-เจ็ดวันผ่านไป-
“ซั่วอิง เจ้าบอกว่าข้าไปเอาเมล็ดพันธ์พวกนั้นมาจากวัดอะไรนะ?”
“วัดฮุ่ยหลอเพคะ อยู่บนเนินเขาทางตอนเหนือของเมืองหลวง วัดแห่งนั้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครไปกันหรอกนะเพคะ”
“ทำไมล่ะ?”
“ก็ที่นั่นมีเพียงเจ้าอาวาสคนเดียวเท่านั้น อารามก็เก่าทรุดโทรมแล้วไม่ได้งดงามเหมือนวัดเล่อฉีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเมืองหลวงเพคะ”
“ไม่มีใครไปก็ดีแล้วนี่ ไม่วุ่นวายดี”
“เจ้าไปเอาเหล้าที่หมักไว้ออกมาสักสองไหที แล้วก็หยิบไหเล็กมาอีกสองไหด้วยนะเผื่อเอาไว้ให้ใต้เท้าโจวนะ”
“ได้เพคะ”
ซั่วอิงรีบเดินไปนำไหเหล้าองุ่นที่พวกนางหมักเอาไว้เป็นเวลากว่าเจ็ดวันแล้ว ที่ชั้นวางของในห้องครัวบริเวณปีกซ้ายของตำหนักหนิงเซียง
ไม่นานนักนางก็หิ้วไหเหล้ามาพร้อมๆกันทั้งสี่ไหอย่างทุลักทุเลพอสมควร ซั่วอิงก้าวเดินด้วยความเชื่องช้าด้วยกลัวว่าไหเหล้าเหล่านั้นจะตกลงพื้นไปเสียก่อน
“มาแล้วเพคะพระสนม”
“ไหนมาให้ข้าชิมดูก่อนซิ”
จ้าวซูหลินรีบหยิบไหเหล้าใบเล็กใบหนึ่งมาจากมือของซั่วอิงด้วยความว่องไว ก่อนจะเปิดผ้าที่ใช้ปิดฝาไหออกแล้วสูดดมกลิ่นของมันทันที
“อืมม..หอมเสียจริง” นางดมกลิ่นสุราองุ่นก่อนจะเทลงไปในจอกใบเล็กเพียงครึ่งจอกแล้วลิ้มรสไปทีละนิด
“เป็นเช่นใดบ้างหรือเพคะ”
“ต้องใช้เวลาหมักให้นานกว่านี้ถึงจะได้รสชาติที่กลมกล่อมละมุนลิ้นไม่ฝาดคอเกินไป แม้จะมีวัตถุดิบน้อยไปหน่อยแต่รสชาติที่ได้ไม่เลวเลย”
“เจ้าก็ลองชิมดูสิ”
“หม่อมฉันไม่กินเหล้าเพคะ”
“อะไรกันพลาดของดีๆไปได้อย่างไร"
ขณะที่จ้าวซูหลินนั่งดื่มเหล้าองุ่นอย่างสบายใจอยู่นั้น ก็นึกขึ้นได้ว่านางอยากจะไปที่วัดนั้นดูสักครั้ง
"ซั่วอิงข้าอยากไปที่นั่น พาข้าไปที”
“ไปไหนหรือเพคะ”
“วัดฮุ่ยหลออย่างไรเล่า”
“ท่านจะไปอีกทำไมกันล่ะเพคะ หากไปแล้วไม่พบเจ้าอาวาสจะไม่เสียเวลาแย่หรอกหรือ”
“เสียเวลาอะไรข้าต้องทำอะไรที่ไหนกัน เห็นหรือไม่วันๆก็เอาแต่อยู่ในตำหนักเงียบเหงาจะตายไป ข้าเบื่อจะแย่อยู่แล้ว”
แม้จะโล่งอกที่ไม่มีใครมาก่อกวนแต่ภายในใจของนางกลับรู้สึกว่ามันเงียบมากเกินไปมากจนนางเองก็รู้สึกระแวงอยู่ไม่น้อย
“จะว่าไปแล้วนะซั่วอิงเจ้าว่ามันแปลกหรือไม่ หลายวันมานี้เหตุใดตำหนักของเราถึงได้เงียบสงบเช่นนี้ล่ะ”
“คือว่า”
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ครั้งที่หม่อมฉันไปห้องเครื่อง ได้ยินมาว่าฮ่องเต้มีรับสั่ง….”
“รับสั่งอะไร?”
“ก็เพราะเหตุการณ์ในวันนั้นพระสนมลิ่งเฟยจึงไปฟ้องร้องฝ่าบาท ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ตำหนักหนิงเซียงเพคะ เห็นรับสั่งว่าเพราะพระสนมซูหลินมีสติฟั่นเฟือนอาจจะทำร้ายผู้คนที่เข้าใกล้ได้”
พรู๊ดดด….~
“แค่กๆ”
“ตรัสเช่นนั้นเลยหรือ?”
“เพคะ แต่หม่อมฉันว่าก็ดีแล้วไม่ใช่หรือเพคะหลายวันมานี้ก็ไม่มีผู้ใดเข้ามารบกวนท่านเลย อีกทั้งทางด้านตำหนักของฮองเฮาเองก็ไม่ได้ส่งผ้ามาให้ท่านปักอีก”
“ใช่ มันก็ดีอยู่หรอก แต่อีตาบ้านั่นหาว่าข้าสติฟั่นเฟือนเลยอย่างนั้นหรือ อย่าให้แม่เจอนะจะต่อยหน้าสักทีโทษฐานกักขังหน่วงเหนี่ยวและกล่าวร้ายข้า”
“อะ อะไรนะเพคะ?”
