“อยู่ในวังหลวงนางอึดอัดใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ หรือว่าการปลดปล่อยเจ้าไปจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับเจ้ากันแน่นะ”
“ฝ่าบาทแล้วเรื่องที่พระสนมซูหลินทรงทำร้ายพระสนมลิ่งเฟยล่ะพ่ะย่ะค่ะ พระองค์จะทรงตัดสินเช่นไรต่อดีพ่ะย่ะค่ะ”
“จะตัดสินอะไรอีกล่ะเจ้าก็รู้ที่องค์รักเงาดำมารายงานนั่นเพราะสนมลิ่งเฟยหาเรื่องนางก่อน หากนางจะปกป้องตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องผิดอันใด”
“ส่วนเรื่องลงโทษนางนั้นแค่การออกราชโองการไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ตำหนักของนางก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ และนี่คงเป็นวิธีเดียวที่ข้าจะช่วยให้นางได้อยู่ห่างจากคนที่คิดร้ายนางได้ก็เท่านั้นเอง”
“แล้วจะไม่เป็นการทำให้พระสนมเข้าใจพระองค์ผิดหรือพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ข้ากักขังนางเอาไว้ในวังไร้การเหลียวแล หากนางจะเกลียดข้าก็คงไม่ผิดอะไร”
-โรงเตี๊ยมฟู่อันหลง-
“พระสนม”
“ชู่ว…ข้าบอกแล้วว่าให้เรียกข้าว่านายหญิงอย่างไรเล่า”
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าลืม”
“ว่าแต่นายหญิง ทำไมพวกเราไม่นำเหล้าพวกนี้ไปขายที่ร้านเหล้ากันล่ะเจ้าคะ”
“โรงเตี๊ยมก็รับเหล้ามาจากร้านเหล้านั้นแหละ จะขายร้านเหล้าก็ได้แต่กำลังซื้อของร้านนั้นท่าจะน้อยกว่าร้านพวกนี้ดีไม่ดีถูกกดราคาอีกต่างหาก”
“นายหญิงช่างปราดเปรื่องยิ่งนักเจ้าค่ะ”
“ไปกันเถอะ”
จ้าวซูหลินและซั่วอิงเดินเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมที่ถูกตกแต่งด้วยความงดงามวิจิตรตระการยิ่งนัก
“แม่นาง เชิญขอรับท่านจะรับอะไรบอกข้าน้อยได้เลยนะขอรับ”
“ข้าไม่ได้มาเป็นลูกค้าของท่านหรอกเจ้าค่ะ แต่ที่มาวันนี้เพราะข้าจะนำสิ่งนี้มาขาย”
“อะไรเช่นนั้นหรือขอรับ”
“เหล้าองุ่นเจ้าค่ะ”
“เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินชื่อนีัเลยล่ะ แต่ช่างเถอะเชิญด้านในก่อนขอรับเฒ่าแก่มาที่ร้านพอดีเลย”
“ขอบคุณหลงจู๊มากเจ้าค่ะ”
“ขอรับ”
จ้าวซูหลินเดินตามหลังหลงจู๊เข้าไปด้านในของร้าน ก่อนจะถูกเชื้อเชิญให้นั่งรอเจ้าของโรงเตี๊ยมที่เก้าอี้ไม้หรูหราตัวหนึ่ง
‘ท่าทางคงจะร่ำรวยมากสินะ ข้าวของเครื่องใช้ดูจะราคาแพงทั้งนั้นเลย’
“แม่นาง คนนี้คือเฒ่าแก่ต้วนเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ขอรับ”
“ยินที่ได้พบขอรับแม่นาง คนของข้าบอกว่าท่านนำเหล้ามาขายขอข้าดูก่อนได้หรือไม่”
“เจ้าค่ะ ข้าเตรียมไหเล็กไว้สำหรับท่านโดยเฉพาะเลย”
“ดียิ่งนักเลยขอรับ”
เฒ่าแก่ต้วนรับไหเหล้าใบเล็กจากมือของนางมาก่อนจะรินลงในจอกเหล้าแล้งยกขึ้นจิบดื่มทีละนิด
“อืมม แม่นางนี่คือเหล้าอะไรหรือรสชาติไม่เลวเลยกลมกล่อมยิ่งนัก ข้าไม่เคยเห็นเหล้าที่ไหนรสชาติดีเท่าเหล้าของแม่นางมาก่อนเลย”
“นี่คือเหล้าองุ่นสูตรพิเศษของข้าเองเจ้าค่ะ หากเฒ่าแก่ต้องการข้าจะนำมาอีก”
“ข้าต้องซื้อขายกับแม่นางอยู่แล้ว ของดีเช่นนี้จะปล่อยให้หลุดมือข้าไปได้อย่างไรกันขอรับ”
“ข้าให้ท่านไหละห้าสิบตำลึง ท่านจะขัดข้องหรือไม่”
“ห้าสิบตำลึงเลยหรือเจ้าคะ?”
