เวลาล่วงเลยมาจนถึงช่วงยามเย็น เพราะยามนี้เป็นช่วงที่สองของฤดูหนาวอากาศจึงเย็นลงเป็นอย่างมาก ในตำหนักของเสิ่นลี่จูแม้จะปิดหน้าต่างทุกบานจนสนิทแล้ว แต่ความหนาวเย็นกลับไม่ได้บรรเทาเบาบางลงเลยแม้แต่น้อย เมี่ยวเถียนเทชาร้อนใส่ถ้วยส่งให้เจ้านายของตน ชาป้านนี้เป็นเพียงชาธรรมดาที่ไม่ได้มีราคาค่างวดอันใด รสชาติจึงไม่ได้หวานละมุนเช่นชาดี ๆ ที่นางเคยดื่มก่อนหน้านี้ แต่เสิ่นลี่จูไม่ได้สนใจเท่าไรนัก ขอเพียงมีที่ให้นอน มีน้ำให้ดื่ม มีอาหารให้กินอิ่มท้อง นางก็พอใจแล้ว สถานการณ์ที่ไม่สู้ดีเช่นนี้ นางไม่อาจเรียกร้องอะไรได้มากนัก สิ่งที่นางจะต้องทำตอนนี้ก็คือคิดหาหนทางกลับไปยังโลกอนาคตที่นางจากมา
แต่เสิ่นลี่จูคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก นางจึงเลิกคิดเสียและเก็บแรงเอาไว้ก่อน รอให้สมองเข้าที่เข้าทางมากกว่านี้แล้วค่อยคิดหาหนทาง
บรรยากาศยิ่งดึกก็ยิ่งหนาวเย็น เสิ่นลี่จูมองไปที่เทียนไขซึ่งถูกจุดให้ความสว่างคราหนึ่ง เมี่ยวเถียนสาวใช้ของนางยามนี้อยู่เฝ้าที่หน้าประตู เสิ่นลี่จูรู้สึกไม่คุ้นชินกับที่นี่จึงทำให้ไม่อาจข่มตานอนหลับได้อย่างสบายใจ
"เจ้านอนไม่หลับหรือแม่สาวน้อย"
อยู่ ๆ ก็มีเสียงของสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมา เสิ่นลี่จูลุกพรวดพราดขึ้นมาจากเตียงนอน ก่อนจะหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาต้นตอของเสียง แต่กลับไม่พบใครเลยแม้แต่คนเดียว นางเริ่มหวาดระแวงขึ้นมาเสียแล้ว
"ไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงของข้านอกจากเจ้าหรอก โฮะ ๆ"
"ผู้ใดกัน หรือว่าจะเป็นผี!"
เสิ่นลี่จูอุทานออกมาด้วยความหวาดหวั่น ใบหน้าสวยหวานยามนี้ซีดเผือดไร้สีเลือด เริ่มหายใจถี่กระชั้น
"แม่หนูคนงาม เจ้าเงยหน้าขึ้นมาสิ ข้าอยู่บนเพดานนี่ เงยหน้ามาสิจ๊ะเด็กดี"
เสียงของสตรีนางนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหูของนางไม่หยุด เสิ่นลี่จูหลับตาลง ก่อนจะตัดสินใจเงยหน้าขึ้นไปมองบนเพดาน ภาพที่เห็นทำเอานางถึงกับขมวดคิ้วมุ่น
นั่นมันจิ้งจกนี่!
เสียงที่นางได้ยินเมื่อครู่มาจากเจ้าจิ้งจกตัวนี้หรือ
บ้าไปแล้วน่า!
เสิ่นลี่จูถึงกับขบขันตนเองในใจ ให้ตายเถอะ นางคงประสาทหลอนไปแล้วแน่ ๆ ถึงได้คิดเรื่องบ้าบอเช่นนี้ออกมาได้ จิ้งจกประหลาดที่ไหนกันจะพูดได้
"บังอาจนัก เห็นข้าแล้วยังไม่ทำความเคารพ ข้าคือเทพธิดาจากแดนสวรรค์เชียวนะ แต่เพราะต้องมาชดใช้บาปจึงต้องมาคอยช่วยมนุษย์ตัวเล็ก ๆ เช่นเจ้า ข้าจึงต้องมาอยู่ในร่างจิ้งจกบัดซบตัวนี้!"
เสิ่นลี่จูถึงกับเงยหน้าขึ้นไปมองจิ้งจกตัวนั้นอีกหน ตอนนี้ในใจคลายความหวาดกลัวลงไปได้มากแล้ว แต่เมื่อได้ยินที่เทพธิดาจิ้งจกเอ่ยออกมานางก็ถึงกับย่นหัวคิ้ว
"เป็นถึงเทพธิดาแต่มาอาศัยในร่างของจิ้งจก น่าเวทนาดีนี่ แต่ก็ดีเหมือนกัน ข้าจะได้มีเพื่อนคุยแก้เหงา ไหน ๆ ก็เจอแต่เรื่องแย่ ๆ เจอเรื่องประหลาดอีกมันจะสักเท่าไรกันเชียว"
"สามหาว ข้าแค่มาอยู่ในร่างนี้เพียงชั่วคราวเพื่อคอยช่วยเหลือเจ้าให้สมหวังกับเนื้อคู่ เมื่อเจ้าสมหวังแล้วข้าก็จะไป เหอะ"
เนื้อคู่หรือ นี่มันเรื่องอะไรกัน
เสิ่นลี่จูสับสนมึนงงไปหมดแล้ว
"ที่ท่านบอกว่ามาเพื่อช่วยให้ข้าสมหวังกับเนื้อคู่ เนื้อคู่ของข้าคือใครกัน"
"ก็ฮ่องเต้รูปงามผู้นั้นอย่างไรเล่าคือเนื้อคู่ของเจ้า"
เสิ่นลี่จูถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออก นึกอยากจะเขวี้ยงหมอนใส่เทพธิดาจิ้งจกนั่นสักหนเพื่อระบายอารมณ์ เนื้อคู่มารดามันสิ นางไม่เอาด้วยคนหรอก
"ข้าจะออกจากนิยายเล่มนี้ได้อย่างไร"
