นั่งด่าตัวละครอยู่ดีดี ดันเข้ามาอยู่ในร่างของนางร้ายในนิยายเสียได้ ซ้ำยังตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าสังหารพี่สาวตนเองอีกด้วย รอบด้านมีแต่คนหมายเอาชีวิต มารดามันเถอะ! ใครก็ได้ พาข้าออกจากนิยายเล่มนี้ที!
View Moreแคว้นตงหลาง
เมืองหลวง
"คุณหนูรองเจ้าคะ รีบตื่นเถิดเจ้าค่ะ คุณหนูรอง!"
"จะเอะอะโวยวายไปไยกัน บิดาเจ้าตายหรือจึงมาปลุกข้ายามดึกเช่นนี้"
เสียงของสาวใช้น้อยข้างกายที่เอ่ยร้องเรียกไม่หยุด ทำให้เสิ่นลี่จู คุณหนูรองแห่งจวนตระกูลเสิ่นต้องถูกปลุกให้ตื่นจากนิทราในกลางดึกอย่างไม่สบอารมณ์ นางค่อย ๆ หยัดกายลุกขึ้น ก่อนจะหันมามองสาวใช้นามว่าเมี่ยวเถียนด้วยแววตาที่เย็นเยียบ
"ว่าอย่างไร มีสิ่งใดกัน"
เมี่ยวเถียนมือไม้สั่นระริก เพราะยามนี้อากาศหนาวเย็นทำให้มือของนางสั่นเทาใบหน้าซีดเผือด เสิ่นลี่จูที่เห็นว่าสาวใช้ของตนยังไม่ยอมปริปากก็เริ่มมีโทสะขึ้นมา
"เมี่ยวเถียน เจ้าคิดว่าข้าว่างมากนักหรือ ฮะ นังสารเลวนี่ ให้ข้าตบสั่งสอนเจ้าดีหรือไม่"
เมี่ยวเถียนเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็รีบโขกศีรษะกับพื้นเพื่อขอความเมตตา ก่อนจะรีบเอ่ยกับเจ้านายด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
"คือว่า ตอนนี้คุณหนูใหญ่เสิ่นอ้ายเยว่สิ้นใจตายแล้วเจ้าค่ะ"
"เจ้าว่าอย่างไรนะ"
เสิ่นลี่จูถึงกับชะงักไปชั่วขณะเมื่อได้ฟังวาจาที่เมี่ยวเถียนมารายงาน
"คุณหนูใหญ่เสิ่นอ้ายเยว่ผูกคอตายที่ใต้ต้นดอกเหมยเจ้าค่ะ ซ้ำร้ายท่านหมอที่ถูกส่งตัวมาชันสูตรศพยังพบว่า นางตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนแล้ว แต่ไม่รู้ว่าบิดาของเด็กเป็นใครกันแน่เจ้าค่ะ"
เสิ่นลี่จูกำผ้าห่มแน่น มุมปากค่อย ๆ หยักยิ้มขึ้นมาอย่างสุขใจราวกับสิ่งที่นางต้องการกำลังจะสมปรารถนาในเร็ววัน โดยที่นางไม่ต้องลงแรงเลยแม้แต่น้อย
นางมีนามว่าเสิ่นลี่จู เป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่เสิ่น แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นตงหลาง นางถือกำเนิดมาจากครรภ์ของภรรยาเอก เป็นคุณหนูที่เพียบพร้อมมีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ เรียกได้ว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่ง แต่ว่านางยังมีพี่สาวต่างมารดาผู้หนึ่งนามว่าเสิ่นอ้ายเยว่ เสิ่นอ้ายเยว่เกิดจากอนุที่อยู่ในจวน แม้จะเป็นบุตรสาวคนโต แต่เกิดจากอนุย่อมไม่เทียบเท่านางที่เป็นบุตรสาวซึ่งเกิดจากภรรยาเอกได้ เสิ่นอ้ายเยว่มีนิสัยอ่อนหวาน แม้แต่แรงจะเชือดไก่นางยังไม่มี แต่ทว่าเสิ่นอ้ายเยว่กลับไปถูกตาต้องใจเจิ้งจิ่งเหอ ฮ่องเต้แห่งแคว้นตงหลางเสียได้ เขาหลงรักพี่สาวของนางจนหมดหัวใจ จนไม่แม้แต่จะชายตามองนาง อีกทั้งยังออกคำสั่งให้เสิ่นอ้ายเยว่เข้าวังหลวงไปเป็นฮองเฮา โดยไม่สนกฎระเบียบปฏิบัติใด ๆ ทั้งสิ้น เสิ่นลี่จูรู้สึกอิจฉาตาร้อนแต่ไม่อาจทำสิ่งใดได้
ไม่คาดคิดว่าอยู่ ๆ จะเกิดเรื่องกับเสิ่นอ้ายเยว่เข้าเสียก่อน เมื่อไม่มีเสิ่นอ้ายเยว่แล้ว แน่นอนว่าตำแหน่งฮองเฮาตงหลางต้องตกเป็นของนางแน่นอน
แม้ในใจจะดีใจจนแทบคลั่ง แต่เสิ่นลี่จูกลับมีข้อสงสัยอยู่ในใจหลายประการ
ก่อนหน้านี้เสิ่นอ้ายเยว่เก็บเนื้อเก็บตัวอย่างดีตลอด นางรอวันที่จะได้แต่งกับเจิ้งจิ่งเหอ แต่อยู่ ๆ กลับมาผูกคอตายและยังตั้งครรภ์หนึ่งเดือนอีกด้วย
นางตั้งครรภ์กับเจิ้งจิ่งเหอหรือ
เป็นไปไม่ได้!