“ทำไม น้อยไปหรือเช่นนั้นก็…”
“ไม่ใช่ๆ ข้าไม่ขัดข้องเลยเจ้าค่ะเพียงแต่ข้าคิดว่าจะขายได้มากสุดเพียงไหละสิบตำลึงเท่านั้น”
“เหล้ารสชาติดีหายากเช่นนี้ ข้าย่อมรับซื้อในราคาที่สูงอยู่แล้วแม่นางอย่าได้กังวลใจไปเลย”
“ว่าแต่ท่านมีมาเพียงสองไหเองหรือ”
“ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะที่บ้านข้ายังหมักไว้อีกเยอะ หากท่านต้องการวันพรุ่งนี้ข้าจะนำมาที่ร้านของท่านอีกสักสิบไหท่านจะว่าอย่างไรเจ้าค่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ตกลงขอรับต่อให้แม่นางนำมาให้ข้าสักร้อยไหข้าก็รับไว้ได้ทั้งหมดเลย”
“จริงหรือเจ้าค่ะ”
“จริงสิขอรับ”
‘อะไรจะง่ายดายเช่นนี้กันล่ะง่ายจนน่าแปลกใจเสียจริง แต่ช่างเถอะขายแล้วได้เงินเท่านั้นคือสิ่งที่ข้าต้องการ’
“เช่นนั้นวันพรุ่งนี้เวลานี้ข้าจะให้คนนำมาส่งที่ร้านของท่านนะเจ้าค่ะ”
“ให้ข้าไปรับที่บ้านท่านก็ได้นะขอรับแม่นาง บ้านของท่านอยู่ที่ไหนบอกคนของข้าเอาไว้ได้เลย”
“เอ่อ….ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ พอดีว่าข้าแอบที่บ้านหมักเหล้าขายหากว่าพวกเขาเห็นท่านมารับเหล้าเองอาจจะแย่ได้ ข้าอาจไม่ได้ส่งเหล้าให้ร้านท่านอีกเป็นแน่”
“เป็นเช่นนั้นหรือขอรับ ได้ๆเช่นนั้นข้าจะรอท่านนำมาส่งที่ร้านก็ได้ขอรับ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะเฒ่าแก่ต้วน ข้ากลับแล้วนะเจ้าค่ะ”
“เดินทางกลับดีๆนะขอรับแม่นาง”
“เจ้าค่ะ”
จ้าวซูหลินถือเอาตำลึงเงินมาไว้ในอ้อมอกของตัวเองด้วยความหวงแหน ตำลึงเงินที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองมันช่างภูมิใจยิ่งนัก ถึงแม้การเจรจาซื้อขายจะเรียบง่ายไม่มีอุปสรรคใดๆจนนางเองก็ยังนึกสงสัยอยู่ไม่น้อยก็ตาม
‘จะอะไรก็ช่างเถอะขอเพียงแค่ได้เงินมาเยอะๆ นางก็จะได้ออกจากวังหลวงที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายนั่นเสียที’
“ฮ่าฮ่าฮ่า คิดแล้วก็ช่างมีความสุขเสียจริง”
“นายหญิงท่านหัวเราะเสียงดังจนคนอื่นมองกันใหญ่เลยนะเจ้าค่ะ”
“จะเป็นไรไปล่ะก็ข้ามีความสุขนี่นา”
“โธ่นายหญิงล่ะก็”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” พวกนางทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมๆกันอีกครั้ง ภายใต้สายตาอันคมกริบของบุรุษสองคนที่กำลังจับจ้องพวกนางอยู่
“ฝ่าบาท”
“เรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่”
“กระหม่อมทิ้งตำลึงเงินเอาไว้ที่โรงเตี๊ยมหมื่นตำลึงสำหรับค่าซื้อขายเหล้าองุ่นของพระสนมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ดี”
“จะกลับวังเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ได้”
แม้จะตอบองค์รักษ์คนสนิทไปแต่ตัวของฮ่องเต้เองก็ยังไม่ยอมขยับไปไหน ในหัวของเขายังคงได้ยินเสียงหัวเราะสดใสของนางที่ดังก้องกังวาลอยู่ตลอดเวลา
‘เจ้ามีความสุขเมื่อได้อยู่นอกวังจริงๆสินะ จ้าวซูหลิน’
