เสิ่นลี่จูค่อนข้างตกใจเป็นอย่างมาก แต่ในความตกใจนั้นยังคงมีความแปลกใจไม่น้อยอีกด้วย นางมาที่ี่นี่เพื่อสืบหาความจริงนับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด แต่เจิ้งจิ่งเหอที่เกลียดพี่สาวของนางเข้ากระดูกดำนั้น เขามาที่นี่ด้วยเหตุอันใดกัน
ไหนว่าเกลียดพี่สาวนางอย่างไรเล่า
ด้านเจิ้งจิ่งเหอเมื่อถูกล่วงรู้ตัวตนแล้ว เขาจึงเปิดผ้าคุลมหน้าออก ชายหนุ่มสวมชุดสีดำทั้งชุดเพื่อปิดบังอำพรางฐานะของตน เขาไม่เข้าใจตนเองเหมือนกัน ทั้งที่ปากเขาบอกว่าเกลียดเสิ่นอ้ายเยว่หนักหนา แต่กลับมายังสถานที่ที่นางเคยอยู่อย่างไม่อาจห้ามใจ อีกทั้งเรื่องที่เขาไม่คาดคิดก็คือ เขามาเจอเสิ่นลี่จูที่นี่โดยบังเอิญ
เสิ่นลี่จูเป็นสตรีที่มีวรยุทธ์ เขาเองก็รู้เรื่องของนางมาไม่น้อย นางเก่งกาจมากความสามารถแต่กลับมีจิตใจริษยา เห็นผู้อื่นดีกว่าตนไม่ได้เป็นต้องกลั่นแกล้ง เขาจึงไม่ชอบหน้านาง
ชายหนุ่มปรายตามองสตรีตรงหน้าเมื่อเห็นว่านางยังคงไม่ยอมเอ่ยตอบคำถาม เขาก็ตรงเข้าไปกระชากตัวนางอย่างแรง
"เจ้าตอบข้ามา ว่าเจ้ามาทำอันใดที่นี่ หรือว่าแท้จริงแล้วการตายของอ้ายเยว่เกี่ยวข้องกับเจ้า เจ้าเป็นคนทำร้ายนางใช่หรือไม่"
เสิ่นลี่จูเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็มองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาที่เย็นชา ก่อนจะสลัดแขนตนออกจากการเกาะกุมของเขา ท่าทีที่นางมีต่อเขาในยามนี้ไม่ได้อ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนตอนที่อยู่ในวังหลวงเลยแม้แต่น้อย แต่เหมือนศัตรูที่ได้พบกันเพื่อสะสางแค้นเก่าเสียมากกว่า
"ไม่ขอปิดบังฝ่าบาท หม่อมฉันมาที่นี่เพื่อสืบหาเบาะแสการตายของพี่สาวเพคะ"
"คนอย่างเจ้าน่ะหรือ"
เจิ้งจิ่งเหอหรี่ตามองเสิ่นลี่จูอย่างจับผิด เขาไม่เชื่อในสิ่งที่นางพูด ตอนเสิ่นอ้ายเยว่ยังมีชีวิตแทบจะเป็นที่รองรับอารมณ์ของเสิ่นลี่จู เขาจึงอยากพานาออกจากที่แห่งนี้และมอบฐานะอันสูงส่งให้
ก่อนหน้านี้เขาโกรธแค้นนางมากนัก แต่เมื่อได้สติรู้แจ้งเขากลับพบว่าเรื่องนี้มันผิดปกติ
ไม่มีใครรู้ดีกว่าเขาว่านางมีนิสัยเช่นไร เขาและนางพบเจอกันบ่อยครั้ง เขาส่งองครักษ์มาคอยคุ้มครองนาง จนกระทั่งเขามีเรื่องต้องสะสางอย่างเร่งด่วนในคืนนั้น จึงถอนกำลังเรียกองครักษ์กลับมาปฏิบัติหน้าที่ เพียงคืนเดียวนางกลับตกตายอย่างเป็นปริศนา
เขาไม่เชื่อว่าคนกลัวตายเช่นเสิ่นอ้ายเยว่จะปลิดชีพตนเองได้ง่าย ๆ
ด้านเสิ่นลี่จูนั้นไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับชายหนุ่มตรงหน้าเท่าใดนัก จากที่นางมองประเมินสถานการณ์ยามนี้แล้ว พบว่าเขาเองก็ยังมีใจรักใคร่ในตัวพี่สาวของนางอยู่
ช่างสิ ใครสนใจกัน
"หม่อมฉันมาที่นี่เพื่อค้นหาเบาะแสของพี่สาวนับว่าไม่ใช่เรื่องแปลก แต่พระองค์เล่า ไหนว่าเกลียดนางจนแทบอยากจะฉีกทึ้งออกเป็นชิ้น ๆ แต่เหตุใดกลับยังมาที่นี่"
"ไม่ใช่เรื่องของเจ้า"
"หรือว่าพระองค์ก็ทรงคิดเช่นเดียวกับหม่อมฉันว่าการตายของนางไม่ปกติ"
เจิ้งจิ่งเหอเหมือนถูกรู้ทันความคิด เขาเอ่ยวาจาใดไม่ออกเพียงจ้องเสิ่นลี่จูเขม็ง ชายหนุ่มขยับเข้าไปใกล้นาง เสิ่นลี่จูที่เห็นเช่นนั้นก็ถอยหลังไปหลายก้าวตามสัญชาตญาณ
"ระยะนี้เหมือนว่าเจ้าจะดูแปลกไป ออกจะสนใจเรื่องของพี่สาวเสียเหลือเกิน"
"ก็แน่นอนสิเพคะ การตายของนางไม่ปกติ เพียงแต่ยามนั้นหม่อมฉันมัวแต่หลงใหลเรื่องไม่เป็นเรื่องจนละเลยเรื่องของนางไป จึงอยากจะใช้โอกาสนี้ชดเชยให้นาง หาตัวฆาตกรที่สังหารนางมารับโทษให้ได้"