“เฮ้อ…ช่างเถอะ ออกไปนอกวังกันข้าต้องเอาเหล้าไปขายก่อนจะแวะไปที่วัดฮุ่ยหลอต่อ ชักช้าจะเสียเวลา”
“เพคะ”
จ้าวซูหลินเก็บยาสมุนไพรที่จัดเตรียมเอาไว้เป็นชุดเล็กๆสำหรับพกพาหากเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ใช้ทัน นางนำยาเหล่านั้นใส่ไว้ในห่อผ้าเล็กๆแล้วมอบให้ซั่วอิงเป็นคนดูแล พวกนางรีบเดินออกจากตำหนักหนิงเซียงมุ่งสู่เส้นทางประตูลับที่เคยใช้กับใต้เท้าโจวด้วยความรวดเร็วประหนึ่งกลัวใครจะพบเห็นเข้า
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูไม้บานนั้นไม่ทันที่นางจะได้เปิดประตูออกไป ก็ได้ยินเสียงบุรุษผู้หนึ่งเรียกนางเอาไว้ก่อน
“แม่นางซูพวกเจ้าจะไปไหนงั้นหรือ? แล้วนั่นถืออะไรกัน”
“ใต้เท้าโจว ท่านนี่เองข้าก็นึกว่าใคร”
“ทำไม คิดว่าเป็นทหารเฝ้ายามหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิเจ้าคะ”
“ความจริงแล้วเส้นทางนี้มีทหารยามมาตรวจวันละครั้งเท่านั้นล่ะ แค่ตอนเช้าครั้งเดียวเพราะเป็นเส้นทางที่ฮ่องเต้เคยใช้เพื่อออกไปตรวจชาวบ้านน่ะ”
“เส้นทางที่ฮ่องเต้ใช้เช่นนั้นหรือเจ้าคะ!”
“ใช่แล้วล่ะ”
“แล้วหากฮ่องเต้รู้ว่าข้า”
“อือ ไม่รู้หรอกข้าไม่พูดเจ้าไม่พูดพระองค์จะรู้ได้อย่างไรล่ะจริงไหม”
“ว่าแต่พวกเจ้าจะไปไหนกันล่ะ”
“ข้าจะเอาเหล้าองุ่นไปขายในเมืองเจ้าค่ะ”
“ลืมไปเลยนี่สำหรับท่านเจ้าค่ะใต้เท้า ข้าหมักเองกับมือเลยนะเจ้าคะ”
“เจ้าว่าคือเหล้าอะไรนะ”
“เหล้าองุ่นเจ้าคะ ท่านลองชิมดูสิ”
ฮ่องเต้เปิดผ้าที่ปิดปากไหเหล้าออก กลิ่นของเหล้าโชยออกมาช่างหอมยั่วยวนน้ำลายยิ่งนัก เขารีบยกขึ้นมาดื่มทันที
“รสชาติไม่เลวเลย กลมกล่อมกว่าเหล้านารีแดงเสียอีก”
“จริงหรือเจ้าค่ะ ดีเลยพวกข้าจะนำเหล้าพวกนี้ออกไปขายข้างนอกเจ้าค่ะ ข้าไปก่อนนะ”
“เดี๋ยวสิ เจ้าจะนำเหล้าพวกนี้ไปขายเช่นนั้นหรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ท่านอย่าไปบอกใครนะเจ้าคะข้ากำลังรวบรวมเงินเพื่อไถ่ตัวเองออกจากวังแห่งนี้อยู่”
“อะ ออกจากวังเช่นนั้นหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไรกันเจ้าเป็นถึงพระ….”
“หืม?”
“เอ่อ…ข้าหมายถึงเป็นถึงนางกำนัลจะออกจากวังไปได้อย่างไรกัน หรือที่ที่เจ้าอยู่ไม่สุขสบายเช่นนั้นหรือ”
จ้าวซูหลินไม่ได้ตอบกลับเขาไป นางเพียงแค่ส่งยิ้มให้เล็กน้อยเท่านั้นก่อนจะหันหลังเดินออกจากประตูวังไปด้วยความรวดเร็วทันที
ฮ่องเต้มองแผนหลังที่ก้าวเดินอย่างคล่องแคล่วออกไปจากรั้ววังแห่งนี้ทีละก้าว ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าแสงที่สะท้อนบนแผ่นหลังบอบบางนั้นถึงได้ดูมีชีวิตชีวามากกว่าตอนที่นางอยู่ในเขตรั้ววังหลวงเสียอีก
“อยู่ในวังหลวงนางอึดอัดใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ หรือว่าการปลดปล่อยเจ้าไปจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับเจ้ากันแน่นะ”
“อยู่ในวังหลวงนางอึดอัดใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ หรือว่าการปลดปล่อยเจ้าไปจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับเจ้ากันแน่นะ”“ฝ่าบาทแล้วเรื่องที่พระสนมซูหลินทรงทำร้ายพระสนมลิ่งเฟยล่ะพ่ะย่ะค่ะ พระองค์จะทรงตัดสินเช่นไรต่อดีพ่ะย่ะค่ะ”“จะตัดสินอะไรอีกล่ะเจ้าก็รู้ที่องค์รักเงาดำมารายงานนั่นเพราะสนมลิ่งเฟยหาเรื่องนางก่อน หากนางจะปกป้องตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องผิดอันใด”“ส่วนเรื่องลงโทษนางนั้นแค่การออกราชโองการไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ตำหนักของนางก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ และนี่คงเป็นวิธีเดียวที่ข้าจะช่วยให้นางได้อยู่ห่างจากคนที่คิดร้ายนางได้ก็เท่านั้นเอง”“แล้วจะไม่เป็นการทำให้พระสนมเข้าใจพระองค์ผิดหรือพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”“ข้ากักขังนางเอาไว้ในวังไร้การเหลียวแล หากนางจะเกลียดข้าก็คงไม่ผิดอะไร”-โรงเตี๊ยมฟู่อันหลง-“พระสนม”“ชู่ว…ข้าบอกแล้วว่าให้เรียกข้าว่านายหญิงอย่างไรเล่า”“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าลืม”“ว่าแต่นายหญิง ทำไมพวกเราไม่นำเหล้าพวกนี้ไปขายที่ร้านเหล้ากันล่ะเจ้าคะ”“โรงเตี๊ยมก็รับเหล้ามาจากร้านเหล้านั้นแหละ จะขายร้านเหล้าก็ได้แต่กำลังซื้อของร้านนั้นท่าจะน้อยกว่าร้านพวกนี้ดีไม่ดีถูกกดราคาอีกต่างหาก”“นายหญิงช่างปราดเ
-วัดฮุ่ยหลอ-“เจ้าพาข้ามาถูกที่แน่นะ”“ถูกแน่นอนเพคะ ขึ้นเขาไปอีกนิดนึงก็ถึงวัดแล้ว”“แล้วเหตุใดถึงได้รกร้างน่ากลัวเช่นนี้กันเล่า”“หม่อมฉันถึงได้บอกท่านอย่างไรล่ะเพคะว่าวัดนี้ไม่มีใครย่างกรายเข้ามาเลยสักคน ถึงได้ถูกปล่อยให้รกร้างไม่มีคนเหลียวแลเช่นนี้”“โอ๊ย!!น่ากลัวชะมัด ข้าไม่ไปมันแล้ว”จังหวะที่จ้าวซูหลินกำลังจะหันหลังกลับก็ได้ยินเสียงเหมือนบทเพลงบรรเลงจากที่ไหนสักแห่งดังก้องกังวานกระทบกับใบหูของนางแต่เมื่อฟังชัดๆบทเพลงนั้นช่างเหมือนเพลงที่นางชอบฟังหลังออกจากการทำงานในโรงพยาบาลในยุคที่นางจากมาเสียจริง“หูแว่วไปหรือไม่นะ”“อะไรหรือเพคะ”“เจ้าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยหรือ”“เสียงอะไรหรือเพคะ พระสนมอย่าทำให้หม่อมฉันกลัวสิเพคะ”จ้าวซูหลินไม่สนใจที่ซั่วอิงพูด นางเดินขึ้นไปตามไหล่เขาเรื่อยๆ น่าแปลกที่ยิ่งเดินต่อบทเพลงนั้นก็เหมือนจะดังเข้ามาเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็มาพบกับอารามเก่าแก่หลังหนึ่ง“นั่นอย่างไรล่ะเพคะ อารามที่ท่านเคยมาสักการะและพบเจ้าอาวาสที่นี่”“ที่นี่งั้นหรือ เจ้ารอข้าที่นี่นะ”“แต่ว่าพระสนม”“นั่งรอตรงนี้แหละ กลางวันแสกๆกลัวอะไร”‘หืม เหตุใดข้าถึงจำได้ว่าตอนอยู่ที่ตีนเขาพระสนมยังบอ
“เยี่ยม!”เจ้าอาวาสขมวดคิ้วมองนางนิ่ง ‘เด็กคนนี้คงไม่เล่นอะไรแผลงๆหรอกนะ’จ้าวซูหลินรีบหยิบเอาของสิ่งนั้นในกล่องออกมาทันที ก่อนจะยื่นไปให้เจ้าอาวาสดู“ท่านดูสิ เป็นตามที่ข้าขอจริงๆด้วย”“หยึย! คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วย”“อะไรกันเจ้าคะ ก็แค่ตุ๊กแกตัวเดียวท่านกลัวทำไมกัน”“มะ มันจะตัวใหญ่เกินไปไหม”“น่ารักออก”‘ตรงไหน’“จะ…เจ้าไปเถอะ กลับไปได้แล้ว”“ทำไมกัน ข้ายังมีเรื่องที่จะปรึกษาท่านอยู่นะเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นก็เก็บเจ้าสิ่งนั้นไปเสียก่อนสิ”“น่ารักจะตายไป”จ้าวซูหลินถึงจะบ่นๆไปแต่ก็ยอมเก็บตุ๊กแกตัวเขื่องลงในกล่องทันที“เฮ้อ...เหตุใดเจ้าถึงได้ต่างจากนางนักนะ จ้าวซูหลินคนก่อนทั้งอ่อนโยนและขี้อาย แต่เจ้า…”“ก็ข้าไม่ใช่นาง”“มันก็ใช่”“ข้าอยากรู้ว่าข้าจะได้กลับบ้านหรือไม่”“มันอยู่ที่ชะตาลิขิต”“เอาอีกแล้วอะไรๆก็ชะตาลิขิต ท่านพูดอย่างอื่นเป็นหรือไม่”“ข้าพูดตามที่ข้าหยั่งรู้มาข้าอยู่ที่นี่เพื่อรอเจ้ามานานนับหลายปีแล้ว ต่อไปนี้ก็จะได้เป็นอิสระได้ออกไปทำตามสิ่งที่ข้าต้องการเสียที”“ท่านจะไปไหนหรือเจ้าคะ”“นางหนูเจ้าเองก็มีของวิเศษนี้แล้วอยากได้สิ่งใดก็ขอเพียงแค่ปรารถนาในใจ แต่ก็มีข้อจำกัดอย่าได
