จ้าวซูหลินไม่ได้ออกจากตำหนักหนิงเซียงมาเป็นเวลามากกว่าห้าวันแล้วจนนางรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก
นางเอาแต่นอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ยาวหน้าตำหนักหนิงเซียงมาตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ดวงตาหงส์งามล้ำจับจ้องไปที่มวลไม้ดอกไม้ประดับที่เจ้าของร่างเดิมลงทุนปลูกด้วยตัวเองเต็มตำหนักไปหมด
นางคงจะมีความเหมือนกับเจ้าของร่างเดิมอยู่แค่เพียงชื่นชอบการปลูกไม้สวนไม้ประดับเท่านั้น นอกจากความสามารถนี้แล้วนางก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้เหมือนเจ้าของร่างเดิมนี้ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเย็บปักถักร้อย เขียนกลอน ร่ายรำทำเพลง แต่ก็มีอยู่อย่างหนึ่งที่นางถนัดนั่นก็คือวิชาแพทย์
‘หากจะเปิดโรงหมอก็ต้องใช้ทุนเยอะสินะ’
“เฮ้อ…”
ทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้ก็ร่วมหลายวันมาแล้วแต่เหตุใดถึงได้ไม่มีความทรงจำของนางหลงเหลืออยู่เลยล่ะ ไม่รู้จักตัวตนของนางเลยแม้เพียงนิดแบบนี้ข้าก็อึดอัดแย่เลยสิ
“เฮ้อ….”
ในนิยายที่เคยอ่านๆผ่านมาไฉนเลยนางเอกคนอื่นๆถึงได้มีมิติวิเศษติดตัวไปด้วยเล่า แล้วเพราะเหตุใดกันข้าถึงได้มาตัวเปล่า มีก็แต่เพียงมันสมองที่บรรจุเพียงความรู้ทางการแพทย์ติดตัวมาด้วยเท่านั้น จะไปมีประโยชน์อะไรกับในวังหลวงที่สุดแสนจะน่าเบื่อหน่ายแห่งนี้กัน
“เฮ้อ…”
จ้าวซูหลินเอนกายลุกขึ้นแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายอีกครั้งภายใต้สายตาอันคมกริบขององค์รักษ์เงาดำที่ฮ่องเต้บัญชาให้เขามาเฝ้าที่ตำหนักของนาง
“พระสนม ท่านเป็นอะไรไปข้าเห็นท่านถอนหายใจออกเป็นรอบที่ร้อยของเช้านี้ได้แล้วกระมัง”
“ก็ข้าเบื่อนี่นา วันๆอยู่แต่ในตำหนักไม่มีอะไรให้ทำนอกจากปักผ้าบ้าๆพวกนั้นน่ะ”
จ้าวซูหลินใช้นิ้วเรียวยาวของนางหยิบเอาผ้าไหมสีสวยสดขึ้นมาพินิจดูเพียงครู่เดียว ก่อนจะโยนทิ้งลงบนพื้นอย่างไม่ใยดี
“พระสนม! เหตุใดถึงโยนผ้าทิ้งเช่นนั้นกันล่ะเพคะ”
“เอาออกไปเถอะ ข้าไม่ทำแล้ว”
“หากท่านไม่ทำฮองเฮาต้องสงสัยและหาเรื่องลงโทษท่านแน่นอนเลยเพคะ”
“นางจะเนรเทศข้าออกจากวังใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่เพคะ คนที่เข้ามาในวังแล้วไม่สามารถออกไปจากวังได้ง่ายๆหรอกนะเพคะนอกจากจะได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้แล้วใครก็ไม่สามารถออกไปได้ อย่างมากก็คงต้องลดขั้นของท่านลงเป็นนางกำนัลของตำหนักไหนสักแห่ง”
“โว้ยยยย! ชีวิตของข้าทำไมถึงได้ยากเย็นเช่นนี้กันเล่า ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่ข้าอยากออกจากวังหลวง!!!”
“พระสนมลิ่งเฟยเสด็จ”
“ใคร!”
จ้าวซูหลินที่กำลังรู้สึกโมโหอยู่ก็หันขวับไปยังต้นเสียงที่ขานชื่อใครบางคนออกมาเมื่อครู่ด้วยความไม่สบอารมณ์ยิ่ง
“พระสนมลิ่งเฟยสหายเก่าของท่านอย่างไรล่ะเพคะ”
ซั่วอิงพูดจบก็รีบวิ่งไปด้านหลังของจ้าวซูหลินทันทีจนนางต้องหันมองตามสาวใช้คนสนิทด้วยความสงสัย
‘จะหลบทำไมกันล่ะเนี่ย’
“แล้วนางจะมาที่นี่ทำไม”
“หม่อนฉันก็ไม่ทราบเพคะ”
เพียงไม่นานหางตาของจ้าวซูหลินก็มองเห็นหญิงสาวในชุดสีชมพูสดใส กำลังเดินกรุยกรายมาทางด้านหน้าตำหนักบริเวณที่นางนั่งอยู่ จ้าวซูหลินหันไปมองหน้าของนางชัดๆอีกครั้ง
‘ก็สวยอยู่หรอกนะ แต่ทำไมจิตใจถึงได้โหดเหี้ยมเลือกที่จะสังหารสหายของตัวเองได้ลงคอเช่นนี้กัน’
“เจ้ามาทำไม”
จ้าวซูหลินถามออกไปห้วนๆ สร้างความประหลาดใจแก่สนมลิ่งเฟยเป็นอย่างมาก
“เจ้าอยู่ในฐานะที่จะมาตั้งคำถามกับข้าได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“แล้วเจ้าสูงส่งมากหรืออย่างไรข้าถึงถามไม่ได้”
“นี่เจ้า! ยุ่นเอ๋อเอาไปให้นาง”
“เพคะพระสนม”
จ้าวซูหลินที่ยังคงจับจ้องใบหน้าของผู้มาเยือนไม่วางตา หันมองไปที่นางกำนัลรับใช้ของสนมลิ่งเฟยก็เห็นนางถือถาดที่ภายในได้วางผ้าไหมสีสวยเอาไว้แล้วยื่นมาตรงหน้าของนาง
“รับไปสิข้าต้องการให้เจ้าตัดเย็บชุดให้ข้า ข้าจะใส่ในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของข้าที่จะถึงในอีกไม่กี่วันนี้”
“ให้ข้าทำ?”