แววตาของเสิ่นลี่จูไม่ได้มีความล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่เมื่อใดกันที่สตรีนางนี้ดูมีความจริงจังและใสซื่อบริสุทธิ์มากขนาดนี้ เขาพบเจอคนมานักต่อนัก ย่อมมองออกว่าผู้ใดเสแสร้งหรือว่าแกล้งทำ
เสิ่นลี่จูไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ แต่นางตั้งใจจะหาเบาะแสการตายของเสิ่นอ้ายเยว่จริง ๆ
"เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง เจ้าไม่ต้องสอดมือเข้ามาทำให้แผนของข้าพังพินาศ เจ้ากลับวังหลวงไปเสีย รอข้าไปหาและระบายโทสะกับเจ้าก็พอ"
เสิ่นลี่จูกลอกตาไปมา ก่อนจะเท้าเอวมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ
"พระองค์เป็นโรคจิตหรือเพคะ หรือขาดความอบอุ่นจนเคยตัว ในเมื่อทรงคิดว่าการตายของเสิ่นอ้ายเยว่มีปัญหา เหตุใดยังเอาโทสะมาระบายกับหม่อมฉันอีกเล่า เรามาทำสัญญากันดีไหม หากวันใดตามหาตัวฆาตกรพบ ก็ปลดปล่อยกันและกันไป แต่ตอนนี้ต้องช่วยกันสืบหาตัวฆาตกรก่อน"
"ใครบอกเจ้าว่าข้าจะยอมร่วมมือด้วย"
"เช่นนั้นก็ตามสบาย ก็ดีเหมือนกัน หม่อมฉันมีความสามารถหาเบาะแสเองได้ ไม่จำเป็นต้องง้องอนพระองค์"
เมื่อเห็นเสิ่นลี่จูไม่แม้แต่จะสนใจเขา เจิ้งจิ่งเหอก็ย่นหัวคิ้วพลางเอ่ยถาม
"เสิ่นลี่จู เจ้าคิดสิ่งใดกันแน่ นับวันข้ายิ่งอ่านใจเจ้าไม่ออก"
"หม่อมฉันจะคิดเรื่องใดก็เป็นเรื่องของหม่อมฉัน ฝ่าบาทไม่ต้องมาสอดรู้สอดเห็นหรอกเพคะ"
"นี่เจ้า"
"หุบปากสักทีเพคะฝ่าบาท เดี๋ยวมีคนตื่นขึ้นมาก็วุ่นวายกันหรอก"
เมื่อถูกเสิ่นลี่จูเอ่ยท้วงเช่นนี้ เจิ้งจิ่งเหอก็ถึงกับส่งเสียงเหอะในลำคอ นับว่าเขาได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย สตรีนางนี้มันช่างกลับไปกลับมาดีนัก
เสิ่นลี่จูสืบหาเบาะแสทุกอย่างในห้องนอนของเสิ่นอ้ายเยว่โดยละเอียด โดยที่นางไม่ได้สนใจเจิ้งจิ่งเหอเลยแม้แต่น้อย
ค้นหาอยู่นานเสิ่นลี่จูก็ถึงกับปวดหัว ที่นี่ไม่มีเบาะแสใดให้นางได้สืบเสาะเลยแม้แต่น้อย บางคราฆาตกรอาจทำลายหลักฐานทิ้งไปหมดแล้ว
แต่ที่นางสงสัยก็คือใครกันคือฆาตกรตัวจริงและทำเช่นนี้ไปเพื่อจุดประสงค์อันใดกัน
นางหันมามองเจิ้งจิ่งเหอก่อนจะเอ่ยถาม
"ฝ่าบาท พระองค์เคยมีศัตรูที่ใดบ้างเพคะ บางคราการตายของพี่สาวข้า อาจจะเกี่ยวข้องกับคนพวกนั้นก็เป็นได้"
เจิ้งจิ่งเหอยืนกอดอกมองเสิ่นลี่จูคราหนึ่ง เมื่อนางถามเช่นนั้นเขาก็มีท่าทีเย็นชา ก่อนจะเอ่ย
"ศัตรูข้ามีมากมายนัก"
เขาเอ่ยตอบเพียงเท่านั้น แม้ภายนอกใบหน้าของเขาจะดูเรียบเฉยเหมือนไม่สนใจคำพูดของเสิ่นลี่จู แต่ในใจของเขากลับเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง เขาลืมไปเสียสนิทเลยว่าบางคราเรื่่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับศัตรูของเขา
แต่คนผู้นั้นได้ออกจากเมืองหลวงไปใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชนนานแล้ว และสาบานว่าจะไม่กลับเข้าเมืองหลวงอีก อีกทั้งหลายปีมานี้องครักษ์ที่เขาส่งไปจับตาดูคนผู้นั้นก็ไม่พบความผิดปกติใด
เมื่อเห็นว่าคงไม่ได้ความอะไรจากเจิ้งจิ่งเหอ เสิ่นลี่จูจึงไม่ซักถามสิ่งใดอีก นางยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ยามนี้เวลาล่วงเลยมานานมากแล้ว นางคิดอยากจะกลับไปที่วังหลวงเสียก่อน แล้วค่อยเริ่มคิดหาหนทางใหม่
เจิ้งจิ่งเหอเองก็คิดเช่นเดียวกัน ก่อนกลับเขาได้กระชากตัวเสิ่นลี่จูเอาไว้ และเอ่ยกับนางอย่างเย็นชา
"เรื่องคืนนี้เจ้าห้ามแพร่งพรายโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าเด็ดหัวเจ้าแน่ ขอเตือนไว้ ข้าไม่เคยไว้ใจเจ้า จนกว่าการตายของอ้ายเยว่จะปรากฏ เจ้าก็คือหนึ่งในฆาตกรที่ข้าต้องจับตาดูทุกฝีก้าว!"
