จ้าวซูหลินไม่ได้ออกจากตำหนักหนิงเซียงมาเป็นเวลามากกว่าห้าวันแล้วจนนางรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก
นางเอาแต่นอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ยาวหน้าตำหนักหนิงเซียงมาตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ดวงตาหงส์งามล้ำจับจ้องไปที่มวลไม้ดอกไม้ประดับที่เจ้าของร่างเดิมลงทุนปลูกด้วยตัวเองเต็มตำหนักไปหมด
นางคงจะมีความเหมือนกับเจ้าของร่างเดิมอยู่แค่เพียงชื่นชอบการปลูกไม้สวนไม้ประดับเท่านั้น นอกจากความสามารถนี้แล้วนางก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้เหมือนเจ้าของร่างเดิมนี้ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเย็บปักถักร้อย เขียนกลอน ร่ายรำทำเพลง แต่ก็มีอยู่อย่างหนึ่งที่นางถนัดนั่นก็คือวิชาแพทย์
‘หากจะเปิดโรงหมอก็ต้องใช้ทุนเยอะสินะ’
“เฮ้อ…”
ทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้ก็ร่วมหลายวันมาแล้วแต่เหตุใดถึงได้ไม่มีความทรงจำของนางหลงเหลืออยู่เลยล่ะ ไม่รู้จักตัวตนของนางเลยแม้เพียงนิดแบบนี้ข้าก็อึดอัดแย่เลยสิ
“เฮ้อ….”
ในนิยายที่เคยอ่านๆผ่านมาไฉนเลยนางเอกคนอื่นๆถึงได้มีมิติวิเศษติดตัวไปด้วยเล่า แล้วเพราะเหตุใดกันข้าถึงได้มาตัวเปล่า มีก็แต่เพียงมันสมองที่บรรจุเพียงความรู้ทางการแพทย์ติดตัวมาด้วยเท่านั้น จะไปมีประโยชน์อะไรกับในวังหลวงที่สุดแสนจะน่าเบื่อหน่ายแห่งนี้กัน
“เฮ้อ…”
จ้าวซูหลินเอนกายลุกขึ้นแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายอีกครั้งภายใต้สายตาอันคมกริบขององค์รักษ์เงาดำที่ฮ่องเต้บัญชาให้เขามาเฝ้าที่ตำหนักของนาง
“พระสนม ท่านเป็นอะไรไปข้าเห็นท่านถอนหายใจออกเป็นรอบที่ร้อยของเช้านี้ได้แล้วกระมัง”
“ก็ข้าเบื่อนี่นา วันๆอยู่แต่ในตำหนักไม่มีอะไรให้ทำนอกจากปักผ้าบ้าๆพวกนั้นน่ะ”
จ้าวซูหลินใช้นิ้วเรียวยาวของนางหยิบเอาผ้าไหมสีสวยสดขึ้นมาพินิจดูเพียงครู่เดียว ก่อนจะโยนทิ้งลงบนพื้นอย่างไม่ใยดี
“พระสนม! เหตุใดถึงโยนผ้าทิ้งเช่นนั้นกันล่ะเพคะ”
“เอาออกไปเถอะ ข้าไม่ทำแล้ว”
“หากท่านไม่ทำฮองเฮาต้องสงสัยและหาเรื่องลงโทษท่านแน่นอนเลยเพคะ”
“นางจะเนรเทศข้าออกจากวังใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่เพคะ คนที่เข้ามาในวังแล้วไม่สามารถออกไปจากวังได้ง่ายๆหรอกนะเพคะนอกจากจะได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้แล้วใครก็ไม่สามารถออกไปได้ อย่างมากก็คงต้องลดขั้นของท่านลงเป็นนางกำนัลของตำหนักไหนสักแห่ง”
“โว้ยยยย! ชีวิตของข้าทำไมถึงได้ยากเย็นเช่นนี้กันเล่า ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่ข้าอยากออกจากวังหลวง!!!”
“พระสนมลิ่งเฟยเสด็จ”
“ใคร!”