เสิ่นลี่จูเดินวนไปวนมาภายในห้อง ก่อนจะหันมาเอ่ยถามเมี่ยวเถียนอีกครา
"นอกจากที่นางแขวนคอตายและตั้งครรภ์แล้ว เจ้ารู้เรื่องใดมาอีก จงบอกข้ามาอย่าให้ตกหล่นแม้เพียงครึ่งประโยค"
เมี่ยวเถียนเงยหน้ามามองเจ้านาย ก่อนจะบอกว่า เสิ่นอ้ายเยว่ทิ้งจดหมายเอาไว้ฉบับหนึ่ง บอกว่านางผิดต่อเจิ้งจิ่งเหอ นางตั้งครรภ์กับบุรุษที่นางรัก เดิมทีนางมีคนรักอยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่กล้าบอกเขาเพราะกลัวเขาจะลงโทษคนตระกูลเสิ่น จึงได้ปกปิดทำดีเอาใจเขาเพื่อความอยู่รอดของตระกูล ยามนี้นางเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา และไม่อยากดึงใครเดือดร้อนไปด้วย จึงขอจบชีวิตของตนเองเสีย
เสิ่นลี่จูที่ได้ฟังก็อดสงสัยไม่น้อย ในจดหมายมีช่องโหว่หลายประการที่น่าสงสัย
เหมือนว่าการตายครั้งนี้ของเสิ่นอ้ายเยว่จะมีเงื่อนงำ
แต่ถึงแม้จะมีเงื่อนงำแล้วมันอย่างไรเล่า ขอเพียงแค่เสิ่นอ้ายเยว่ตายไป นางก็จะได้สมหวังดั่งใจปรารถนาแล้ว
ก็แค่บุตรอนุคนหนึ่ง ตายแล้วก็แล้วไปสิ เกี่ยวอันใดกับนางกัน!
วังหลวง
"ไสหัวออกไปให้หมด หากใครกล้าอยู่ขวางหูขวางตาข้า ข้าจะสังหารมันเก้าชั่วโคตร!"
เสียงเอ่ยอย่างเดือดดาลพร้อมกับเสียงขว้างปาข้าวของทิ้งลงพื้นทำให้นางกำนัลและขันทีในวังหลวงถึงกับเงียบกริบพลางก้มหน้างุด ไม่กล้าเอ่ยวาจาใดออกมาแม้เพียงครึ่งคำ แม้แต่จะหายใจแรง ๆ ก็ยังไม่กล้า เพราะยามนี้นายเหนือหัวของพวกเขากำลังพิโรธหนัก
เจิ้งจิ่งเหอกำจดหมายเอาไว้แน่น ก่อนฉีกมันทิ้งเป็นชิ้น ๆ อย่างไม่ไยดี
นางกล้าโกหกเขา นางกล้าทรยศเขา
เสิ่นอ้ายเยว่ เจ้ามันสตรีใจคด ข้าไม่มีวันให้อภัยคนอย่างเจ้า!
ยิ่ิงคิดก็ยิ่งแค้นเคือง นางมีสิทธิ์อันใดมาหลอกลวงเขา
เรื่องนี้จะต้องมีคนรับผิดชอบ!
เจิ้งจิ่งเหอยกยิ้มเย็นชา แววตาฉายแววอำมหิตอย่างไม่ปิดบัง
"ฟ่านกงกง ไสหัวเข้ามานี่ซิ!"
