“ข้าอาจจะเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ นั่นแหละตอนนี้ข้าก็จำอะไรไม่ได้เลย ไหนเจ้าลองเล่ามาสิว่าข้านั้นคือใครแล้วทำไมถึงต้องมาอยู่ที่นี่”
“ท่านคือคุณหนูรองตระกูลจ้าวบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านเสนาบดีจ้าวเพคะ ท่านเข้าวังมาพร้อมกับสหายเพียงคนเดียวของท่านก็คือพระสนมลิ่งเฟยแต่ตอนนั้นพระสนมลิ่งเฟยได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทเพียงผู้เดียวเพราะว่าท่านยอมสละค่ำคืนอันมีค่าให้แก่นาง ตอนนี้ท่านก็เลยต้องมานั่งหงอยเหงาอยู่ตำหนักท้ายวังเพียงลำพังโดยไร้ซึ่งนางกำนัลดูแลจะมีก็เพียงแค่หม่อมฉันคนเดียวเท่านั้นที่อยู่กับท่านจนถึงทุกวันนี้เพคะ”
“สหายของข้างั้นหรือ?”
“ก็พระสนมลิ่งเฟยคนที่ผลักท่านตกน้ำอย่างไรล่ะเพคะ”
“อ้าว!แล้วทำไมนางถึงผลักข้าล่ะ”
“คงจะกลัวว่าฝ่าบาทจะได้พบท่านกระมังเพคะ ท่านออกจะงดงามถึงเพียงนี้หากฝ่าบาทได้พบเห็นย่อมได้เป็นที่โปรดปราณของพระองค์เป็นแน่”
‘อ่า…โดนสกัดดาวรุ่งว่างั้นเถอะ เฮอะๆ ’
“ไม่รับใช้ฝ่าบาทก็ต้องอยู่เดียวดายเช่นนี้หรือ ข้าไม่ต้องทำอะไรหรอกหรือ”
“ทำสิเพคะ ท่านต้องปักผ้าส่งไปให้ฮองเฮาในทุกๆ เดือนเลยนะเพคะ ท่านทำได้ดีเชียวล่ะถึงยังได้อยู่ที่ตำหนักแห่งนี้ต่อมีกินมีใช้จนถึงทุกวันนี้โดยไม่มีคนมากลั่นแกล้งหรือเยาะเย้ยท่าน ก็คงมีแต่…”
“อะไร?”
“มีแต่พระสนมลิ่งเฟยที่ชอบหาเรื่องมากลั่นแกล้งท่านตลอดระยะเวลาสองปีนี้เพคะ แล้วท่านก็ยอมนางอยู่เรื่อย”
ซั่วอิงพูดด้วยความรู้สึกผิดหวังอยู่เต็มทนที่เจ้านายของนางไม่สู้คนเลยสักนิดโดยเฉพาะกับพระสนมลิ่งเฟยผู้ที่เคยเป็นสหายกันมาก่อน
“เอาล่ะๆ หากครั้งหน้านางมาหาเรื่องข้าอีกล่ะก็เจ้าก็คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการนางอย่างไร”
“ว่าแต่เจ้าบอกว่าข้านั้นมีฝีมือเย็บปักถักร้อยจึงมีโอกาสได้อยู่ในวังต่อเช่นนั้นหรือ”
“เพคะ”
“แล้วหากว่าข้าเย็บปักไม่เป็นเสียแล้วล่ะ”
“เช่นนั้นอาจจะโดนลดขั้นเป็นนางกำนัลแล้วล่ะเพคะ”
“แล้วทำไมต้องลดขั้นล่ะในเมื่อไม่ได้รับใช้ฮ่องเต้ก็ควรปลดเป็นสามัญชนไม่ใช่หรือ”
“นั่นก็…สุดแล้วแต่ว่าฮ่องเต้จะตัดสินพระทัยอย่างไรเพคะพวกเราไม่สามารถร้องขอได้”
“โอ้ยอะไรเนี่ย! ข้าอยากจะบ้าตาย”
“พระสนมว่าอะไรนะเพคะ”
“ซั่วอิงมีวิธีไหนที่จะทำให้ข้าออกจากวังแห่งนี้ได้เร็วๆ หรือไม่”
“นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะเพคะพระสนม หากอยากจะออกจากวังจริงๆ ก็คงต้องปรึกษาท่านหัวหน้าขันทีผู้ดูแลนางกำนัลในวังหลวงแห่งนี้แล้วล่ะเพคะ”
“แล้วเขาอยู่ไหนข้าอยากพบเขา”
“พระสนมอยากจะพบเขาไปทำไมกันเพคะ”
“เถอะน่าเจ้าพาข้าไปพบเขาที ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วข้าอยากออกจากวังแห่งนี้”
“แต่ว่าพระสนมคนที่เข้าวังมาแล้วไม่ใช่ว่าจะออกไปได้ง่ายๆ หรอกนะเพคะ”
“ทำไมล่ะ”
“วังหลังแห่งนี้มันไม่ได้สวยงามอย่างที่ใครๆ เฝ้าใฝ่ฝันที่จะเข้ามาที่แห่งนี้หรอกนะเพคะ ยังมีอะไรอีกเยอะที่ท่านไม่รู้และอาจจะไม่มีทางเข้าใจมันด้วย”
‘เข้าตำราคนในอยากออก คนนอกอยากเข้าสินะ’
“แล้วหากว่าท่านกลับไปคนตระกูลจ้าวคงไม่มีทางรับท่านกลับเข้าจวนแน่นอนเพคะ”
“ทำไมล่ะ?”