เสิ่นลี่จูไม่สนใจเรื่องเนื้อคู่เนื้องอกอะไรนั่น นางกลับเปลี่ยนเรื่องมาถามว่าจะออกจากนิยายได้อย่างไรแทน เทพธิดาจิ้งจกกลอกตาไปมาพลางส่ายหางไปทางซ้ายทีขวาที ก่อนจะเอ่ยตอบ
"ความจริงก็มีอยู่สองวิธี"
"วิธีใด"
"วิธีแรกเจ้าจะต้องมีลูกกับเนื้อคู่ของเจ้า จึงจะสามารถกลับไปได้"
เสิ่นลี่จูถึงกับสำลักน้ำชาที่กำลังดื่มอยู่ มีลูกกับเจิ้งจิ่งเหออย่างนั้นหรือ บัดซบสิ้นดี แม้แต่ทำดีกับนางเขายังไม่ทำ ตัดเรื่องมีลูกกับเขาทิ้งไปได้เลย ก่อนจะมีลูกช่วยหาทางเข้าใกล้เขาให้ได้ก่อนเถอะ
"เช่นนั้นก็ปล่อยข้าตามยถากรรมเถอะ ไม่ต้องมาช่วยข้า ข้าจะนอนแล้ว"
"นี่ ๆ แม่นางน้อย เจ้าอย่าเพิ่งท้อแท้สิ ข้าต้องช่วยให้เจ้าสมหวังสิ เช่นนั้นข้าก็จะออกจากร่างจิ้งจกนี่ไม่ได้ เพราะข้าและเจ้ามีเศษกรรมพันผูก แต่เอาเถอะ รอให้เจ้าอารมณ์เย็นลงข้าจะบอกอีกวิธีหนึ่งกับเจ้าก็แล้วกัน เจ้านอนก่อนเถอะ"
เสิ่นลี่จูไม่สนใจเทพธิดาจิ้งจกเส็งเคร็งนั่นอีก นางพยายามข่มตาหลับจนถึงรุ่งเช้า เมื่อตื่นมาก็ล้างหน้าล้างตายังไม่ทันจะได้กินมื้อเช้า ก็มีนางกำนัลมาแจ้งว่าเจิ้งจิ่งเหอกำลังจะเสด็จมาที่นี่
เสิ่นลี่จูถึงกับกลอกตาไปมา เพิ่งจะเช้าก็เสนอหน้ามาแล้ว เขาคิดจะหาเรื่องนางไม่เว้นวันเลยหรือไรกันนะ
แม้ปากจะก่นด่า แต่อย่างไรย่อมต้องออกไปทำการต้อนรับ เสิ่นลี่จูยิ้มแย้มให้เขาอย่างอ่อนโยน เจิ้งจิ่งเหอที่เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะอย่างดูแคลน
"รอยยิ้มของเจ้ามันช่างน่าเกลียดเสียจริง เหมือนผีที่เพิ่งผุดขึ้นมาจากหลุมอย่างไรอย่างนั้น"
เสิ่นลี่จูยังคงยิ้มต่อไป ทั้งที่ในใจก่นด่าเขาไม่หยุด
ปากคอเราะรายนัก!
เจิ้งจิ่งเหอยกมือขึ้น ก่อนจะสั่งให้กงกงนำอาหารเข้ามา เสิ่นลี่จูมองอาหารพวกนั้นก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น อาหารอันโอชะหน้าตาน่ากินวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะไปหมด นี่เขาคิดจะทำสิ่งใดกัน
เมื่ออาหารถูกนำมาวางจนครบแล้ว เจิ้งจิ่งเหอก็สั่งให้กงกงนำตะเกียบมาให้นางคู่หนึ่ง เสิ่นลี่จูรับตะเกียบมาอย่างงงงวยพลางเอ่ยถามด้วยความฉงนสนเท่ห์
"ฝ่าบาทจะให้หม่อมฉันทำสิ่งใดหรือเพคะ"
เจิ้งจิ่งเหอยิ้มตาหยี ก่อนจะเอ่ยตอบนางอย่างเย็นชา
"นี่เป็นอาหารที่ข้ากินทุกวัน แต่ก่อนที่ข้าจะกิน จะต้องมีคนชิมมันเสียก่อน เผื่อว่ามันมีพิษจะได้ตายก่อนข้า วันนี้คนทำหน้าที่นี้ล้มป่วยกะทันหันไม่่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ข้าจึงให้เจ้าทำงานนี้แทนเขาหนึ่งวัน ที่ข้าลงทุนลงแรงมาที่นี่เพราะว่าเกิดเจ้าตายขึ้นมา ข้าไม่อยากให้เลือดของเจ้าเปรอะเปื้อนในตำหนักของข้า กินซะ!"
เสิ่นลี่จูมองเจิ้งจิ่งเหออย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง ผู้ชายคนนี้มันจะเกินไปแล้ว ถึงกับจะให้นางตายแทนเขา ใช้ได้ที่ไหนกัน
เมื่อเห็นว่าเสิ่นลี่จูไม่ยอมกินอาหารซ้ำยังจ้องเขาเขม็ง ชายหนุ่มจึงหรี่ตามองนาง
"ทำไม ไหนเจ้าบอกว่ารักข้ามากมิใช่หรือ"
"ก่อนหน้านี้หม่อมฉันตาบอดตาถั่ว เห็นผิดเป็นชอบเพคะ"
"นี่เจ้า! ปากคอเราะรายใช้ได้เลยนี่ กินเสียหากเจ้าไม่กินวันนี้นางกำนัลในตำหนักเจ้าจะต้องถูกโบยจนตาย!"
เสิ่นลี่จูจ้องเจิ้งจิ่งเหอเขม็ง เขาทั้งบ้าอำนาจและจิตใจวิปริตบิดเบี้ยวจนเกินจะรักษาเยียวยาเสียแล้ว
ในขณะที่สถานการณ์ดูเหมือนจะไร้ทางออก เสิ่นลี่จูก็ได้ยินเสียงของเทพธิดาจิ้งจกเอ่ยขึ้นมา
"ในอาหารไม่มียาพิษ เขาแค่ต้องการกลั่นแกล้งให้เจ้าหวาดกลัว ยามที่เจ้าหวาดกลัวเขาจะมีความสุขมาก ตายแล้ว! กุ้งผัดใบชาหลงจิ่งน่ากินมาก จูจูน้อย เจ้ากินแทนข้าทีสิ เร็วเข้า!"