เสิ่นลี่จูถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย พร้อมกับมองหน้าเขาและคิดไปถึงคำพูดทีเทพธิดาจิ้งจกเอ่ยเอาไว้ เขาคือเนื้อคู่ของนางและจะต้องมีบุตรด้วยกัน บัดซบจริง ๆ นี่เนื้อคู่หรือคู่อาฆาตกันแน่
นางถอนหายใจออกมา เดิมทีคิดว่าคงไม่มีหนทางอื่น แต่ทว่าสองวันก่อนเทพธิดาจิ้งจกบอกกับนางว่ามีอีกวิธีหนึ่งนั่นก็คือทำความดีชดใช้ นางต้องหาตัวฆาตกรที่สังหารเสิ่นอ้ายเยว่ให้พบเพื่อไถ่บาปแทนเจ้าของร่างเดิม แล้วจึงจะสามารถออกจากนิยายเล่มนี้ได้ แต่วิธีนั้นอันตรายถึงชีวิต และฆาตกรที่ลงมือไม่ได้มีเพียงคนเดียว ไม่แน่ว่านางอาจจะตกอยู่ในอันตรายจนถึงแก่ชีวิต แต่เสิ่นลี่จูไม่สนใจ นางเป็นวิญญาณมาอยู่ในร่างนี้ เคยผ่านการตายมาแล้วย่อมไม่ใช่ปัญหาใหญ่ นางจึงเลือกวิธีนี้ ขอเพียงได้กลับไปยังโลกที่จากมานางก็ดีใจมากแล้ว
ก่อนหน้านี้เสิ่นลี่จูคิดว่าร่างของตนในโลกอนาคตคงตายไปแล้ว แต่เทพธิดาจิ้งจกบอกว่าตอนนี้นางเพียงหลับไปไม่ได้สติเท่านั้น หลังจากทำภารกิจเสร็จสิ้นนางก็สามารถกลับไปได้
“ว่าอย่างไร กลัวแล้วหรือ”
เสียงเอ่ยเยาะหยันของเจิ้งจิ่งเหอทำให้เสิ่นลี่จูหลุดออกมาจากภวังค์แห่งความคิดของตน นางปรายตามองเขาเล็กน้อย
"หม่อมฉันไม่ใช่คนโง่ หม่อมฉันเองก็กำลังสืบเรื่องนี้เช่นกัน คงไม่โง่ปล่อยข่าวให้พวกมันไหวตัวทันหรอกเพคะ ใครกันแน่ที่โง่"
"เสิ่นลี่จู! ข้าจะโบยเจ้า"
"ปล่อยเพคะ!"
คนทั้งสองยื้อยุดกันไปมา จนกระทั่งมือของเสิ่นลี่จูเผลอไปดึงกางเกงของเจิ้งจิ่งเหอจนร่วงลงไปกองกับพื้น ทำให้ช่วงล่างของเขาเย็นวาบ เมื่อเสิ่นลี่จูก้มหน้าลงไปมองก็ตกใจ ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปาก
ตายแล้ว! มันหนาวจนหดเลยหรือ
มารดามันเถอะ นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องเช่นนี้
ด้านเจิ้งจิ่งเหอก็ตกใจจนหน้าถอดสี เขารีบก้มลงไปคว้ากางเกงของตนขึ้นมาสวมใส่ จังหวะนั้นก็เห็นเสิ่นลี่จูมองก้นของเขาตาไม่กะพริบ
ที่ก้นของเจิ้งจิ่งเหอมีปานวงกลมวงใหญ่อยู่บนแก้มก้นทั้งสองข้าง
เจิ้งจิ่งเหอหน้าถอดสี เขานึกคำทำนายของไต้ซือเมื่อยามยังวัยเยาว์ขึ้นมาได้ คำทำนายนั้นบอกว่าเขาจะเป็นใหญ่ในใต้หล้า แต่กลับมีปานอัปมงคลอยู่ที่ก้นของตน ห้ามให้คนนอกรู้เรื่องนี้โดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะตายก่อนแก่เฒ่า
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเจิ้งจิ่งเหอจึงพุ่งเข้าไปหาเสิ่นลี่จูทันที
"ข้าจะฆ่าเจ้า !"
เสิ่นลี่จูย่นหัวคิ้ว นางไม่คิดว่าเขาจะโมโหนางมากขนาดนี้ ก็แค่ปานที่ก้นไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย
หรือว่าปานนี่เขาจะไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้
เสิ่นลี่จูถูกเจิ้งจิ่งเหอใช้มือบีบปลายคางอย่างแรงจนนางเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด
"หากท่านทำร้ายข้า ก็เท่ากับเปิดศึกกับจวนแม่ทัพใหญ่ ท่านเพิ่งขึ้นครองราชย์สถานะยังไม่มั่นคง ข้าตายก็ช่างเถิด แต่ท่านกล้าเสี่ยงหรือไม่เล่า”
เจิ้งจิ่งเหอที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้สติ เขาพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเอ่ย
"เสิ่นลี่จู เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าตอนนี้ข้าสามารถฆ่าเจ้าได้"
"ข้าเชื่อ แต่ท่านกล้าเสี่ยงหรือไม่เล่า ท่านพ่อข้าสนับสนุนท่านขึ้นครองราชย์ แต่ท่านกลับสังหารบุตรสาวเขา เป็นฮ่องเต้แล้วอย่างไร คิดว่าสูงส่งนักหรือ"
นางอาศัยจังหวะตอนที่เขาเผลอ ผลักชายหนุ่มออกจากตัว ก่อนจะทะยานเหินกายพุ่งออกจากจวนตระกูลเสิ่นอย่างรวดเร็ว เจิ้งจิ่งเหอรีบตามนางไปหมายจะสะสางเรื่องที่เกิดขึ้น แต่นางกลับรวดเร็วเสียเหลือเกิน อีกทั้งยังเขวี้ยงมีดสั้นมาใส่เขาอีกด้วย จะใจกล้าเกินไปแล้ว
เมื่อกลับเข้ามาในตำหนักของตน เสิ่นลี่จูยังไม่ทันจะได้หายใจให้คล่องคอ ก็พบว่าเจิ้งจิ่งเหอตามนางมาอย่างรวดเร็ว เขาปิดหน้าต่างทุกบาน ก่อนจะพุ่งเข้ามาจับไหล่ทั้งสองของนางเอาไว้