จ้าวซูหลินที่กำลังรู้สึกโมโหอยู่ก็หันขวับไปยังต้นเสียงที่ขานชื่อใครบางคนออกมาเมื่อครู่ด้วยความไม่สบอารมณ์ยิ่ง
“พระสนมลิ่งเฟยสหายเก่าของท่านอย่างไรล่ะเพคะ”
ซั่วอิงพูดจบก็รีบวิ่งไปด้านหลังของจ้าวซูหลินทันทีจนนางต้องหันมองตามสาวใช้คนสนิทด้วยความสงสัย
‘จะหลบทำไมกันล่ะเนี่ย’
“แล้วนางจะมาที่นี่ทำไม”
“หม่อนฉันก็ไม่ทราบเพคะ”
เพียงไม่นานหางตาของจ้าวซูหลินก็มองเห็นหญิงสาวในชุดสีชมพูสดใส กำลังเดินกรุยกรายมาทางด้านหน้าตำหนักบริเวณที่นางนั่งอยู่ จ้าวซูหลินหันไปมองหน้าของนางชัดๆอีกครั้ง
‘ก็สวยอยู่หรอกนะ แต่ทำไมจิตใจถึงได้โหดเหี้ยมเลือกที่จะสังหารสหายของตัวเองได้ลงคอเช่นนี้กัน’
“เจ้ามาทำไม”
จ้าวซูหลินถามออกไปห้วนๆ สร้างความประหลาดใจแก่สนมลิ่งเฟยเป็นอย่างมาก
“เจ้าอยู่ในฐานะที่จะมาตั้งคำถามกับข้าได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“แล้วเจ้าสูงส่งมากหรืออย่างไรข้าถึงถามไม่ได้”
“นี่เจ้า! ยุ่นเอ๋อเอาไปให้นาง”
“เพคะพระสนม”
จ้าวซูหลินที่ยังคงจับจ้องใบหน้าของผู้มาเยือนไม่วางตา หันมองไปที่นางกำนัลรับใช้ของสนมลิ่งเฟยก็เห็นนางถือถาดที่ภายในได้วางผ้าไหมสีสวยเอาไว้แล้วยื่นมาตรงหน้าของนาง
“รับไปสิข้าต้องการให้เจ้าตัดเย็บชุดให้ข้า ข้าจะใส่ในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของข้าที่จะถึงในอีกไม่กี่วันนี้”
“ให้ข้าทำ?”
“ก็ใช่น่ะสิหรือเจ้าอยากให้ข้ารายงานไปที่ฝ่าบาทว่าเจ้าไม่ยอมตัดชุดให้ข้าเพราะว่าเจ้านั้นหึงหวงและอิจฉาที่ข้าได้เป็นพระสนมที่โปรดปราน ส่วนเจ้าก็เป็นเพียงสนมตกอับไร้คนเหลียวแล”
“ข้าว่านะเจ้าไปหาหมอเพื่อตรวจสมองของเจ้าบ้างก็ได้ คนบ้าอะไรคิดชั่วได้อยู่ตลอดเวลาไม่รำคานตัวเองบ้างหรืออย่างไรกัน”
“นี่เจ้า!”
“หุบปากของเจ้าเสีย! ที่นี่คือตำหนักของข้าเจ้าอย่าได้มาระรานหรือก่อเรื่องวุ่นวายที่นี่อีก ส่วนของของเจ้าเอากลับไปด้วยข้าไม่ปักชุดให้เจ้า! หรือหากเจ้ายินดีจะให้ข้าเอาไว้ทำผ้าเช็ดเท้าข้าก็ไม่ขัดข้อง”
“เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้มาต่อปากต่อคำกับข้าเช่นนี้ เอาความกล้านี้มาจากไหน”
“จากนี่ไง”
จ้าวซูหลินหยิบเอาไม้ขนาดพอดีมือก่อนจะลุกขึ้นเดินฉับๆเข้าไปหาสนมลิ่งเฟยจนนางถอยหลังออกไปแทบไม่ทัน
“ไป! ออกไปจากตำหนักของข้า ข้าไม่ใช่คนรับใช้ของเจ้าอย่ามาซี้ซั่วก่อกวนข้าอีก ออกไป!”
“เจ้า! คอยดูเถอะข้าจะฟ้องฝ่าบาท”
“ฟ้องพ่อแม่ของเจ้าด้วยเลยสิเอาให้ครบทุกคนไปเลย นังเด็กขี้อิจฉา ออกไป!”