“ก็ใช่น่ะสิหรือเจ้าอยากให้ข้ารายงานไปที่ฝ่าบาทว่าเจ้าไม่ยอมตัดชุดให้ข้าเพราะว่าเจ้านั้นหึงหวงและอิจฉาที่ข้าได้เป็นพระสนมที่โปรดปราน ส่วนเจ้าก็เป็นเพียงสนมตกอับไร้คนเหลียวแล”
“ข้าว่านะเจ้าไปหาหมอเพื่อตรวจสมองของเจ้าบ้างก็ได้ คนบ้าอะไรคิดชั่วได้อยู่ตลอดเวลาไม่รำคานตัวเองบ้างหรืออย่างไรกัน”
“นี่เจ้า!”
“หุบปากของเจ้าเสีย! ที่นี่คือตำหนักของข้าเจ้าอย่าได้มาระรานหรือก่อเรื่องวุ่นวายที่นี่อีก ส่วนของของเจ้าเอากลับไปด้วยข้าไม่ปักชุดให้เจ้า! หรือหากเจ้ายินดีจะให้ข้าเอาไว้ทำผ้าเช็ดเท้าข้าก็ไม่ขัดข้อง”
“เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้มาต่อปากต่อคำกับข้าเช่นนี้ เอาความกล้านี้มาจากไหน”
“จากนี่ไง”
จ้าวซูหลินหยิบเอาไม้ขนาดพอดีมือก่อนจะลุกขึ้นเดินฉับๆเข้าไปหาสนมลิ่งเฟยจนนางถอยหลังออกไปแทบไม่ทัน
“ไป! ออกไปจากตำหนักของข้า ข้าไม่ใช่คนรับใช้ของเจ้าอย่ามาซี้ซั่วก่อกวนข้าอีก ออกไป!”
“เจ้า! คอยดูเถอะข้าจะฟ้องฝ่าบาท”
“ฟ้องพ่อแม่ของเจ้าด้วยเลยสิเอาให้ครบทุกคนไปเลย นังเด็กขี้อิจฉา ออกไป!”
“กรี๊ดดดด!!! พระสนมระวังเพคะ”
“จ้าวซูหลินเจ้ารอรับโทษที่ทำกับข้าในครั้งนี้เถอะ”
“ก็มาสิ กลัวที่ไหน ไป! ออกไปเดี๋ยวนี้ ชิ่วๆ”
“พระสนม……”
ซั่วอิงได้แต่มองตาค้างที่เห็นพระสนมของตัวเองดุด่าพระสนมลิ่งเฟยได้ถึงเพียงนี้ เพราะที่ผ่านมานางเอาแต่ก้มหน้ารับใช้สนมลิ่งเฟยไม่กล้าแม้แต่จะขัดใจนางเลยสักครั้ง
“ฮ่าๆ…ได้ระบายอารมณ์ออกมาแบบนี้เสียหน่อยก็ค่อยยังชั่ว เกือบอึดอัดตายไปแล้วไหมล่ะ”
จ้าวซูหลินที่กำลังยืนท้าวเอวอยู่ส่วนมืออีกข้างก็ค้ำไม้ท่อนนั้นที่ใช้หวดไล่สนมลิ่งเฟยเอาไว้ ก่อนที่นางจะละสายตาจากหน้าประตูตำหนักแล้วหันไปมองหน้าของซั่วอิงก็พบว่านางกำลังมองมาด้วยสายตาที่ดูเหมือนจะหวาดกลัวปนดีใจ หรือไม่นะ?