บ้าจริง เขาจะฆ่านางจริง ๆ หรือ
"ต้องการสิ่งใดก็ว่ามา แลกกับไม่เอาเรื่องปานที่ก้นข้าไปแพร่งพราย เรื่องนี้สำคัญกับข้ามาก"
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ที่เสิ่นลี่จูกล่าวมาไม่ผิด แม้เขาจะมีอำนาจแต่การผลักไสแม่ทัพใหญ่ให้มีใจคิดคดนั่นไม่ใช่เรื่องดี ตราบใดที่คนผู้นั้นยังไม่ตาย เขาจะประมาทไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว
เสิ่นลี่จูหรี่ตามองเขาคราหนึ่ง เจิ้งจิ่งเหอไม่อยากจะมองหน้าเสิ่นลี่จูนาน ๆ เพราะเกรงว่าอาจจะเกิดโทสะ
"ทำสัญญาตามที่หม่อมฉันบอก หากจบเรื่องของพี่สาวหม่อมฉันแล้ว ต่างคนต่างไป ส่วนเรื่องปานของพระองค์ต่อให้มันจะลามขึ้นมาบนหน้าผาก หม่อมฉันไม่สนใจ และไม่เอาไปบอกใครทั้งนั้นเพคะ"
เอ่ยจบนางก็ตรงไปที่โต๊ะตำราที่ตั้งอยู่ภายในห้องและเขียนสัญญาอย่างรวดเร็วสองแผ่นและนำมาให้เจิ้งจิ่งเหอลงชื่อ เขาอ่านรายละเอ่ียดในสัญญาคราหนึ่ง เมื่อพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติจึงลงลายมือทันที
"หากเจ้าผิดคำสัญญา ข้าฆ่าเจ้าแน่"
"รู้แล้วเพคะ รีบไสหัวกลับไปเถอะ"
เอ่ยจบนางก็ออกปากไล่เขาทันที เจิ้งจิ่งเหอถลึงตาใส่เสิ่นลี่จูก่อนจะยอมจากไปแต่โดยดี
เมื่อคนจากไปแล้ว นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อครู่นี้นางเริ่มหวาดกลัวเขาแล้ว แต่ยังทำใจดีสู้เสือ
"ตายจริง ช่างเป็นภาพคู่รักที่งดงามเหลือเกิน แผล็บแผล็บ"
เสิ่นลี่จูปรายตามองเทพธิดาจิ้งจกที่แลบลิ้นตวัดแมลงลงท้องไปคราหนึ่ง
"งดงามกับผีน่ะสิ กินแมลงต่อไป ไม่ต้องมายุ่งกับข้า หากยังพูดมากข้าจะหาเชือกมามัดปากท่าน"
"สามหาว! เหอะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าปานนั้นมันสำคัญกับเขามากเพียงใด ยามที่เขายังเยาว์ถูกไต้ซือทำนายดวงเอาไว้ว่าบนกายเขามีปานอัปมงคล หากคนนอกล่วงรู้มากเท่าไร เขาก็จะอายุสั้นมากเท่านั้น เจ้าก็ไปรู้เสียนี่ แต่เขากลับไม่อาจสังหารเจ้าได้ เพราะเป็นเนื้อคู่กัน"
"ข้าต้องดีใจหรือ"
"ใช่หรือไม่เล่า"
"ไสหัวไปกินแมลงต่อเถอะ!"
เสิ่นลี่จูทิ้งกายลงนั่งบนเตียงพลางใคร่ครวญถึงคำพูดของเทพธิดาจิ้งจก ไม่คิดว่าปานนั่นจะเป็นลางร้ายสำหรับเขา
แต่ช่างเถอะ นางเองก็ไม่ได้คิดจะบอกใครอยู่แล้ว หลังจากจบเรื่องนางก็คงจะแยกย้ายกับเขา ออกจากนิยายไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ แต่จะให้นางมีลูกกับคนที่จ้องจะเด็ดหัวนางทุกวัน นางคงไม่อาจยอมรับได้!
เช้าวันต่อมาอากาศค่อนข้างดีไม่น้อย แม้จะยังหนาวเย็นอยู่บ้าง แต่ก็นับว่าเบาบางลงไปไม่น้อยแล้ว อาหารเช้าวันนี้ที่เมี่ยวเถียนนำเข้ามาทำให้เสิ่นลี่จูค่อนข้างแปลกใจไม่น้อย เพราะมันมีทั้งเนื้อสัตว์และผลไม้หลายอย่าง ต่างจากก่อนหน้านี้ที่มีแต่ผักจนนางแทบทนไม่ไหวต้องไปติดสินบนพ่อครัวแลกกับอาหารดี ๆ สักมื้อ เสิ่นลี่จูทิ้งกายลงนั่งที่เก้าอี้ พลางเอ่ยถามสาวใช้ข้างกายตน"เหตุใดวันนี้จึงมีเนื้อเล่า"เมี่ยวเถียนยิ้มอย่างสุขใจ ก่อนจะเอ่ย"ทูลพระสนม นี่เป็นคำสั่งของฝ่าบาทเพคะ บอกว่าตอนนี้ไม่ต้องประหยัดงบประมาณแล้วเพคะ"เสิ่นลี่จูไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเพียงคีบอาหารเข้าปากอย่างรวดเร็ว ในใจของนางรู้ดีว่าเขาทำเช่นนี้เพราะเหตุอันใด คงกลัวนางจะเอาเรื่องนั้นไปแพร่งพรายจึงมาทำดีกับนาง เพราะเขายังสังหารนางไม่ได้ เสิ่นลี่จูไม่ได้รู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ได้ต่อว่าต่อขานเขาหลังจากกินมื้อเช้าอิ่มแล้ว นางก็สั่งให้เมี่ยวเถียนนำเสื้อคลุมมาให้ตน นางต้องการจะไปเข้าเฝ้าเจิ้งจิ่งเหอที่ตำหนักมังกรสวรรค์เสียหน่อย เมื่อคืนนี้นางครุ่นคิดทั้งคืนว่าจะใช้แผนการใดที่จะลากตัวคนร้ายออกมาให้ได้ และก็สามารถคิดได้แผนการหนึ่งเดิมที
