธรรมดาเลย”“จริงหรือเพคะ หากทรงกินได้มากกว่านี้หม่อมฉันจะทำมาให้เสวยทุกวันเลย”“เจ้าเห็นข้าเป็นเด็กหรืออย่างไรกันถึงเอาของกินมาล่อ”“โธ่…ฮองเฮาล่ะก็”“ข้าล้อเล่นน่ะ แต่เจ้าแน่ใจนะว่าจะไม่เบื่อข้าไปเสียก่อน”“เรื่องอะไรที่หม่อมฉันจะเบื่อ พระองค์ก็เปรียบเสมือนพี่สาวของหม่อมฉันนะเพคะ”ฮอง
“เจ้าช่วยพาลิ่วลิ่วของข้าไปเดินเล่นทีสิ”“ห๋า?!”“ไปเถอะน่ามันไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”ซั่วอิงยืนเบะปากแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว“ข้าจะนำมันใส่ในตระกร้าแล้วเจ้าช่วยพามันไปเดินเล่นแถวๆตำหนักของลิ่งเฟยที”“พระสนม แล้วหากว่ามันโผล่หน้าออกมาเกาะมือของหม่อมฉันล่ะเพคะ”“ไม่หรอกน่า ลิ่วลิ่วเชื่อฟังข้าจะตายไป”จ้าวซูหลินพูดจบก็หยิบเอาตระกร้าไม้สานออกมาแล้วนำลิ่วลิ่ว ตุ๊กแกตัวเขื่องของนางใส่ลงไปในนั้นแล้วนำอีกตัวที่เล็กกว่านิดนึงใส่ลงไปเพิ่ม‘แค่ตัวเดียวข้าก็จะเป็นลมอยู่แล้ว นี่มาถึงสองเลยหรือ’ซั่วอิงลมแทบจับที่ได้เห็นตุ๊กแกตัวใหญ่มหึมานอนเอนกายลงในตระกร้าอย่างว่าง่าย จ้าวซูหลินใช้ผ้าสีขาวปิดบังเอาไว้ก่อนจะมองมาที่ซั่วอิงนางสูดลมหายใจเข้าก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปรับเอาตระกร้านั้นมาถือไว้“จำไว้ว่าอย่าให้ใครเห็นเป็นอันขาด ปล่อยพวกมันเอาไว้ที่นั่นล่ะเดี่ยวพวกมันจะกลับมาเอง เข้าใจหรือไม่”“เพคะ”ซั่วอิงเดินถือตระกร้าออกจากตำหนักด้วยความหวาดระแวงแต่ก็รีบเดินไปตามคำสั่งของจ้าวซูหลินในทันที‘ฮึๆ นี่แค่เบาๆ รอบหน้าข้าเล่นเจ้าหนักกว่านี้แน่ ลิ่งเฟย’-โรงเตี๊ยมฟู่อันหลง-“ข้าได้ยินมาว่าพระสนมลิ่งเฟยจับไข้เพราะใ
หลายวันผ่านไปจ้าวซูหลินได้ยินมาว่าสนมลิ่งเฟยมีอาการเหม่อลอยสติคล้ายคนฟั่นเฟือน ฮ่องเต้จึงสั่งกักบริเวณนางให้อยู่เพียงในตำหนักเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ต่างจากการถูกกักขังที่ตำหนักเย็นเลยสักเพียงนิดในที่สุดนางก็ได้รับผลกรรมที่นางก่อเอาไว้เสียที ชีวิตที่สูญสิ้นของจ้าวซูหลินคนก่อนแลกกับโทษฑัณฑ์ที่นางได้รับก็แล้วกันแม้จะเทียบเคียงกันไม่ได้ก็ตามนางรู้สึกสบายใจขึ้นมากกว่าเดิมแต่ก็ยังเมื่อรู้สึกเบื่อๆกับการที่ต้องอยู่แค่เพียงในรั้ววังหลวง