“อะไร?เจ้ามองหน้าข้าแบบนั้นทำไม”
“อะไร?เจ้ามองหน้าข้าแบบนั้นทำไม”“พระสนม…”“จะมาโทษข้าไม่ได้นะก็นางมาก่อกวนข้าก่อนนี่นา”“พระสนมเก่งมากเลยเพคะ แต่ท่านก็รู้ว่าฮ่องเต้โปรดปรานสนมลิ่งเฟยมากท่านอาจได้รับโทษก็เป็นได้นะเพคะ”“ข้าไม่กลัว ฆ่าข้าให้ตายไปเสียเลยสิ”“ไม่ได้สิหากข้าต้องโทษจริง ห่วงก็แต่เจ้าก็ต้องมาเดือดร้อนเพราะข้าอีกคน โว้ยยยย! หากไม่ใช่ว่านางมาหาเรื่องข้าก่อนมีหรือที่ข้าจะอารมณ์เสียได้ถึงเพียงนี้กัน”“แต่หากว่าข้าถูกทำโทษจริงเจ้าก็ไม่ต้องห่วงไปหรอก ข้าจะฟาดเจ้าด้วยไม้ท่อนนี้ให้พวกเขาเข้าใจว่าข้าสติไม่ดีทำร้ายคนไปทั่ว ตัวเจ้าเองก็จะรอดจากการถูกลงโทษในครั้งนี้แล้ว”“พระสนม!”“พอแล้วเลิกเรียกข้าเสียที เจ้าก็ดูต้นทางไปเผื่อมีทหารมาจะได้เริ่มแผนการเมื่อครู่ได้ทัน”“โธ่พระสนมหากว่าท่านถูกลงโทษข้าก็ยินดีรับโทษไปพร้อมท่านนะเพคะ พวกเราพูดความจริงทำไมต้องกลัวก็พระสนมลิ่งเฟยชอบมาข่มขู่ท่านทั้งยังใช้งานท่าน ทั้งๆที่ท่านเองก็มีตำแหน่งเทียบเท่ากับนางเพียงแค่ไม่ได้รับการโปรดปรานจากฝ่าบาทเหมือนกับนางก็เท่านั้นเอง”“ช่างเถอะข้าไม่สนใจหรอก ตอนนี้ที่ข้าสนใจคือข้าจะหาเงินจากที่ไหนมาไถ่ตัวเองออกจากวังแห่งนี้ได้เร็วๆกัน”‘เฮ้อ ไหนๆ
-เจ็ดวันผ่านไป-“ซั่วอิง เจ้าบอกว่าข้าไปเอาเมล็ดพันธ์พวกนั้นมาจากวัดอะไรนะ?”“วัดฮุ่ยหลอเพคะ อยู่บนเนินเขาทางตอนเหนือของเมืองหลวง วัดแห่งนั้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครไปกันหรอกนะเพคะ”“ทำไมล่ะ?”“ก็ที่นั่นมีเพียงเจ้าอาวาสคนเดียวเท่านั้น อารามก็เก่าทรุดโทรมแล้วไม่ได้งดงามเหมือนวัดเล่อฉีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเมืองหลวงเพคะ”“ไม่มีใครไปก็ดีแล้วนี่ ไม่วุ่นวายดี” “เจ้าไปเอาเหล้าที่หมักไว้ออกมาสักสองไหที แล้วก็หยิบไหเล็กมาอีกสองไหด้วยนะเผื่อเอาไว้ให้ใต้เท้าโจวนะ”“ได้เพคะ”ซั่วอิงรีบเดินไปนำไหเหล้าองุ่นที่พวกนางหมักเอาไว้เป็นเวลากว่าเจ็ดวันแล้ว ที่ชั้นวางของในห้องครัวบริเวณปีกซ้ายของตำหนักหนิงเซียง ไม่นานนักนางก็หิ้วไหเหล้ามาพร้อมๆกันทั้งสี่ไหอย่างทุลักทุเลพอสมควร ซั่วอิงก้าวเดินด้วยความเชื่องช้าด้วยกลัวว่าไหเหล้าเหล่านั้นจะตกลงพื้นไปเสียก่อน“มาแล้วเพคะพระสนม”“ไหนมาให้ข้าชิมดูก่อนซิ”จ้าวซูหลินรีบหยิบไหเหล้าใบเล็กใบหนึ่งมาจากมือของซั่วอิงด้วยความว่องไว ก่อนจะเปิดผ้าที่ใช้ปิดฝาไหออกแล้วสูดดมกลิ่นของมันทันที“อืมม..หอมเสียจริง” นางดมกลิ่นสุราองุ่นก่อนจะเทลงไปในจอกใบเล็กเพียงครึ่งจอกแล้วลิ้มรสไปที
“อยู่ในวังหลวงนางอึดอัดใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ หรือว่าการปลดปล่อยเจ้าไปจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับเจ้ากันแน่นะ”“ฝ่าบาทแล้วเรื่องที่พระสนมซูหลินทรงทำร้ายพระสนมลิ่งเฟยล่ะพ่ะย่ะค่ะ พระองค์จะทรงตัดสินเช่นไรต่อดีพ่ะย่ะค่ะ”“จะตัดสินอะไรอีกล่ะเจ้าก็รู้ที่องค์รักเงาดำมารายงานนั่นเพราะสนมลิ่งเฟยหาเรื่องนางก่อน หากนางจะปกป้องตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องผิดอันใด”“ส่วนเรื่องลงโทษนางนั้นแค่การออกราชโองการไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ตำหนักของนางก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ และนี่คงเป็นวิธีเดียวที่ข้าจะช่วยให้นางได้อยู่ห่างจากคนที่คิดร้ายนางได้ก็เท่านั้นเอง”“แล้วจะไม่เป็นการทำให้พระสนมเข้าใจพระองค์ผิดหรือพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”“ข้ากักขังนางเอาไว้ในวังไร้การเหลียวแล หากนางจะเกลียดข้าก็คงไม่ผิดอะไร”-โรงเตี๊ยมฟู่อันหลง-“พระสนม”“ชู่ว…ข้าบอกแล้วว่าให้เรียกข้าว่านายหญิงอย่างไรเล่า”“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าลืม”“ว่าแต่นายหญิง ทำไมพวกเราไม่นำเหล้าพวกนี้ไปขายที่ร้านเหล้ากันล่ะเจ้าคะ”“โรงเตี๊ยมก็รับเหล้ามาจากร้านเหล้านั้นแหละ จะขายร้านเหล้าก็ได้แต่กำลังซื้อของร้านนั้นท่าจะน้อยกว่าร้านพวกนี้ดีไม่ดีถูกกดราคาอีกต่างหาก”“นายหญิงช่างปราดเ