"พระสนมเพคะ ตำหนักเย็นหนาวเหน็บไม่น้อยเลย แม้จะผ่านฤดูหนาวมาแล้ว แต่อย่างไรก็ยังหนาวอยู่ ซ้ำร้ายร่างกายพระองค์ก็ยังไม่สู้ดีหากต้องลมหนาวอาจจะเป็นหวัดเอาได้ พระองค์ไม่น่าไปทำให้ฝ่าบาททรงพิโรธเลยนะเพคะ"เมี่ยวเถียนเอ่ยไปพลางเก็บกวาดตำหนักเย็นไปพลาง เสิ่นลี่จูที่ได้ฟังก็ถึงกับส่ายหน้าไปมา นางยั่วโมโหเขาที่ไหนกัน คนโรคประสาทนั่นมันจงใจหาเรื่องนางไม่เลิกราต่างหาก เห็นทีนางจะต้องรีบสืบหาการตายของเสิ่นอ้ายเยว่ให้พบโดยเร็ว จะได้ไม่ต้องมาคอยรองรับอารมณ์คนบ้า ๆ อย่างเขาอีก"เจ้าก็รีบทำความสะอาดเถิด คิดเสียว่ามาพักผ่อนตากลมเย็นก็แล้วกัน เจ้าไม่ต้องห่วงข้า ข้าไม่เป็นอะไรหรอก"เอ่ยจบเสิ่นลี่จูก็เดินไปทิ้งกายลงนั่งบนเตียง พลางครุ่นคิดเรื่องอะไรไปเรื่อยเปื่อย ตอนนี้รอบกายนางล้วนมีแต่คนน่าสงสัยเต็มไปหมด ย่อมต้องระวังตนเองให้ดี ในเมื่อยามนี้ยังไม่ได้บอกแผนการให้เจิ้งจิ่งเหอรู้ ก็คงต้องระแวดระวังตนเองไปก่อนหลังจากที่เสิ่นลี่จูจากไปแล้ว เจิ้งจิ่งเหอก็นั่งครุ่นคิดถึงเรื่องที่เขาจะต้องจัดการ อีกไม่นานกู้อวิ๋นหาน ลูกพี่ลูกน้องของเขาก็จะเดินทางกลับมาเมืองหลวงแล้ว ก่อนหน้านี้เขาได้ให้กู้อวิ๋นหานไปสืบเรื่อง
เจิ้งจิ่งเหอเร่งรีบมาพบกับมารดาด้วยความดีใจ ก่อนหน้านี้เสด็จแม่ของเขาหรือก็คือกู้ไทเฮา ได้เสด็จไปไหว้พระขอพรที่วัดหรงหวาอยู่ร่วมเดือนแล้ว หลังจากเสด็จพ่อสวรรคตไปแล้ว เสด็จแม่ก็มักจะสวดมนต์ขอพรอยู่ตลอด เขาไม่ได้คัดค้านอันใด ขอเพียงมารดามีความสุขเขาล้วนสนับสนุนทั้งสิ้นเมื่อมาถึงที่ตำหนักของกู้ไทเฮา กู้อวิ๋นหานที่กำลังเดินออกมาจากตำหนักเมื่อพบเขาก็ยิ้มให้อย่างสนิทสนม"ถวายพระพรฝ่าบาท""ไม่ต้องมากพิธี เจ้าไปรอข้าที่ห้องอักษรสักครู่ ข้าจะรีบตามไป""ได้พ่ะย่ะค่ะ"กู้อวิ๋นหานพยักหน้ารับ หลังจากคนไปแล้ว เจิ้งจิ่งเหอก็รีบรุดเข้าไปในตำหนักของกู้ไทเฮาทันที เมื่อมาถึงเขาก็รีบเอ่ยถามหลี่หมัวหมัว"หลี่หมัวหมัว เสด็จแม่เล่า"หลี่หมัวหมัวที่เห็นเช่นนั้นก็รีบเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม"ทูลฝ่าบาท ไทเฮาทรงนอนพักอยู่ในห้องนอนเพคะ ทรงกำลังรอพระองค์อยู่พอดี"เจิ้งจิ่งเหอพยักหน้า เขารีบเดินเข้าไปในห้องบรรทมของมารดาทันที เมื่อเข้ามาถึงภาพตรงหน้าก็ทำเอาเขาถึงกับยิ้มไม่ออกตอนนี้เสด็จแม่ของเขากำลังเอนกายพิงหมอน ในขณะที่มือข้างหนึ่งทรงถือจอกสุราเอาไว้"โอ๊ย ยามอยู่วัดข้าต้องละเว้นสุรา พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ามือสั่นเพ
เจิ้งจิ่งเหอยกจอกสุราขึ้นดื่มอีกครั้ง พลางเอ่ย"ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าไปสืบหาความจริงในจวนตระกูลเสิ่น ได้พบกับเสิ่นลี่จูเข้า นางลอบออกจากวังหลวงกลางดึก บอกว่าต้องการสืบหาเบาะแสการตายของเสิ่นอ้ายเยว่"คำพูดนี้ของเจิ้งจิ่งเหอทำให้กู้อวิ๋นหานถึงกับชะงัก เขาจ้องมองเจิ้งจิ่งเหอ พลางเอ่ยตอบ"นางจะไปหาหลักฐาน หรือไปทำลายหลักฐานกันแน่ ฝ่าบาทอย่าได้วางใจ"เจิ้งจิ่งเหอไม่ตอบ เรื่องนี้เขาเองก็ไม่ได้ละเลยหรือไม่ระวัง เพียงแต่อยากรู้ว่าเสิ่นลี่จูแท้จริงแล้วคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ สาเหตุที่เขาเอาตัวนางมาอยู่ในวังหลวงก็เพื่อให้ง่ายต่อการจับตาดูพฤติกรรมของนางด้านกู้อวิ๋นหานนั้น เมื่อได้ยินชื่อของเสิ่นลี่จูภาพแรกที่เขาคิดถึงก็คือภาพที่นางอาละวาดพี่สาวของตนและขว้างปาทำลายข้าวของ อีกทั้งยังต่อว่าต่อขานเขาอย่างไม่ไว้หน้า เขาไม่ถึงกับเกลียดนาง แต่การอยู่ให้ห่างจากสตรีเช่นนี้ย่อมดีมากกว่าและเขาเองก็คิดเช่นเดียวกับเจิ้งจิ่งเหอว่า การตายของเสิ่นอ้ายเยว่เก้าในสิบส่วนเป็นฝีมือของเสิ่นลี่จูเมื่อคิดถึงเสิ่นอ้ายเยว่ ใจของกู้อวิ๋นหานก็บีบรัด เขามีความลับหนึ่งที่ไม่เคยบอกกับผู้ใดนั่นก็คือ เขาหลงรักเสิ่นอ้ายเยว่ตอนที่