ฟ่านกงกงที่ได้ยินเสียงเรียกของเจ้านายก็รีบรุดเข้ามาทันที ก่อนจะเอ่ยถามอย่างนอบน้อม
"ฝ่าบาทโปรดรับสั่งมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
"เอาราชโองการของข้าไปส่งที่จวนตระกูลเสิ่น บอกให้พวกเขาส่งเสิ่นลี่จูเข้าวังหลวงมาเป็นนางสนม ในเมื่อนางก็มีใจรักใคร่ในตัวข้า เช่นนั้นก็ให้นางมาชดใช้หนี้แค้นนี้แทนพี่สาวของนาง หากผู้ใดกล้าฝ่าฝืน ประหารทั้งตระกูล!"
ฟ่านกงกงน้อมรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว ขาของเขาสั่นจนแทบจะยืนไม่อยู่แล้ว
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เช้าวันต่อมาก็มีราชโองการไปที่จวนตระกูลฟ่านเรียกตัวเสิ่นลี่จูเข้าวังหลวงเป็นพระสนม เสิ่นลี่จูดีใจจนเนื้อแทบเต้น ได้เข้าวังหลวงเป็นเพียงพระสนมก็ช่างเถิด นางเชื่อว่าด้วยความสามารถของนางไม่ช้าไม่เร็วจะต้องไต่เต้าขึ้นไปถึงตำแหน่งฮองเฮาเป็นแน่
แม่ทัพใหญ่เสิ่นและเสิ่นฮูหยินร้อนใจเป็นอย่างมาก เขาคาดเดาว่าการที่เจิ้งจิ่งเหอเรียกตัวบุตรสาวคนรองเข้าวังหลวงครานี้เพราะต้องคิดจะทำสิ่งใดเป็นแน่ แต่เสิ่นลี่จูกลับไม่ฟังคำเตือนของเขา นางดึงดันจะเข้าวังหลวงให้ได้
หลังจากที่เข้าวังหลวงไปแล้ว ความสุขและอำนาจมากล้นที่เสิ่นลี่จูปรารถนากลับเหมือนฉากฝันเท่านั้น เจิ้งจิ่งเหอไม่เคยทำดีต่อนาง เขาด่าทอนางอย่างไม่ไว้หน้า อีกทั้งยังให้เหล่านางกำนัลรังแกนางตามใจชอบอีกด้วย
เสิ่นลี่จูเสียใจจนล้มป่วย ไม่อาจลุกจากเตียงนอนได้ แต่เจิ้งจิ่งเหอกลับไม่สนใจนางเลยแม้แต่น้อย
ติดตามอ่านต่อในเล่มสอง
"บัดซบจริง ๆ เป็นนางร้ายที่บัดซบจนอยากตบ สมควรแล้วที่ถูกพระเอกรังเกียจ หากฉันเป็นอ้ายเยว่นะ ต่อให้กลายเป็นผีก็จะตามมาหลอกหลอนยัยลี่จูแน่นอน ให้ตายเถอะ ชื่อก็เหมือนฉันอีกด้วย!"