“บุตรสาวที่ออกเรือนแล้วใครเล่าอยากจะรับกลับยิ่งท่านถูกปลดจากตำแหน่งพระสนมก็คงจะมีแต่คนดูถูกเหยียดหยามท่านอย่างแน่นอนเพคะ”
'อะไรจะซวยซ้ำซวยซ้อนได้ถึงเพียงนี้กันล่ะเนี่ย....'
"ช่างเถอะหากออกจากวังได้ข้าก็จะไปตั้งตัวใหม่ด้วยตัวของข้าเองไม่พึ่งพาใครแน่นอน!”
“ว่าแต่ตั้งแต่ข้าเข้าวังมาข้าพอจะมีเงินเก็บเอาไว้บ้างหรือไม่”
“เงินหรือเพคะ”
“ใช่”
“มีแค่เพียงตำลึงเงินที่เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับพระสนมทุกคนคนละห้าสิบตำลึงเงินในทุกๆ เดือนเพคะ ท่านอยู่ในวังมาสองปีได้แล้วเช่นนั้นตอนนี้น่าจะมีราวๆ พันตำลึงได้แล้วเพคะ”
“พันตำลึงเองหรือ? แล้วสินเดิมของข้าล่ะ”
“ทางบ้านท่านไม่ได้ให้ติดตัวมาเลยเพคะ”
“อะไรกันเนี่ยบุตรสาวออกเรือนไม่ให้สมบัติติดตัวมาเลยได้อย่างไรเป็นพ่อแม่ประสาอะไรกัน”
“ท่านเป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุของใต้เท้าจ้าวนะเพคะ ยังดีที่ท่านผ่านการคัดเลือกเข้าวังไม่เช่นนั้น...”
“ไม่เช่นนั้นอะไรอีก”
“ท่านอาจต้องอยู่อย่างลำบากมากกว่านี้อีกเพคะ”
‘ข้าอยากจะบ้าตาย…ทะลุมิติมาเพื่อท้าทายกับชีวิตอันเส็งเครงเช่นนี้เลยหรือนี่’
“แล้วหากว่าข้าออกจากวังได้จริงๆ ข้าต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการซื้อร้านค้าหรือบ้านสักหลัง”
“ก็ประมาณเกือบหมื่นหรือบางทีอาจจะแสนตำลึงเลยเพคะ”
“แสนตำลึง!!! แล้วข้าจะไปหาเงินจากที่ไหนกันล่ะเนี่ยยย”
‘ได้จากวังหลวงเพียงเดือนละห้าสิบตำลึง ชาติไหนข้าจะปลดปล่อยตัวเองได้กัน!’
ยามซวี (19.00-21.00 น.)