จ้าวซูหลินนั่งเอามือเท้าคางมองกล่องวิเศษที่ได้รับมาจากเจ้าอาวาสอยู่นานสองนาน กล่องที่ดูธรรมดาๆแต่ความจริงแล้วกลับไม่ธรรมดาอย่างที่เห็น เพราะเมื่อนางลองใช้งานกล่องตัวนี้แล้วกลับพบว่าภายในไม่ได้บรรจุเพียงแค่ตัวยาชนิดต่างๆ เท่านั้น แต่ยังมีทุกสิ่งที่ผู้เป็นเจ้าของต้องการโผล่ออกมาในขนาดย่อส่วนอีกด้วย“ช่างวิเศษเสียจริง เช่นนี้ข้าก็อยู่ที่นี่ได้อย่างสบายแล้วล่ะสิ”“ว่าแต่ขอเงินเยอะๆเลยได้หรือไม่นะ’‘นางหนูเจ้าเองก็มีของวิเศษนี้แล้วอยากได้สิ่งใดก็ขอเพียงแค่ปรารถนาในใจ แต่ก็มีข้อจำกัดอย่าได้โลภมากอย่าได้คิดชั่วร้ายไม่เช่นนั้นกล่องนี้จะหายไปตลอดกาล’ เมื่อคิดถึงคำพูดของเจ้าอาวาสครั้งที่ไปเยือนที่วัดฮุ่ยหลอได้ก็ทำเอานางล้มเลิกความคิดนั้นไปทันที“ไม่ได้สิ หากกล่องนี้หายไปจริงๆข้าจะไม่แย่หรอกหรือ เฮ้อ….”“พระสนม!”ขณะที่จ้าวซูหลินเอาแต่นั่งลูบๆ คลำๆ กล่องอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงของซั่วอิงตะโกนเรียกนางมาแต่ไกล นางหันไปมองตามเสียงเรียกก็เห็นว่าซั่วอิงกำลังวิ่งมาหานางด้วยความรวดเร็ว ใบหน้าแสดงออกถึงความตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก“มีอะไรหรือซั่วอิง ตื่นเต้นอะไรกัน”“เมื่อครู่ตอนที่หม่อมฉันไปห้องเครื่อง ได้ยิน
ฮ่องเต้หันไปสบตาหลี่กงอี้ทันทีเมื่อสัมผัสได้ว่ากำลังถูกเขาจ้องมองอยู่ และเพราะกลัวว่าเจ้าหมอนี่จะหลุดปากพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปจึงได้ส่งสายตาให้เขารีบไปรอที่รถม้าโดยเร็วที่สุด“ว่าแต่พวกเจ้าสองคนจะไปไหนกันหรือ”“คือว่าข้าจะทำอาหารไปถวายฮองเฮาน่ะเจ้าค่ะ ก็เลยตั้งใจว่าจะออกไปซื้อวัตถุดิบมาเตรียมตัวกันเสียหน่อย”“เช่นนั้นให้ข้านำทางให้หรือไม่”“ท่านไม่ต้องทำงานหรอกหรือเจ้าคะ”“ข้าทำมาทั้งคืนแล้ว ตอนนี้ข้าว่าง”จ้าวซูหลินฉีกยิ้มทันที ‘มีคนพาไปก็ดีกว่าไปกันเองเยอะเลย’“เช่นนั้นก็ดีเลยเจ้าค่ะ ข้าเองก็ไปที่ท่าเรือไม่ถูก”“เจ้าจะไปที่ท่าเรือทำไมกัน”“ข้าอยากได้ของทะเลเจ้าค่ะ ใต้เท้ารีบไปกันเถอะหากไปช้าข้ากลัวว่าของดีๆจะหมดเสียก่อน”จ้าวซูหลินถือวิสาสะรีบเดินมาจูงแขนเขาออกเดินไปทันที ฮ่องเต้ตาโตมองมือของนางที่จับมือถือแขนเขาอยู่ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นฮ่องเต้และมีสถานะเป็นสามีของนางเองก็เถอะ แต่ถึงอย่างไรเวลานี้เขาก็อยู่ในฐานะบุรุษอื่นที่นางพึ่งรู้จักทำเช่นนี้ย่อมไม่สมควร“แม่นางซู เจ้าจะมาจับมือถือแขนข้าแบบนี้ไม่ได้นะชายหญิงไม่ควรแตะต้องตัวกันเจ้าไม่รู้หรืออย่างไร”“ช่างมันเถอะเจ้าค่ะ ข้าไม่สนใจก
จ้าวซูหลินละสายตาจากใต้เท้าโจวก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองสถานที่ตรงหน้า ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทำให้นางถึงกับตะลึงไปเลยท่าเรือแห่งนี้ใหญ่มากจริงๆมีเรือประมงขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่หลายลำด้วยกัน ผู้คนมากหน้าหลายตาทั้งพ่อค้าแม่ค้าและชาวบ้านต่างเดินควักไคว่กันเต็มท่าเรือเลยก็ว่าได้“คนเยอะมากถึงเพียงนี้เลยหรือ นี่พวกเรามาช้าไปใช่หรือไม่”“ไม่ใช่หรอกขอรับแม่นางซูเวลานี้เป็นเวลาปกติที่ผู้คนจะออกมาท่าเรือกันขอรับ ท่าเรือแห่งนี้เป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแล้วในแต่ละวันจึงมีผู้คนมาที่นี่กันมากเช่นนี้ล่ะขอรับ”“อย่างนี้นี่เอง”จ้าวซูหลินยืนมองผู้คนที่เดินไปมาจนทั่วทั้งท่าเรือ จังหวะนั้นก็มีบุรุษหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาทางที่พวกนางกำลังยืนอยู่“ฝ่า….” ฮ่องเต้รีบถลึงตาใส่องค์รักษ์รักษาพระองค์ที่ล่วงหน้ามาจัดการที่นี่ก่อนแล้วทันทีที่ได้ยินการเรียกขานจากอีกฝ่าย“อะเอ่อ นายท่านเรือประมงเข้ามาเทียบท่าพอดีขอรับ”“ดีมาก พวกเขาขนของลงมาแล้วหรือยัง”“เรียบร้อยแล้วขอรับนายท่าน”“อืม”“พวกเราไปดูกันเถอะ”“เจ้าค่ะ”‘เหอะๆ..ทีตอนพูดกับลูกน้องเสียงเข้มเชียว แต่พอหันมาพูดกับพระสนมเสียงสองก็มา’“เฮอะ!…”“อะไรของเจ้า?