เสิ่นลี่จูสบถออกมาอย่างสุดจะทน ตอนนี้เธอกำลังอ่านนิยายเรื่องสนมคนงามเรามาเล่นกันเถอะ แต่กลับด่านางร้ายไปแล้วตั้งแต่บทแรก
เช้าวันนี้อากาศค่อนข้างเย็นลงไม่น้อยเพราะเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวแล้ว เสิ่นลี่จูเป็นสาวน้อยอายุสิบแปดปี เพิ่งเรียนจบมัธยมปลายและกำลังเตรียมจะสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เธอชอบอ่านนิยายมาก อีกทั้งยังมีนิยายเก็บสะสมเอาไว้หลายเล่มอีกด้วย
"จูจู ลูกอย่าลืมไปซื้อผักให้แม่ด้วยนะ ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตตรงข้ามบ้านเราก็ได้ ที่นั่นไม่ไกลมาก ลูกจะได้ไม่ต้องขึ้นรถประจำทางไปหลายต่อ"
"ค่ะแม่ หนูจะไปเดี๋ยวนี้"
เสิ่นลี่จูเอ่ยตอบรับ แล้วจึงรีบไปซื้อผักที่ซูเปอร์มาร์เก็ตตามที่แม่สั่ง ก่อนจะออกจากบ้านแม่ยังกำชับกับเธออีกว่า
"วันหยุดนี้แม่จะพาลูกไปพบกับลูกชายของเพื่อนแม่ เขาหล่อและเรียนดีมาก ลูกเรียนจบแล้วจะได้แต่งงานกับเขา”
“แม่คะ หนูเพิ่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแม่จะรีบจับคู่ให้หนูไปทำไมกันคะ ไม่พูดกับแม่แล้ว หนูไปก่อนละ จะรีบกลับมาค่ะ"
"จ้า"
เสิ่นลี่จูเอ่ยจบก็ตรงไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตทันที แต่ในระหว่างที่เธอกำลังข้ามถนนกลับมองไม่เห็นรถที่สวนมา เสิ่นลี่จูถูกรถชนเข้าอย่างจังจนเธอหมดสติไป
สายลมฤดูหนาวพัดพาเอาความเย็นยะเยือกเข้ามาปะทะพวงแก้มทั้งสองข้างของเธอจนหนาวสั่น เสิ่นลี่จูรู้สึกว่าเปลือกตาของเธอหนักอึ้งจนแทบลืมไม่ขึ้น ได้ยินเพียงเสียงสะอื้นไห้แผ่วเบาอยู่ที่ข้างหู
"พระสนมเพคะ ฮือ พระสนม บ่าวจะไปตามหมอหลวงมาดูอาการของพระองค์"
พระสนมอย่างนั้นหรือ!
ให้ตายเถอะ นี่เธออ่านนิยายจนฝังลึกในหัวสมองไปแล้วเหรอเนี่ย
เสิ่นลี่จูนึกขบขันตนเอง ก่อนที่เธอจะนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เธอถูกรถชน ตอนนี้คงจะกำลังนอนอยู่ในโรงพยาบาล โชคดีที่ไม่ตาย
เธอพยายามลืมเปลือกตาที่หนักอึ้ง เมื่อสายตาสามารถมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนแล้ว เสิ่นลี่จูก็ถึงกับขมวดคิ้วมุ่น
นี่มัน!
"ฟื้นได้แล้วหรือ คนอย่างเจ้านี่มันตายยากเสียจริง ไม่ตายก็ดี เช่นนั้นเรามาเล่นสนุกกันเถอะ ข้า! เจิ้งจิ่งเหอคนนี้จะทรมานเจ้าจนสาแก่ใจเลย"
เสิ่นลี่จูตัวแข็งทื่อ นางหันขวับไปมอง ก่อนจะพบกับบุรุษที่มีใบหน้าหล่อเหลาเจ้าเล่ห์คนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล สายตาที่เขามองนางฉายแววเจ้าเล่ห์เย็นชาอย่างไม่ปิดบัง
เขาบอกว่าตนเองชื่ออะไรนะ
เจิ้งจิ่งเหออย่างนั้นหรือ
ทำไมชื่อเขามันถึงเหมือนกับพระเอกในนิยายที่นางอ่านจังเลยล่ะ!