“ซั่วอิงเจ้าดูต้นทางดีๆล่ะ”
“พระสนม แอบออกมาแบบนี้อาจจะโดนจับได้นะเพคะ”
“ช่างมันเถอะน่าข้าไม่สนใจตายเป็นตายสิอยู่แต่ในวังน่าเบื่อจะตายอยู่แล้ว”
“ความจริงแล้วหากพวกเราออกมาได้จริงๆ คงจะดีไม่น้อยเลยแต่ตอนนั้นข้าต้องหาเงินไว้มากๆ ก่อน ออกมาตอนนี้ไม่มีที่ซุกหัวนอนคงจะแย่แน่เลย เจ้ามั่นใจใช่หรือไม่ว่าตำหนักของพวกเราไม่มีใครเข้าออก”
“เพคะ”
“ดี เช่นนั้นแอบออกไปไม่นานน่าจะไม่มีใครรู้หรอกน่า ฮิๆ”
จ้าวซูหลินหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียวแต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงบุรุษคนหนึ่งตะโกนมาทางที่นางยืนซุ่มอยู่
“นั่นใครน่ะ!”
‘หืม? ตายล่ะสิถูกจับได้แล้วหรือนี่’
“เจ้าเป็นใคร มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ ในยามค่ำมืดเช่นนี้”
“เอ่อคือว่า”
“เงยหน้าขึ้นมาให้ข้าดูหน่อยสิ”
“ทำอย่างไรต่อดีเพคะพระสนม” ซั่วอิงกระซิบถามจ้าวซูหลินด้วยเสียงอันเบา
“เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน”
จ้าวซูหลินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตาคนด้านหน้าของตัวเองทีละนิด จนดวงตาของคนทั้งคู่ประสานกัน
‘บุรุษผู้นี้หล่อเหลาใช่เล่นเลยให้ตายสินึกว่าคนโบร่ำโบราณจะน่ากลัวเสียอีก แต่ชายตรงหน้ากลับมีใบหน้าคมคายผิวก็เนียนละเอียด ดูผิวของเขาสิขาวสะอาดหมดจดกว่าข้าแล้วล่ะมั้งเนี่ย’
“เจ้าเป็นใครเหตุใดถึงออกมาเดินยามค่ำมืดเช่นนี้?”
“เจ้าเป็นใครเหตุใดถึงออกมาเดินยามค่ำมืดเช่นนี้?”“เอ่อ...คือว่า”“ใต้เท้าของข้าถามพวกเจ้าเหตุใดถึงไม่ตอบ”“ไม่ต้องกลัวข้าไม่บอกใครหรอกว่าพบพวกเจ้าที่นี่เพียงแค่ห่วงว่าพวกเจ้าจะเป็นอันตรายก็เท่านั้น เป็นเพียงผู้หญิงมากันลำพังสองคนไม่กลัวหรืออย่างไร”“แล้วท่านเป็นใครกันเจ้าคะมาทำลับๆ ล่อๆ ตรงรั้วราชวังทำไมกัน”“นี่เจ้า! ใต้เท้าของข้าถามพวกเจ้าอยู่นะเหตุใดเจ้าถึงมาถามพวกข้ากลับกันเล่า”“กงอี้ ถอยไป”“ขอรับใต้เท้า”“ข้าเป็นเพียงขุนนางเล็กๆ ไม่ได้เป็นคนใหญ่คนโตอะไรหรอกก็เพียงแค่แวะมาหาหลานสาวข้าที่เป็นนางกำนัลตรงตำหนักของพระสนมลิ่งเฟยก็เท่านั้นเอง”“อย่างนี้นี่เอง”“แล้วตกลงว่าพวกเจ้า?”“พวกข้าเป็นนางกำนัลตำหนักหนิงเซียงเจ้าค่ะ”“ตำหนักหนิงเซียงงั้นหรือ?”บุรุษหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นรีบหันไปมองใบหน้าของผู้ติดตามของเขาทันที“ข้าว่าข้าก็คุ้นชื่อตำหนักแห่งนี้อยู่บ้างขอรับใต้เท้า”“ช่างเถอะ ว่าแต่พวกเจ้าสองคนจะไปไหนกันถึงได้ออกมาเดินค่ำๆ มืดๆ เช่นนี้ เจ้านายของพวกเจ้าอนุญาตให้ออกมาเช่นนั้นหรือ”“ก็ที่ทำลับๆ ล่อๆ ก็เพราะว่าแอบออกมานี่ล่ะเจ้าค่ะ”“ฮ่าฮ่าฮ่า นั่นสินะข้าก็คิดเอาไว้แล้วเชียว แล้วพวกเ