“กรี๊ดดดด!!! พระสนมระวังเพคะ”
“จ้าวซูหลินเจ้ารอรับโทษที่ทำกับข้าในครั้งนี้เถอะ”
“ก็มาสิ กลัวที่ไหน ไป! ออกไปเดี๋ยวนี้ ชิ่วๆ”
“พระสนม……”
ซั่วอิงได้แต่มองตาค้างที่เห็นพระสนมของตัวเองดุด่าพระสนมลิ่งเฟยได้ถึงเพียงนี้ เพราะที่ผ่านมานางเอาแต่ก้มหน้ารับใช้สนมลิ่งเฟยไม่กล้าแม้แต่จะขัดใจนางเลยสักครั้ง
“ฮ่าๆ…ได้ระบายอารมณ์ออกมาแบบนี้เสียหน่อยก็ค่อยยังชั่ว เกือบอึดอัดตายไปแล้วไหมล่ะ”
จ้าวซูหลินที่กำลังยืนท้าวเอวอยู่ส่วนมืออีกข้างก็ค้ำไม้ท่อนนั้นที่ใช้หวดไล่สนมลิ่งเฟยเอาไว้ ก่อนที่นางจะละสายตาจากหน้าประตูตำหนักแล้วหันไปมองหน้าของซั่วอิงก็พบว่านางกำลังมองมาด้วยสายตาที่ดูเหมือนจะหวาดกลัวปนดีใจ หรือไม่นะ?
“อะไร?เจ้ามองหน้าข้าแบบนั้นทำไม”
“อะไร?เจ้ามองหน้าข้าแบบนั้นทำไม”“พระสนม…”“จะมาโทษข้าไม่ได้นะก็นางมาก่อกวนข้าก่อนนี่นา”“พระสนมเก่งมากเลยเพคะ แต่ท่านก็รู้ว่าฮ่องเต้โปรดปรานสนมลิ่งเฟยมากท่านอาจได้รับโทษก็เป็นได้นะเพคะ”“ข้าไม่กลัว ฆ่าข้าให้ตายไปเสียเลยสิ”“ไม่ได้สิหากข้าต้องโทษจริง ห่วงก็แต่เจ้าก็ต้องมาเดือดร้อนเพราะข้าอีกคน โว้ยยยย! หากไม่ใช่ว่านางมาหาเรื่องข้าก่อนมีหรือที่ข้าจะอารมณ์เสียได้ถึงเพียงนี้กัน”“แต่หากว่าข้าถูกทำโทษจริงเจ้าก็ไม่ต้องห่วงไปหรอก ข้าจะฟาดเจ้าด้วยไม้ท่อนนี้ให้พวกเขาเข้าใจว่าข้าสติไม่ดีทำร้ายคนไปทั่ว ตัวเจ้าเองก็จะรอดจากการถูกลงโทษในครั้งนี้แล้ว”“พระสนม!”“พอแล้วเลิกเรียกข้าเสียที เจ้าก็ดูต้นทางไปเผื่อมีทหารมาจะได้เริ่มแผนการเมื่อครู่ได้ทัน”“โธ่พระสนมหากว่าท่านถูกลงโทษข้าก็ยินดีรับโทษไปพร้อมท่านนะเพคะ พวกเราพูดความจริงทำไมต้องกลัวก็พระสนมลิ่งเฟยชอบมาข่มขู่ท่านทั้งยังใช้งานท่าน ทั้งๆที่ท่านเองก็มีตำแหน่งเทียบเท่ากับนางเพียงแค่ไม่ได้รับการโปรดปรานจากฝ่าบาทเหมือนกับนางก็เท่านั้นเอง”“ช่างเถอะข้าไม่สนใจหรอก ตอนนี้ที่ข้าสนใจคือข้าจะหาเงินจากที่ไหนมาไถ่ตัวเองออกจากวังแห่งนี้ได้เร็วๆกัน”‘เฮ้อ ไหน
“คุณหมอคะ คุณหมอ”“มีอะไรเหรอคะ?”“มีเคสผ่าตัดด่วนเข้ามาค่ะ”“เวลานี้เป็นเวรหมอจุนไม่ใช่หรือ?”“ใช่ค่ะแต่ตอนนี้คุณหมอจุนยังมาไม่ถึงโรงพยาบาลเลยค่ะ คุณไข้อาการสาหัสรอไม่ได้แล้วนะคะ”“ได้ งั้นรีบไปกัน”“ค่ะ”นางพยาบาลรีบเดินตามคุณหมอไปอย่างรีบเร่งก่อนจะอธิบายเคสฉุกเฉินนี้ให้เธอฟังคร่าวๆ“เคสนี้เป็นเคสฉุกเฉินคนไข้เป็นทายาทของตระกูลโจวซึ่งเป็นเจ้าของโรงพยาบาลนี้ด้วยค่ะ”“โอเค