-วัดฮุ่ยหลอ-“เจ้าพาข้ามาถูกที่แน่นะ”“ถูกแน่นอนเพคะ ขึ้นเขาไปอีกนิดนึงก็ถึงวัดแล้ว”“แล้วเหตุใดถึงได้รกร้างน่ากลัวเช่นนี้กันเล่า”“หม่อมฉันถึงได้บอกท่านอย่างไรล่ะเพคะว่าวัดนี้ไม่มีใครย่างกรายเข้ามาเลยสักคน ถึงได้ถูกปล่อยให้รกร้างไม่มีคนเหลียวแลเช่นนี้”“โอ๊ย!!น่ากลัวชะมัด ข้าไม่ไปมันแล้ว”จังหวะที่จ้าวซูหลินกำลังจะหันหลังกลับก็ได้ยินเสียงเหมือนบทเพลงบรรเลงจากที่ไหนสักแห่งดังก้องกังวานกระทบกับใบหูของนางแต่เมื่อฟังชัดๆบทเพลงนั้นช่างเหมือนเพลงที่นางชอบฟังหลังออกจากการทำงานในโรงพยาบาลในยุคที่นางจากมาเสียจริง“หูแว่วไปหรือไม่นะ”“อะไรหรือเพคะ”“เจ้าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยหรือ”“เสียงอะไรหรือเพคะ พระสนมอย่าทำให้หม่อมฉันกลัวสิเพคะ”จ้าวซูหลินไม่สนใจที่ซั่วอิงพูด นางเดินขึ้นไปตามไหล่เขาเรื่อยๆ น่าแปลกที่ยิ่งเดินต่อบทเพลงนั้นก็เหมือนจะดังเข้ามาเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็มาพบกับอารามเก่าแก่หลังหนึ่ง“นั่นอย่างไรล่ะเพคะ อารามที่ท่านเคยมาสักการะและพบเจ้าอาวาสที่นี่”“ที่นี่งั้นหรือ เจ้ารอข้าที่นี่นะ”“แต่ว่าพระสนม”“นั่งรอตรงนี้แหละ กลางวันแสกๆกลัวอะไร”‘หืม เหตุใดข้าถึงจำได้ว่าตอนอยู่ที่ตีนเขาพระสนมยังบอ
“เยี่ยม!”เจ้าอาวาสขมวดคิ้วมองนางนิ่ง ‘เด็กคนนี้คงไม่เล่นอะไรแผลงๆหรอกนะ’จ้าวซูหลินรีบหยิบเอาของสิ่งนั้นในกล่องออกมาทันที ก่อนจะยื่นไปให้เจ้าอาวาสดู“ท่านดูสิ เป็นตามที่ข้าขอจริงๆด้วย”“หยึย! คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วย”“อะไรกันเจ้าคะ ก็แค่ตุ๊กแกตัวเดียวท่านกลัวทำไมกัน”“มะ มันจะตัวใหญ่เกินไปไหม”“น่ารักออก”‘ตรงไหน’“จะ…เจ้าไปเถอะ กลับไปได้แล้ว”“ทำไมกัน ข้ายังมีเรื่องที่จะปรึกษาท่านอยู่นะเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นก็เก็บเจ้าสิ่งนั้นไปเสียก่อนสิ”“น่ารักจะตายไป”จ้าวซูหลินถึงจะบ่นๆไปแต่ก็ยอมเก็บตุ๊กแกตัวเขื่องลงในกล่องทันที“เฮ้อ...เหตุใดเจ้าถึงได้ต่างจากนางนักนะ จ้าวซูหลินคนก่อนทั้งอ่อนโยนและขี้อาย แต่เจ้า…”“ก็ข้าไม่ใช่นาง”“มันก็ใช่”“ข้าอยากรู้ว่าข้าจะได้กลับบ้านหรือไม่”“มันอยู่ที่ชะตาลิขิต”“เอาอีกแล้วอะไรๆก็ชะตาลิขิต ท่านพูดอย่างอื่นเป็นหรือไม่”“ข้าพูดตามที่ข้าหยั่งรู้มาข้าอยู่ที่นี่เพื่อรอเจ้ามานานนับหลายปีแล้ว ต่อไปนี้ก็จะได้เป็นอิสระได้ออกไปทำตามสิ่งที่ข้าต้องการเสียที”“ท่านจะไปไหนหรือเจ้าคะ”“นางหนูเจ้าเองก็มีของวิเศษนี้แล้วอยากได้สิ่งใดก็ขอเพียงแค่ปรารถนาในใจ แต่ก็มีข้อจำกัดอย่าได
จ้าวซูหลินนั่งเอามือเท้าคางมองกล่องวิเศษที่ได้รับมาจากเจ้าอาวาสอยู่นานสองนาน กล่องที่ดูธรรมดาๆแต่ความจริงแล้วกลับไม่ธรรมดาอย่างที่เห็น เพราะเมื่อนางลองใช้งานกล่องตัวนี้แล้วกลับพบว่าภายในไม่ได้บรรจุเพียงแค่ตัวยาชนิดต่างๆ เท่านั้น แต่ยังมีทุกสิ่งที่ผู้เป็นเจ้าของต้องการโผล่ออกมาในขนาดย่อส่วนอีกด้วย“ช่างวิเศษเสียจริง เช่นนี้ข้าก็อยู่ที่นี่ได้อย่างสบายแล้วล่ะสิ”“ว่าแต่ขอเงินเยอะๆเลยได้หรือไม่นะ’‘นางหนูเจ้าเองก็มีของวิเศษนี้แล้วอยากได้สิ่งใดก็ขอเพียงแค่ปรารถนาในใจ แต่ก็มีข้อจำกัดอย่าได้โลภมากอย่าได้คิดชั่วร้ายไม่เช่นนั้นกล่องนี้จะหายไปตลอดกาล’ เมื่อคิดถึงคำพูดของเจ้าอาวาสครั้งที่ไปเยือนที่วัดฮุ่ยหลอได้ก็ทำเอานางล้มเลิกความคิดนั้นไปทันที“ไม่ได้สิ หากกล่องนี้หายไปจริงๆข้าจะไม่แย่หรอกหรือ เฮ้อ….”“พระสนม!”ขณะที่จ้าวซูหลินเอาแต่นั่งลูบๆ คลำๆ กล่องอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงของซั่วอิงตะโกนเรียกนางมาแต่ไกล นางหันไปมองตามเสียงเรียกก็เห็นว่าซั่วอิงกำลังวิ่งมาหานางด้วยความรวดเร็ว ใบหน้าแสดงออกถึงความตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก“มีอะไรหรือซั่วอิง ตื่นเต้นอะไรกัน”“เมื่อครู่ตอนที่หม่อมฉันไปห้องเครื่อง ได้ยิน