จ้าวซูหลินโอดครวญในใจเงียบๆ ก่อนจะล่ะความสนใจจากบุรุษตรงหน้าแล้วเดินไปซื้อของอย่างอื่นเพิ่มอีกทันที“ซั่วอิงเอาของไปไว้ที่รถม้าได้แล้ว”“เจ้าค่ะนายหญิง”“มาข้าช่วยเอง”กงอี้รีบยื่นมือเข้าไปช่วยถือของจากซั่วอิงอีกแรง แม้จะช่วยกันถือจนเต็มไม้เต็มมือของทั้งคู่แล้ว แต่ก็ยังดูเหมือนว่าจะยังถือกันไม่หมดจนจ้าวซูหลินเองต้องเข้ามาช่วยพวกเขาอีกที“นายหญิงพวกข้าถือเองได้เจ้าค่ะ”“ไม่เป็นไรมือข้าว่าง กลับไปที่รถม้ากัน”“เจ้าค่ะ/ขอรับ”คล้อยหลังจ้าวซูหลินและบรรดาคนรับใช้เดินจากไปแล้ว ฮ่องเต้ที่อมยิ้มอยู่ก็ฉีกยิ้มกว้างขึ้นมาทันที“แม่ค้าคนนั้นพูดถูกใจข้าเสียจริง เจ้าเอาตำลึงเงินไปให้นางเพิ่มอีก100ตำลึง”“ห๋า?”“อะไร? ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ”“ดะ ได้ยินขอรับนายท่าน ไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”ฮ่องเต้เมื่อสั่งการตามที่ปรารถนาแล้วก็รีบเดินตามหลังจ้าวซูหลินไปในทันที ถงมิ่งองค์รักษ์อีกคนที่ถูกส่งมาเฝ้าท่าเรือตั้งแต่เช้าตรู่ได้แต่ยืนเกาหัวแกร๊กๆ“แค่พูดถูกใจก็ได้ร้อยตำลึงเลยเชียว อะไรของฝ่าบาทกันเนี่ย”**************************** -วังหลวง-เมื่อรถม้าจอดนิ่งสนิทตรงประตูท้ายวังหลวงแล้ว จ้าวซูหลินและซั่วอิงก็รีบขนของ
“ฮองเฮา ทรงเสวยสักนิดนะเพคะ”“ข้าไม่กินอะไรทั้งนั้นเอาออกไปได้แล้ว”“แต่ว่าฮองเฮาพระองค์ไม่เสวยอะไรเลยมาร่วมสองวันแล้วนะเพคะ หม่อมฉันเกรงว่า…”“เอาออกไป!”เหล่านางกำนัลที่รับใช้ข้างกายของฮองเฮาต่างก็มองหน้ากันไปมาด้วยความเหนื่อยใจอย่างยิ่ง“กินสักหน่อยเถอะเพคะ หม่อมฉันทำเองกับมือเลยนะ”“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่า….”“สนมซู! เจ้าเองหรอกหรือ”“ใช่แล้วเพคะ หม่อมฉันได้ยินมาว่าพระองค์ไม่ยอมเสวยสิ่งใดเลย จึงตื่นแต่เช้าทำอาหารอร่อยๆมาให้ลองเสวยดู”“อะไรหรือ”“โจ๊กกุ้งเพคะ ลองเสวยดูสักนิดก็ยังดีนะเพคะ”จ้าวซูหลินออดอ้อนให้ฮองเฮายอมเสวยอาหารที่นางทำมาอย่างมุ่งมั่นจนพระนางถึงกลับอมยิ้มออกมาทันที“ก็ได้”ฮองเฮารับเอาถ้วยโจ๊กมาจากมือของจ้าวซูหลินก่อนจะค่อยๆตักเข้าพระโอษฐ์“อร่อย ไม่น่าเชื่ออาหารหน้าตาธรรมดาแค่รสชาติกลับไม่ธรรมดาเลย”“จริงหรือเพคะ หากทรงกินได้มากกว่านี้หม่อมฉันจะทำมาให้เสวยทุกวันเลย”“เจ้าเห็นข้าเป็นเด็กหรืออย่างไรกันถึงเอาของกินมาล่อ”“โธ่…ฮองเฮาล่ะก็”“ข้าล้อเล่นน่ะ แต่เจ้าแน่ใจนะว่าจะไม่เบื่อข้าไปเสียก่อน”“เรื่องอะไรที่หม่อมฉันจะเบื่อ พระองค์ก็เปรียบเสมือนพี่สาวของหม่อมฉันนะเพคะ”ฮอง
-5 ปีผ่านไป-เทศกาลโคมไฟวนเวียนกลับมาในอีกรอบปีแล้ว แต่ปีนี้นั้นจ้าวซูหลินกลับรู้สึกว่าช่างเงียบเหงายิ่งนัก ในทุกๆปี นางจะนั่งชมโคมไฟรูปแบบต่างๆกับฮ่องเต้เสมอแต่มาปีนี้กลับต้องนั่งเหงาเดียวดายอยู่เพียงลำพัง“ฝ่าบาท หากชาติหน้ามีจริงขอให้พวกเรากลับมาพบกันอีกครั้งนะเพคะ”ฮ่องเต้ฮั่วจงสวรรคตไปเมื่อหนึ่งปีก่อนหลังเทศกาลโคมไฟของปีที่แล้วพอดี