วันนี้พวกนางจึงแอบออกจากวังอีกครั้ง-ท้องพระโรง-“นางแอบออกจากวังอีกแล้วหรือ”“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”ฮ่องเต้ที่กำลังนั่งตรวจฎีกาในท้องพระโรงอยู่ก็ถึงกลับทอดถอนพระปัสสาสะทันทีเพราะกลัวว่านางจะไปก่อเรื่องสร้างราวใดๆอีกก็ถึงกับไม่มีสมาธิอ่านฎีกาต่ออีก“เตรียมตัวออกจากวัง”“พ่ะย่ะค่ะ”ด้านจ้าวซูหลินเมื่อเดินเล่นกันทั่วเมืองอย่างพอใจแล้ว นางกำลังจะไปที่โรงเตี๊ยมฟู่อันหลงเพื่อสอบถามการซื้อขายเหล้าองุ่นกับเต้าแก่ต้วนอีกครั้ง แต่เดินไปไม่ถึงไหนก็ได้ยินซั่วอิงเรียกเสียก่อน“นายหญิงพวกเรารีบกลับกันเถอะเจ้าค่ะ ท่านดูนั่นสิตอนออกมาท้องฟ้ายังดีๆอยู่เลย แต่ตอนนี้เหตุใดถึงได้เป็นเช่
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!”ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นต่างก็หันไปมองที่ฮ่องเต้กันหมด ด้วยความสงสัยว่าเหตุใดเขาถึงได้โกรธถึงเพียงนั้นไม่เว้นแม้กระทั่งจ้าวซูหลินที่ดูจะงุนงงเล็กน้อย“คือว่าข้าเป็นเพียงขุนนางเล็กๆ จึงไม่ได้รับรู้ว่าราชสำนักดูแลชาวบ้านกันอย่างไร เมื่อได้ยินที่พวกท่านพูดมาข้าจึงตกใจอยู่ไม่น้อยเลยน่ะ”“พวกท่านไม่ต้องห่วงในเมื่อพระสนมมาถึงที่นี่แล้ว ราชสำนักย่อมไม่นิ่งดูดายอย่างแน่นอน” ฮ่องเต้ที่อยู่ในคราบของใต้เท้าโจวช่วยยืนยันว่าพวกเขาจะได้รับการช่วยเหลืออย่างแน่นอน“หากเป็นเช่นนั้นก็ดีขอรับ เพราะดูแล้วครั้งนี้พวกเราจะได้รับผลกระทบหนักกันพอสมควร”หัวหน้าหมู่บ้านพูดก่อนจะหันหลังไปมองบ้านเรือนที่อยู่ในความดูแลของเขาด้วยใบหน้าเศร้าหมอง“ท่านป้า นอนเฉยๆ เถอะเจ้าค่ะข้าจะรักษาบาดแผลให้ท่าน”“แต่พระสนม ข้าเกรงใจท่าน”“จะมาเกรงใจอะไรกัน เห็นข้าเป็นเพียงหญิงธรรมดาสิเจ้าคะ พระสนมอะไรนั่นเอาทิ้งไว้ก่อนเถอะเจ้าค่ะ”“ท่านหมอหญิง ท่านหมอเจ้าคะได้โปรดช่วยหลานสาวของข้าด้วย”“นางเป็นอะไรหรือ”“นางถูกพายุดูดขึ้นไปจังหวะที่ตกลงมากระทบกับพื้นตรงๆ ตอนนี้ตัวของนางท่วมไปด้วยเลือด ข้า ข้าไม่กล้าดูเลยว่าม
-5 ปีผ่านไป-เทศกาลโคมไฟวนเวียนกลับมาในอีกรอบปีแล้ว แต่ปีนี้นั้นจ้าวซูหลินกลับรู้สึกว่าช่างเงียบเหงายิ่งนัก ในทุกๆปี นางจะนั่งชมโคมไฟรูปแบบต่างๆกับฮ่องเต้เสมอแต่มาปีนี้กลับต้องนั่งเหงาเดียวดายอยู่เพียงลำพัง“ฝ่าบาท หากชาติหน้ามีจริงขอให้พวกเรากลับมาพบกันอีกครั้งนะเพคะ”ฮ่องเต้ฮั่วจงสวรรคตไปเมื่อหนึ่งปีก่อนหลังเทศกาลโคมไฟของปีที่แล้วพอดี จ้าวซูหลินไม่อาจยื้อชีวิตพระองค์ได้อีกต่อไปแล้วอาจเพราะเครื่องมือที่มีไม่มากพอและตัวนางเองก็ไม่อยากทำให้พระองค์ต้องเจ็บปวดอีกต่อไปแม้จะเป็นไปตามประวัติศาสตร์ที่ฮ่องเต้ฮั่วจงต้องสวรรคตในวัยเพียงแค่สี่สิบชันษา