ฮ่องเต้หันไปสบตาหลี่กงอี้ทันทีเมื่อสัมผัสได้ว่ากำลังถูกเขาจ้องมองอยู่ และเพราะกลัวว่าเจ้าหมอนี่จะหลุดปากพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปจึงได้ส่งสายตาให้เขารีบไปรอที่รถม้าโดยเร็วที่สุด“ว่าแต่พวกเจ้าสองคนจะไปไหนกันหรือ”“คือว่าข้าจะทำอาหารไปถวายฮองเฮาน่ะเจ้าค่ะ ก็เลยตั้งใจว่าจะออกไปซื้อวัตถุดิบมาเตรียมตัวกันเสียหน่อย”“เช่นนั้นให้ข้านำทางให้หรือไม่”“ท่านไม่ต้องทำงานหรอกหรือเจ้าคะ”“ข้าทำมาทั้งคืนแล้ว ตอนนี้ข้าว่าง”จ้าวซูหลินฉีกยิ้มทันที ‘มีคนพาไปก็ดีกว่าไปกันเองเยอะเลย’“เช่นนั้นก็ดีเลยเจ้าค่ะ ข้าเองก็ไปที่ท่าเรือไม่ถูก”“เจ้าจะไปที่ท่าเรือทำไมกัน”“ข้าอยากได้ของทะเลเจ้าค่ะ ใต้เท้ารีบไปกันเถอะหากไปช้าข้ากลัวว่าของดีๆจะหมดเสียก่อน”จ้าวซูหลินถือวิสาสะรีบเดินมาจูงแขนเขาออกเดินไปทันที ฮ่องเต้ตาโตมองมือของนางที่จับมือถือแขนเขาอยู่ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นฮ่องเต้และมีสถานะเป็นสามีของนางเองก็เถอะ แต่ถึงอย่างไรเวลานี้เขาก็อยู่ในฐานะบุรุษอื่นที่นางพึ่งรู้จักทำเช่นนี้ย่อมไม่สมควร“แม่นางซู เจ้าจะมาจับมือถือแขนข้าแบบนี้ไม่ได้นะชายหญิงไม่ควรแตะต้องตัวกันเจ้าไม่รู้หรืออย่างไร”“ช่างมันเถอะเจ้าค่ะ ข้าไม่สนใจก
จ้าวซูหลินละสายตาจากใต้เท้าโจวก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองสถานที่ตรงหน้า ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทำให้นางถึงกับตะลึงไปเลยท่าเรือแห่งนี้ใหญ่มากจริงๆมีเรือประมงขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่หลายลำด้วยกัน ผู้คนมากหน้าหลายตาทั้งพ่อค้าแม่ค้าและชาวบ้านต่างเดินควักไคว่กันเต็มท่าเรือเลยก็ว่าได้“คนเยอะมากถึงเพียงนี้เลยหรือ นี่พวกเรามาช้าไปใช่หรือไม่”“ไม่ใช่หรอกขอรับแม่นางซูเวลานี้เป็นเวลาปกติที่ผู้คนจะออกมาท่าเรือกันขอรับ ท่าเรือแห่งนี้เป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแล้วในแต่ละวันจึงมีผู้คนมาที่นี่กันมากเช่นนี้ล่ะขอรับ”“อย่างนี้นี่เอง”จ้าวซูหลินยืนมองผู้คนที่เดินไปมาจนทั่วทั้งท่าเรือ จังหวะนั้นก็มีบุรุษหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาทางที่พวกนางกำลังยืนอยู่“ฝ่า….” ฮ่องเต้รีบถลึงตาใส่องค์รักษ์รักษาพระองค์ที่ล่วงหน้ามาจัดการที่นี่ก่อนแล้วทันทีที่ได้ยินการเรียกขานจากอีกฝ่าย“อะเอ่อ นายท่านเรือประมงเข้ามาเทียบท่าพอดีขอรับ”“ดีมาก พวกเขาขนของลงมาแล้วหรือยัง”“เรียบร้อยแล้วขอรับนายท่าน”“อืม”“พวกเราไปดูกันเถอะ”“เจ้าค่ะ”‘เหอะๆ..ทีตอนพูดกับลูกน้องเสียงเข้มเชียว แต่พอหันมาพูดกับพระสนมเสียงสองก็มา’“เฮอะ!…”“อะไรของเจ้า?