เสิ่นลี่จูเหลือบตามองไปยังเทพธิดาจิ้งจก ซึ่งตอนนี้เกาะอยู่ตรงขอบประตูคราหนึ่ง ก่อนจะยกยิ้มมุมปาก
เหอะ ที่แท้ก็คิดจะกลั่นแกล้งนางนี่เอง
เมื่อคิดได้เช่นนั้นหญิงสาวจึงจัดการใช้ตะเกียบคีบอาหารตรงหน้าขึ้นมาชิมคำแล้วคำเล่า
รสชาติดี!
เจิ้งจิ่งเหอเห็นว่าเสิ่นลี่จูดูแปลกประหลาดไปจากทุกวัน นอกจากจะไม่เกรงกลัวเขาแล้ว นางยังกินอาหารอย่างไม่หวาดหวั่นจนเขาเริ่มหงุดหงิด จึงแย่งตะเกียบมาจากมือของนางก่อนจะปามันทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดี
"บัดซบ ตะกละมูมมามเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน ช่างน่ารังเกียจเสียจริง"
"ก็ฝ่าบาทบอกให้หม่อมฉันกิน หม่อมฉันก็กินสิเพคะ ตายแล้ว อร่อยมาก ขาหมูจานนั้นน่ะหม่อมฉันยังไม่ได้ชิมเลย ตะเกียบไม่มีแล้ว ขอใช้มือนะเพคะ"
เจิ้งจิ่งเหอ"..."
เมื่อหาทางกลั่นแกล้งเสิ่นลี่จูไม่สำเร็จ เจิ้งจิ่งเหอก็ถึงกับอารมณ์เสียในทันที เขาจ้องมองนางอย่างไม่ชอบใจ ก่อนจะสั่งให้เหล่าขันทีและนางกำนัลเอาอาหารไปเททิ้งเสียให้หมด และเดินกลับตำหนักของตนไปในทันที เสิ่นลี่จูลอบเบ้ปากคราหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ รีบ ๆ กลับไปเสียก็ดีแล้ว อย่าได้คิดมาระรานนางเชียวเมื่อคนจากไปแล้ว สิ่งที่เสิ่นลี่จูต้องทำต่อก็คือให้เมี่ยวเถียนตามตัวนางกำนัลเหล่านั้นที่เอาของของนางไปกลับคืนมา เมื่อเรียกตัวคนมาแล้ว นากำนัลเจ้าเล่ห์เหล่านั้นกลับไม่ยอมรับหาทางบ่ายเบี่ยงสารพัด แต่เสิ่นลี่จูมีหรือจะยอม นางงัดสารพัดไม้เด็ดมาข่มขู่นางกำนัลเจ้าเล่ห์พวกนั้น อีกทั้งยังสั่งโบยพวกนางอย่างไม่ปรานี ท้ายที่สุดพวกนางจึงยอมรับสารภาพว่าเอาสินเดิมของนางไปจริง บางส่วนที่ได้คืนมาก็มีไม่น้อย บางส่วนก็ถูกนำไปขายแลกมาเป็นเงิน ซึ่งเสิ่นลี่จูก็ริบเงินของนางกำนัลเหล่านั้นเอาไว้ ไม่ยอมให้พวกนางได้มีโอกาสทำเรื่องชั่วช้าลับหลังนางได้อีกเรื่องที่เสิ่นลี่จูเรียกนางกำนัลมาสั่งสอน รู้มาถึงหูของเจิ้งจิ่งเหออย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มเพียงย่นหัวคิ้ว ก่อนจะส่งเสียงเหอะในลำคอคราหนึ่ง หลังจากที่นางหายจากอาการล้มป่วยก็ดูเ
เพราะความฝันในวันนั้นทำให้เสิ่นลี่จูรู้สึกว่าภายในใจไม่ค่อยจะสงบเท่าใดนัก การเข้ามาในนิยายเรื่องนี้มีภารกิจที่นางต้องทำมากมาย ทั้งเรื่องของเจิ้งจิ่งเหอ และอาจจะต้องช่วยหาเบาะแสการตายของเสิ่นอ้ายเยว่ที่ยังคงเป็นปริศนา ดูเหมือนว่าวิญญาณของสตรีนางนั้นจะไม่ได้รับความเป็นธรรม และต้องการให้นางช่วยทวงคืนความเป็นธรรมให้แต่จะเริ่มจากตรงที่ใดก่อนดีเล่าการหาตัวฆาตกรไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางไม่ใช่คนในยุคนี้ ไม่ได้รู้จักใครที่จะพอช่วยได้เลยด้วยซ้ำ สิ่งที่นางจะทำได้ก็คือ การไปเยือนจวนตระกูลเสิ่นสักครั้ง อย่างไรคงต้องเริ่มจากที่นั่นแต่ว่าการจะออกจากวังหลวงย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายเสิ่นลี่จูครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเจ้าของร่างเดิมทีมีวรยุทธ์สูงส่ง เสิ่นลี่จูจึงลองฝึกฝนอย่างง่าย ๆ โดยการใช้มีดสั้นและฝึกยิงธนู เหาะเหินขึ้นต้นไม้ ก่อนที่นางจะต้องร้องว้าวด้วยความดีใจ เพราะร่างนี้ช่างมีความสามารถเป็นอย่างมากนับว่าเป็นเรื่องที่ดียามเช้าของวันนี้อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นมากแล้ว เพราะเข้าสู่ช่วงปลายฤดูหนาว อีกไม่นานก็จะถึงวันปีใหม่ ทุก ๆ ที่ในเมืองหลวงล้วนจัดงานเฉลิมฉลองต้อนรับปีใหม่กันอย่าง