และแม้นางอยากที่จะยื้อชีวิตให้เขาได้อยู่กับนางนานๆมากกว่านี้แต่นางก็ไม่อยากฝืนชะตาลิขิตอีกต่อไปได้เพียงแค่หวังว่าหากชาติหน้ามีจริง นางและเขาจะกลับมาพบกันในสถานะที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในชาตินี้ มีเพียงกันและกันและสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้โดยไม่ต้องผิดต่อใคร-โรงเตี๊ยมฟู่อันหลง-เช้าวันนี้จ้าวซูหลินรู้สึกว
ฮ่องเต้และฮองเฮาเดินเข้ามาในงานด้วยท่วงท่าสง่างามยิ่ง ฮ่องเต้นั้นสวมฉลองพระองค์ด้วยชุดสีเหลืองทองอร่ามปักลายมังกรงามสง่า ส่วนฮองเฮาสวมชุดคลุมพญาหงส์สวยตระการตาปิ่นห้อยพญาหงส์สีแดงทองทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยความสูงค่าทรงสง่าดูมีท่วงท่าของพระมารดาของแผ่นดินเป็นอย่างมาก บนโถงพิธีมงคลเทียนสีแดงถูกจุดสว่างตำแหน่งเก้าอี้สูงมีฮ่องเต้และฮองเฮาประทับอยู่ ด้านนอกโถงพิธีมงคลมีขุนนางที่หลี่กงอี้เชื้อเชิญมาร่วมงานรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย“ได้ฤกษ์แล้ว ต้อนรับบ่าวสาว” ผู้ดูแลจวนเดินออกมายืนป่าวประกาศด้วยเสียงอันดังดนตรีมงคลก็เริ่มบรรเลง เกี้ยวเจ้าสาวหามมาถึงนอกประตูใหญ่ของจวนตระกูลหลี่แล้ว ซั่วอิงถูกประคองลงจากเกี้ยวขณะนั้นก็ได้ยินเสียงประทัดดังปึงปังความปีติยินดีเบิกบานลั่นทั่วทั้งท้องฟ้าพรมสีแดงถูกปูมาจนถึงใต้เท้าของนาง “เจ้าสาวมาแล้ว” มีคนร้องขึ้น ซั่วอิงถูกประคองมาถึงหน้าโถงรับแขก จากนั้นมีสาวใช้สองคนเดินเข้ามารับช่วงต่อจากจ้าวซูหลินสาวใช้สองคนประคองซั่วอิงซ้ายขวาเดินเข้ามาในพิธีชุดมงคลแดงปักท
เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกปีแล้วจ้าวซูหลินยังคงอาศัยอยู่ในวังเพื่อถวายการรักษาฮ่องเต้อย่างต่อเนื่อง หลายๆครั้งที่นางพาฮ่องเต้แอบหนีออกจากวังเพื่อไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านในหลายๆหมู่บ้าน อะไรที่เขาไม่เคยทำจ้าวซูหลินก็พาทำหมดทุกอย่างหลี่กงอี้ที่เดิมทีเป็นกังวลเกี่ยวกับพระวรกายของฝ่าบาทแต่เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ยังคงแข็งแรงไปไหนมาไหนได้ไม่รู้เหน็ดเหนื่อยเขาจึงไม่เอ่ยคัดค้านใดๆ ทำได้เพียงแค่ตามทั้งสองคนไปในทุกๆที่เท่านั้น“ท่านกงอี้”“แม่นางซูหลิน มีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ”“เปล่าเสียหน่อยข้าเพียงแค่จะถามท่านว่าท่านไม่คิดจะแต่งงานบ้างหรือ”“ข้าหรือ?”“ใช่สิเจ้าคะ”“ข้าเห็นนะ ท่านแอบไปที่โรงเตี๊ยมของข้าบ่อยๆ”“อะไรกันนั่นข้าไม่ได้สั่งเสียหน่อย เจ้าไปที่นั่นทำไม? คงไม่ได้แค่ไปกินข้าวกระมัง”“อะเอ่อ ฝ่าบาทคือว่า”“ว่าอย่างไร อ้ำอึ้งอยู่ได้”“คือว่ากระหม่อม”“เจ้าชอบซั่วอิงงั้นหรือ แค่ช