เมื่อปล่อยโคมไฟกันเรียบร้อยแล้วจ้าวซูหลินก็พาคนอื่นๆ เดินเที่ยวทั่วทั้งงานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ระหว่างทางก็หยุดแวะซื้อของกินเล่นไปพลางๆ จนซั่วอิงต้องคอยห้ามอยู่บ่อยครั้ง“กินของกินเล่นมาตลอดทางเจ้าอิ่มแล้วหรือไม่”“ยังเจ้าค่ะ ข้าก็ยังรู้สึกหิวอยู่ดี”ใต้เท้าโจวทองใบหน้าที่ทะเล้นของนางก่อนจะหลุดขำทันที“เอาเถอะมื้อนี้ข้าเลี้ยงพวกเจ้าเอง แวะโรงเตี๊ยมข้างหน้านี้กันเถอะ”จ้าวซูหลินหันมองไปตามฝ่ามือที่ผายออกไปทันที ปรากฎให้เห็นเป็นโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงแห่งนี้ หน้าโรงเตี๊ยมมีแม่น้ำไหลตัดผ่านมีเรือโดยสารแล่นผ่านไปทีละลำ บริเวณประตูหน้าประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงดูสวยงามยิ่งนัก ป้ายหน้าโรงเตี๊ยมเขียนชื่อไว้เพียงสามคำว่า ‘ฟู่อันหลง’“มันจะดูหรูหราเกินไปหรือไม่เจ้าค่ะใต้เท้า ข้าออกมาไม่ได้เอาเงินมาเยอะเสียด้วยสิ”“ก็บอกแล้วว่าข้าจะเลี้ยงพวกเจ้าเอง มาเถอะน่าอย่ากังวลไปเลย”“เช่นนั้นมื้อนี้ข้าคงต้องฝากท้องกับท่านแล้วนะเจ้าค่ะ”“ด้วยความยินดีขอรับ”น่าแปลกที่อาหารมื้อนี้พวกเขารู้สึกว่าเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เมื่อกินอาหารกันเสร็จก็เดินย่อยกันสักพักจนมาสุดท
จ้าวซูหลินไม่ได้ออกจากตำหนักหนิงเซียงมาเป็นเวลามากกว่าห้าวันแล้วจนนางรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนักนางเอาแต่นอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ยาวหน้าตำหนักหนิงเซียงมาตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ดวงตาหงส์งามล้ำจับจ้องไปที่มวลไม้ดอกไม้ประดับที่เจ้าของร่างเดิมลงทุนปลูกด้วยตัวเองเต็มตำหนักไปหมดนางคงจะมีความเหมือนกับเจ้าของร่างเดิมอยู่แค่เพียงชื่นชอบการปลูกไม้สวนไม้ประดับเท่านั้น นอกจากความสามารถนี้แล้วนางก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้เหมือนเจ้าของร่างเดิมนี้ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเย็บปักถักร้อย เขียนกลอน ร่ายรำทำเพลง แต่ก็มีอยู่อย่างหนึ่งที่นางถนัดนั่นก็คือวิชาแพทย์‘หากจะเปิดโรงหมอก็ต้องใช้ทุนเยอะสินะ’ “เฮ้อ…”ทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้ก็ร่วมหลายวันมาแล้วแต่เหตุใดถึงได้ไม่มีความทรงจำของนางหลงเหลืออยู่เลยล่ะ ไม่รู้จักตัวตนของนางเลยแม้เพียงนิดแบบนี้ข้าก็อึดอัดแย่เลยสิ“เฮ้อ….”ในนิยายที่เคยอ่านๆผ่านมาไฉนเลยนางเอกคนอื่นๆถึงได้มีมิติวิเศษติดตัวไปด้วยเล่า แล้วเพราะเหตุใดกันข้าถึงได้มาตัวเปล่า มีก็แต่เพียงมันสมองที่บรรจุเพียงความรู้ทางการแพทย์ติดตัวมาด้วยเท่านั้น จะไปมีประโยชน์อะไรกับในวังหลวงที่สุดแสนจะน่าเบื่อหน่ายแห่งนี้กัน“เฮ