เสิ่นลี่จูค่อนข้างตกใจเป็นอย่างมาก แต่ในความตกใจนั้นยังคงมีความแปลกใจไม่น้อยอีกด้วย นางมาที่ี่นี่เพื่อสืบหาความจริงนับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด แต่เจิ้งจิ่งเหอที่เกลียดพี่สาวของนางเข้ากระดูกดำนั้น เขามาที่นี่ด้วยเหตุอันใดกันไหนว่าเกลียดพี่สาวนางอย่างไรเล่าด้านเจิ้งจิ่งเหอเมื่อถูกล่วงรู้ตัวตนแล้ว เขาจึงเปิดผ้าคุลมหน้าออก ชายหนุ่มสวมชุดสีดำทั้งชุดเพื่อปิดบังอำพรางฐานะของตน เขาไม่เข้าใจตนเองเหมือนกัน ทั้งที่ปากเขาบอกว่าเกลียดเสิ่นอ้ายเยว่หนักหนา แต่กลับมายังสถานที่ที่นางเคยอยู่อย่างไม่อาจห้ามใจ อีกทั้งเรื่องที่เขาไม่คาดคิดก็คือ เขามาเจอเสิ่นลี่จูที่นี่โดยบังเอิญเสิ่นลี่จูเป็นสตรีที่มีวรยุทธ์ เขาเองก็รู้เรื่องของนางมาไม่น้อย นางเก่งกาจมากความสามารถแต่กลับมีจิตใจริษยา เห็นผู้อื่นดีกว่าตนไม่ได้เป็นต้องกลั่นแกล้ง เขาจึงไม่ชอบหน้านางชายหนุ่มปรายตามองสตรีตรงหน้าเมื่อเห็นว่านางยังคงไม่ยอมเอ่ยตอบคำถาม เขาก็ตรงเข้าไปกระชากตัวนางอย่างแรง"เจ้าตอบข้ามา ว่าเจ้ามาทำอันใดที่นี่ หรือว่าแท้จริงแล้วการตายของอ้ายเยว่เกี่ยวข้องกับเจ้า เจ้าเป็นคนทำร้ายนางใช่หรือไม่"เสิ่นลี่จูเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็มองชาย
เช้าวันต่อมาอากาศค่อนข้างดีไม่น้อย แม้จะยังหนาวเย็นอยู่บ้าง แต่ก็นับว่าเบาบางลงไปไม่น้อยแล้ว อาหารเช้าวันนี้ที่เมี่ยวเถียนนำเข้ามาทำให้เสิ่นลี่จูค่อนข้างแปลกใจไม่น้อย เพราะมันมีทั้งเนื้อสัตว์และผลไม้หลายอย่าง ต่างจากก่อนหน้านี้ที่มีแต่ผักจนนางแทบทนไม่ไหวต้องไปติดสินบนพ่อครัวแลกกับอาหารดี ๆ สักมื้อ เสิ่นลี่จูทิ้งกายลงนั่งที่เก้าอี้ พลางเอ่ยถามสาวใช้ข้างกายตน"เหตุใดวันนี้จึงมีเนื้อเล่า"เมี่ยวเถียนยิ้มอย่างสุขใจ ก่อนจะเอ่ย"ทูลพระสนม นี่เป็นคำสั่งของฝ่าบาทเพคะ บอกว่าตอนนี้ไม่ต้องประหยัดงบประมาณแล้วเพคะ"เสิ่นลี่จูไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเพียงคีบอาหารเข้าปากอย่างรวดเร็ว ในใจของนางรู้ดีว่าเขาทำเช่นนี้เพราะเหตุอันใด คงกลัวนางจะเอาเรื่องนั้นไปแพร่งพรายจึงมาทำดีกับนาง เพราะเขายังสังหารนางไม่ได้ เสิ่นลี่จูไม่ได้รู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ได้ต่อว่าต่อขานเขาหลังจากกินมื้อเช้าอิ่มแล้ว นางก็สั่งให้เมี่ยวเถียนนำเสื้อคลุมมาให้ตน นางต้องการจะไปเข้าเฝ้าเจิ้งจิ่งเหอที่ตำหนักมังกรสวรรค์เสียหน่อย เมื่อคืนนี้นางครุ่นคิดทั้งคืนว่าจะใช้แผนการใดที่จะลากตัวคนร้ายออกมาให้ได้ และก็สามารถคิดได้แผนการหนึ่งเดิมที
"พระสนมเพคะ ตำหนักเย็นหนาวเหน็บไม่น้อยเลย แม้จะผ่านฤดูหนาวมาแล้ว แต่อย่างไรก็ยังหนาวอยู่ ซ้ำร้ายร่างกายพระองค์ก็ยังไม่สู้ดีหากต้องลมหนาวอาจจะเป็นหวัดเอาได้ พระองค์ไม่น่าไปทำให้ฝ่าบาททรงพิโรธเลยนะเพคะ"เมี่ยวเถียนเอ่ยไปพลางเก็บกวาดตำหนักเย็นไปพลาง เสิ่นลี่จูที่ได้ฟังก็ถึงกับส่ายหน้าไปมา นางยั่วโมโหเขาที่ไหนกัน คนโรคประสาทนั่นมันจงใจหาเรื่องนางไม่เลิกราต่างหาก เห็นทีนางจะต้องรีบสืบหาการตายของเสิ่นอ้ายเยว่ให้พบโดยเร็ว จะได้ไม่ต้องมาคอยรองรับอารมณ์คนบ้า ๆ อย่างเขาอีก"เจ้าก็รีบทำความสะอาดเถิด คิดเสียว่ามาพักผ่อนตากลมเย็นก็แล้วกัน เจ้าไม่ต้องห่วงข้า ข้าไม่เป็นอะไรหรอก"เอ่ยจบเสิ่นลี่จูก็เดินไปทิ้งกายลงนั่งบนเตียง พลางครุ่นคิดเรื่องอะไรไปเรื่อยเปื่อย ตอนนี้รอบกายนางล้วนมีแต่คนน่าสงสัยเต็มไปหมด ย่อมต้องระวังตนเองให้ดี ในเมื่อยามนี้ยังไม่ได้บอกแผนการให้เจิ้งจิ่งเหอรู้ ก็คงต้องระแวดระวังตนเองไปก่อนหลังจากที่เสิ่นลี่จูจากไปแล้ว เจิ้งจิ่งเหอก็นั่งครุ่นคิดถึงเรื่องที่เขาจะต้องจัดการ อีกไม่นานกู้อวิ๋นหาน ลูกพี่ลูกน้องของเขาก็จะเดินทางกลับมาเมืองหลวงแล้ว ก่อนหน้านี้เขาได้ให้กู้อวิ๋นหานไปสืบเรื่อง