เตรียมชุดกับเครื่องมือเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”“ค่ะคุณหมอ”จ้าวซูหลินเป็นหมอหญิงที่มีฝีมือผ่าตัดเป็นอันดับหนึ่งของเมืองลั่วหนานแห่งนี้ เธอจำเป็นต้องเข้าผ่าตัดให้ทายาทตระกูลโจวที่โด่งดังที่สุดในประเทศนี้แทนคุณหมอจุนเป็นการฉุกเฉินแม้จะรู้สึกตื่นเต้นมากแต่เธอก็พยายามทำทุกอย่างอย่างระมัดระวังและตั้งใจที่สุดการผ่าตัดใช้เวลายาวนานร่วม12ชั่วโมงในที่สุดการผ่าตัดก็เสร็จสิ้นลงและสำเร็จไปได้ด้วยดี จ้าวซูหลินออกมาจากห้องผ่าตัดด้วยอาการเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง“คุณหมอจ้าว ขอบคุณที่เข้าผ่าตัดแทนผมนะครับ”“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันได้ยินว่าคุณประสบอุบัติเหตุเป็นอะไรมากหรือเปล่าค่ะ”“อ๋อ พอดีว่ามีรถชนกันตรงกลางสะพานน่ะครับรถหลายคันรวมถึงของผมด้ว
“ข้าอาจจะเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ นั่นแหละตอนนี้ข้าก็จำอะไรไม่ได้เลย ไหนเจ้าลองเล่ามาสิว่าข้านั้นคือใครแล้วทำไมถึงต้องมาอยู่ที่นี่”“ท่านคือคุณหนูรองตระกูลจ้าวบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านเสนาบดีจ้าวเพคะ ท่านเข้าวังมาพร้อมกับสหายเพียงคนเดียวของท่านก็คือพระสนมลิ่งเฟยแต่ตอนนั้นพระสนมลิ่งเฟยได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทเพียงผู้เดียวเพราะว่าท่านยอมสละค่ำคืนอันมีค่าให้แก่นาง ตอนนี้ท่านก็เลยต้องมานั่งหงอยเหงาอยู่ตำหนักท้ายวังเพียงลำพังโดยไร้ซึ่งนางกำนัลดูแลจะมีก็เพียงแค่หม่อมฉันคนเดียวเท่านั้นที่อยู่กับท่านจนถึงทุกวันนี้เพคะ”“สหายของข้างั้นหรือ?”“ก็พระสนมลิ่งเฟยคนที่ผลักท่านตกน้ำอย่างไรล่ะเพคะ”“อ้าว!แล้วทำไมนางถึงผลักข้าล่ะ”“คงจะกลัวว่าฝ่าบาทจะได้พบท่านกระมังเพคะ ท่านออกจะงดงามถึงเพียงนี้หากฝ่าบาทได้พบเห็นย่อมได้เป็นที่โปรดปราณของพระองค์เป็นแน่”‘อ่า…โดนสกัดดาวรุ่งว่างั้นเถอะ เฮอะๆ ’“ไม่รับใช้ฝ่าบาทก็ต้องอยู่เดียวดายเช่นนี้หรือ ข้าไม่ต้องทำอะไรหรอกหรือ”“ทำสิเพคะ ท่านต้องปักผ้าส่งไปให้ฮองเฮาในทุกๆ เดือนเลยนะเพคะ ท่านทำได้ดีเชียวล่ะถึงยังได้อยู่ที่ตำหนักแห่งนี้ต่อมีกินมีใช้จนถึงทุกวันนี้โดยไ
“เจ้าเป็นใครเหตุใดถึงออกมาเดินยามค่ำมืดเช่นนี้?”“เอ่อ...