“อะไร?เจ้ามองหน้าข้าแบบนั้นทำไม”“พระสนม…”“จะมาโทษข้าไม่ได้นะก็นางมาก่อกวนข้าก่อนนี่นา”“พระสนมเก่งมากเลยเพคะ แต่ท่านก็รู้ว่าฮ่องเต้โปรดปรานสนมลิ่งเฟยมากท่านอาจได้รับโทษก็เป็นได้นะเพคะ”“ข้าไม่กลัว ฆ่าข้าให้ตายไปเสียเลยสิ”“ไม่ได้สิหากข้าต้องโทษจริง ห่วงก็แต่เจ้าก็ต้องมาเดือดร้อนเพราะข้าอีกคน โว้ยยยย! หากไม่ใช่ว่านางมาหาเรื่องข้าก่อนมีหรือที่ข้าจะอารมณ์เสียได้ถึงเพียงนี้กัน”“แต่หากว่าข้าถูกทำโทษจริงเจ้าก็ไม่ต้องห่วงไปหรอก ข้าจะฟาดเจ้าด้วยไม้ท่อนนี้ให้พวกเขาเข้าใจว่าข้าสติไม่ดีทำร้ายคนไปทั่ว ตัวเจ้าเองก็จะรอดจากการถูกลงโทษในครั้งนี้แล้ว”“พระสนม!”“พอแล้วเลิกเรียกข้าเสียที เจ้าก็ดูต้นทางไปเผื่อมีทหารมาจะได้เริ่มแผนการเมื่อครู่ได้ทัน”“โธ่พระสนมหากว่าท่านถูกลงโทษข้าก็ยินดีรับโทษไปพร้อมท่านนะเพคะ พวกเราพูดความจริงทำไมต้องกลัวก็พระสนมลิ่งเฟยชอบมาข่มขู่ท่านทั้งยังใช้งานท่าน ทั้งๆที่ท่านเองก็มีตำแหน่งเทียบเท่ากับนางเพียงแค่ไม่ได้รับการโปรดปรานจากฝ่าบาทเหมือนกับนางก็เท่านั้นเอง”“ช่างเถอะข้าไม่สนใจหรอก ตอนนี้ที่ข้าสนใจคือข้าจะหาเงินจากที่ไหนมาไถ่ตัวเองออกจากวังแห่งนี้ได้เร็วๆกัน”‘เฮ้อ ไหน
“คุณหมอคะ คุณหมอ”“มีอะไรเหรอคะ?”“มีเคสผ่าตัดด่วนเข้ามาค่ะ”“เวลานี้เป็นเวรหมอจุนไม่ใช่หรือ?”“ใช่ค่ะแต่ตอนนี้คุณหมอจุนยังมาไม่ถึงโรงพยาบาลเลยค่ะ คุณไข้อาการสาหัสรอไม่ได้แล้วนะคะ”“ได้ งั้นรีบไปกัน”“ค่ะ”นางพยาบาลรีบเดินตามคุณหมอไปอย่างรีบเร่งก่อนจะอธิบายเคสฉุกเฉินนี้ให้เธอฟังคร่าวๆ“เคสนี้เป็นเคสฉุกเฉินคนไข้เป็นทายาทของตระกูลโจวซึ่งเป็นเจ้าของโรงพยาบาลนี้ด้วยค่ะ”“โอเค เตรียมชุดกับเครื่องมือเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”“ค่ะคุณหมอ”จ้าวซูหลินเป็นหมอหญิงที่มีฝีมือผ่าตัดเป็นอันดับหนึ่งของเมืองลั่วหนานแห่งนี้ เธอจำเป็นต้องเข้าผ่าตัดให้ทายาทตระกูลโจวที่โด่งดังที่สุดในประเทศนี้แทนคุณหมอจุนเป็นการฉุกเฉินแม้จะรู้สึกตื่นเต้นมากแต่เธอก็พยายามทำทุกอย่างอย่างระมัดระวังและตั้งใจที่สุดการผ่าตัดใช้เวลายาวนานร่วม12ชั่วโมงในที่สุดการผ่าตัดก็เสร็จสิ้นลงและสำเร็จไปได้ด้วยดี จ้าวซูหลินออกมาจากห้องผ่าตัดด้วยอาการเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง“คุณหมอจ้าว ขอบคุณที่เข้าผ่าตัดแทนผมนะครับ”“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันได้ยินว่าคุณประสบอุบัติเหตุเป็นอะไรมากหรือเปล่าค่ะ”“อ๋อ พอดีว่ามีรถชนกันตรงกลางสะพานน่ะครับรถหลายคันรวมถึงของผมด้ว