เจิ้งจิ่งเหอเร่งรีบมาพบกับมารดาด้วยความดีใจ ก่อนหน้านี้เสด็จแม่ของเขาหรือก็คือกู้ไทเฮา ได้เสด็จไปไหว้พระขอพรที่วัดหรงหวาอยู่ร่วมเดือนแล้ว หลังจากเสด็จพ่อสวรรคตไปแล้ว เสด็จแม่ก็มักจะสวดมนต์ขอพรอยู่ตลอด เขาไม่ได้คัดค้านอันใด ขอเพียงมารดามีความสุขเขาล้วนสนับสนุนทั้งสิ้นเมื่อมาถึงที่ตำหนักของกู้ไทเฮา กู้อวิ๋นหานที่กำลังเดินออกมาจากตำหนักเมื่อพบเขาก็ยิ้มให้อย่างสนิทสนม"ถวายพระพรฝ่าบาท""ไม่ต้องมากพิธี เจ้าไปรอข้าที่ห้องอักษรสักครู่ ข้าจะรีบตามไป""ได้พ่ะย่ะค่ะ"กู้อวิ๋นหานพยักหน้ารับ หลังจากคนไปแล้ว เจิ้งจิ่งเหอก็รีบรุดเข้าไปในตำหนักของกู้ไทเฮาทันที เมื่อมาถึงเขาก็รีบเอ่ยถามหลี่หมัวหมัว"หลี่หมัวหมัว เสด็จแม่เล่า"หลี่หมัวหมัวที่เห็นเช่นนั้นก็รีบเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม"ทูลฝ่าบาท ไทเฮาทรงนอนพักอยู่ในห้องนอนเพคะ ทรงกำลังรอพระองค์อยู่พอดี"เจิ้งจิ่งเหอพยักหน้า เขารีบเดินเข้าไปในห้องบรรทมของมารดาทันที เมื่อเข้ามาถึงภาพตรงหน้าก็ทำเอาเขาถึงกับยิ้มไม่ออกตอนนี้เสด็จแม่ของเขากำลังเอนกายพิงหมอน ในขณะที่มือข้างหนึ่งทรงถือจอกสุราเอาไว้"โอ๊ย ยามอยู่วัดข้าต้องละเว้นสุรา พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ามือสั่นเพ
เจิ้งจิ่งเหอยกจอกสุราขึ้นดื่มอีกครั้ง พลางเอ่ย"ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าไปสืบหาความจริงในจวนตระกูลเสิ่น ได้พบกับเสิ่นลี่จูเข้า นางลอบออกจากวังหลวงกลางดึก บอกว่าต้องการสืบหาเบาะแสการตายของเสิ่นอ้ายเยว่"คำพูดนี้ของเจิ้งจิ่งเหอทำให้กู้อวิ๋นหานถึงกับชะงัก เขาจ้องมองเจิ้งจิ่งเหอ พลางเอ่ยตอบ"นางจะไปหาหลักฐาน หรือไปทำลายหลักฐานกันแน่ ฝ่าบาทอย่าได้วางใจ"เจิ้งจิ่งเหอไม่ตอบ เรื่องนี้เขาเองก็ไม่ได้ละเลยหรือไม่ระวัง เพียงแต่อยากรู้ว่าเสิ่นลี่จูแท้จริงแล้วคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ สาเหตุที่เขาเอาตัวนางมาอยู่ในวังหลวงก็เพื่อให้ง่ายต่อการจับตาดูพฤติกรรมของนางด้านกู้อวิ๋นหานนั้น เมื่อได้ยินชื่อของเสิ่นลี่จูภาพแรกที่เขาคิดถึงก็คือภาพที่นางอาละวาดพี่สาวของตนและขว้างปาทำลายข้าวของ อีกทั้งยังต่อว่าต่อขานเขาอย่างไม่ไว้หน้า เขาไม่ถึงกับเกลียดนาง แต่การอยู่ให้ห่างจากสตรีเช่นนี้ย่อมดีมากกว่าและเขาเองก็คิดเช่นเดียวกับเจิ้งจิ่งเหอว่า การตายของเสิ่นอ้ายเยว่เก้าในสิบส่วนเป็นฝีมือของเสิ่นลี่จูเมื่อคิดถึงเสิ่นอ้ายเยว่ ใจของกู้อวิ๋นหานก็บีบรัด เขามีความลับหนึ่งที่ไม่เคยบอกกับผู้ใดนั่นก็คือ เขาหลงรักเสิ่นอ้ายเยว่ตอนที่
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เสิ่นลี่จูก็รีบออกจากวังหลวงในทันที แม้ในใจจะสงสัยว่าวันนี้เจิ้งจิ่งเหอดูแปลกไป แต่นางก็ไม่มีเวลาคิดมาก การหาเบาะแสของคนร้ายสำคัญกว่าจะล่าช้าไม่ได้ เมี่ยวเถียนแม้จะร้อนใจแต่ไม่อาจห้ามปรามเจ้านายของตนได้เสิ่นลี่จูออกจากวังหลวงมาหยุดอยู่ที่ตรอกแห่งหนึ่ง นางสวมชุดชาวบ้านธรรมดาและใช้ผ้าปิดบังใบหน้าเอาไว้เพราะไม่ต้องการให้ผู้ใดล่วงรู้ตัวตนของนาง หญิงสาวเดินตรงไปที่ร้านรวงต่าง ๆ ที่พี่สาวเคยไป สืบหาเบาะแสของเสิ่นอ้ายเยว่ แต่จนแล้วจนรอดกลับไม่พบเบาะแสใด เสิ่นลี่จูเม้มริมฝีปากแน่น มันยากเกินไป นางไม่รู้ว่าจะเริ่มจากจุดไหนเลยด้วยซ้ำเดินอยู่นานเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาเสียแล้ว เสิ่นลี่จูจึงตรงเข้าไปที่โรงน้ำชาจิ้งหลง นางสั่งน้ำชาและขนมมากินเพื่อคลายความหิว ในขณะที่หญิงสาวกำลังยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีคนกำลังมองตนอยู่ เมื่อนางหันซ้ายขวามองรอบกายกลับไม่พบเงาของใคร มีเพียงลูกค้าที่มาหาความสำราญจากโรงน้ำชาจิ้งหลงเพียงเท่านั้น เสิ่นลี่จูย่นหัวคิ้ว นางรู้สึกว่ารอบด้านเหมือนจะไม่ปลอดภัยเท่าใดนักเมืองหลวงแคว้นตงหลางงดงามไม่เป็นสอง อีกทั้งยังคึกคักเป็นอย่าง