คือว่า”“ใต้เท้าของข้าถามพวกเจ้าเหตุใดถึงไม่ตอบ”“ไม่ต้องกลัวข้าไม่บอกใครหรอกว่าพบพวกเจ้าที่นี่เพียงแค่ห่วงว่าพวกเจ้าจะเป็นอันตรายก็เท่านั้น เป็นเพียงผู้หญิงมากันลำพังสองคนไม่กลัวหรืออย่างไร”“แล้วท่านเป็นใครกันเจ้าคะมาทำลับๆ ล่อๆ ตรงรั้วราชวังทำไมกัน”“นี่เจ้า! ใต้เท้าของข้าถามพวกเจ้าอยู่นะเหตุใดเจ้าถึงมาถามพวกข้ากลับกันเล่า”“กงอี้ ถอยไป”“ขอรับใต้เท้า”“ข้าเป็นเพียงขุนนางเล็กๆ ไม่ได้เป็นคนใหญ่คนโตอะไรหรอกก็เพียงแค่แวะมาหาหลานสาวข้าที่เป็นนางกำนัลตรงตำหนักของพระสนมลิ่งเฟยก็เท่านั้นเอง”“อย่างนี้นี่เอง”“แล้วตกลงว่าพวกเจ้า?”“พวกข้าเป็นนางกำนัลตำหนักหนิงเซียงเจ้าค่ะ”“ตำหนักหนิงเซียงงั้นหรือ?”บุรุษหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นรีบหันไปมองใบหน้าของผู้ติดตามของเขาทันที“ข้าว่าข้าก็คุ้นชื่อตำหนักแห่งนี้อยู่บ้างขอรับใต้เท้า”“ช่างเถอะ ว่าแต่พวกเจ้าสองคนจะไปไหนกันถึงได้ออกมาเดินค่ำๆ มืดๆ เช่นนี้ เจ้านายของพวกเจ้าอนุญาตให้ออกมาเช่นนั้นหรือ”“ก็ที่ทำลับๆ ล่อๆ ก็เพราะว่าแอบออกมานี่ล่ะเจ้าค่ะ”“ฮ่าฮ่าฮ่า นั่นสินะข้าก็คิดเอาไว้แล้วเชียว แล้วพวกเ
เมื่อปล่อยโคมไฟกันเรียบร้อยแล้วจ้าวซูหลินก็พาคนอื่นๆ เดินเที่ยวทั่วทั้งงานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ระหว่างทางก็หยุดแวะซื้อของกินเล่นไปพลางๆ จนซั่วอิงต้องคอยห้ามอยู่บ่อยครั้ง“กินของกินเล่นมาตลอดทางเจ้าอิ่มแล้วหรือไม่”“ยังเจ้าค่ะ ข้าก็ยังรู้สึกหิวอยู่ดี”ใต้เท้าโจวทองใบหน้าที่ทะเล้นของนางก่อนจะหลุดขำทันที“เอาเถอะมื้อนี้ข้าเลี้ยงพวกเจ้าเอง แวะโรงเตี๊ยมข้างหน้านี้กันเถอะ”จ้าวซูหลินหันมองไปตามฝ่ามือที่ผายออกไปทันที ปรากฎให้เห็นเป็นโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงแห่งนี้ หน้าโรงเตี๊ยมมีแม่น้ำไหลตัดผ่านมีเรือโดยสารแล่นผ่านไปทีละลำ บริเวณประตูหน้าประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงดูสวยงามยิ่งนัก ป้ายหน้าโรงเตี๊ยมเขียนชื่อไว้เพียงสามคำว่า ‘ฟู่อันหลง’“มันจะดูหรูหราเกินไปหรือไม่เจ้าค่ะใต้เท้า ข้าออกมาไม่ได้เอาเงินมาเยอะเสียด้วยสิ”“ก็บอกแล้วว่าข้าจะเลี้ยงพวกเจ้าเอง มาเถอะน่าอย่ากังวลไปเลย”“เช่นนั้นมื้อนี้ข้าคงต้องฝากท้องกับท่านแล้วนะเจ้าค่ะ”“ด้วยความยินดีขอรับ”น่าแปลกที่อาหารมื้อนี้พวกเขารู้สึกว่าเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เมื่อกินอาหารกันเสร็จก็เดินย่อยกันสักพักจนมาสุดท