“ก็ฮองเฮาอย่างไรเล่าเพคะ คนที่มีอำนาจในวังหลังมากสุดก็คือฮองเฮา ลองใครกล้านินทาหม่อมฉันดูสิฮองเฮาต้องออกหน้าจัดการแทนแน่นอน”“แล้วการที่เข้ามาดูแลรักษาอาการของพระองค์มันผิดตรงไหนกัน ใครๆก็รู้ว่าหม่อมฉันเป็นหมอ”“ข้าไม่ได้ว่าอะไร กลัวก็เพียงว่าคนที่เจ้าชอบจะมองเจ้าไม่ดี”“หม่อมฉันไม่มีลูกตาให้มองใครแล้วนะเพคะ”“แล้วเจ้ามองใครอยู่หรือ”จ้าวซูหลินยิ้มเบาๆนางไม่ตอบคำถามนี้แต่กลับกำลังค้นหาขวดยาเพื่อนำมาให้ฮ่องเต้เสวยอีกครั้ง“เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าข้ากินยาแล้วหรือ”“นั่นยาของหมอหลวง ส่วนนี่ของหม่อมฉัน”“ได้อย่างไรข้ากินแล้วนะ”“อย่าดื้อสิเพคะ หากท่านหายดีในเร็ววันหม่อมฉันจะพาพระองค์อบออกไปเที่ยวนอกวัง”“เที่ยวนอกวัง?”“ใช่แล้วเพคะ”“ไม่กี่วันข้างหน้าก็ถึงเทศกาลโคมไฟแล้วนะเพคะ หม่อมฉันอยากไปดูโคมไฟสวยๆ ฝ่าบาทก็ต้องไปกับหม่อมฉันด้วยนะเพคะ”จ้าวซูหลินยิ้มก่อนจะยื่นเม็ดยาที่นางสกัดออกมาเองใส่พระหัตถ์ของฝ่าบาทฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะเล็กน้อย‘เอาก็เอา อย่างน้อยถ้าหายดีก็จะได้พานางไปเที่ยวเล่
“ท่านน่าจะบอกข้าให้รู้เร็วกว่านี้”“ก็ฝ่าบาทไม่ยอมให้ข้าบอกท่านนี่นา เอาแต่ขู่ข้าว่าหากข้าปากโป้งไปบอกท่านจะตัดหัวข้าทิ้งเสีย ข้าเป็นองค์รักษ์ไม่กลัวตายหรอกนะแต่ข้าเพียงแค่กลัวว่าจะไม่มีใครอยู่คอยดูแลพระองค์ก็เท่านั้นเอง”‘ไม่กลัวตายเลยจริงจริ๊ง’“ใช่สินะ ใครจะไปรู้พระทัยฝ่าบาทเท่าท่านกัน”“แต่ก็อย่างที่ข้าตำหนิท่าน หากบอกข้าเร็วกว่านี้อาการของฝ่าบาทก็จะไม่ทรุดลงเร็วเช่นนี้”“แล้วแม่นางซูหลิน ฝ่าบาทจะทรงหายดีใช่หรือไม่”“ท่านรู้จักข้ามานานรู้ใช่หรือไม่ว่าข้าไม่พูดโกหก แม้บางครั้งจะจำเป็นต้องโกหกก็ตาม”“ข้ารู้”“ฝ่าบาทร่างกายอ่อนแอลงอย่างมากสุดก็ห้าปี”“ห้าปีงั้นหรือ”“พอจะจัดการอะไรๆ ได้ใช่หรือไม่”“ข้านึกว่าจะไม่นานเพียงนั้น”“ท่านกงอี้!”“ข้าพูดเรื่องจริงทั้งไทเฮาและฮองเฮาต่างก็วิตกเพราะรัชทายาทเองก็อายุได้เพียงสิบชันษายังไ