ยามนี้ทหารกบฏตายหมดสิ้นแล้ว อู๋อ๋องถูกตัดศีรษะ แต่ทว่าเจิ้งจิ่งเหอกลับหาตัวของเจิ้งมู่หยางไม่พบเวลาเดียวกันนั้น เสิ่นฮูหยินก็มาแจ้งว่า เสิ่นลี่จูหายตัวไปตั้งแต่กลางดึกแล้ว นางส่งคนออกตามหาแต่กลับไม่พบตัวคนเจิ้งจิ่งเหอและกู้อวิ๋นหานตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เขาสั่งคนออกตามหาเสิ่นลี่จูแต่กลับไร้วี่แวว เจิ้งจิ่งเหอคิดว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวพันกับเจิ้งมู่หยางเป็นแน่เมื่อหาเสิ่นลี่จูไม่พบ เจิ้งจิ่งเหอก็ไม่เป็นอันทำสิ่งใด เขาเหมือนคนคลุ้มคลั่ง ในขณะที่กำลังสิ้นหวังเต็มที เขาก็เหลือบไปเห็นว่าบนโต๊ะมีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ บนกระดาษมีข้อความเขียนเอาไว้คนรักของเจ้าอยู่ที่ป่าไผ่รกทึบ ห่างจากจวนตระกูลเฉิงไปไม่ไกล ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีร่องรอยของการขุดฝัง รีบไปก่อนจะไม่ทันการณ์เจิ้งจิ่งเหอกำจดหมายนั้นเอาไว้แน่น เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งมา แต่ยามนี้ทางใดที่เหมือนแสงสว่างเขายินดีทำทั้งหมด กู้อวิ๋นหานเมื่อได้ทราบข่าวจากเจิ้งจิ่งเหอก็รีบไปช่วยตามหา แม่ทัพใหญ่เสิ่นนั้นก็เร่งตามไปเช่นเดียวกันชายหนุ่มทั้งสองมายังจุดที่จดหมายปริศนาบอกเอาไว้ เขาตรงไปที่ต้นไม้ใหญ่และพบร่องรอยการขุดดินจริง ๆเจิ้งจิ่งเหอรีบใช้
หลายสิบวันต่อมา ในที่สุดเจิ้งจิ่งเหอก็เดินทางมาถึงชายแดนเมืองหวายเยียนพร้อมกับกู้อวิ๋นหาน ครั้งนี้เขานำกำลังทหารมาไม่น้อยเลย แม่ทัพใหญ่โต้วรีบออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ครั้งนี้บิดาของเสิ่นลี่จูก็ออกมารับเสด็จเช่นเดียวกัน เจิ้งจิ่งเหอยังไม่ทันได้พบกับเสิ่นลี่จูก็รีบเร่งรุดไปที่ชายแดนเสียก่อน เขาจัดกำลังทหารใหม่ ได้พักเพียงวันเดียวก็ต้องออกรบทำศึกเสียแล้วเสิ่นลี่จูอยู่ที่จวนตระกูลเฉิง นางทำอาหารหลายอย่างและให้เจิ้งจิ่งเหอ กู้อวิ๋นหาน และคนอื่น ๆ ได้กินรองท้อง ตั้งแต่เขาเดินทางมาที่นี่ยังไม่ได้พบกับนางเลย แต่เสิ่นลี่จูกลับไม่ได้รู้สึกน้อยใจ นางรู้ดีว่าเขากำลังมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการมากกว่าเรื่องของนางเจิ้งจิ่งเหอออกรบอยู่ที่นอกกำแพงเมือง เมื่อเขามาถึงก็ทำให้ได้ทราบว่า แท้จริงแล้วกุนซือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการก่อสงครามครั้งนี้ก็คือเจิ้งมู่หยางเจิ้งมู่หยางยังไม่ตาย ศพที่พบก่อนหน้าคือคนทีี่ปลอมตัวเป็นเจิ้งมู่หยางโดยใช้หน้ากากหนังมนุษย์เพื่อหลอกให้เขาตายใจเจิ้งมู่หยางนำกำลังทหารของตนไปผนวกร่วมเข้ากับแคว้นอู๋ และร่วมมือกันก่อกบฏ โดยใช้อู๋อ๋องเป็นคนนำทัพ ส่วนตนเองนั้นคอยบงการอยู่เบื้องหลัง
หลายวันต่อมา เสิ่นฮูหยินก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง ซึ่งส่งมาจากเมืองหวายเยียน บอกว่าน้องชายของนางเกิดล้มป่วยกะทันหัน คาดว่าคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน และอยากจะพบหน้านางซึ่งเป็นพี่สาวครั้งสุดท้าย เสิ่นฮูหยินจึงรีบสั่งให้คนเก็บข้าวของเพื่อเดินทางไปเมืองหวายเยียนทันทีเสิ่นฮูหยินมารดาของเสิ่นลี่จูเป็นสตรีที่มีถิ่นฐานเดิมมาจากเมืองหวายเยียน