ยามนี้ทหารกบฏตายหมดสิ้นแล้ว อู๋อ๋องถูกตัดศีรษะ แต่ทว่าเจิ้งจิ่งเหอกลับหาตัวของเจิ้งมู่หยางไม่พบเวลาเดียวกันนั้น เสิ่นฮูหยินก็มาแจ้งว่า เสิ่นลี่จูหายตัวไปตั้งแต่กลางดึกแล้ว นางส่งคนออกตามหาแต่กลับไม่พบตัวคนเจิ้งจิ่งเหอและกู้อวิ๋นหานตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เขาสั่งคนออกตามหาเสิ่นลี่จูแต่กลับไร้วี่แวว เจิ้งจิ่งเหอคิดว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวพันกับเจิ้งมู่หยางเป็นแน่เมื่อหาเสิ่นลี่จูไม่พบ เจิ้งจิ่งเหอก็ไม่เป็นอันทำสิ่งใด เขาเหมือนคนคลุ้มคลั่ง ในขณะที่กำลังสิ้นหวังเต็มที เขาก็เหลือบไปเห็นว่าบนโต๊ะมีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ บนกระดาษมีข้อความเขียนเอาไว้คนรักของเจ้าอยู่ที่ป่าไผ่รกทึบ ห่างจากจวนตระกูลเฉิงไปไม่ไกล ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีร่องรอยของการขุดฝัง รีบไปก่อนจะไม่ทันการณ์เจิ้งจิ่งเหอกำจดหมายนั้นเอาไว้แน่น เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งมา แต่ยามนี้ทางใดที่เหมือนแสงสว่างเขายินดีทำทั้งหมด กู้อวิ๋นหานเมื่อได้ทราบข่าวจากเจิ้งจิ่งเหอก็รีบไปช่วยตามหา แม่ทัพใหญ่เสิ่นนั้นก็เร่งตามไปเช่นเดียวกันชายหนุ่มทั้งสองมายังจุดที่จดหมายปริศนาบอกเอาไว้ เขาตรงไปที่ต้นไม้ใหญ่และพบร่องรอยการขุดดินจริง ๆเจิ้งจิ่งเหอรีบใช้
หลายสิบวันต่อมา ในที่สุดเจิ้งจิ่งเหอก็เดินทางมาถึงชายแดนเมืองหวายเยียนพร้อมกับกู้อวิ๋นหาน ครั้งนี้เขานำกำลังทหารมาไม่น้อยเลย แม่ทัพใหญ่โต้วรีบออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ครั้งนี้บิดาของเสิ่นลี่จูก็ออกมารับเสด็จเช่นเดียวกัน เจิ้งจิ่งเหอยังไม่ทันได้พบกับเสิ่นลี่จูก็รีบเร่งรุดไปที่ชายแดนเสียก่อน เขาจัดกำลังทหารใหม่ ได้พักเพียงวันเดียวก็ต้องออกรบทำศึกเสียแล้วเสิ่นลี่จูอยู่ที่จวนตระกูลเฉิง นางทำอาหารหลายอย่างและให้เจิ้งจิ่งเหอ กู้อวิ๋นหาน และคนอื่น ๆ ได้กินรองท้อง ตั้งแต่เขาเดินทางมาที่นี่ยังไม่ได้พบกับนางเลย แต่เสิ่นลี่จูกลับไม่ได้รู้สึกน้อยใจ นางรู้ดีว่าเขากำลังมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการมากกว่าเรื่องของนางเจิ้งจิ่งเหอออกรบอยู่ที่นอกกำแพงเมือง เมื่อเขามาถึงก็ทำให้ได้ทราบว่า แท้จริงแล้วกุนซือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการก่อสงครามครั้งนี้ก็คือเจิ้งมู่หยางเจิ้งมู่หยางยังไม่ตาย ศพที่พบก่อนหน้าคือคนทีี่ปลอมตัวเป็นเจิ้งมู่หยางโดยใช้หน้ากากหนังมนุษย์เพื่อหลอกให้เขาตายใจเจิ้งมู่หยางนำกำลังทหารของตนไปผนวกร่วมเข้ากับแคว้นอู๋ และร่วมมือกันก่อกบฏ โดยใช้อู๋อ๋องเป็นคนนำทัพ ส่วนตนเองนั้นคอยบงการอยู่เบื้องหลัง
หลายวันต่อมา เสิ่นฮูหยินก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง ซึ่งส่งมาจากเมืองหวายเยียน บอกว่าน้องชายของนางเกิดล้มป่วยกะทันหัน คาดว่าคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน และอยากจะพบหน้านางซึ่งเป็นพี่สาวครั้งสุดท้าย เสิ่นฮูหยินจึงรีบสั่งให้คนเก็บข้าวของเพื่อเดินทางไปเมืองหวายเยียนทันทีเสิ่นฮูหยินมารดาของเสิ่นลี่จูเป็นสตรีที่มีถิ่นฐานเดิมมาจากเมืองหวายเยียน ยามนั้นแม่ทัพใหญ่เสิ่นไปออกรบ คนทั้งสองได้พบรักกัน มารดาของนางเป็นบุตรสาวของคหบดีที่ร่ำรวยผู้หนึ่งในเมืองหวายเยียน อีกทั้งยังมีกิจการอยู่ที่เมืองหลวงไม่น้อย เมื่อแต่งกับแม่ทัพใหญ่เสิ่นจึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวง ร้านรวงที่อยู่ในเมืองหลวง ทางครอบครัวได้มอบให้เป็นสินเดิมของนางทั้งหมดแม่ทัพใหญ่เสิ่นที่ได้ทราบข่าวก็ตั้งใจว่าจะเดินทางไปกับภรรยาด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเขาไม่มีสิ่งใดต้องรับผิดชอบอีกแล้ว เสิ่นลี่จูก็ต้องร่วมเดินทางไปด้วยเช่นเดียวกัน เผื่อว่าทางใต้มีทำเลทิศทางทำการค้าได้ดี นางอาจจะเปิดภัตตาคารที่นั่นอีกสาขาหนึ่งเจิ้งจิ่งเหอที่ได้ทราบข่าวเดิมทีเขาไม่อยากให้นางไป ตอนนี้ทางทิศใต้สงครามยังไม่สงบ รองแม่ทัพโต้วซึ่งยามนี้กลายเป็นแม่ทัพใหญ่โต้วคนใหม่ ได้ไปปราบ