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เสิ่นลี่จูก็รีบออกจากวังหลวงในทันที แม้ในใจจะสงสัยว่าวันนี้เจิ้งจิ่งเหอดูแปลกไป แต่นางก็ไม่มีเวลาคิดมาก การหาเบาะแสของคนร้ายสำคัญกว่าจะล่าช้าไม่ได้ เมี่ยวเถียนแม้จะร้อนใจแต่ไม่อาจห้ามปรามเจ้านายของตนได้เสิ่นลี่จูออกจากวังหลวงมาหยุดอยู่ที่ตรอกแห่งหนึ่ง นางสวมชุดชาวบ้านธรรมดาและใช้ผ้าปิดบังใบหน้าเอาไว้เพราะไม่ต้องการให้ผู้ใดล่วงรู้ตัวตนของนาง หญิงสาวเดินตรงไปที่ร้านรวงต่าง ๆ ที่พี่สาวเคยไป สืบหาเบาะแสของเสิ่นอ้ายเยว่ แต่จนแล้วจนรอดกลับไม่พบเบาะแสใด เสิ่นลี่จูเม้มริมฝีปากแน่น มันยากเกินไป นางไม่รู้ว่าจะเริ่มจากจุดไหนเลยด้วยซ้ำเดินอยู่นานเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาเสียแล้ว เสิ่นลี่จูจึงตรงเข้าไปที่โรงน้ำชาจิ้งหลง นางสั่งน้ำชาและขนมมากินเพื่อคลายความหิว ในขณะที่หญิงสาวกำลังยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีคนกำลังมองตนอยู่ เมื่อนางหันซ้ายขวามองรอบกายกลับไม่พบเงาของใคร มีเพียงลูกค้าที่มาหาความสำราญจากโรงน้ำชาจิ้งหลงเพียงเท่านั้น เสิ่นลี่จูย่นหัวคิ้ว นางรู้สึกว่ารอบด้านเหมือนจะไม่ปลอดภัยเท่าใดนักเมืองหลวงแคว้นตงหลางงดงามไม่เป็นสอง อีกทั้งยังคึกคักเป็นอย่าง
"ว่าอย่างไรนะ คนที่เจ้าลงมือสังหารก็คือเสิ่นลี่จูอย่างนั้นหรือ ซ้ำร้ายนางยังรอดไปได้อีกด้วย!""พ่ะย่ะค่ะ""ทำงานไม่ได้เรื่อง เจ้ารีบหลบออกจากเมืองหลวงไปก่อน ไม่มีคำสั่งจากข้าห้ามกลับมาเด็ดขาด""พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง"เจิ้งหมี่ที่กำลังนั่งปักผ้าเช็ดหน้าเมื่อได้ยินสิ่งที่นักฆ่ากลับมารายงานนางก็ตื่นตระหนกไม่น้อย ถึงกับทำเข็มทิ่มปลายนิ้วของตนเองจนโลหิตสีแดงสดหยดลงบนผ้าเช็ดหน้าผืนงามเป็นวงกว้าง นางโยนมันทิ้งลงบนพื้น ใบหน้าสวยหวานยามนี้เคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด เดิมทีกว่าจะลอบนำนักฆ่าเข้าวังหลวงไม่ใช่เรื่องง่าย นักฆ่าผู้นี้ภายนอกคือขันทีที่รับใช้ข้างกายนาง คอยดูแลสวนและแบกหามสิ่งของ ยามนี้นางกลับต้องเสียคนที่ไว้ใจไป!ก่อนหน้านี้นางมีเรื่องต้องพบปะกับคนผู้นั้นที่ด้านนอกวังหลวง แต่ระหว่างที่เดินลัดเลาะไปตามเส้นทางกลับรู้สึกว่าคล้ายมีคนสะกดรอยตามนางมา เมื่อนักฆ่ากลับมารายงานว่าเป็นสตรีนางหนึ่งและยังใช้ผ้าปิดบังใบหน้าช่างดูน่าสงสัยยิ่งนัก นางจึงสั่งให้จัดการสังหารเสียเพื่อป้องกันเอาไว้ก่อน ผู้ใดจะรู้ว่าสตรีนางนั้นจะเป็นเสิ่นลี่จู ซ้ำนางนั่นยังเอาตัวรอดไปได้ ที่สำคัญเรื่องนี้กู้อวิ๋นหานยังย
ยามนี้เข้าสู่ช่วงต้นฤดูร้อนแล้ว พืชน้ำจำพวกบัวและกระจับเริ่มแตกดอกออกใบ ขับเน้นให้สระน้ำภายในอุทยานหลวงดูงดงามมีชีวิตมากยิ่งขึ้น ดอกเฉียงเวยเริ่มโรยรา ดอกโบตั๋นเริ่มผลิดอกงดงามบานสะพรั่งไปทั่วทั้งวังหลวง ช่างดูงดงามราวกับแดนสวรรค์เรื่องที่เจิ้งจิ่งเหอแต่งตั้งเสิ่นลี่จูเป็นเสิ่นกุ้ยเฟยนั้น ทราบกันไปทั่วทั้งวังหลวงแล้ว เจิ้งหมี่ที่อยู่ในตำหนักถึงกับกำมือแน่น เห็นชัด ๆ ว่าก่อนหน้านี้เสด็จพี่ไม่ชมชอบนาง แต่เพราะสตรีนางนั้นคงจะใช้สารพัดเล่ห์กลมายั่วยวน เสด็จพี่ของนางจึงหลงใหลนางจนโงหัวไม่ขึ้นเมื่อเสิ่นลี่จูมีสถานะสูงส่งมากขึ้น แน่นอนว่าการที่นางจะจัดการลงมือทำสิ่งใดจะต้องยากกว่าเดิม ยิ่งเป็นที่โปรดปรานของเสด็จพี่ด้วยแล้ว นางก็ยิ่งต้องคิดหนักแต่ถึงอย่างนั้นเจิ้งหมี่ก็ไม่ได้หนักใจเท่าใดนัก นางเตรียมแผนการรับมือเอาไว้ในใจแล้วตำหนักใหม่ค่อนข้างกว้างขวางเป็นอย่างมาก เสิ่นลี่จูชื่นชอบความสวยความงาม นางจึงสั่งให้เมี่ยวเถียนนำบุปผานานาพรรณมาปลูกเอาไว้รอบตำหนัก ก่อนหน้านี้เจิ้งจิ่งเหอมาหานางและบอกว่าเขาทำไปเพราะต้องการสืบหาความจริง หากทุกอย่างได้รับการไขคดีจนกระจ่างแล้ว นางจะไปที่ไหนก็ตามใจนาง
เจิ้งจิ่งเหอถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออก เดิมทีภาพที่เขาวาดหวังเอาไว้คือเสิ่นลี่จูต้องถูกมารดาเขาตำหนิจนน้ำตานองหน้าเป็นแน่ แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้นนางกลับนั่งดื่มสุรากับมารดาเขาอย่างสนิทสนม ซ้ำยังสบถวาจาแปลกประหลาดออกมาไม่หยุดไม่ยั้งเจิ้งจิ่งเหอทนมองไม่ได้อีกต่อไป เขาจึงส่งให้คนมาแยกตัวกู้ไทเฮาและเสิ่นลี่จูออกจากกันในทันที กู้ไทเฮาถึงกับสบถออกมาอย่างอารมณ์เสีย"ผู้ใดมันกล้ามาขัดขวางการดื่มสุราของข้ากับลูกสะใภ้กัน ลูกสะใภ้ของแม่ มาดื่มกันต่อเร็วเข้า ไม่สิ เสิ่นลี่จูเพื่อนรัก มาดื่มกันเถอะ มา ๆ"ถึงกับเรียกขานกันเป็นเพื่อนรักเสียด้วย!