-วัดฮุ่ยหลอ-“เจ้าพาข้ามาถูกที่แน่นะ”“ถูกแน่นอนเพคะ ขึ้นเขาไปอีกนิดนึงก็ถึงวัดแล้ว”“แล้วเหตุใดถึงได้รกร้างน่ากลัวเช่นนี้กันเล่า”“หม่อมฉันถึงได้บอกท่านอย่างไรล่ะเพคะว่าวัดนี้ไม่มีใครย่างกรายเข้ามาเลยสักคน ถึงได้ถูกปล่อยให้รกร้างไม่มีคนเหลียวแลเช่นนี้”“โอ๊ย!!น่ากลัวชะมัด ข้าไม่ไปมันแล้ว”จังหวะที่จ้าวซูหลินกำลังจะหันหลังกลับก็ได้ยินเสียงเหมือนบทเพลงบรรเลงจากที่ไหนสักแห่งดังก้องกังวานกระทบกับใบหูของนางแต่เมื่อฟังชัดๆบทเพลงนั้นช่างเหมือนเพลงที่นางชอบฟังหลังออกจากการทำงานในโรงพยาบาลในยุคที่นางจากมาเสียจริง“หูแว่วไปหรือไม่นะ”“อะไรหรือเพคะ”“เจ้าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยหรือ”“เสียงอะไรหรือเพคะ พระสนมอย่าทำให้หม่อมฉันกลัวสิเพคะ”จ้าวซูหลินไม่สนใจที่ซั่วอิงพูด นางเดินขึ้นไปตามไหล่เขาเรื่อยๆ น่าแปลกที่ยิ่งเดินต่อบทเพลงนั้นก็เหมือนจะดังเข้ามาเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็มาพบกับอารามเก่าแก่หลังหนึ่ง“นั่นอย่างไรล่ะเพคะ อารามที่ท่านเคยมาสักการะและพบเจ้าอาวาสที่นี่”“ที่นี่งั้นหรือ เจ้ารอข้าที่นี่นะ”“แต่ว่าพระสนม”“นั่งรอตรงนี้แหละ กลางวันแสกๆกลัวอะไร”‘หืม เหตุใดข้าถึงจำได้ว่าตอนอยู่ที่ตีนเขาพระสนมยังบอ
“เยี่ยม!”เจ้าอาวาสขมวดคิ้วมองนางนิ่ง ‘เด็กคนนี้คงไม่เล่นอะไรแผลงๆหรอกนะ’จ้าวซูหลินรีบหยิบเอาของสิ่งนั้นในกล่องออกมาทันที ก่อนจะยื่นไปให้เจ้าอาวาสดู“ท่านดูสิ เป็นตามที่ข้าขอจริงๆด้วย”“หยึย! คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วย”“อะไรกันเจ้าคะ ก็แค่ตุ๊กแกตัวเดียวท่านกลัวทำไมกัน”“มะ มันจะตัวใหญ่เกินไปไหม”“น่ารักออก”‘ตรงไหน’“จะ…เจ้าไปเถอะ กลับไปได้แล้ว”“ทำไมกัน ข้ายังมีเรื่องที่จะปรึกษาท่านอยู่นะเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นก็เก็บเจ้าสิ่งนั้นไปเสียก่อนสิ”“น่ารักจะตายไป”จ้าวซูหลินถึงจะบ่นๆไปแต่ก็ยอมเก็บตุ๊กแกตัวเขื่องลงในกล่องทันที“เฮ้อ...เหตุใดเจ้าถึงได้ต่างจากนางนักนะ จ้าวซูหลินคนก่อนทั้งอ่อนโยนและขี้อาย แต่เจ้า…”“ก็ข้าไม่ใช่นาง”“มันก็ใช่”“ข้าอยากรู้ว่าข้าจะได้กลับบ้านหรือไม่”“มันอยู่ที่ชะตาลิขิต”“เอาอีกแล้วอะไรๆก็ชะตาลิขิต ท่านพูดอย่างอื่นเป็นหรือไม่”“ข้าพูดตามที่ข้าหยั่งรู้มาข้าอยู่ที่นี่เพื่อรอเจ้ามานานนับหลายปีแล้ว ต่อไปนี้ก็จะได้เป็นอิสระได้ออกไปทำตามสิ่งที่ข้าต้องการเสียที”“ท่านจะไปไหนหรือเจ้าคะ”“นางหนูเจ้าเองก็มีของวิเศษนี้แล้วอยากได้สิ่งใดก็ขอเพียงแค่ปรารถนาในใจ แต่ก็มีข้อจำกัดอย่าได