เอ่ยจบเขาก็กึ่งเดินกึ่งลากตัวนางออกมาจากเรือน เสิ่นลี่จูรีบรั้งตนเองเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย"ฝ่าบาท เหตุใดจึงทรงทำเช่นนี้เล่าเพคะ"เจิ้งจิ่งเหอหันมาจ้องสตรีตรงหน้าเขม็ง"ทำไม หรือว่าเจ้าอยากแต่งกับเขา เสิ่นลี่จู ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้ตรงนี้เลยนะ ข้าไม่มีวันให้เจ้าได้สมใจ""เพราะเหตุใด เราต่างไม่มีเรื่องติดค้างใจต่อกันแล้ว พระองค์ไม่มีสิทธิ์มาทำเช่นนี้ตามใจชอบ""เพราะว่าข้าชอบเจ้าได้ยินหรือไม่!""ฮะ!"เสิ่นลี่จูถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออก นางรู้สึกว่าตนเองกำลังหูฝาดไป จึงเอ่ยถามเขาย้ำอีกหน"ฝ่าบาททรงเอ่ยว่าอย่างไรนะเพคะ"เจิ้งจิ่งเหอถอนหายใจออกมา เขาเม้มริมฝีปากแน่น เสิ่นลี่จูนางหูหนวกหรือว่าหูตึงจึงไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาบอก เมื่อคิดได้เช่นนั้นชายหนุ่มจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะตะโกนจนลั่นจวน"ข้าชอบเจ้า สตรีหน้าโง่ เจ้าได้ยินหรือไม่ว่าข้าชอบเจ้า!"เสียงของเขาดังมาก ดังเสียจนทำให้บ่าวที่กวาดลานถึงกับทำไม้กวาดหล่นจากมือ สาวใช้ที่กำลังเช็ดจวนถึงกับทำผ้าหล่นลงพื้น แม่ทัพใหญ่เสิ่นหันไปมองฮูหยินของตนคราหนึ่งเมื่อได้ยินชัด ๆ แล้ว เสิ่นลี่จูก็ยิ้มออกมาในทันที นางไม่เคยคิดเลยว่ารักครั้งแรกของนางจะต้องมาเจ
เมื่อกลับมาอยู่ที่จวนแล้ว เสิ่นลี่จูก็เริ่มหมักสุราตามสูตรของนาง นางฝังสุราหลายไหเอาไว้ใต้ต้นไม้ สุราแต่ละชนิดล้วนมีเวลาการหมักบ่มของมัน เสิ่นลี่จูเองก็ไม่รีบร้อน อีกทั้งนางยังสั่งให้บ่าวไพร่ปลูกผักในจวนเอาไว้ขาย ไม่นานมานี้นางยังไปปรับปรุงภัตตาคารในเมืองหลวงซึ่งเป็นสินเดิมของมารดาเพื่อทำการค้าใหม่ ฝีมือการทำอาหารของเสิ่นลี่จูนับว่ายอดเยี่ยม ประจวบเหมาะกับนางนำความรู้จากยุคปัจจุบันมาประยุกต์ใช้ จึงทำให้อาหารที่ภัตตาคารของนางไม่เหมือนกับที่ใดที่ชวนให้ผู้คนสนใจมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นการสุ่มอาหาร ลูกค้าที่เข้ามาจะสามารถเลือกการจับฉลากสุ่มอาหารได้ เพียงจ่ายในราคาหนึ่งตำลึงสำหรับการสุ่มอาหารชุดใหญ่ ราคาสิบอีแปะสำหรับการสุ่มอาหารชุดกลาง และราคาสามอีแปะสำหรับการสุ่มอาหารชุดเล็ก พวกเขาจะไม่รู้เลยว่าอาหารชุดใหญ่นั้นจะมีอะไรบ้าง บางครายังได้สุราชั้นดีแถมกลับบ้านอีกด้วย เรื่องนี้สร้างความสนุกสนานแก่ผู้คนในเมืองหลวงไม่น้อยส่วนอาหารที่ขึ้นชื่ออีกอย่างก็คือ สลัดผัก เพราะในยุคโบราณมีวัตถุดิบไม่มาก นางจึงใช้น้ำมันงามาทำน้ำสลัดอย่างง่าย ๆ แต่รสชาติกลมกล่อมเป็นอย่างมาก สตรีในเมืองหลวงหลายคนที่ต้องการล
กว่าจะเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงก็เป็นเวลาเย็นย่ำมากแล้ว เมื่อกลับมาถึงตำหนักเสิ่นลี่จูก็รีบผลัดเปลี่ยนอาภรณ์และมากินมื้อเย็น หลังจากกินอิ่มแล้ว นางจึงไปเยี่ยมกู้ไทเฮาและอยู่พูดคุยด้วยกันครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาที่ตำหนักของตนเสิ่นลี่จูก็เดินไปที่โต๊ะตำรา ก่อนจะเปิดตำราเล่มหนึ่ง ด้านในนั้นมีหนังสือสัญญาที่เขาและนางลงลายมือประทับเอาไว้ร่วมกัน ไม่รู้เพราะเหตุใดยามที่คิดว่าถึงเวลาจะต้องแยกทางกันแล้ว นางจึงรู้สึกเศร้าใจถึงเพียงนี้ไม่รู้ว่านางเกิดความรู้สึกผูกพันกับเจิ้งจิ่งเหอยามใด เดิมทีเขาและนางเปรียบเหมือนกับเส้นขนานที่ไม่อาจจะมาบรรจบกันได้ เขาไม่เคยรักนาง ส่วนนางก็ต้องกลับไปยังที่ที่ตนเองจากมา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการไม่สานความสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกันนับว่าเป็นเรื่องดีเมื่อนึกเรื่องที่ต้องกลับไปยังโลกอนาคต เสิ่นลี่จูก็พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เรื่องของเสิ่นอ้ายเยว่ก็ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ว่าเหตุใดนางจึงกลับไปไม่ได้เล่าหญิงสาวมองไปโดยรอบ ก่อนจะพบเข้ากับเทพธิดาจิ้งจกที่เกาะอยู่ตรงประตู"เทพธิดาจิ้งจก ข้าไขคดีการตายของเสิ้นอ้ายเยว่ได้แล้ว เหตุใดจึงยังไม่สามารถกลับไปได้อีกเล่า"เทพธิดาจิ้งจกปรา