“อะไร?เจ้ามองหน้าข้าแบบนั้นทำไม”“พระสนม…”“จะมาโทษข้าไม่ได้นะก็นางมาก่อกวนข้าก่อนนี่นา”“พระสนมเก่งมากเลยเพคะ แต่ท่านก็รู้ว่าฮ่องเต้โปรดปรานสนมลิ่งเฟยมากท่านอาจได้รับโทษก็เป็นได้นะเพคะ”“ข้าไม่กลัว ฆ่าข้าให้ตายไปเสียเลยสิ”“ไม่ได้สิหากข้าต้องโทษจริง ห่วงก็แต่เจ้าก็ต้องมาเดือดร้อนเพราะข้าอีกคน โว้ยยยย! หากไม่ใช่ว่านางมาหาเรื่องข้าก่อนมีหรือที่ข้าจะอารมณ์เสียได้ถึงเพียงนี้กัน”“แต่หากว่าข้าถูกทำโทษจริงเจ้าก็ไม่ต้องห่วงไปหรอก ข้าจะฟาดเจ้าด้วยไม้ท่อนนี้ให้พวกเขาเข้าใจว่าข้าสติไม่ดีทำร้ายคนไปทั่ว ตัวเจ้าเองก็จะรอดจากการถูกลงโทษในครั้งนี้แล้ว”“พระสนม!”“พอแล้วเลิกเรียกข้าเสียที เจ้าก็ดูต้นทางไปเผื่อมีทหารมาจะได้เริ่มแผนการเมื่อครู่ได้ทัน”“โธ่พระสนมหากว่าท่านถูกลงโทษข้าก็ยินดีรับโทษไปพร้อมท่านนะเพคะ พวกเราพูดความจริงทำไมต้องกลัวก็พระสนมลิ่งเฟยชอบมาข่มขู่ท่านทั้งยังใช้งานท่าน ทั้งๆที่ท่านเองก็มีตำแหน่งเทียบเท่ากับนางเพียงแค่ไม่ได้รับการโปรดปรานจากฝ่าบาทเหมือนกับนางก็เท่านั้นเอง”“ช่างเถอะข้าไม่สนใจหรอก ตอนนี้ที่ข้าสนใจคือข้าจะหาเงินจากที่ไหนมาไถ่ตัวเองออกจากวังแห่งนี้ได้เร็วๆกัน”‘เฮ้อ ไหน
จ้าวซูหลินไม่ได้ออกจากตำหนักหนิงเซียงมาเป็นเวลามากกว่าห้าวันแล้วจนนางรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนักนางเอาแต่นอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ยาวหน้าตำหนักหนิงเซียงมาตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ดวงตาหงส์งามล้ำจับจ้องไปที่มวลไม้ดอกไม้ประดับที่เจ้าของร่างเดิมลงทุนปลูกด้วยตัวเองเต็มตำหนักไปหมดนางคงจะมีความเหมือนกับเจ้าของร่างเดิมอยู่แค่เพียงชื่นชอบการปลูกไม้สวนไม้ประดับเท่านั้น นอกจากความสามารถนี้แล้วนางก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้เหมือนเจ้าของร่างเดิมนี้ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเย็บปักถักร้อย เขียนกลอน ร่ายรำทำเพลง แต่ก็มีอยู่อย่างหนึ่งที่นางถนัดนั่นก็คือวิชาแพทย์‘หากจะเปิดโรงหมอก็ต้องใช้ทุนเยอะสินะ’ “เฮ้อ…”ทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้ก็ร่วมหลายวันมาแล้วแต่เหตุใดถึงได้ไม่มีความทรงจำของนางหลงเหลืออยู่เลยล่ะ ไม่รู้จักตัวตนของนางเลยแม้เพียงนิดแบบนี้ข้าก็อึดอัดแย่เลยสิ“เฮ้อ….”ในนิยายที่เคยอ่านๆผ่านมาไฉนเลยนางเอกคนอื่นๆถึงได้มีมิติวิเศษติดตัวไปด้วยเล่า แล้วเพราะเหตุใดกันข้าถึงได้มาตัวเปล่า มีก็แต่เพียงมันสมองที่บรรจุเพียงความรู้ทางการแพทย์ติดตัวมาด้วยเท่านั้น จะไปมีประโยชน์อะไรกับในวังหลวงที่สุดแสนจะน่าเบื่อหน่ายแห่งนี้กัน“เฮ