จ้าวซูหลินไม่อาจยื้อชีวิตพระองค์ได้อีกต่อไปแล้วอาจเพราะเครื่องมือที่มีไม่มากพอและตัวนางเองก็ไม่อยากทำให้พระองค์ต้องเจ็บปวดอีกต่อไปแม้จะเป็นไปตามประวัติศาสตร์ที่ฮ่องเต้ฮั่วจงต้องสวรรคตในวัยเพียงแค่สี่สิบชันษา และแม้นางอยากที่จะยื้อชีวิตให้เขาได้อยู่กับนางนานๆมากกว่านี้แต่นางก็ไม่อยากฝืนชะตาลิขิตอีกต่อไปได้เพียงแค่หวังว่าหากชาติหน้ามีจริง นางและเขาจะกลับมาพบกันในสถานะที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในชาตินี้ มีเพียงกันและกันและสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้โดยไม่ต้องผิดต่อใคร-โรงเตี๊ยมฟู่อันหลง-เช้าวันนี้จ้าวซูหลินรู้สึกว
ฮ่องเต้และฮองเฮาเดินเข้ามาในงานด้วยท่วงท่าสง่างามยิ่ง ฮ่องเต้นั้นสวมฉลองพระองค์ด้วยชุดสีเหลืองทองอร่ามปักลายมังกรงามสง่า ส่วนฮองเฮาสวมชุดคลุมพญาหงส์สวยตระการตาปิ่นห้อยพญาหงส์สีแดงทองทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยความสูงค่าทรงสง่าดูมีท่วงท่าของพระมารดาของแผ่นดินเป็นอย่างมาก บนโถงพิธีมงคลเทียนสีแดงถูกจุดสว่างตำแหน่งเก้าอี้สูงมีฮ่องเต้และฮองเฮาประทับอยู่ ด้านนอกโถงพิธีมงคลมีขุนนางที่หลี่กงอี้เชื้อเชิญมาร่วมงานรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย“ได้ฤกษ์แล้ว ต้อนรับบ่าวสาว” ผู้ดูแลจวนเดินออกมายืนป่าวประกาศด้วยเสียงอันดังดนตรีมงคลก็เริ่มบรรเลง เกี้ยวเจ้าสาวหามมาถึงนอกประตูใหญ่ของจวนตระกูลหลี่แล้ว ซั่วอิงถูกประคองลงจากเกี้ยวขณะนั้นก็ได้ยินเสียงประทัดดังปึงปังความปีติยินดีเบิกบานลั่นทั่วทั้งท้องฟ้าพรมสีแดงถูกปูมาจนถึงใต้เท้าของนาง “เจ้าสาวมาแล้ว” มีคนร้องขึ้น ซั่วอิงถูกประคองมาถึงหน้าโถงรับแขก จากนั้นมีสาวใช้สองคนเดินเข้ามารับช่วงต่อจากจ้าวซูหลินสาวใช้สองคนประคองซั่วอิงซ้ายขวาเดินเข้ามาในพิธีชุดมงคลแดงปักท
เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกปีแล้วจ้าวซูหลินยังคงอาศัยอยู่ในวังเพื่อถวายการรักษาฮ่องเต้อย่างต่อเนื่อง หลายๆครั้งที่นางพาฮ่องเต้แอบหนีออกจากวังเพื่อไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านในหลายๆหมู่บ้าน อะไรที่เขาไม่เคยทำจ้าวซูหลินก็พาทำหมดทุกอย่างหลี่กงอี้ที่เดิมทีเป็นกังวลเกี่ยวกับพระวรกายของฝ่าบาทแต่เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ยังคงแข็งแรงไปไหนมาไหนได้ไม่รู้เหน็ดเหนื่อยเขาจึงไม่เอ่ยคัดค้านใดๆ ทำได้เพียงแค่ตามทั้งสองคนไปในทุกๆที่เท่านั้น“ท่านกงอี้”“แม่นางซูหลิน มีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ”“เปล่าเสียหน่อยข้าเพียงแค่จะถามท่านว่าท่านไม่คิดจะแต่งงานบ้างหรือ”“ข้าหรือ?”“ใช่สิเจ้าคะ”“ข้าเห็นนะ ท่านแอบไปที่โรงเตี๊ยมของข้าบ่อยๆ”“อะไรกันนั่นข้าไม่ได้สั่งเสียหน่อย เจ้าไปที่นั่นทำไม? คงไม่ได้แค่ไปกินข้าวกระมัง”“อะเอ่อ ฝ่าบาทคือว่า”“ว่าอย่างไร อ้ำอึ้งอยู่ได้”“คือว่ากระหม่อม”“เจ้าชอบซั่วอิงงั้นหรือ แค่ช