“อะไร?เจ้ามองหน้าข้าแบบนั้นทำไม”“พระสนม…”“จะมาโทษข้าไม่ได้นะก็นางมาก่อกวนข้าก่อนนี่นา”“พระสนมเก่งมากเลยเพคะ แต่ท่านก็รู้ว่าฮ่องเต้โปรดปรานสนมลิ่งเฟยมากท่านอาจได้รับโทษก็เป็นได้นะเพคะ”“ข้าไม่กลัว ฆ่าข้าให้ตายไปเสียเลยสิ”“ไม่ได้สิหากข้าต้องโทษจริง ห่วงก็แต่เจ้าก็ต้องมาเดือดร้อนเพราะข้าอีกคน โว้ยยยย! หากไม่ใช่ว่านางมาหาเรื่องข้าก่อนมีหรือที่ข้าจะอารมณ์เสียได้ถึงเพียงนี้กัน”“แต่หากว่าข้าถูกทำโทษจริงเจ้าก็ไม่ต้องห่วงไปหรอก ข้าจะฟาดเจ้าด้วยไม้ท่อนนี้ให้พวกเขาเข้าใจว่าข้าสติไม่ดีทำร้ายคนไปทั่ว ตัวเจ้าเองก็จะรอดจากการถูกลงโทษในครั้งนี้แล้ว”“พระสนม!”“พอแล้วเลิกเรียกข้าเสียที เจ้าก็ดูต้นทางไปเผื่อมีทหารมาจะได้เริ่มแผนการเมื่อครู่ได้ทัน”“โธ่พระสนมหากว่าท่านถูกลงโทษข้าก็ยินดีรับโทษไปพร้อมท่านนะเพคะ พวกเราพูดความจริงทำไมต้องกลัวก็พระสนมลิ่งเฟยชอบมาข่มขู่ท่านทั้งยังใช้งานท่าน ทั้งๆที่ท่านเองก็มีตำแหน่งเทียบเท่ากับนางเพียงแค่ไม่ได้รับการโปรดปรานจากฝ่าบาทเหมือนกับนางก็เท่านั้นเอง”“ช่างเถอะข้าไม่สนใจหรอก ตอนนี้ที่ข้าสนใจคือข้าจะหาเงินจากที่ไหนมาไถ่ตัวเองออกจากวังแห่งนี้ได้เร็วๆกัน”‘เฮ้อ ไหน
จ้าวซูหลินไม่ได้ออกจากตำหนักหนิงเซียงมาเป็นเวลามากกว่าห้าวันแล้วจนนางรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนักนางเอาแต่นอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ยาวหน้าตำหนักหนิงเซียงมาตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ดวงตาหงส์งามล้ำจับจ้องไปที่มวลไม้ดอกไม้ประดับที่เจ้าของร่างเดิมลงทุนปลูกด้วยตัวเองเต็มตำหนักไปหมดนางคงจะมีความเหมือนกับเจ้าของร่างเดิมอยู่แค่เพียงชื่นชอบการปลูกไม้สวนไม้ประดับเท่านั้น นอกจากความสามารถนี้แล้วนางก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้เหมือนเจ้าของร่างเดิมนี้ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเย็บปักถักร้อย เขียนกลอน ร่ายรำทำเพลง แต่ก็มีอยู่อย่างหนึ่งที่นางถนัดนั่นก็คือวิชาแพทย์‘หากจะเปิดโรงหมอก็ต้องใช้ทุนเยอะสินะ’ “เฮ้อ…”ทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้ก็ร่วมหลายวันมาแล้วแต่เหตุใดถึงได้ไม่มีความทรงจำของนางหลงเหลืออยู่เลยล่ะ ไม่รู้จักตัวตนของนางเลยแม้เพียงนิดแบบนี้ข้าก็อึดอัดแย่เลยสิ“เฮ้อ….”ในนิยายที่เคยอ่านๆผ่านมาไฉนเลยนางเอกคนอื่นๆถึงได้มีมิติวิเศษติดตัวไปด้วยเล่า แล้วเพราะเหตุใดกันข้าถึงได้มาตัวเปล่า มีก็แต่เพียงมันสมองที่บรรจุเพียงความรู้ทางการแพทย์ติดตัวมาด้วยเท่านั้น จะไปมีประโยชน์อะไรกับในวังหลวงที่สุดแสนจะน่าเบื่อหน่ายแห่งนี้กัน“เฮ