“สะ สนมซู ไม่ใช่ว่าเจ้าตายไปแล้วหรอกหรือ แล้วเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่!”“ไทเฮา ฮองเฮา เรื่องนี้หม่อมฉันจะมาอธิบายทีหลังนะเพคะ ตอนนี้ให้หม่อมฉันตรวจอาการของฝ่าบาทก่อน”“เจ้ารักษาคนเป็นหรือ”“ฮองเฮาที่กระหม่อมพาพระสนมมาก็เพราะว่านางมีฝีมือทางการแพทย์พ่ะย่ะค่ะ เห็นสมควรให้นางลองรักษาฝ่าบาทไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”ฝ่าบาทที่เดิมกำลังจะบรรทมต่อเพราะฤทธิ์ยาที่หมอหลวงให้กิน แต่ก็ต้องตื่นตกใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่าจ้าวซูหลินมาที่นี่‘มาได้อย่างไร?’ฮ่องเต้รีบทอดพระเนตรดูคนตรงหน้าทันที‘ชัดเลย จ้าวซูหลินจริงๆ! ต้องเป็นเจ้าบ้าหลี่กงอี้แน่ๆ อยากหัวหลุดจากบ่ามากหรืออย่างไรกัน’หลี่กงอี้ที่เหมือนจะรู้ตัวว่ามีสายตาอาฆาตจากฝ่าบาทมุ่งมาทางเขาก็รีบหลบไปที่หลังของจ้าวซูหลินทันที นางแปลกใจเล็กน้อยที่อยู่ๆหลี่กงอี้ก็มาหลบที่หลังของนางแต่เมื่อหันไปมองดูคนบนเตียงก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ!“ตะ…ใต้เท้า!”
-โรงเตี๊ยมฟู่อันหลง-“ท่านกงอี้”“แม่นางซูหลิน ข้าบอกแล้วว่าให้ท่านเรียกข้าว่ากงอี้ก็พอขอรับ”“ทำไมล่ะข้าไม่ได้เป็นพระสนมแล้วตอนนี้ท่านน่าจะมีตำแหน่งสูงกว่าข้าเสียด้วยซ้ำ คิดอะไรมากกันเจ้าคะข้าเรียกท่านตามที่คนอื่นๆเรียกน่ะถูกแล้ว”“เช่นนั้นก็ตามใจท่านเถอะ”“แล้วใต้เท้าไม่มาด้วยหรอกหรือ”“คือว่า”“มีอะไรหรือไม่เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนั้นกัน”“ใต้เท้าทำงานหนักทุกวัน ไม่อาจมาหาท่านเหมือนเช่นเคยได้ขอรับ”“เป็นเช่นนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นท่านคอยข้าสักครู่ข้าจะไปทำอาหารฝากไปให้ใต้เท้านะเจ้าค่ะ”“ขอรับ”หลี่กงอี้อยากจะบอกนางเหลือเกินว่าตอนนี้ฝ่าบาทนั้นประชวรหนัก แม้แต่หมอหลวงยังพูดกันว่าเวลานี้ไร้หนทางรักษาแล้ว เขาเองก็เคยเห็นนางรักษาให้ชาวบ้านด้วยวิธีการต่างๆมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เคยเสนอให้ฝ่าบาทบอกความจริงกับนางแต่พระองค์ก็ไม่ยอม แล้วเขาจะทำเช่นไรต่อดี?อยากจะช่วยชีวิตของฝ่าบาทใจจะขาดแต่ก็กลัวหัวจะหลุดจากบ่า‘เฮ้อ…เกิดเป็นข้านี่ลำบากชะมัด’“นี่เจ้าค่ะ ฝากท่านดูแลใต้เท้าด้วยนะเจ้าคะแม้ว่าข้าจะไม่ได้เป็นอะไรกับใต้เท้า แต่ข้านั้นเห็นเขาเป็นเหมือนพี่ชายคนหนึ่งมีอะไรให้ข้าช่วย ท่านรีบมาบอกข้าได้เลย