จ้าวซูหลินโอดครวญในใจเงียบๆ ก่อนจะล่ะความสนใจจากบุรุษตรงหน้าแล้วเดินไปซื้อของอย่างอื่นเพิ่มอีกทันที“ซั่วอิงเอาของไปไว้ที่รถม้าได้แล้ว”“เจ้าค่ะนายหญิง”“มาข้าช่วยเอง”กงอี้รีบยื่นมือเข้าไปช่วยถือของจากซั่วอิงอีกแรง แม้จะช่วยกันถือจนเต็มไม้เต็มมือของทั้งคู่แล้ว แต่ก็ยังดูเหมือนว่าจะยังถือกันไม่หมดจนจ้าวซูหลินเองต้องเข้ามาช่วยพวกเขาอีกที“นายหญิงพวกข้าถือเองได้เจ้าค่ะ”“ไม่เป็นไรมือข้าว่าง กลับไปที่รถม้ากัน”“เจ้าค่ะ/ขอรับ”คล้อยหลังจ้าวซูหลินและบรรดาคนรับใช้เดินจากไปแล้ว ฮ่องเต้ที่อมยิ้มอยู่ก็ฉีกยิ้มกว้างขึ้นมาทันที“แม่ค้าคนนั้นพูดถูกใจข้าเสียจริง เจ้าเอาตำลึงเงินไปให้นางเพิ่มอีก100ตำลึง”“ห๋า?”“อะไร? ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ”“ดะ ได้ยินขอรับนายท่าน ไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”ฮ่องเต้เมื่อสั่งการตามที่ปรารถนาแล้วก็รีบเดินตามหลังจ้าวซูหลินไปในทันที ถงมิ่งองค์รักษ์อีกคนที่ถูกส่งมาเฝ้าท่าเรือตั้งแต่เช้าตรู่ได้แต่ยืนเกาหัวแกร๊กๆ“แค่พูดถูกใจก็ได้ร้อยตำลึงเลยเชียว อะไรของฝ่าบาทกันเนี่ย”**************************** -วังหลวง-เมื่อรถม้าจอดนิ่งสนิทตรงประตูท้ายวังหลวงแล้ว จ้าวซูหลินและซั่วอิงก็รีบขนของ
“ฮองเฮา ทรงเสวยสักนิดนะเพคะ”“ข้าไม่กินอะไรทั้งนั้นเอาออกไปได้แล้ว”“แต่ว่าฮองเฮาพระองค์ไม่เสวยอะไรเลยมาร่วมสองวันแล้วนะเพคะ หม่อมฉันเกรงว่า…”“เอาออกไป!”เหล่านางกำนัลที่รับใช้ข้างกายของฮองเฮาต่างก็มองหน้ากันไปมาด้วยความเหนื่อยใจอย่างยิ่ง“กินสักหน่อยเถอะเพคะ หม่อมฉันทำเองกับมือเลยนะ”“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่า….”“สนมซู! เจ้าเองหรอกหรือ”“ใช่แล้วเพคะ หม่อมฉันได้ยินมาว่าพระองค์ไม่ยอมเสวยสิ่งใดเลย จึงตื่นแต่เช้าทำอาหารอร่อยๆมาให้ลองเสวยดู”“อะไรหรือ”“โจ๊กกุ้งเพคะ ลองเสวยดูสักนิดก็ยังดีนะเพคะ”จ้าวซูหลินออดอ้อนให้ฮองเฮายอมเสวยอาหารที่นางทำมาอย่างมุ่งมั่นจนพระนางถึงกลับอมยิ้มออกมาทันที“ก็ได้”ฮองเฮารับเอาถ้วยโจ๊กมาจากมือของจ้าวซูหลินก่อนจะค่อยๆตักเข้าพระโอษฐ์“อร่อย ไม่น่าเชื่ออาหารหน้าตาธรรมดาแค่รสชาติกลับไม่ธรรมดาเลย”“จริงหรือเพคะ หากทรงกินได้มากกว่านี้หม่อมฉันจะทำมาให้เสวยทุกวันเลย”“เจ้าเห็นข้าเป็นเด็กหรืออย่างไรกันถึงเอาของกินมาล่อ”“โธ่…ฮองเฮาล่ะก็”“ข้าล้อเล่นน่ะ แต่เจ้าแน่ใจนะว่าจะไม่เบื่อข้าไปเสียก่อน”“เรื่องอะไรที่หม่อมฉันจะเบื่อ พระองค์ก็เปรียบเสมือนพี่สาวของหม่อมฉันนะเพคะ”ฮอง
“เจ้าช่วยพาลิ่วลิ่วของข้าไปเดินเล่นทีสิ”“ห๋า?!”“ไปเถอะน่ามันไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”ซั่วอิงยืนเบะปากแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว“ข้าจะนำมันใส่ในตระกร้าแล้วเจ้าช่วยพามันไปเดินเล่นแถวๆตำหนักของลิ่งเฟยที”“พระสนม แล้วหากว่ามันโผล่หน้าออกมาเกาะมือของหม่อมฉันล่ะเพคะ”“ไม่หรอกน่า ลิ่วลิ่วเชื่อฟังข้าจะตายไป”จ้าวซูหลินพูดจบก็หยิบเอาตระกร้าไม้สานออกมาแล้วนำลิ่วลิ่ว ตุ๊กแกตัวเขื่องของนางใส่ลงไปในนั้นแล้วนำอีกตัวที่เล็กกว่านิดนึงใส่ลงไปเพิ่ม‘แค่ตัวเดียวข้าก็จะเป็นลมอยู่แล้ว นี่มาถึงสองเลยหรือ’ซั่วอิงลมแทบจับที่ได้เห็นตุ๊กแกตัวใหญ่มหึมานอนเอนกายลงในตระกร้าอย่างว่าง่าย จ้าวซูหลินใช้ผ้าสีขาวปิดบังเอาไว้ก่อนจะมองมาที่ซั่วอิงนางสูดลมหายใจเข้าก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปรับเอาตระกร้านั้นมาถือไว้“จำไว้ว่าอย่าให้ใครเห็นเป็นอันขาด ปล่อยพวกมันเอาไว้ที่นั่นล่ะเดี่ยวพวกมันจะกลับมาเอง เข้าใจหรือไม่”“เพคะ”ซั่วอิงเดินถือตระกร้าออกจากตำหนักด้วยความหวาดระแวงแต่ก็รีบเดินไปตามคำสั่งของจ้าวซูหลินในทันที‘ฮึๆ นี่แค่เบาๆ รอบหน้าข้าเล่นเจ้าหนักกว่านี้แน่ ลิ่งเฟย’-โรงเตี๊ยมฟู่อันหลง-“ข้าได้ยินมาว่าพระสนมลิ่งเฟยจับไข้เพราะใ