เมื่อปล่อยโคมไฟกันเรียบร้อยแล้วจ้าวซูหลินก็พาคนอื่นๆ เดินเที่ยวทั่วทั้งงานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ระหว่างทางก็หยุดแวะซื้อของกินเล่นไปพลางๆ จนซั่วอิงต้องคอยห้ามอยู่บ่อยครั้ง“กินของกินเล่นมาตลอดทางเจ้าอิ่มแล้วหรือไม่”“ยังเจ้าค่ะ ข้าก็ยังรู้สึกหิวอยู่ดี”ใต้เท้าโจวทองใบหน้าที่ทะเล้นของนางก่อนจะหลุดขำทันที“เอาเถอะมื้อนี้ข้าเลี้ยงพวกเจ้าเอง แวะโรงเตี๊ยมข้างหน้านี้กันเถอะ”จ้าวซูหลินหันมองไปตามฝ่ามือที่ผายออกไปทันที ปรากฎให้เห็นเป็นโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงแห่งนี้ หน้าโรงเตี๊ยมมีแม่น้ำไหลตัดผ่านมีเรือโดยสารแล่นผ่านไปทีละลำ บริเวณประตูหน้าประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงดูสวยงามยิ่งนัก ป้ายหน้าโรงเตี๊ยมเขียนชื่อไว้เพียงสามคำว่า ‘ฟู่อันหลง’“มันจะดูหรูหราเกินไปหรือไม่เจ้าค่ะใต้เท้า ข้าออกมาไม่ได้เอาเงินมาเยอะเสียด้วยสิ”“ก็บอกแล้วว่าข้าจะเลี้ยงพวกเจ้าเอง มาเถอะน่าอย่ากังวลไปเลย”“เช่นนั้นมื้อนี้ข้าคงต้องฝากท้องกับท่านแล้วนะเจ้าค่ะ”“ด้วยความยินดีขอรับ”น่าแปลกที่อาหารมื้อนี้พวกเขารู้สึกว่าเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เมื่อกินอาหารกันเสร็จก็เดินย่อยกันสักพักจนมาสุดท
“เจ้าเป็นใครเหตุใดถึงออกมาเดินยามค่ำมืดเช่นนี้?”“เอ่อ...คือว่า”“ใต้เท้าของข้าถามพวกเจ้าเหตุใดถึงไม่ตอบ”“ไม่ต้องกลัวข้าไม่บอกใครหรอกว่าพบพวกเจ้าที่นี่เพียงแค่ห่วงว่าพวกเจ้าจะเป็นอันตรายก็เท่านั้น เป็นเพียงผู้หญิงมากันลำพังสองคนไม่กลัวหรืออย่างไร”“แล้วท่านเป็นใครกันเจ้าคะมาทำลับๆ ล่อๆ ตรงรั้วราชวังทำไมกัน”“นี่เจ้า! ใต้เท้าของข้าถามพวกเจ้าอยู่นะเหตุใดเจ้าถึงมาถามพวกข้ากลับกันเล่า”“กงอี้ ถอยไป”“ขอรับใต้เท้า”“ข้าเป็นเพียงขุนนางเล็กๆ ไม่ได้เป็นคนใหญ่คนโตอะไรหรอกก็เพียงแค่แวะมาหาหลานสาวข้าที่เป็นนางกำนัลตรงตำหนักของพระสนมลิ่งเฟยก็เท่านั้นเอง”“อย่างนี้นี่เอง”“แล้วตกลงว่าพวกเจ้า?”“พวกข้าเป็นนางกำนัลตำหนักหนิงเซียงเจ้าค่ะ”“ตำหนักหนิงเซียงงั้นหรือ?”บุรุษหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นรีบหันไปมองใบหน้าของผู้ติดตามของเขาทันที“ข้าว่าข้าก็คุ้นชื่อตำหนักแห่งนี้อยู่บ้างขอรับใต้เท้า”“ช่างเถอะ ว่าแต่พวกเจ้าสองคนจะไปไหนกันถึงได้ออกมาเดินค่ำๆ มืดๆ เช่นนี้ เจ้านายของพวกเจ้าอนุญาตให้ออกมาเช่นนั้นหรือ”“ก็ที่ทำลับๆ ล่อๆ ก็เพราะว่าแอบออกมานี่ล่ะเจ้าค่ะ”“ฮ่าฮ่าฮ่า นั่นสินะข้าก็คิดเอาไว้แล้วเชียว แล้วพวกเ