จ้าวซูหลินนั่งเอามือเท้าคางมองกล่องวิเศษที่ได้รับมาจากเจ้าอาวาสอยู่นานสองนาน กล่องที่ดูธรรมดาๆแต่ความจริงแล้วกลับไม่ธรรมดาอย่างที่เห็น เพราะเมื่อนางลองใช้งานกล่องตัวนี้แล้วกลับพบว่าภายในไม่ได้บรรจุเพียงแค่ตัวยาชนิดต่างๆ เท่านั้น แต่ยังมีทุกสิ่งที่ผู้เป็นเจ้าของต้องการโผล่ออกมาในขนาดย่อส่วนอีกด้วย“ช่างวิเศษเสียจริง เช่นนี้ข้าก็อยู่ที่นี่ได้อย่างสบายแล้วล่ะสิ”“ว่าแต่ขอเงินเยอะๆเลยได้หรือไม่นะ’‘นางหนูเจ้าเองก็มีของวิเศษนี้แล้วอยากได้สิ่งใดก็ขอเพียงแค่ปรารถนาในใจ แต่ก็มีข้อจำกัดอย่าได้โลภมากอย่าได้คิดชั่วร้ายไม่เช่นนั้นกล่องนี้จะหายไปตลอดกาล’ เมื่อคิดถึงคำพูดของเจ้าอาวาสครั้งที่ไปเยือนที่วัดฮุ่ยหลอได้ก็ทำเอานางล้มเลิกความคิดนั้นไปทันที“ไม่ได้สิ หากกล่องนี้หายไปจริงๆข้าจะไม่แย่หรอกหรือ เฮ้อ….”“พระสนม!”ขณะที่จ้าวซูหลินเอาแต่นั่งลูบๆ คลำๆ กล่องอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงของซั่วอิงตะโกนเรียกนางมาแต่ไกล นางหันไปมองตามเสียงเรียกก็เห็นว่าซั่วอิงกำลังวิ่งมาหานางด้วยความรวดเร็ว ใบหน้าแสดงออกถึงความตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก“มีอะไรหรือซั่วอิง ตื่นเต้นอะไรกัน”“เมื่อครู่ตอนที่หม่อมฉันไปห้องเครื่อง ได้ยิน
ฮ่องเต้หันไปสบตาหลี่กงอี้ทันทีเมื่อสัมผัสได้ว่ากำลังถูกเขาจ้องมองอยู่ และเพราะกลัวว่าเจ้าหมอนี่จะหลุดปากพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปจึงได้ส่งสายตาให้เขารีบไปรอที่รถม้าโดยเร็วที่สุด“ว่าแต่พวกเจ้าสองคนจะไปไหนกันหรือ”“คือว่าข้าจะทำอาหารไปถวายฮองเฮาน่ะเจ้าค่ะ ก็เลยตั้งใจว่าจะออกไปซื้อวัตถุดิบมาเตรียมตัวกันเสียหน่อย”“เช่นนั้นให้ข้านำทางให้หรือไม่”“ท่านไม่ต้องทำงานหรอกหรือเจ้าคะ”“ข้าทำมาทั้งคืนแล้ว ตอนนี้ข้าว่าง”จ้าวซูหลินฉีกยิ้มทันที ‘มีคนพาไปก็ดีกว่าไปกันเองเยอะเลย’“เช่นนั้นก็ดีเลยเจ้าค่ะ ข้าเองก็ไปที่ท่าเรือไม่ถูก”“เจ้าจะไปที่ท่าเรือทำไมกัน”“ข้าอยากได้ของทะเลเจ้าค่ะ ใต้เท้ารีบไปกันเถอะหากไปช้าข้ากลัวว่าของดีๆจะหมดเสียก่อน”จ้าวซูหลินถือวิสาสะรีบเดินมาจูงแขนเขาออกเดินไปทันที ฮ่องเต้ตาโตมองมือของนางที่จับมือถือแขนเขาอยู่ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นฮ่องเต้และมีสถานะเป็นสามีของนางเองก็เถอะ แต่ถึงอย่างไรเวลานี้เขาก็อยู่ในฐานะบุรุษอื่นที่นางพึ่งรู้จักทำเช่นนี้ย่อมไม่สมควร“แม่นางซู เจ้าจะมาจับมือถือแขนข้าแบบนี้ไม่ได้นะชายหญิงไม่ควรแตะต้องตัวกันเจ้าไม่รู้หรืออย่างไร”“ช่างมันเถอะเจ้าค่ะ ข้าไม่สนใจก
จ้าวซูหลินละสายตาจากใต้เท้าโจวก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองสถานที่ตรงหน้า ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทำให้นางถึงกับตะลึงไปเลยท่าเรือแห่งนี้ใหญ่มากจริงๆมีเรือประมงขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่หลายลำด้วยกัน ผู้คนมากหน้าหลายตาทั้งพ่อค้าแม่ค้าและชาวบ้านต่างเดินควักไคว่กันเต็มท่าเรือเลยก็ว่าได้“คนเยอะมากถึงเพียงนี้เลยหรือ นี่พวกเรามาช้าไปใช่หรือไม่”“ไม่ใช่หรอกขอรับแม่นางซูเวลานี้เป็นเวลาปกติที่ผู้คนจะออกมาท่าเรือกันขอรับ ท่าเรือแห่งนี้เป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแล้วในแต่ละวันจึงมีผู้คนมาที่นี่กันมากเช่นนี้ล่ะขอรับ”“อย่างนี้นี่เอง”จ้าวซูหลินยืนมองผู้คนที่เดินไปมาจนทั่วทั้งท่าเรือ จังหวะนั้นก็มีบุรุษหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาทางที่พวกนางกำลังยืนอยู่“ฝ่า….” ฮ่องเต้รีบถลึงตาใส่องค์รักษ์รักษาพระองค์ที่ล่วงหน้ามาจัดการที่นี่ก่อนแล้วทันทีที่ได้ยินการเรียกขานจากอีกฝ่าย“อะเอ่อ นายท่านเรือประมงเข้ามาเทียบท่าพอดีขอรับ”“ดีมาก พวกเขาขนของลงมาแล้วหรือยัง”“เรียบร้อยแล้วขอรับนายท่าน”“อืม”“พวกเราไปดูกันเถอะ”“เจ้าค่ะ”‘เหอะๆ..ทีตอนพูดกับลูกน้องเสียงเข้มเชียว แต่พอหันมาพูดกับพระสนมเสียงสองก็มา’“เฮอะ!…”“อะไรของเจ้า?