-5 ปีผ่านไป-เทศกาลโคมไฟวนเวียนกลับมาในอีกรอบปีแล้ว แต่ปีนี้นั้นจ้าวซูหลินกลับรู้สึกว่าช่างเงียบเหงายิ่งนัก ในทุกๆปี นางจะนั่งชมโคมไฟรูปแบบต่างๆกับฮ่องเต้เสมอแต่มาปีนี้กลับต้องนั่งเหงาเดียวดายอยู่เพียงลำพัง“ฝ่าบาท หากชาติหน้ามีจริงขอให้พวกเรากลับมาพบกันอีกครั้งนะเพคะ”ฮ่องเต้ฮั่วจงสวรรคตไปเมื่อหนึ่งปีก่อนหลังเทศกาลโคมไฟของปีที่แล้วพอดี จ้าวซูหลินไม่อาจยื้อชีวิตพระองค์ได้อีกต่อไปแล้วอาจเพราะเครื่องมือที่มีไม่มากพอและตัวนางเองก็ไม่อยากทำให้พระองค์ต้องเจ็บปวดอีกต่อไปแม้จะเป็นไปตามประวัติศาสตร์ที่ฮ่องเต้ฮั่วจงต้องสวรรคตในวัยเพียงแค่สี่สิบชันษา และแม้นางอยากที่จะยื้อชีวิตให้เขาได้อยู่กับนางนานๆมากกว่านี้แต่นางก็ไม่อยากฝืนชะตาลิขิตอีกต่อไปได้เพียงแค่หวังว่าหากชาติหน้ามีจริง นางและเขาจะกลับมาพบกันในสถานะที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในชาตินี้ มีเพียงกันและกันและสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้โดยไม่ต้องผิดต่อใคร-โรงเตี๊ยมฟู่อันหลง-เช้าวันนี้จ้าวซูหลินรู้สึกว
ฮ่องเต้และฮองเฮาเดินเข้ามาในงานด้วยท่วงท่าสง่างามยิ่ง ฮ่องเต้นั้นสวมฉลองพระองค์ด้วยชุดสีเหลืองทองอร่ามปักลายมังกรงามสง่า ส่วนฮองเฮาสวมชุดคลุมพญาหงส์สวยตระการตาปิ่นห้อยพญาหงส์สีแดงทองทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยความสูงค่าทรงสง่าดูมีท่วงท่าของพระมารดาของแผ่นดินเป็นอย่างมาก บนโถงพิธีมงคลเทียนสีแดงถูกจุดสว่างตำแหน่งเก้าอี้สูงมีฮ่องเต้และฮองเฮาประทับอยู่ ด้านนอกโถงพิธีมงคลมีขุนนางที่หลี่กงอี้เชื้อเชิญมาร่วมงานรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย“ได้ฤกษ์แล้ว ต้อนรับบ่าวสาว” ผู้ดูแลจวนเดินออกมายืนป่าวประกาศด้วยเสียงอันดังดนตรีมงคลก็เริ่มบรรเลง เกี้ยวเจ้าสาวหามมาถึงนอกประตูใหญ่ของจวนตระกูลหลี่แล้ว ซั่วอิงถูกประคองลงจากเกี้ยวขณะนั้นก็ได้ยินเสียงประทัดดังปึงปังความปีติยินดีเบิกบานลั่นทั่วทั้งท้องฟ้าพรมสีแดงถูกปูมาจนถึงใต้เท้าของนาง “เจ้าสาวมาแล้ว” มีคนร้องขึ้น ซั่วอิงถูกประคองมาถึงหน้าโถงรับแขก จากนั้นมีสาวใช้สองคนเดินเข้ามารับช่วงต่อจากจ้าวซูหลินสาวใช้สองคนประคองซั่วอิงซ้ายขวาเดินเข้ามาในพิธีชุดมงคลแดงปักท
เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกปีแล้วจ้าวซูหลินยังคงอาศัยอยู่ในวังเพื่อถวายการรักษาฮ่องเต้อย่างต่อเนื่อง หลายๆครั้งที่นางพาฮ่องเต้แอบหนีออกจากวังเพื่อไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านในหลายๆหมู่บ้าน อะไรที่เขาไม่เคยทำจ้าวซูหลินก็พาทำหมดทุกอย่างหลี่กงอี้ที่เดิมทีเป็นกังวลเกี่ยวกับพระวรกายของฝ่าบาทแต่เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ยังคงแข็งแรงไปไหนมาไหนได้ไม่รู้เหน็ดเหนื่อยเขาจึงไม่เอ่ยคัดค้านใดๆ ทำได้เพียงแค่ตามทั้งสองคนไปในทุกๆที่เท่านั้น“ท่านกงอี้”“แม่นางซูหลิน มีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ”“เปล่าเสียหน่อยข้าเพียงแค่จะถามท่านว่าท่านไม่คิดจะแต่งงานบ้างหรือ”“ข้าหรือ?”“ใช่สิเจ้าคะ”“ข้าเห็นนะ ท่านแอบไปที่โรงเตี๊ยมของข้าบ่อยๆ”“อะไรกันนั่นข้าไม่ได้สั่งเสียหน่อย เจ้าไปที่นั่นทำไม? คงไม่ได้แค่ไปกินข้าวกระมัง”“อะเอ่อ ฝ่าบาทคือว่า”“ว่าอย่างไร อ้ำอึ้งอยู่ได้”“คือว่ากระหม่อม”“เจ้าชอบซั่วอิงงั้นหรือ แค่ช