‘ให้ตายสิ ใต้เท้าเป็นโรคหัวใจหรือนี่’หากเป็นยุคที่นางจากมาการรักษาโรคหัวใจก็ไม่ได้น่ากลัวถึงเพียงนั้นแต่ในยุคนี้ที่เครื่องไม้เครื่องมือไม่ทันสมัย อุปกรณ์ไม่เพียงพอเช่นนี้น่ากังวลใจยิ่งนัก เวลานี้นางรู้สึกหวาดกลัวเมื่อรู้ว่าตัวเองจะไม่สามารถยื้อชีวิตคนไข้ของนางเอาไว้ได้“กงอี้ เจ้าช่วยเคลื่อนย้ายใต้เท้าไปด้านในทีข้าต้องทำการรักษาโดยด่วน”“เช่นนั้นแม่นางซูพวกเราพานายท่านกลับจวนก่อนดีหรือไม่ขอรับ”“ตอนนี้ไม่ได้ร่างกายใต้เท้าอ่อนแอนักทำตามที่ข้าบอกเถอะ ห้องด้านในข้าทำความสะอาดเพื่อทำการรักษาคนบาดเจ็บไปเมื่อคืนนี้แล้ว ตอนนี้ห้องนั้นว่างท่านพาเขาเข้าไปเถอะ”“ก็ได้ขอรับ”หลี่กงอี้รีบสั่งให้คนที่ติดตามเขามาด้วยยกตัวฮ่องเต้ขึ้นแล้วนำร่างของเขาไปไว้ในห้องด้านในตามคำสั่งของจ้าวซูหลินทันทีจ้าวซูหลินรีบเดินตามพวกเขาไปติดๆก่อนจะไล่ให้คนอื่นๆออกไปจากห้องให้หมด แม้กงอี้อยากจะทัดทานแต่เพราะหญิงสาวตรงหน้าคืออดีตพระสนมและยังคงเป็นนางในดวงใจของฮ่องเต้ เขาจึงไม่สามารถพูดคัดค้านสิ่งใดได้จ้าวซูหลินทำการรักษาฮ่องเต้อย่างสุดความสามารถ ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วยามถึงได้เปิดประตูออกมาภายใต้การรออย่างใจจดใจจ่อของบร
เวลาล่วงเลยผ่านมานานนับหกเดือนแล้ว จ้าวซูหลินรู้สึกสนุกกับการใช้ชีวิตที่นี่เป็นอย่างมาก นางรู้สึกว่าชีวิตนี้ของนางมีคุณค่ามากกว่าแต่ก่อนขึ้นเยอะเลยนอกจากการหมักเหล้าองุ่นขายในโรงเตี๊ยมของนางเองแล้ว นางยังใช้วิชาการแพทย์ที่ติดตัวมาตั้งแต่อยู่ในยุคที่นางจากมา มาใช้ประโยชน์ในที่แห่งนี้อีกด้วยบริเวณรอบๆ เมืองหลวงยังมีอีกหลายหมู่บ้านน้อยใหญ่ที่ยังขาดแคลนหมอ ชาวบ้านส่วนมากยังไม่มีเงินมากพอที่จะไปหาหมอดีๆรักษาเวลาเจ็บป่วยได้ เมื่อพวกเขาเจ็บป่วยไม่มีเงินไปหาหมอในเมืองก็ทำได้เพียงแค่นอนรอความตายเท่านั้นจ้าวซูหลินเห็นถึงความยากลำบากนั้นนางจึงออกเดินทางไปในหลายๆหมู่บ้าน บ้างก็ค้างที่หมู่บ้านนั้นๆ อยู่หลายครั้งหลายคราแต่ทุกครั้งจะมีใต้เท้าโจวอยู่เคียงข้างเสมอ หรือหากเขามาไม่ได้ก็จะส่งหลี่กงอี้องค์รักษ์คนสนิทมาอยู่ดูแลนางแทนนางเป็นคนนอกครอบครัวยังดูแลดีถึงเพียงนี้ เช่นนั้นคนในครอบครัวของใต้เท้าเองก็คงอยู่ดีมีสุขร่มเย็นกันถ้วนหน้ากระมัง“ฝ่าบาท”“วันนี้นางทำอะไรงั้นหรือ”“แม่นางซูหลินออกไปรักษาบาดแผลให้กับชาวบ้านที่ถูกดินถล่มพ่ะย่ะค่ะ”“มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเหตุใดถึงพึ่งมารายงานข้ากัน”“กระหม