“ก็ฮองเฮาอย่างไรเล่าเพคะ คนที่มีอำนาจในวังหลังมากสุดก็คือฮองเฮา ลองใครกล้านินทาหม่อมฉันดูสิฮองเฮาต้องออกหน้าจัดการแทนแน่นอน”“แล้วการที่เข้ามาดูแลรักษาอาการของพระองค์มันผิดตรงไหนกัน ใครๆก็รู้ว่าหม่อมฉันเป็นหมอ”“ข้าไม่ได้ว่าอะไร กลัวก็เพียงว่าคนที่เจ้าชอบจะมองเจ้าไม่ดี”“หม่อมฉันไม่มีลูกตาให้มองใครแล้วนะเพคะ”“แล้วเจ้ามองใครอยู่หรือ”จ้าวซูหลินยิ้มเบาๆนางไม่ตอบคำถามนี้แต่กลับกำลังค้นหาขวดยาเพื่อนำมาให้ฮ่องเต้เสวยอีกครั้ง“เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าข้ากินยาแล้วหรือ”“นั่นยาของหมอหลวง ส่วนนี่ของหม่อมฉัน”“ได้อย่างไรข้ากินแล้วนะ”“อย่าดื้อสิเพคะ หากท่านหายดีในเร็ววันหม่อมฉันจะพาพระองค์อบออกไปเที่ยวนอกวัง”“เที่ยวนอกวัง?”“ใช่แล้วเพคะ”“ไม่กี่วันข้างหน้าก็ถึงเทศกาลโคมไฟแล้วนะเพคะ หม่อมฉันอยากไปดูโคมไฟสวยๆ ฝ่าบาทก็ต้องไปกับหม่อมฉันด้วยนะเพคะ”จ้าวซูหลินยิ้มก่อนจะยื่นเม็ดยาที่นางสกัดออกมาเองใส่พระหัตถ์ของฝ่าบาทฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะเล็กน้อย‘เอาก็เอา อย่างน้อยถ้าหายดีก็จะได้พานางไปเที่ยวเล่
“ท่านน่าจะบอกข้าให้รู้เร็วกว่านี้”“ก็ฝ่าบาทไม่ยอมให้ข้าบอกท่านนี่นา เอาแต่ขู่ข้าว่าหากข้าปากโป้งไปบอกท่านจะตัดหัวข้าทิ้งเสีย ข้าเป็นองค์รักษ์ไม่กลัวตายหรอกนะแต่ข้าเพียงแค่กลัวว่าจะไม่มีใครอยู่คอยดูแลพระองค์ก็เท่านั้นเอง”‘ไม่กลัวตายเลยจริงจริ๊ง’“ใช่สินะ ใครจะไปรู้พระทัยฝ่าบาทเท่าท่านกัน”“แต่ก็อย่างที่ข้าตำหนิท่าน หากบอกข้าเร็วกว่านี้อาการของฝ่าบาทก็จะไม่ทรุดลงเร็วเช่นนี้”“แล้วแม่นางซูหลิน ฝ่าบาทจะทรงหายดีใช่หรือไม่”“ท่านรู้จักข้ามานานรู้ใช่หรือไม่ว่าข้าไม่พูดโกหก แม้บางครั้งจะจำเป็นต้องโกหกก็ตาม”“ข้ารู้”“ฝ่าบาทร่างกายอ่อนแอลงอย่างมากสุดก็ห้าปี”“ห้าปีงั้นหรือ”“พอจะจัดการอะไรๆ ได้ใช่หรือไม่”“ข้านึกว่าจะไม่นานเพียงนั้น”“ท่านกงอี้!”“ข้าพูดเรื่องจริงทั้งไทเฮาและฮองเฮาต่างก็วิตกเพราะรัชทายาทเองก็อายุได้เพียงสิบชันษายังไ
“สะ สนมซู ไม่ใช่ว่าเจ้าตายไปแล้วหรอกหรือ แล้วเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่!”“ไทเฮา ฮองเฮา เรื่องนี้หม่อมฉันจะมาอธิบายทีหลังนะเพคะ ตอนนี้ให้หม่อมฉันตรวจอาการของฝ่าบาทก่อน”“เจ้ารักษาคนเป็นหรือ”“ฮองเฮาที่กระหม่อมพาพระสนมมาก็เพราะว่านางมีฝีมือทางการแพทย์พ่ะย่ะค่ะ เห็นสมควรให้นางลองรักษาฝ่าบาทไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”ฝ่าบาทที่เดิมกำลังจะบรรทมต่อเพราะฤทธิ์ยาที่หมอหลวงให้กิน แต่ก็ต้องตื่นตกใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่าจ้าวซูหลินมาที่นี่‘มาได้อย่างไร?’ฮ่องเต้รีบทอดพระเนตรดูคนตรงหน้าทันที‘ชัดเลย จ้าวซูหลินจริงๆ! ต้องเป็นเจ้าบ้าหลี่กงอี้แน่ๆ อยากหัวหลุดจากบ่ามากหรืออย่างไรกัน’หลี่กงอี้ที่เหมือนจะรู้ตัวว่ามีสายตาอาฆาตจากฝ่าบาทมุ่งมาทางเขาก็รีบหลบไปที่หลังของจ้าวซูหลินทันที นางแปลกใจเล็กน้อยที่อยู่ๆหลี่กงอี้ก็มาหลบที่หลังของนางแต่เมื่อหันไปมองดูคนบนเตียงก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ!“ตะ…ใต้เท้า!”