ยามนั้นแม่ทัพใหญ่เสิ่นไปออกรบ คนทั้งสองได้พบรักกัน มารดาของนางเป็นบุตรสาวของคหบดีที่ร่ำรวยผู้หนึ่งในเมืองหวายเยียน อีกทั้งยังมีกิจการอยู่ที่เมืองหลวงไม่น้อย เมื่อแต่งกับแม่ทัพใหญ่เสิ่นจึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวง ร้านรวงที่อยู่ในเมืองหลวง ทางครอบครัวได้มอบให้เป็นสินเดิมของนางทั้งหมดแม่ทัพใหญ่เสิ่นที่ได้ทราบข่าวก็ตั้งใจว่าจะเดินทางไปกับภรรยาด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเขาไม่มีสิ่งใดต้องรับผิดชอบอีกแล้ว เสิ่นลี่จูก็ต้องร่วมเดินทางไปด้วยเช่นเดียวกัน เผื่อว่าทางใต้มีทำเลทิศทางทำการค้าได้ดี นางอาจจะเปิดภัตตาคารที่นั่นอีกสาขาหนึ่งเจิ้งจิ่งเหอที่ได้ทราบข่าวเดิมทีเขาไม่อยากให้นางไป ตอนนี้ทางทิศใต้สงครามยังไม่สงบ รองแม่ทัพโต้วซึ่งยามนี้กลายเป็นแม่ทัพใหญ่โต้วคนใหม่ ได้ไปปราบ
เอ่ยจบเขาก็กึ่งเดินกึ่งลากตัวนางออกมาจากเรือน เสิ่นลี่จูรีบรั้งตนเองเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย"ฝ่าบาท เหตุใดจึงทรงทำเช่นนี้เล่าเพคะ"เจิ้งจิ่งเหอหันมาจ้องสตรีตรงหน้าเขม็ง"ทำไม หรือว่าเจ้าอยากแต่งกับเขา เสิ่นลี่จู ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้ตรงนี้เลยนะ ข้าไม่มีวันให้เจ้าได้สมใจ""เพราะเหตุใด เราต่างไม่มีเรื่องติดค้างใจต่อกันแล้ว พระองค์ไม่มีสิทธิ์มาทำเช่นนี้ตามใจชอบ""เพราะว่าข้าชอบเจ้าได้ยินหรือไม่!""ฮะ!"เสิ่นลี่จูถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออก นางรู้สึกว่าตนเองกำลังหูฝาดไป จึงเอ่ยถามเขาย้ำอีกหน"ฝ่าบาททรงเอ่ยว่าอย่างไรนะเพคะ"เจิ้งจิ่งเหอถอนหายใจออกมา เขาเม้มริมฝีปากแน่น เสิ่นลี่จูนางหูหนวกหรือว่าหูตึงจึงไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาบอก เมื่อคิดได้เช่นนั้นชายหนุ่มจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะตะโกนจนลั่นจวน"ข้าชอบเจ้า สตรีหน้าโง่ เจ้าได้ยินหรือไม่ว่าข้าชอบเจ้า!"เสียงของเขาดังมาก ดังเสียจนทำให้บ่าวที่กวาดลานถึงกับทำไม้กวาดหล่นจากมือ สาวใช้ที่กำลังเช็ดจวนถึงกับทำผ้าหล่นลงพื้น แม่ทัพใหญ่เสิ่นหันไปมองฮูหยินของตนคราหนึ่งเมื่อได้ยินชัด ๆ แล้ว เสิ่นลี่จูก็ยิ้มออกมาในทันที นางไม่เคยคิดเลยว่ารักครั้งแรกของนางจะต้องมาเจ
เมื่อกลับมาอยู่ที่จวนแล้ว เสิ่นลี่จูก็เริ่มหมักสุราตามสูตรของนาง นางฝังสุราหลายไหเอาไว้ใต้ต้นไม้ สุราแต่ละชนิดล้วนมีเวลาการหมักบ่มของมัน เสิ่นลี่จูเองก็ไม่รีบร้อน อีกทั้งนางยังสั่งให้บ่าวไพร่ปลูกผักในจวนเอาไว้ขาย ไม่นานมานี้นางยังไปปรับปรุงภัตตาคารในเมืองหลวงซึ่งเป็นสินเดิมของมารดาเพื่อทำการค้าใหม่ ฝีมือการทำอาหารของเสิ่นลี่จูนับว่ายอดเยี่ยม ประจวบเหมาะกับนางนำความรู้จากยุคปัจจุบันมาประยุกต์ใช้ จึงทำให้อาหารที่ภัตตาคารของนางไม่เหมือนกับที่ใดที่ชวนให้ผู้คนสนใจมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นการสุ่มอาหาร ลูกค้าที่เข้ามาจะสามารถเลือกการจับฉลากสุ่มอาหารได้ เพียงจ่ายในราคาหนึ่งตำลึงสำหรับการสุ่มอาหารชุดใหญ่ ราคาสิบอีแปะสำหรับการสุ่มอาหารชุดกลาง และราคาสามอีแปะสำหรับการสุ่มอาหารชุดเล็ก พวกเขาจะไม่รู้เลยว่าอาหารชุดใหญ่นั้นจะมีอะไรบ้าง บางครายังได้สุราชั้นดีแถมกลับบ้านอีกด้วย เรื่องนี้สร้างความสนุกสนานแก่ผู้คนในเมืองหลวงไม่น้อยส่วนอาหารที่ขึ้นชื่ออีกอย่างก็คือ สลัดผัก เพราะในยุคโบราณมีวัตถุดิบไม่มาก นางจึงใช้น้ำมันงามาทำน้ำสลัดอย่างง่าย ๆ แต่รสชาติกลมกล่อมเป็นอย่างมาก สตรีในเมืองหลวงหลายคนที่ต้องการล
กว่าจะเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงก็เป็นเวลาเย็นย่ำมากแล้ว เมื่อกลับมาถึงตำหนักเสิ่นลี่จูก็รีบผลัดเปลี่ยนอาภรณ์และมากินมื้อเย็น หลังจากกินอิ่มแล้ว นางจึงไปเยี่ยมกู้ไทเฮาและอยู่พูดคุยด้วยกันครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาที่ตำหนักของตนเสิ่นลี่จูก็เดินไปที่โต๊ะตำรา ก่อนจะเปิดตำราเล่มหนึ่ง ด้านในนั้นมีหนังสือสัญญาที่เขาและนางลงลายมือประทับเอาไว้ร่วมกัน ไม่รู้เพราะเหตุใดยามที่คิดว่าถึงเวลาจะต้องแยกทางกันแล้ว นางจึงรู้สึกเศร้าใจถึงเพียงนี้ไม่รู้ว่านางเกิดความรู้สึกผูกพันกับเจิ้งจิ่งเหอยามใด เดิมทีเขาและนางเปรียบเหมือนกับเส้นขนานที่ไม่อาจจะมาบรรจบกันได้ เขาไม่เคยรักนาง ส่วนนางก็ต้องกลับไปยังที่ที่ตนเองจากมา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการไม่สานความสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกันนับว่าเป็นเรื่องดีเมื่อนึกเรื่องที่ต้องกลับไปยังโลกอนาคต เสิ่นลี่จูก็พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เรื่องของเสิ่นอ้ายเยว่ก็ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ว่าเหตุใดนางจึงกลับไปไม่ได้เล่าหญิงสาวมองไปโดยรอบ ก่อนจะพบเข้ากับเทพธิดาจิ้งจกที่เกาะอยู่ตรงประตู"เทพธิดาจิ้งจก ข้าไขคดีการตายของเสิ้นอ้ายเยว่ได้แล้ว เหตุใดจึงยังไม่สามารถกลับไปได้อีกเล่า"เทพธิดาจิ้งจกปรา
เมื่อเรื่องราวทุกอย่างคลี่คลายกระจ่างชัด คนร้ายถูกจับได้แล้ว เสิ่นอ้ายเยว่ย่อมได้รับความเป็นธรรม ส่วนอนุซ่งก็ถูกขับไล่ออกจากตระกูล ไม่กี่วันผ่านไปก็มีคนพบนางกลายเป็นศพนอนคว่ำหน้าอยู่ในแม่น้ำที่นอกเมืองหลวงด้านป้ายสุสานของเสิ่นอ้ายเยว่นั้น แม่ทัพใหญ่เสิ่นห้ามไม่ให้ผู้ใดเคลื่อนย้ายออกจากจวนเด็ดขาด แม้จะรู้ว่านางไม่ใช่บุตรแท้ ๆ แต่กลับไม่สนใจ พวกเขายังเห็นนางเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเสิ่นเสมอ เสิ่นอ้ายเยว่ไม่ผิด นางคือเหยื่อที่น่าสงสาร เพราะฉนั้นเกียรติสุดท้ายของนาง พวกเขาจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำลายได้อีกแล้วเมืองหลวงนยามนี้สงบไร้คลื่นลม ก่อนกลับเมืองหลวง เจิ้งจิ่งเหอสั่งคนตามหาตัวเจิ้งมู่หยาง ก่อนจะพบว่าเขากลายเป็นศพไปเสียแล้ว สภาพศพเหมือนกับตายมาหลายวัน ถูกสัตว์กัดแทะไปตามร่างกาย แต่ใบหน้ายังไม่ได้ถูกทำลายทั้งหมด เจิ้งจิ่งเหอจำได้ว่านี่คือเจิ้งมู่หยางไม่ผิดแน่อากาศฤดูร้อนผันผ่านล่วงเข้าสู่ช่วงสารทฤดู อากาศเริ่มร้อนน้อยลง กลางคืนเย็นสบาย เช้านี้เสิ่นลี่จูสั่งให้เมี่ยวเถียนและอาหลวนทำอาหารมากหน่อย นางจะนำไปไหว้หลุมศพของเสิ่นอ้ายเยว่ด้วยตนเองสุสานตระกูลเสิ่นอยู่ห่างจากนอกเมืองหลวงไปไม่ไกล เพรา