-5 ปีผ่านไป-เทศกาลโคมไฟวนเวียนกลับมาในอีกรอบปีแล้ว แต่ปีนี้นั้นจ้าวซูหลินกลับรู้สึกว่าช่างเงียบเหงายิ่งนัก ในทุกๆปี นางจะนั่งชมโคมไฟรูปแบบต่างๆกับฮ่องเต้เสมอแต่มาปีนี้กลับต้องนั่งเหงาเดียวดายอยู่เพียงลำพัง“ฝ่าบาท หากชาติหน้ามีจริงขอให้พวกเรากลับมาพบกันอีกครั้งนะเพคะ”ฮ่องเต้ฮั่วจงสวรรคตไปเมื่อหนึ่งปีก่อนหลังเทศกาลโคมไฟของปีที่แล้วพอดี จ้าวซูหลินไม่อาจยื้อชีวิตพระองค์ได้อีกต่อไปแล้วอาจเพราะเครื่องมือที่มีไม่มากพอและตัวนางเองก็ไม่อยากทำให้พระองค์ต้องเจ็บปวดอีกต่อไปแม้จะเป็นไปตามประวัติศาสตร์ที่ฮ่องเต้ฮั่วจงต้องสวรรคตในวัยเพียงแค่สี่สิบชันษา และแม้นางอยากที่จะยื้อชีวิตให้เขาได้อยู่กับนางนานๆมากกว่านี้แต่นางก็ไม่อยากฝืนชะตาลิขิตอีกต่อไปได้เพียงแค่หวังว่าหากชาติหน้ามีจริง นางและเขาจะกลับมาพบกันในสถานะที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในชาตินี้ มีเพียงกันและกันและสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้โดยไม่ต้องผิดต่อใคร-โรงเตี๊ยมฟู่อันหลง-เช้าวันนี้จ้าวซูหลินรู้สึกว
ฮ่องเต้และฮองเฮาเดินเข้ามาในงานด้วยท่วงท่าสง่างามยิ่ง ฮ่องเต้นั้นสวมฉลองพระองค์ด้วยชุดสีเหลืองทองอร่ามปักลายมังกรงามสง่า ส่วนฮองเฮาสวมชุดคลุมพญาหงส์สวยตระการตาปิ่นห้อยพญาหงส์สีแดงทองทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยความสูงค่าทรงสง่าดูมีท่วงท่าของพระมารดาของแผ่นดินเป็นอย่างมาก บนโถงพิธีมงคลเทียนสีแดงถูกจุดสว่างตำแหน่งเก้าอี้สูงมีฮ่องเต้และฮองเฮาประทับอยู่ ด้านนอกโถงพิธีมงคลมีขุนนางที่หลี่กงอี้เชื้อเชิญมาร่วมงานรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย“ได้ฤกษ์แล้ว ต้อนรับบ่าวสาว” ผู้ดูแลจวนเดินออกมายืนป่าวประกาศด้วยเสียงอันดังดนตรีมงคลก็เริ่มบรรเลง เกี้ยวเจ้าสาวหามมาถึงนอกประตูใหญ่ของจวนตระกูลหลี่แล้ว ซั่วอิงถูกประคองลงจากเกี้ยวขณะนั้นก็ได้ยินเสียงประทัดดังปึงปังความปีติยินดีเบิกบานลั่นทั่วทั้งท้องฟ้าพรมสีแดงถูกปูมาจนถึงใต้เท้าของนาง “เจ้าสาวมาแล้ว” มีคนร้องขึ้น ซั่วอิงถูกประคองมาถึงหน้าโถงรับแขก จากนั้นมีสาวใช้สองคนเดินเข้ามารับช่วงต่อจากจ้าวซูหลินสาวใช้สองคนประคองซั่วอิงซ้ายขวาเดินเข้ามาในพิธีชุดมงคลแดงปักท
เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกปีแล้วจ้าวซูหลินยังคงอาศัยอยู่ในวังเพื่อถวายการรักษาฮ่องเต้อย่างต่อเนื่อง หลายๆครั้งที่นางพาฮ่องเต้แอบหนีออกจากวังเพื่อไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านในหลายๆหมู่บ้าน อะไรที่เขาไม่เคยทำจ้าวซูหลินก็พาทำหมดทุกอย่างหลี่กงอี้ที่เดิมทีเป็นกังวลเกี่ยวกับพระวรกายของฝ่าบาทแต่เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ยังคงแข็งแรงไปไหนมาไหนได้ไม่รู้เหน็ดเหนื่อยเขาจึงไม่เอ่ยคัดค้านใดๆ ทำได้เพียงแค่ตามทั้งสองคนไปในทุกๆที่เท่านั้น“ท่านกงอี้”“แม่นางซูหลิน มีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ”“เปล่าเสียหน่อยข้าเพียงแค่จะถามท่านว่าท่านไม่คิดจะแต่งงานบ้างหรือ”“ข้าหรือ?”“ใช่สิเจ้าคะ”“ข้าเห็นนะ ท่านแอบไปที่โรงเตี๊ยมของข้าบ่อยๆ”“อะไรกันนั่นข้าไม่ได้สั่งเสียหน่อย เจ้าไปที่นั่นทำไม? คงไม่ได้แค่ไปกินข้าวกระมัง”“อะเอ่อ ฝ่าบาทคือว่า”“ว่าอย่างไร อ้ำอึ้งอยู่ได้”“คือว่ากระหม่อม”“เจ้าชอบซั่วอิงงั้นหรือ แค่ช