เมื่อปล่อยโคมไฟกันเรียบร้อยแล้วจ้าวซูหลินก็พาคนอื่นๆ เดินเที่ยวทั่วทั้งงานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ระหว่างทางก็หยุดแวะซื้อของกินเล่นไปพลางๆ จนซั่วอิงต้องคอยห้ามอยู่บ่อยครั้ง“กินของกินเล่นมาตลอดทางเจ้าอิ่มแล้วหรือไม่”“ยังเจ้าค่ะ ข้าก็ยังรู้สึกหิวอยู่ดี”ใต้เท้าโจวทองใบหน้าที่ทะเล้นของนางก่อนจะหลุดขำทันที“เอาเถอะมื้อนี้ข้าเลี้ยงพวกเจ้าเอง แวะโรงเตี๊ยมข้างหน้านี้กันเถอะ”จ้าวซูหลินหันมองไปตามฝ่ามือที่ผายออกไปทันที ปรากฎให้เห็นเป็นโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงแห่งนี้ หน้าโรงเตี๊ยมมีแม่น้ำไหลตัดผ่านมีเรือโดยสารแล่นผ่านไปทีละลำ บริเวณประตูหน้าประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงดูสวยงามยิ่งนัก ป้ายหน้าโรงเตี๊ยมเขียนชื่อไว้เพียงสามคำว่า ‘ฟู่อันหลง’“มันจะดูหรูหราเกินไปหรือไม่เจ้าค่ะใต้เท้า ข้าออกมาไม่ได้เอาเงินมาเยอะเสียด้วยสิ”“ก็บอกแล้วว่าข้าจะเลี้ยงพวกเจ้าเอง มาเถอะน่าอย่ากังวลไปเลย”“เช่นนั้นมื้อนี้ข้าคงต้องฝากท้องกับท่านแล้วนะเจ้าค่ะ”“ด้วยความยินดีขอรับ”น่าแปลกที่อาหารมื้อนี้พวกเขารู้สึกว่าเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เมื่อกินอาหารกันเสร็จก็เดินย่อยกันสักพักจนมาสุดท
“เจ้าเป็นใครเหตุใดถึงออกมาเดินยามค่ำมืดเช่นนี้?”“เอ่อ...คือว่า”“ใต้เท้าของข้าถามพวกเจ้าเหตุใดถึงไม่ตอบ”“ไม่ต้องกลัวข้าไม่บอกใครหรอกว่าพบพวกเจ้าที่นี่เพียงแค่ห่วงว่าพวกเจ้าจะเป็นอันตรายก็เท่านั้น เป็นเพียงผู้หญิงมากันลำพังสองคนไม่กลัวหรืออย่างไร”“แล้วท่านเป็นใครกันเจ้าคะมาทำลับๆ ล่อๆ ตรงรั้วราชวังทำไมกัน”“นี่เจ้า! ใต้เท้าของข้าถามพวกเจ้าอยู่นะเหตุใดเจ้าถึงมาถามพวกข้ากลับกันเล่า”“กงอี้ ถอยไป”“ขอรับใต้เท้า”“ข้าเป็นเพียงขุนนางเล็กๆ ไม่ได้เป็นคนใหญ่คนโตอะไรหรอกก็เพียงแค่แวะมาหาหลานสาวข้าที่เป็นนางกำนัลตรงตำหนักของพระสนมลิ่งเฟยก็เท่านั้นเอง”“อย่างนี้นี่เอง”“แล้วตกลงว่าพวกเจ้า?”“พวกข้าเป็นนางกำนัลตำหนักหนิงเซียงเจ้าค่ะ”“ตำหนักหนิงเซียงงั้นหรือ?”บุรุษหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นรีบหันไปมองใบหน้าของผู้ติดตามของเขาทันที“ข้าว่าข้าก็คุ้นชื่อตำหนักแห่งนี้อยู่บ้างขอรับใต้เท้า”“ช่างเถอะ ว่าแต่พวกเจ้าสองคนจะไปไหนกันถึงได้ออกมาเดินค่ำๆ มืดๆ เช่นนี้ เจ้านายของพวกเจ้าอนุญาตให้ออกมาเช่นนั้นหรือ”“ก็ที่ทำลับๆ ล่อๆ ก็เพราะว่าแอบออกมานี่ล่ะเจ้าค่ะ”“ฮ่าฮ่าฮ่า นั่นสินะข้าก็คิดเอาไว้แล้วเชียว แล้วพวกเ