“ข้าอาจจะเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ นั่นแหละตอนนี้ข้าก็จำอะไรไม่ได้เลย ไหนเจ้าลองเล่ามาสิว่าข้านั้นคือใครแล้วทำไมถึงต้องมาอยู่ที่นี่”“ท่านคือคุณหนูรองตระกูลจ้าวบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านเสนาบดีจ้าวเพคะ ท่านเข้าวังมาพร้อมกับสหายเพียงคนเดียวของท่านก็คือพระสนมลิ่งเฟยแต่ตอนนั้นพระสนมลิ่งเฟยได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทเพียงผู้เดียวเพราะว่าท่านยอมสละค่ำคืนอันมีค่าให้แก่นาง ตอนนี้ท่านก็เลยต้องมานั่งหงอยเหงาอยู่ตำหนักท้ายวังเพียงลำพังโดยไร้ซึ่งนางกำนัลดูแลจะมีก็เพียงแค่หม่อมฉันคนเดียวเท่านั้นที่อยู่กับท่านจนถึงทุกวันนี้เพคะ”“สหายของข้างั้นหรือ?”“ก็พระสนมลิ่งเฟยคนที่ผลักท่านตกน้ำอย่างไรล่ะเพคะ”“อ้าว!แล้วทำไมนางถึงผลักข้าล่ะ”“คงจะกลัวว่าฝ่าบาทจะได้พบท่านกระมังเพคะ ท่านออกจะงดงามถึงเพียงนี้หากฝ่าบาทได้พบเห็นย่อมได้เป็นที่โปรดปราณของพระองค์เป็นแน่”‘อ่า…โดนสกัดดาวรุ่งว่างั้นเถอะ เฮอะๆ ’“ไม่รับใช้ฝ่าบาทก็ต้องอยู่เดียวดายเช่นนี้หรือ ข้าไม่ต้องทำอะไรหรอกหรือ”“ทำสิเพคะ ท่านต้องปักผ้าส่งไปให้ฮองเฮาในทุกๆ เดือนเลยนะเพคะ ท่านทำได้ดีเชียวล่ะถึงยังได้อยู่ที่ตำหนักแห่งนี้ต่อมีกินมีใช้จนถึงทุกวันนี้โดยไ
“คุณหมอคะ คุณหมอ”“มีอะไรเหรอคะ?”“มีเคสผ่าตัดด่วนเข้ามาค่ะ”“เวลานี้เป็นเวรหมอจุนไม่ใช่หรือ?”“ใช่ค่ะแต่ตอนนี้คุณหมอจุนยังมาไม่ถึงโรงพยาบาลเลยค่ะ คุณไข้อาการสาหัสรอไม่ได้แล้วนะคะ”“ได้ งั้นรีบไปกัน”“ค่ะ”นางพยาบาลรีบเดินตามคุณหมอไปอย่างรีบเร่งก่อนจะอธิบายเคสฉุกเฉินนี้ให้เธอฟังคร่าวๆ“เคสนี้เป็นเคสฉุกเฉินคนไข้เป็นทายาทของตระกูลโจวซึ่งเป็นเจ้าของโรงพยาบาลนี้ด้วยค่ะ”“โอเค เตรียมชุดกับเครื่องมือเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”“ค่ะคุณหมอ”จ้าวซูหลินเป็นหมอหญิงที่มีฝีมือผ่าตัดเป็นอันดับหนึ่งของเมืองลั่วหนานแห่งนี้ เธอจำเป็นต้องเข้าผ่าตัดให้ทายาทตระกูลโจวที่โด่งดังที่สุดในประเทศนี้แทนคุณหมอจุนเป็นการฉุกเฉินแม้จะรู้สึกตื่นเต้นมากแต่เธอก็พยายามทำทุกอย่างอย่างระมัดระวังและตั้งใจที่สุดการผ่าตัดใช้เวลายาวนานร่วม12ชั่วโมงในที่สุดการผ่าตัดก็เสร็จสิ้นลงและสำเร็จไปได้ด้วยดี จ้าวซูหลินออกมาจากห้องผ่าตัดด้วยอาการเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง“คุณหมอจ้าว ขอบคุณที่เข้าผ่าตัดแทนผมนะครับ”“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันได้ยินว่าคุณประสบอุบัติเหตุเป็นอะไรมากหรือเปล่าค่ะ”“อ๋อ พอดีว่ามีรถชนกันตรงกลางสะพานน่ะครับรถหลายคันรวมถึงของผมด้ว