“ก็ฮองเฮาอย่างไรเล่าเพคะ คนที่มีอำนาจในวังหลังมากสุดก็คือฮองเฮา ลองใครกล้านินทาหม่อมฉันดูสิฮองเฮาต้องออกหน้าจัดการแทนแน่นอน”“แล้วการที่เข้ามาดูแลรักษาอาการของพระองค์มันผิดตรงไหนกัน ใครๆก็รู้ว่าหม่อมฉันเป็นหมอ”“ข้าไม่ได้ว่าอะไร กลัวก็เพียงว่าคนที่เจ้าชอบจะมองเจ้าไม่ดี”“หม่อมฉันไม่มีลูกตาให้มองใครแล้วนะเพคะ”“แล้วเจ้ามองใครอยู่หรือ”จ้าวซูหลินยิ้มเบาๆนางไม่ตอบคำถามนี้แต่กลับกำลังค้นหาขวดยาเพื่อนำมาให้ฮ่องเต้เสวยอีกครั้ง“เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าข้ากินยาแล้วหรือ”“นั่นยาของหมอหลวง ส่วนนี่ของหม่อมฉัน”“ได้อย่างไรข้ากินแล้วนะ”“อย่าดื้อสิเพคะ หากท่านหายดีในเร็ววันหม่อมฉันจะพาพระองค์อบออกไปเที่ยวนอกวัง”“เที่ยวนอกวัง?”“ใช่แล้วเพคะ”“ไม่กี่วันข้างหน้าก็ถึงเทศกาลโคมไฟแล้วนะเพคะ หม่อมฉันอยากไปดูโคมไฟสวยๆ ฝ่าบาทก็ต้องไปกับหม่อมฉันด้วยนะเพคะ”จ้าวซูหลินยิ้มก่อนจะยื่นเม็ดยาที่นางสกัดออกมาเองใส่พระหัตถ์ของฝ่าบาทฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะเล็กน้อย‘เอาก็เอา อย่างน้อยถ้าหายดีก็จะได้พานางไปเที่ยวเล่
“ท่านน่าจะบอกข้าให้รู้เร็วกว่านี้”“ก็ฝ่าบาทไม่ยอมให้ข้าบอกท่านนี่นา เอาแต่ขู่ข้าว่าหากข้าปากโป้งไปบอกท่านจะตัดหัวข้าทิ้งเสีย ข้าเป็นองค์รักษ์ไม่กลัวตายหรอกนะแต่ข้าเพียงแค่กลัวว่าจะไม่มีใครอยู่คอยดูแลพระองค์ก็เท่านั้นเอง”‘ไม่กลัวตายเลยจริงจริ๊ง’“ใช่สินะ ใครจะไปรู้พระทัยฝ่าบาทเท่าท่านกัน”“แต่ก็อย่างที่ข้าตำหนิท่าน หากบอกข้าเร็วกว่านี้อาการของฝ่าบาทก็จะไม่ทรุดลงเร็วเช่นนี้”“แล้วแม่นางซูหลิน ฝ่าบาทจะทรงหายดีใช่หรือไม่”“ท่านรู้จักข้ามานานรู้ใช่หรือไม่ว่าข้าไม่พูดโกหก แม้บางครั้งจะจำเป็นต้องโกหกก็ตาม”“ข้ารู้”“ฝ่าบาทร่างกายอ่อนแอลงอย่างมากสุดก็ห้าปี”“ห้าปีงั้นหรือ”“พอจะจัดการอะไรๆ ได้ใช่หรือไม่”“ข้านึกว่าจะไม่นานเพียงนั้น”“ท่านกงอี้!”“ข้าพูดเรื่องจริงทั้งไทเฮาและฮองเฮาต่างก็วิตกเพราะรัชทายาทเองก็อายุได้เพียงสิบชันษายังไ
“สะ สนมซู ไม่ใช่ว่าเจ้าตายไปแล้วหรอกหรือ แล้วเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่!”“ไทเฮา ฮองเฮา เรื่องนี้หม่อมฉันจะมาอธิบายทีหลังนะเพคะ ตอนนี้ให้หม่อมฉันตรวจอาการของฝ่าบาทก่อน”“เจ้ารักษาคนเป็นหรือ”“ฮองเฮาที่กระหม่อมพาพระสนมมาก็เพราะว่านางมีฝีมือทางการแพทย์พ่ะย่ะค่ะ เห็นสมควรให้นางลองรักษาฝ่าบาทไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”ฝ่าบาทที่เดิมกำลังจะบรรทมต่อเพราะฤทธิ์ยาที่หมอหลวงให้กิน แต่ก็ต้องตื่นตกใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่าจ้าวซูหลินมาที่นี่‘มาได้อย่างไร?’ฮ่องเต้รีบทอดพระเนตรดูคนตรงหน้าทันที‘ชัดเลย จ้าวซูหลินจริงๆ! ต้องเป็นเจ้าบ้าหลี่กงอี้แน่ๆ อยากหัวหลุดจากบ่ามากหรืออย่างไรกัน’หลี่กงอี้ที่เหมือนจะรู้ตัวว่ามีสายตาอาฆาตจากฝ่าบาทมุ่งมาทางเขาก็รีบหลบไปที่หลังของจ้าวซูหลินทันที นางแปลกใจเล็กน้อยที่อยู่ๆหลี่กงอี้ก็มาหลบที่หลังของนางแต่เมื่อหันไปมองดูคนบนเตียงก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ!“ตะ…ใต้เท้า!”