เจิ้งจิ่งเหอส่งเสียงเหอะออกมา เสิ่นลี่จูเจ้านี่มันจะเก่งกาจเกินไปแล้ว ถึงขนาดดึงเสด็จแม่ข้ามาเป็นพวกได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วยามนับว่ามีฝีมือฉกาจด้านเสิ่นลี่จูที่เมาได้ที่แล้วก็เอ่ยอย่างอ้อนวอน"เสด็จแม่เพคะ หม่อมฉันยังดื่มไม่สาแก่ใจเลย เสด็จแม่อย่าปล่อยมือหม่อมฉันนะเพคะ""แม่ไม่มีทางปล่อยมือเจ้า ลูกสะใภ้ของแม่ มาดื่มอีกสักจอกเถอะ""สองจอกไปเลยเพคะ!"เจิ้งจิ่งเหอปั้นหน้าไม่ถูก ยามนี้เขารู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนบาปที่มาขัดขวางความรักของคนทั้งสองอย่างไรอย่างนั้น
ยามนี้ทหารกบฏตายหมดสิ้นแล้ว อู๋อ๋องถูกตัดศีรษะ แต่ทว่าเจิ้งจิ่งเหอกลับหาตัวของเจิ้งมู่หยางไม่พบเวลาเดียวกันนั้น เสิ่นฮูหยินก็มาแจ้งว่า เสิ่นลี่จูหายตัวไปตั้งแต่กลางดึกแล้ว นางส่งคนออกตามหาแต่กลับไม่พบตัวคนเจิ้งจิ่งเหอและกู้อวิ๋นหานตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เขาสั่งคนออกตามหาเสิ่นลี่จูแต่กลับไร้วี่แวว เจิ้งจิ่งเหอคิดว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวพันกับเจิ้งมู่หยางเป็นแน่เมื่อหาเสิ่นลี่จูไม่พบ เจิ้งจิ่งเหอก็ไม่เป็นอันทำสิ่งใด เขาเหมือนคนคลุ้มคลั่ง ในขณะที่กำลังสิ้นหวังเต็มที เขาก็เหลือบไปเห็นว่าบนโต๊ะมีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ บนกระดาษมีข้อความเขียนเอาไว้คนรักของเจ้าอยู่ที่ป่าไผ่รกทึบ ห่างจากจวนตระกูลเฉิงไปไม่ไกล ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีร่องรอยของการขุดฝัง รีบไปก่อนจะไม่ทันการณ์เจิ้งจิ่งเหอกำจดหมายนั้นเอาไว้แน่น เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งมา แต่ยามนี้ทางใดที่เหมือนแสงสว่างเขายินดีทำทั้งหมด กู้อวิ๋นหานเมื่อได้ทราบข่าวจากเจิ้งจิ่งเหอก็รีบไปช่วยตามหา แม่ทัพใหญ่เสิ่นนั้นก็เร่งตามไปเช่นเดียวกันชายหนุ่มทั้งสองมายังจุดที่จดหมายปริศนาบอกเอาไว้ เขาตรงไปที่ต้นไม้ใหญ่และพบร่องรอยการขุดดินจริง ๆเจิ้งจิ่งเหอรีบใช้
หลายสิบวันต่อมา ในที่สุดเจิ้งจิ่งเหอก็เดินทางมาถึงชายแดนเมืองหวายเยียนพร้อมกับกู้อวิ๋นหาน ครั้งนี้เขานำกำลังทหารมาไม่น้อยเลย แม่ทัพใหญ่โต้วรีบออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ครั้งนี้บิดาของเสิ่นลี่จูก็ออกมารับเสด็จเช่นเดียวกัน เจิ้งจิ่งเหอยังไม่ทันได้พบกับเสิ่นลี่จูก็รีบเร่งรุดไปที่ชายแดนเสียก่อน เขาจัดกำลังทหารใหม่ ได้พักเพียงวันเดียวก็ต้องออกรบทำศึกเสียแล้วเสิ่นลี่จูอยู่ที่จวนตระกูลเฉิง นางทำอาหารหลายอย่างและให้เจิ้งจิ่งเหอ กู้อวิ๋นหาน และคนอื่น ๆ ได้กินรองท้อง ตั้งแต่เขาเดินทางมาที่นี่ยังไม่ได้พบกับนางเลย แต่เสิ่นลี่จูกลับไม่ได้รู้สึกน้อยใจ นางรู้ดีว่าเขากำลังมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการมากกว่าเรื่องของนางเจิ้งจิ่งเหอออกรบอยู่ที่นอกกำแพงเมือง เมื่อเขามาถึงก็ทำให้ได้ทราบว่า แท้จริงแล้วกุนซือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการก่อสงครามครั้งนี้ก็คือเจิ้งมู่หยางเจิ้งมู่หยางยังไม่ตาย ศพที่พบก่อนหน้าคือคนทีี่ปลอมตัวเป็นเจิ้งมู่หยางโดยใช้หน้ากากหนังมนุษย์เพื่อหลอกให้เขาตายใจเจิ้งมู่หยางนำกำลังทหารของตนไปผนวกร่วมเข้ากับแคว้นอู๋ และร่วมมือกันก่อกบฏ โดยใช้อู๋อ๋องเป็นคนนำทัพ ส่วนตนเองนั้นคอยบงการอยู่เบื้องหลัง
หลายวันต่อมา เสิ่นฮูหยินก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง ซึ่งส่งมาจากเมืองหวายเยียน บอกว่าน้องชายของนางเกิดล้มป่วยกะทันหัน คาดว่าคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน และอยากจะพบหน้านางซึ่งเป็นพี่สาวครั้งสุดท้าย เสิ่นฮูหยินจึงรีบสั่งให้คนเก็บข้าวของเพื่อเดินทางไปเมืองหวายเยียนทันทีเสิ่นฮูหยินมารดาของเสิ่นลี่จูเป็นสตรีที่มีถิ่นฐานเดิมมาจากเมืองหวายเยียน ยามนั้นแม่ทัพใหญ่เสิ่นไปออกรบ คนทั้งสองได้พบรักกัน มารดาของนางเป็นบุตรสาวของคหบดีที่ร่ำรวยผู้หนึ่งในเมืองหวายเยียน