เมื่อเรื่องราวทุกอย่างคลี่คลายกระจ่างชัด คนร้ายถูกจับได้แล้ว เสิ่นอ้ายเยว่ย่อมได้รับความเป็นธรรม ส่วนอนุซ่งก็ถูกขับไล่ออกจากตระกูล ไม่กี่วันผ่านไปก็มีคนพบนางกลายเป็นศพนอนคว่ำหน้าอยู่ในแม่น้ำที่นอกเมืองหลวงด้านป้ายสุสานของเสิ่นอ้ายเยว่นั้น แม่ทัพใหญ่เสิ่นห้ามไม่ให้ผู้ใดเคลื่อนย้ายออกจากจวนเด็ดขาด แม้จะรู้ว่านางไม่ใช่บุตรแท้ ๆ แต่กลับไม่สนใจ พวกเขายังเห็นนางเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเสิ่นเสมอ เสิ่นอ้ายเยว่ไม่ผิด นางคือเหยื่อที่น่าสงสาร เพราะฉนั้นเกียรติสุดท้ายของนาง พวกเขาจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำลายได้อีกแล้วเมืองหลวงนยามนี้สงบไร้คลื่นลม ก่อนกลับเมืองหลวง เจิ้งจิ่งเหอสั่งคนตามหาตัวเจิ้งมู่หยาง ก่อนจะพบว่าเขากลายเป็นศพไปเสียแล้ว สภาพศพเหมือนกับตายมาหลายวัน ถูกสัตว์กัดแทะไปตามร่างกาย แต่ใบหน้ายังไม่ได้ถูกทำลายทั้งหมด เจิ้งจิ่งเหอจำได้ว่านี่คือเจิ้งมู่หยางไม่ผิดแน่อากาศฤดูร้อนผันผ่านล่วงเข้าสู่ช่วงสารทฤดู อากาศเริ่มร้อนน้อยลง กลางคืนเย็นสบาย เช้านี้เสิ่นลี่จูสั่งให้เมี่ยวเถียนและอาหลวนทำอาหารมากหน่อย นางจะนำไปไหว้หลุมศพของเสิ่นอ้ายเยว่ด้วยตนเองสุสานตระกูลเสิ่นอยู่ห่างจากนอกเมืองหลวงไปไม่ไกล เพรา
เจิ้งหมี่ตัวแข็งทื่อทำสิ่งใดไม่ถูกไปชั่วขณะ มือไม้ของนางสั่นเทา หญิงสาวมองบุรุษตรงหน้าที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายด้วยแววตาที่ตื่นตระหนกยามนี้ร่างกายของเสิ่นลี่จูไม่ไหวแล้ว นางได้รับบาดเจ็บสาหัส โลหิตสีแดงฉานอาบย้อมอาภรณ์ของนางจนเปียกชุ่ม เจิ้งจิ่งเหอใจหล่นวูบ ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าต่อให้สตรีนางนี้จะเป็นหรือตายล้วนไม่เกี่ยวกับเขา แต่เมื่อได้เห็นว่านางตกอยู่ในสภาพนี้ใจของเขากลับหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนที่ผ่านมาเขาเข้าใจนางผิดมาโดยตลอด แท้จริงแล้วฆาตกรกลับอยู่ข้างกายเขาทุกวัน ซ้ำยังเป็นคนที่เขารักและเชื่อใจมาโดยตลอดก่อนหน้านี้องครักษ์ลับของเขามาแจ้งว่าด้านเจิ้งมู่หยางเหมือนจะมีความเคลื่อนไหว เขาจึงรีบไปเฝ้าจับตาดูคนอยู่เป็นนานสองนาน แต่กลับไม่พบสิ่งใด จนกระทั่งเริ่มรู้สึกว่ามันผิดสังเกต จึงกลับกลับมาที่ตำหนักฤดูร้อน ก่อนจะพบกับอาหลวนนางกำนัลที่เขาส่งให้ไปรับใช้เสิ่นลี่จู อาหลวนบอกเขาอย่างร้อนใจว่าเจ้านายของตนหายตัวไป เขาจึงรีบตามหาจนกระทั่งมาพบนางในสภาพนี้"อวิ๋นหาน ให้คนส่งนางกลับตำหนักฤดูร้อน แล้วเร่งตามหมอมาโดยด่วน"เจิ้งจิ่งเหอเอ่ยจบก็ส่งสัญญาณให้เหล่าองครักษ์เงาออกมารับมือกั
เสิ่นลี่จูถูกคนปริศนาจับตัวพาดบ่าและออกวิ่งไปตามทางอย่างรวดเร็ว นางรู้สึกเวียนหัวเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังไม่อาจแยกแยะทิศทางได้อีกด้วยไม่นานนักพวกมันก็หยุดฝีเท้าลง ก่อนจะโยนตัวนางลงไปบนแคร่แข็ง ๆ จนนางร้องโอดครวญ จากนั้นพวกมันจึงจัดการเอากระสอบผ้าป่านที่คลุมศีรษะของนางออก เมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้า เสิ่นลี่จูก็ถึงกับขมวดคิ้วมุ่นคนที่อยู่ตรงหน้านางคือเจิ้งหมี่!"องค์หญิง"แม้จะตกตะลึงไปบ้าง แต่เสิ่นลี่จูกลับไม่มีความแปลกใจเท่าใดนัก เดิมทีนางก็สงสัยเจิ้งหมี่อยู่นานแล้ว เพียงแต่นางยังหาเหตุผลมาประกอบความสงสัยในใจของตนเองไม่ได้ หากเจิ้งหมี่เป็นคนลงมือจริง ๆ นางมีแรงจูงใจใดในการสังหารเสิ่นอ้ายเยว่กันแน่เจิ้งหมี่มองหน้าเสิ่นลี่จูด้วยแววตาเย็นชา ก่อนจะสั่งให้คนแก้ผ้ามัดปากนางออก ตอนนี้คนของนางทำงานไม่ได้เรื่อง จำเป็นต้องยืมคนของเจิ้งมู่หยางมาใช้งานก่อน คืนนี้หลังจากจัดการเสิ่นลี่จูได้แล้ว นางก็จะสังหารคนของเจิ้งมู่หยางให้หมด จากนั้นก็หาทางวางยาสังหารเขาเสีย ต่อไปนี้ก็จะไม่มีใครมาคอยบังคับหรือบงการให้นางทำตามใจชอบได้อีก"องค์หญิง จับตัวข้ามาทำไมกัน”ประโยคแรกที่เสิ่นลี่จูเอ่ยถามเจิ้งหมี่ก็คือ