เจิ้งหมี่ตัวแข็งทื่อทำสิ่งใดไม่ถูกไปชั่วขณะ มือไม้ของนางสั่นเทา หญิงสาวมองบุรุษตรงหน้าที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายด้วยแววตาที่ตื่นตระหนกยามนี้ร่างกายของเสิ่นลี่จูไม่ไหวแล้ว นางได้รับบาดเจ็บสาหัส โลหิตสีแดงฉานอาบย้อมอาภรณ์ของนางจนเปียกชุ่ม เจิ้งจิ่งเหอใจหล่นวูบ ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าต่อให้สตรีนางนี้จะเป็นหรือตายล้วนไม่เกี่ยวกับเขา แต่เมื่อได้เห็นว่านางตกอยู่ในสภาพนี้ใจของเขากลับหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนที่ผ่านมาเขาเข้าใจนางผิดมาโดยตลอด แท้จริงแล้วฆาตกรกลับอยู่ข้างกายเขาทุกวัน ซ้ำยังเป็นคนที่เขารักและเชื่อใจมาโดยตลอดก่อนหน้านี้องครักษ์ลับของเขามาแจ้งว่าด้านเจิ้งมู่หยางเหมือนจะมีความเคลื่อนไหว เขาจึงรีบไปเฝ้าจับตาดูคนอยู่เป็นนานสองนาน แต่กลับไม่พบสิ่งใด จนกระทั่งเริ่มรู้สึกว่ามันผิดสังเกต จึงกลับกลับมาที่ตำหนักฤดูร้อน ก่อนจะพบกับอาหลวนนางกำนัลที่เขาส่งให้ไปรับใช้เสิ่นลี่จู อาหลวนบอกเขาอย่างร้อนใจว่าเจ้านายของตนหายตัวไป เขาจึงรีบตามหาจนกระทั่งมาพบนางในสภาพนี้"อวิ๋นหาน ให้คนส่งนางกลับตำหนักฤดูร้อน แล้วเร่งตามหมอมาโดยด่วน"เจิ้งจิ่งเหอเอ่ยจบก็ส่งสัญญาณให้เหล่าองครักษ์เงาออกมารับมือกั
เสิ่นลี่จูถูกคนปริศนาจับตัวพาดบ่าและออกวิ่งไปตามทางอย่างรวดเร็ว นางรู้สึกเวียนหัวเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังไม่อาจแยกแยะทิศทางได้อีกด้วยไม่นานนักพวกมันก็หยุดฝีเท้าลง ก่อนจะโยนตัวนางลงไปบนแคร่แข็ง ๆ จนนางร้องโอดครวญ จากนั้นพวกมันจึงจัดการเอากระสอบผ้าป่านที่คลุมศีรษะของนางออก เมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้า เสิ่นลี่จูก็ถึงกับขมวดคิ้วมุ่นคนที่อยู่ตรงหน้านางคือเจิ้งหมี่!"องค์หญิง"แม้จะตกตะลึงไปบ้าง แต่เสิ่นลี่จูกลับไม่มีความแปลกใจเท่าใดนัก เดิมทีนางก็สงสัยเจิ้งหมี่อยู่นานแล้ว เพียงแต่นางยังหาเหตุผลมาประกอบความสงสัยในใจของตนเองไม่ได้ หากเจิ้งหมี่เป็นคนลงมือจริง ๆ นางมีแรงจูงใจใดในการสังหารเสิ่นอ้ายเยว่กันแน่เจิ้งหมี่มองหน้าเสิ่นลี่จูด้วยแววตาเย็นชา ก่อนจะสั่งให้คนแก้ผ้ามัดปากนางออก ตอนนี้คนของนางทำงานไม่ได้เรื่อง จำเป็นต้องยืมคนของเจิ้งมู่หยางมาใช้งานก่อน คืนนี้หลังจากจัดการเสิ่นลี่จูได้แล้ว นางก็จะสังหารคนของเจิ้งมู่หยางให้หมด จากนั้นก็หาทางวางยาสังหารเขาเสีย ต่อไปนี้ก็จะไม่มีใครมาคอยบังคับหรือบงการให้นางทำตามใจชอบได้อีก"องค์หญิง จับตัวข้ามาทำไมกัน”ประโยคแรกที่เสิ่นลี่จูเอ่ยถามเจิ้งหมี่ก็คือ
Comments