“ข้าอาจจะเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ นั่นแหละตอนนี้ข้าก็จำอะไรไม่ได้เลย ไหนเจ้าลองเล่ามาสิว่าข้านั้นคือใครแล้วทำไมถึงต้องมาอยู่ที่นี่”“ท่านคือคุณหนูรองตระกูลจ้าวบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านเสนาบดีจ้าวเพคะ ท่านเข้าวังมาพร้อมกับสหายเพียงคนเดียวของท่านก็คือพระสนมลิ่งเฟยแต่ตอนนั้นพระสนมลิ่งเฟยได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทเพียงผู้เดียวเพราะว่าท่านยอมสละค่ำคืนอันมีค่าให้แก่นาง ตอนนี้ท่านก็เลยต้องมานั่งหงอยเหงาอยู่ตำหนักท้ายวังเพียงลำพังโดยไร้ซึ่งนางกำนัลดูแลจะมีก็เพียงแค่หม่อมฉันคนเดียวเท่านั้นที่อยู่กับท่านจนถึงทุกวันนี้เพคะ”“สหายของข้างั้นหรือ?”“ก็พระสนมลิ่งเฟยคนที่ผลักท่านตกน้ำอย่างไรล่ะเพคะ”“อ้าว!แล้วทำไมนางถึงผลักข้าล่ะ”“คงจะกลัวว่าฝ่าบาทจะได้พบท่านกระมังเพคะ ท่านออกจะงดงามถึงเพียงนี้หากฝ่าบาทได้พบเห็นย่อมได้เป็นที่โปรดปราณของพระองค์เป็นแน่”‘อ่า…โดนสกัดดาวรุ่งว่างั้นเถอะ เฮอะๆ ’“ไม่รับใช้ฝ่าบาทก็ต้องอยู่เดียวดายเช่นนี้หรือ ข้าไม่ต้องทำอะไรหรอกหรือ”“ทำสิเพคะ ท่านต้องปักผ้าส่งไปให้ฮองเฮาในทุกๆ เดือนเลยนะเพคะ ท่านทำได้ดีเชียวล่ะถึงยังได้อยู่ที่ตำหนักแห่งนี้ต่อมีกินมีใช้จนถึงทุกวันนี้โดยไ
“คุณหมอคะ คุณหมอ”“มีอะไรเหรอคะ?”“มีเคสผ่าตัดด่วนเข้ามาค่ะ”“เวลานี้เป็นเวรหมอจุนไม่ใช่หรือ?”“ใช่ค่ะแต่ตอนนี้คุณหมอจุนยังมาไม่ถึงโรงพยาบาลเลยค่ะ คุณไข้อาการสาหัสรอไม่ได้แล้วนะคะ”“ได้ งั้นรีบไปกัน”“ค่ะ”นางพยาบาลรีบเดินตามคุณหมอไปอย่างรีบเร่งก่อนจะอธิบายเคสฉุกเฉินนี้ให้เธอฟังคร่าวๆ“เคสนี้เป็นเคสฉุกเฉินคนไข้เป็นทายาทของตระกูลโจวซึ่งเป็นเจ้าของโรงพยาบาลนี้ด้วยค่ะ”“โอเค เตรียมชุดกับเครื่องมือเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”“ค่ะคุณหมอ”จ้าวซูหลินเป็นหมอหญิงที่มีฝีมือผ่าตัดเป็นอันดับหนึ่งของเมืองลั่วหนานแห่งนี้ เธอจำเป็นต้องเข้าผ่าตัดให้ทายาทตระกูลโจวที่โด่งดังที่สุดในประเทศนี้แทนคุณหมอจุนเป็นการฉุกเฉินแม้จะรู้สึกตื่นเต้นมากแต่เธอก็พยายามทำทุกอย่างอย่างระมัดระวังและตั้งใจที่สุดการผ่าตัดใช้เวลายาวนานร่วม12ชั่วโมงในที่สุดการผ่าตัดก็เสร็จสิ้นลงและสำเร็จไปได้ด้วยดี จ้าวซูหลินออกมาจากห้องผ่าตัดด้วยอาการเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง“คุณหมอจ้าว ขอบคุณที่เข้าผ่าตัดแทนผมนะครับ”“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันได้ยินว่าคุณประสบอุบัติเหตุเป็นอะไรมากหรือเปล่าค่ะ”“อ๋อ พอดีว่ามีรถชนกันตรงกลางสะพานน่ะครับรถหลายคันรวมถึงของผมด้ว