-โรงเตี๊ยมฟู่อันหลง-“ท่านกงอี้”“แม่นางซูหลิน ข้าบอกแล้วว่าให้ท่านเรียกข้าว่ากงอี้ก็พอขอรับ”“ทำไมล่ะข้าไม่ได้เป็นพระสนมแล้วตอนนี้ท่านน่าจะมีตำแหน่งสูงกว่าข้าเสียด้วยซ้ำ คิดอะไรมากกันเจ้าคะข้าเรียกท่านตามที่คนอื่นๆเรียกน่ะถูกแล้ว”“เช่นนั้นก็ตามใจท่านเถอะ”“แล้วใต้เท้าไม่มาด้วยหรอกหรือ”“คือว่า”“มีอะไรหรือไม่เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนั้นกัน”“ใต้เท้าทำงานหนักทุกวัน ไม่อาจมาหาท่านเหมือนเช่นเคยได้ขอรับ”“เป็นเช่นนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นท่านคอยข้าสักครู่ข้าจะไปทำอาหารฝากไปให้ใต้เท้านะเจ้าค่ะ”“ขอรับ”หลี่กงอี้อยากจะบอกนางเหลือเกินว่าตอนนี้ฝ่าบาทนั้นประชวรหนัก แม้แต่หมอหลวงยังพูดกันว่าเวลานี้ไร้หนทางรักษาแล้ว เขาเองก็เคยเห็นนางรักษาให้ชาวบ้านด้วยวิธีการต่างๆมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เคยเสนอให้ฝ่าบาทบอกความจริงกับนางแต่พระองค์ก็ไม่ยอม แล้วเขาจะทำเช่นไรต่อดี?อยากจะช่วยชีวิตของฝ่าบาทใจจะขาดแต่ก็กลัวหัวจะหลุดจากบ่า‘เฮ้อ…เกิดเป็นข้านี่ลำบากชะมัด’“นี่เจ้าค่ะ ฝากท่านดูแลใต้เท้าด้วยนะเจ้าคะแม้ว่าข้าจะไม่ได้เป็นอะไรกับใต้เท้า แต่ข้านั้นเห็นเขาเป็นเหมือนพี่ชายคนหนึ่งมีอะไรให้ข้าช่วย ท่านรีบมาบอกข้าได้เลย
‘ให้ตายสิ ใต้เท้าเป็นโรคหัวใจหรือนี่’หากเป็นยุคที่นางจากมาการรักษาโรคหัวใจก็ไม่ได้น่ากลัวถึงเพียงนั้นแต่ในยุคนี้ที่เครื่องไม้เครื่องมือไม่ทันสมัย อุปกรณ์ไม่เพียงพอเช่นนี้น่ากังวลใจยิ่งนัก เวลานี้นางรู้สึกหวาดกลัวเมื่อรู้ว่าตัวเองจะไม่สามารถยื้อชีวิตคนไข้ของนางเอาไว้ได้“กงอี้ เจ้าช่วยเคลื่อนย้ายใต้เท้าไปด้านในทีข้าต้องทำการรักษาโดยด่วน”“เช่นนั้นแม่นางซูพวกเราพานายท่านกลับจวนก่อนดีหรือไม่ขอรับ”“ตอนนี้ไม่ได้ร่างกายใต้เท้าอ่อนแอนักทำตามที่ข้าบอกเถอะ ห้องด้านในข้าทำความสะอาดเพื่อทำการรักษาคนบาดเจ็บไปเมื่อคืนนี้แล้ว ตอนนี้ห้องนั้นว่างท่านพาเขาเข้าไปเถอะ”“ก็ได้ขอรับ”หลี่กงอี้รีบสั่งให้คนที่ติดตามเขามาด้วยยกตัวฮ่องเต้ขึ้นแล้วนำร่างของเขาไปไว้ในห้องด้านในตามคำสั่งของจ้าวซูหลินทันทีจ้าวซูหลินรีบเดินตามพวกเขาไปติดๆก่อนจะไล่ให้คนอื่นๆออกไปจากห้องให้หมด แม้กงอี้อยากจะทัดทานแต่เพราะหญิงสาวตรงหน้าคืออดีตพระสนมและยังคงเป็นนางในดวงใจของฮ่องเต้ เขาจึงไม่สามารถพูดคัดค้านสิ่งใดได้จ้าวซูหลินทำการรักษาฮ่องเต้อย่างสุดความสามารถ ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วยามถึงได้เปิดประตูออกมาภายใต้การรออย่างใจจดใจจ่อของบร
เวลาล่วงเลยผ่านมานานนับหกเดือนแล้ว จ้าวซูหลินรู้สึกสนุกกับการใช้ชีวิตที่นี่เป็นอย่างมาก นางรู้สึกว่าชีวิตนี้ของนางมีคุณค่ามากกว่าแต่ก่อนขึ้นเยอะเลยนอกจากการหมักเหล้าองุ่นขายในโรงเตี๊ยมของนางเองแล้ว นางยังใช้วิชาการแพทย์ที่ติดตัวมาตั้งแต่อยู่ในยุคที่นางจากมา มาใช้ประโยชน์ในที่แห่งนี้อีกด้วยบริเวณรอบๆ เมืองหลวงยังมีอีกหลายหมู่บ้านน้อยใหญ่ที่ยังขาดแคลนหมอ ชาวบ้านส่วนมากยังไม่มีเงินมากพอที่จะไปหาหมอดีๆรักษาเวลาเจ็บป่วยได้ เมื่อพวกเขาเจ็บป่วยไม่มีเงินไปหาหมอในเมืองก็ทำได้เพียงแค่นอนรอความตายเท่านั้นจ้าวซูหลินเห็นถึงความยากลำบากนั้นนางจึงออกเดินทางไปในหลายๆหมู่บ้าน บ้างก็ค้างที่หมู่บ้านนั้นๆ อยู่หลายครั้งหลายคราแต่ทุกครั้งจะมีใต้เท้าโจวอยู่เคียงข้างเสมอ หรือหากเขามาไม่ได้ก็จะส่งหลี่กงอี้องค์รักษ์คนสนิทมาอยู่ดูแลนางแทนนางเป็นคนนอกครอบครัวยังดูแลดีถึงเพียงนี้ เช่นนั้นคนในครอบครัวของใต้เท้าเองก็คงอยู่ดีมีสุขร่มเย็นกันถ้วนหน้ากระมัง“ฝ่าบาท”“วันนี้นางทำอะไรงั้นหรือ”“แม่นางซูหลินออกไปรักษาบาดแผลให้กับชาวบ้านที่ถูกดินถล่มพ่ะย่ะค่ะ”“มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเหตุใดถึงพึ่งมารายงานข้ากัน”“กระหม