-โรงเตี๊ยมฟู่อันหลง-“ท่านกงอี้”“แม่นางซูหลิน ข้าบอกแล้วว่าให้ท่านเรียกข้าว่ากงอี้ก็พอขอรับ”“ทำไมล่ะข้าไม่ได้เป็นพระสนมแล้วตอนนี้ท่านน่าจะมีตำแหน่งสูงกว่าข้าเสียด้วยซ้ำ คิดอะไรมากกันเจ้าคะข้าเรียกท่านตามที่คนอื่นๆเรียกน่ะถูกแล้ว”“เช่นนั้นก็ตามใจท่านเถอะ”“แล้วใต้เท้าไม่มาด้วยหรอกหรือ”“คือว่า”“มีอะไรหรือไม่เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนั้นกัน”“ใต้เท้าทำงานหนักทุกวัน ไม่อาจมาหาท่านเหมือนเช่นเคยได้ขอรับ”“เป็นเช่นนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นท่านคอยข้าสักครู่ข้าจะไปทำอาหารฝากไปให้ใต้เท้านะเจ้าค่ะ”“ขอรับ”หลี่กงอี้อยากจะบอกนางเหลือเกินว่าตอนนี้ฝ่าบาทนั้นประชวรหนัก แม้แต่หมอหลวงยังพูดกันว่าเวลานี้ไร้หนทางรักษาแล้ว เขาเองก็เคยเห็นนางรักษาให้ชาวบ้านด้วยวิธีการต่างๆมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เคยเสนอให้ฝ่าบาทบอกความจริงกับนางแต่พระองค์ก็ไม่ยอม แล้วเขาจะทำเช่นไรต่อดี?อยากจะช่วยชีวิตของฝ่าบาทใจจะขาดแต่ก็กลัวหัวจะหลุดจากบ่า‘เฮ้อ…เกิดเป็นข้านี่ลำบากชะมัด’“นี่เจ้าค่ะ ฝากท่านดูแลใต้เท้าด้วยนะเจ้าคะแม้ว่าข้าจะไม่ได้เป็นอะไรกับใต้เท้า แต่ข้านั้นเห็นเขาเป็นเหมือนพี่ชายคนหนึ่งมีอะไรให้ข้าช่วย ท่านรีบมาบอกข้าได้เลย
‘ให้ตายสิ ใต้เท้าเป็นโรคหัวใจหรือนี่’หากเป็นยุคที่นางจากมาการรักษาโรคหัวใจก็ไม่ได้น่ากลัวถึงเพียงนั้นแต่ในยุคนี้ที่เครื่องไม้เครื่องมือไม่ทันสมัย อุปกรณ์ไม่เพียงพอเช่นนี้น่ากังวลใจยิ่งนัก เวลานี้นางรู้สึกหวาดกลัวเมื่อรู้ว่าตัวเองจะไม่สามารถยื้อชีวิตคนไข้ของนางเอาไว้ได้“กงอี้ เจ้าช่วยเคลื่อนย้ายใต้เท้าไปด้านในทีข้าต้องทำการรักษาโดยด่วน”“เช่นนั้นแม่นางซูพวกเราพานายท่านกลับจวนก่อนดีหรือไม่ขอรับ”“ตอนนี้ไม่ได้ร่างกายใต้เท้าอ่อนแอนักทำตามที่ข้าบอกเถอะ ห้องด้านในข้าทำความสะอาดเพื่อทำการรักษาคนบาดเจ็บไปเมื่อคืนนี้แล้ว ตอนนี้ห้องนั้นว่างท่านพาเขาเข้าไปเถอะ”“ก็ได้ขอรับ”หลี่กงอี้รีบสั่งให้คนที่ติดตามเขามาด้วยยกตัวฮ่องเต้ขึ้นแล้วนำร่างของเขาไปไว้ในห้องด้านในตามคำสั่งของจ้าวซูหลินทันทีจ้าวซูหลินรีบเดินตามพวกเขาไปติดๆก่อนจะไล่ให้คนอื่นๆออกไปจากห้องให้หมด แม้กงอี้อยากจะทัดทานแต่เพราะหญิงสาวตรงหน้าคืออดีตพระสนมและยังคงเป็นนางในดวงใจของฮ่องเต้ เขาจึงไม่สามารถพูดคัดค้านสิ่งใดได้จ้าวซูหลินทำการรักษาฮ่องเต้อย่างสุดความสามารถ ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วยามถึงได้เปิดประตูออกมาภายใต้การรออย่างใจจดใจจ่อของบร
เวลาล่วงเลยผ่านมานานนับหกเดือนแล้ว จ้าวซูหลินรู้สึกสนุกกับการใช้ชีวิตที่นี่เป็นอย่างมาก นางรู้สึกว่าชีวิตนี้ของนางมีคุณค่ามากกว่าแต่ก่อนขึ้นเยอะเลยนอกจากการหมักเหล้าองุ่นขายในโรงเตี๊ยมของนางเองแล้ว นางยังใช้วิชาการแพทย์ที่ติดตัวมาตั้งแต่อยู่ในยุคที่นางจากมา มาใช้ประโยชน์ในที่แห่งนี้อีกด้วยบริเวณรอบๆ เมืองหลวงยังมีอีกหลายหมู่บ้านน้อยใหญ่ที่ยังขาดแคลนหมอ ชาวบ้านส่วนมากยังไม่มีเงินมากพอที่จะไปหาหมอดีๆรักษาเวลาเจ็บป่วยได้ เมื่อพวกเขาเจ็บป่วยไม่มีเงินไปหาหมอในเมืองก็ทำได้เพียงแค่นอนรอความตายเท่านั้นจ้าวซูหลินเห็นถึงความยากลำบากนั้นนางจึงออกเดินทางไปในหลายๆหมู่บ้าน บ้างก็ค้างที่หมู่บ้านนั้นๆ อยู่หลายครั้งหลายคราแต่ทุกครั้งจะมีใต้เท้าโจวอยู่เคียงข้างเสมอ หรือหากเขามาไม่ได้ก็จะส่งหลี่กงอี้องค์รักษ์คนสนิทมาอยู่ดูแลนางแทนนางเป็นคนนอกครอบครัวยังดูแลดีถึงเพียงนี้ เช่นนั้นคนในครอบครัวของใต้เท้าเองก็คงอยู่ดีมีสุขร่มเย็นกันถ้วนหน้ากระมัง“ฝ่าบาท”“วันนี้นางทำอะไรงั้นหรือ”“แม่นางซูหลินออกไปรักษาบาดแผลให้กับชาวบ้านที่ถูกดินถล่มพ่ะย่ะค่ะ”“มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเหตุใดถึงพึ่งมารายงานข้ากัน”“กระหม