“ก็ฮองเฮาอย่างไรเล่าเพคะ คนที่มีอำนาจในวังหลังมากสุดก็คือฮองเฮา ลองใครกล้านินทาหม่อมฉันดูสิฮองเฮาต้องออกหน้าจัดการแทนแน่นอน”“แล้วการที่เข้ามาดูแลรักษาอาการของพระองค์มันผิดตรงไหนกัน ใครๆก็รู้ว่าหม่อมฉันเป็นหมอ”“ข้าไม่ได้ว่าอะไร กลัวก็เพียงว่าคนที่เจ้าชอบจะมองเจ้าไม่ดี”“หม่อมฉันไม่มีลูกตาให้มองใครแล้วนะเพคะ”“แล้วเจ้ามองใครอยู่หรือ”จ้าวซูหลินยิ้มเบาๆนางไม่ตอบคำถามนี้แต่กลับกำลังค้นหาขวดยาเพื่อนำมาให้ฮ่องเต้เสวยอีกครั้ง“เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าข้ากินยาแล้วหรือ”“นั่นยาของหมอหลวง ส่วนนี่ของหม่อมฉัน”“ได้อย่างไรข้ากินแล้วนะ”“อย่าดื้อสิเพคะ หากท่านหายดีในเร็ววันหม่อมฉันจะพาพระองค์อบออกไปเที่ยวนอกวัง”“เที่ยวนอกวัง?”“ใช่แล้วเพคะ”“ไม่กี่วันข้างหน้าก็ถึงเทศกาลโคมไฟแล้วนะเพคะ หม่อมฉันอยากไปดูโคมไฟสวยๆ ฝ่าบาทก็ต้องไปกับหม่อมฉันด้วยนะเพคะ”จ้าวซูหลินยิ้มก่อนจะยื่นเม็ดยาที่นางสกัดออกมาเองใส่พระหัตถ์ของฝ่าบาทฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะเล็กน้อย‘เอาก็เอา อย่างน้อยถ้าหายดีก็จะได้พานางไปเที่ยวเล่
“ท่านน่าจะบอกข้าให้รู้เร็วกว่านี้”“ก็ฝ่าบาทไม่ยอมให้ข้าบอกท่านนี่นา เอาแต่ขู่ข้าว่าหากข้าปากโป้งไปบอกท่านจะตัดหัวข้าทิ้งเสีย ข้าเป็นองค์รักษ์ไม่กลัวตายหรอกนะแต่ข้าเพียงแค่กลัวว่าจะไม่มีใครอยู่คอยดูแลพระองค์ก็เท่านั้นเอง”‘ไม่กลัวตายเลยจริงจริ๊ง’“ใช่สินะ ใครจะไปรู้พระทัยฝ่าบาทเท่าท่านกัน”“แต่ก็อย่างที่ข้าตำหนิท่าน หากบอกข้าเร็วกว่านี้อาการของฝ่าบาทก็จะไม่ทรุดลงเร็วเช่นนี้”“แล้วแม่นางซูหลิน ฝ่าบาทจะทรงหายดีใช่หรือไม่”“ท่านรู้จักข้ามานานรู้ใช่หรือไม่ว่าข้าไม่พูดโกหก แม้บางครั้งจะจำเป็นต้องโกหกก็ตาม”“ข้ารู้”“ฝ่าบาทร่างกายอ่อนแอลงอย่างมากสุดก็ห้าปี”“ห้าปีงั้นหรือ”“พอจะจัดการอะไรๆ ได้ใช่หรือไม่”“ข้านึกว่าจะไม่นานเพียงนั้น”“ท่านกงอี้!”“ข้าพูดเรื่องจริงทั้งไทเฮาและฮองเฮาต่างก็วิตกเพราะรัชทายาทเองก็อายุได้เพียงสิบชันษายังไ
“สะ สนมซู ไม่ใช่ว่าเจ้าตายไปแล้วหรอกหรือ แล้วเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่!”“ไทเฮา ฮองเฮา เรื่องนี้หม่อมฉันจะมาอธิบายทีหลังนะเพคะ ตอนนี้ให้หม่อมฉันตรวจอาการของฝ่าบาทก่อน”“เจ้ารักษาคนเป็นหรือ”“ฮองเฮาที่กระหม่อมพาพระสนมมาก็เพราะว่านางมีฝีมือทางการแพทย์พ่ะย่ะค่ะ เห็นสมควรให้นางลองรักษาฝ่าบาทไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”ฝ่าบาทที่เดิมกำลังจะบรรทมต่อเพราะฤทธิ์ยาที่หมอหลวงให้กิน แต่ก็ต้องตื่นตกใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่าจ้าวซูหลินมาที่นี่‘มาได้อย่างไร?’ฮ่องเต้รีบทอดพระเนตรดูคนตรงหน้าทันที‘ชัดเลย จ้าวซูหลินจริงๆ! ต้องเป็นเจ้าบ้าหลี่กงอี้แน่ๆ อยากหัวหลุดจากบ่ามากหรืออย่างไรกัน’หลี่กงอี้ที่เหมือนจะรู้ตัวว่ามีสายตาอาฆาตจากฝ่าบาทมุ่งมาทางเขาก็รีบหลบไปที่หลังของจ้าวซูหลินทันที นางแปลกใจเล็กน้อยที่อยู่ๆหลี่กงอี้ก็มาหลบที่หลังของนางแต่เมื่อหันไปมองดูคนบนเตียงก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ!“ตะ…ใต้เท้า!”
-โรงเตี๊ยมฟู่อันหลง-“ท่านกงอี้”“แม่นางซูหลิน ข้าบอกแล้วว่าให้ท่านเรียกข้าว่ากงอี้ก็พอขอรับ”“ทำไมล่ะข้าไม่ได้เป็นพระสนมแล้วตอนนี้ท่านน่าจะมีตำแหน่งสูงกว่าข้าเสียด้วยซ้ำ คิดอะไรมากกันเจ้าคะข้าเรียกท่านตามที่คนอื่นๆเรียกน่ะถูกแล้ว”“เช่นนั้นก็ตามใจท่านเถอะ”“แล้วใต้เท้าไม่มาด้วยหรอกหรือ”“คือว่า”“มีอะไรหรือไม่เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนั้นกัน”“ใต้เท้าทำงานหนักทุกวัน ไม่อาจมาหาท่านเหมือนเช่นเคยได้ขอรับ”“เป็นเช่นนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นท่านคอยข้าสักครู่ข้าจะไปทำอาหารฝากไปให้ใต้เท้านะเจ้าค่ะ”“ขอรับ”หลี่กงอี้อยากจะบอกนางเหลือเกินว่าตอนนี้ฝ่าบาทนั้นประชวรหนัก แม้แต่หมอหลวงยังพูดกันว่าเวลานี้ไร้หนทางรักษาแล้ว เขาเองก็เคยเห็นนางรักษาให้ชาวบ้านด้วยวิธีการต่างๆมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เคยเสนอให้ฝ่าบาทบอกความจริงกับนางแต่พระองค์ก็ไม่ยอม แล้วเขาจะทำเช่นไรต่อดี?อยากจะช่วยชีวิตของฝ่าบาทใจจะขาดแต่ก็กลัวหัวจะหลุดจากบ่า‘เฮ้อ…เกิดเป็นข้านี่ลำบากชะมัด’“นี่เจ้าค่ะ ฝากท่านดูแลใต้เท้าด้วยนะเจ้าคะแม้ว่าข้าจะไม่ได้เป็นอะไรกับใต้เท้า แต่ข้านั้นเห็นเขาเป็นเหมือนพี่ชายคนหนึ่งมีอะไรให้ข้าช่วย ท่านรีบมาบอกข้าได้เลย
‘ให้ตายสิ ใต้เท้าเป็นโรคหัวใจหรือนี่’หากเป็นยุคที่นางจากมาการรักษาโรคหัวใจก็ไม่ได้น่ากลัวถึงเพียงนั้นแต่ในยุคนี้ที่เครื่องไม้เครื่องมือไม่ทันสมัย อุปกรณ์ไม่เพียงพอเช่นนี้น่ากังวลใจยิ่งนัก เวลานี้นางรู้สึกหวาดกลัวเมื่อรู้ว่าตัวเองจะไม่สามารถยื้อชีวิตคนไข้ของนางเอาไว้ได้“กงอี้ เจ้าช่วยเคลื่อนย้ายใต้เท้าไปด้านในทีข้าต้องทำการรักษาโดยด่วน”“เช่นนั้นแม่นางซูพวกเราพานายท่านกลับจวนก่อนดีหรือไม่ขอรับ”“ตอนนี้ไม่ได้ร่างกายใต้เท้าอ่อนแอนักทำตามที่ข้าบอกเถอะ ห้องด้านในข้าทำความสะอาดเพื่อทำการรักษาคนบาดเจ็บไปเมื่อคืนนี้แล้ว ตอนนี้ห้องนั้นว่างท่านพาเขาเข้าไปเถอะ”“ก็ได้ขอรับ”หลี่กงอี้รีบสั่งให้คนที่ติดตามเขามาด้วยยกตัวฮ่องเต้ขึ้นแล้วนำร่างของเขาไปไว้ในห้องด้านในตามคำสั่งของจ้าวซูหลินทันทีจ้าวซูหลินรีบเดินตามพวกเขาไปติดๆก่อนจะไล่ให้คนอื่นๆออกไปจากห้องให้หมด แม้กงอี้อยากจะทัดทานแต่เพราะหญิงสาวตรงหน้าคืออดีตพระสนมและยังคงเป็นนางในดวงใจของฮ่องเต้ เขาจึงไม่สามารถพูดคัดค้านสิ่งใดได้จ้าวซูหลินทำการรักษาฮ่องเต้อย่างสุดความสามารถ ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วยามถึงได้เปิดประตูออกมาภายใต้การรออย่างใจจดใจจ่อของบร
เวลาล่วงเลยผ่านมานานนับหกเดือนแล้ว จ้าวซูหลินรู้สึกสนุกกับการใช้ชีวิตที่นี่เป็นอย่างมาก นางรู้สึกว่าชีวิตนี้ของนางมีคุณค่ามากกว่าแต่ก่อนขึ้นเยอะเลยนอกจากการหมักเหล้าองุ่นขายในโรงเตี๊ยมของนางเองแล้ว นางยังใช้วิชาการแพทย์ที่ติดตัวมาตั้งแต่อยู่ในยุคที่นางจากมา มาใช้ประโยชน์ในที่แห่งนี้อีกด้วยบริเวณรอบๆ เมืองหลวงยังมีอีกหลายหมู่บ้านน้อยใหญ่ที่ยังขาดแคลนหมอ ชาวบ้านส่วนมากยังไม่มีเงินมากพอที่จะไปหาหมอดีๆรักษาเวลาเจ็บป่วยได้ เมื่อพวกเขาเจ็บป่วยไม่มีเงินไปหาหมอในเมืองก็ทำได้เพียงแค่นอนรอความตายเท่านั้นจ้าวซูหลินเห็นถึงความยากลำบากนั้นนางจึงออกเดินทางไปในหลายๆหมู่บ้าน บ้างก็ค้างที่หมู่บ้านนั้นๆ อยู่หลายครั้งหลายคราแต่ทุกครั้งจะมีใต้เท้าโจวอยู่เคียงข้างเสมอ หรือหากเขามาไม่ได้ก็จะส่งหลี่กงอี้องค์รักษ์คนสนิทมาอยู่ดูแลนางแทนนางเป็นคนนอกครอบครัวยังดูแลดีถึงเพียงนี้ เช่นนั้นคนในครอบครัวของใต้เท้าเองก็คงอยู่ดีมีสุขร่มเย็นกันถ้วนหน้ากระมัง“ฝ่าบาท”“วันนี้นางทำอะไรงั้นหรือ”“แม่นางซูหลินออกไปรักษาบาดแผลให้กับชาวบ้านที่ถูกดินถล่มพ่ะย่ะค่ะ”“มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเหตุใดถึงพึ่งมารายงานข้ากัน”“กระหม