อีกทั้งยังมีกิจการอยู่ที่เมืองหลวงไม่น้อย เมื่อแต่งกับแม่ทัพใหญ่เสิ่นจึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวง ร้านรวงที่อยู่ในเมืองหลวง ทางครอบครัวได้มอบให้เป็นสินเดิมของนางทั้งหมดแม่ทัพใหญ่เสิ่นที่ได้ทราบข่าวก็ตั้งใจว่าจะเดินทางไปกับภรรยาด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเขาไม่มีสิ่งใดต้องรับผิดชอบอีกแล้ว เสิ่นลี่จูก็ต้องร่วมเดินทางไปด้วยเช่นเดียวกัน เผื่อว่าทางใต้มีทำเลทิศทางทำการค้าได้ดี นางอาจจะเปิดภัตตาคารที่นั่นอีกสาขาหนึ่งเจิ้งจิ่งเหอที่ได้ทราบข่าวเดิมทีเขาไม่อยากให้นางไป ตอนนี้ทางทิศใต้สงครามยังไม่สงบ รองแม่ทัพโต้วซึ่งยามนี้กลายเป็นแม่ทัพใหญ่โต้วคนใหม่ ได้ไปปราบ
เอ่ยจบเขาก็กึ่งเดินกึ่งลากตัวนางออกมาจากเรือน เสิ่นลี่จูรีบรั้งตนเองเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย"ฝ่าบาท เหตุใดจึงทรงทำเช่นนี้เล่าเพคะ"เจิ้งจิ่งเหอหันมาจ้องสตรีตรงหน้าเขม็ง"ทำไม หรือว่าเจ้าอยากแต่งกับเขา เสิ่นลี่จู ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้ตรงนี้เลยนะ ข้าไม่มีวันให้เจ้าได้สมใจ""เพราะเหตุใด เราต่างไม่มีเรื่องติดค้างใจต่อกันแล้ว พระองค์ไม่มีสิทธิ์มาทำเช่นนี้ตามใจชอบ""เพราะว่าข้าชอบเจ้าได้ยินหรือไม่!""ฮะ!"เสิ่นลี่จูถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออก นางรู้สึกว่าตนเองกำลังหูฝาดไป จึงเอ่ยถามเขาย้ำอีกหน"ฝ่าบาททรงเอ่ยว่าอย่างไรนะเพคะ"เจิ้งจิ่งเหอถอนหายใจออกมา เขาเม้มริมฝีปากแน่น เสิ่นลี่จูนางหูหนวกหรือว่าหูตึงจึงไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาบอก เมื่อคิดได้เช่นนั้นชายหนุ่มจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะตะโกนจนลั่นจวน"ข้าชอบเจ้า สตรีหน้าโง่ เจ้าได้ยินหรือไม่ว่าข้าชอบเจ้า!"เสียงของเขาดังมาก ดังเสียจนทำให้บ่าวที่กวาดลานถึงกับทำไม้กวาดหล่นจากมือ สาวใช้ที่กำลังเช็ดจวนถึงกับทำผ้าหล่นลงพื้น แม่ทัพใหญ่เสิ่นหันไปมองฮูหยินของตนคราหนึ่งเมื่อได้ยินชัด ๆ แล้ว เสิ่นลี่จูก็ยิ้มออกมาในทันที นางไม่เคยคิดเลยว่ารักครั้งแรกของนางจะต้องมาเจ
เมื่อกลับมาอยู่ที่จวนแล้ว เสิ่นลี่จูก็เริ่มหมักสุราตามสูตรของนาง นางฝังสุราหลายไหเอาไว้ใต้ต้นไม้ สุราแต่ละชนิดล้วนมีเวลาการหมักบ่มของมัน เสิ่นลี่จูเองก็ไม่รีบร้อน อีกทั้งนางยังสั่งให้บ่าวไพร่ปลูกผักในจวนเอาไว้ขาย ไม่นานมานี้นางยังไปปรับปรุงภัตตาคารในเมืองหลวงซึ่งเป็นสินเดิมของมารดาเพื่อทำการค้าใหม่ ฝีมือการทำอาหารของเสิ่นลี่จูนับว่ายอดเยี่ยม ประจวบเหมาะกับนางนำความรู้จากยุคปัจจุบันมาประยุกต์ใช้ จึงทำให้อาหารที่ภัตตาคารของนางไม่เหมือนกับที่ใดที่ชวนให้ผู้คนสนใจมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นการสุ่มอาหาร ลูกค้าที่เข้ามาจะสามารถเลือกการจับฉลากสุ่มอาหารได้ เพียงจ่ายในราคาหนึ่งตำลึงสำหรับการสุ่มอาหารชุดใหญ่ ราคาสิบอีแปะสำหรับการสุ่มอาหารชุดกลาง และราคาสามอีแปะสำหรับการสุ่มอาหารชุดเล็ก พวกเขาจะไม่รู้เลยว่าอาหารชุดใหญ่นั้นจะมีอะไรบ้าง บางครายังได้สุราชั้นดีแถมกลับบ้านอีกด้วย เรื่องนี้สร้างความสนุกสนานแก่ผู้คนในเมืองหลวงไม่น้อยส่วนอาหารที่ขึ้นชื่ออีกอย่างก็คือ สลัดผัก เพราะในยุคโบราณมีวัตถุดิบไม่มาก นางจึงใช้น้ำมันงามาทำน้ำสลัดอย่างง่าย ๆ แต่รสชาติกลมกล่อมเป็นอย่างมาก สตรีในเมืองหลวงหลายคนที่ต้องการล
กว่าจะเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงก็เป็นเวลาเย็นย่ำมากแล้ว เมื่อกลับมาถึงตำหนักเสิ่นลี่จูก็รีบผลัดเปลี่ยนอาภรณ์และมากินมื้อเย็น หลังจากกินอิ่มแล้ว นางจึงไปเยี่ยมกู้ไทเฮาและอยู่พูดคุยด้วยกันครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาที่ตำหนักของตนเสิ่นลี่จูก็เดินไปที่โต๊ะตำรา ก่อนจะเปิดตำราเล่มหนึ่ง ด้านในนั้นมีหนังสือสัญญาที่เขาและนางลงลายมือประทับเอาไว้ร่วมกัน ไม่รู้เพราะเหตุใดยามที่คิดว่าถึงเวลาจะต้องแยกทางกันแล้ว นางจึงรู้สึกเศร้าใจถึงเพียงนี้ไม่รู้ว่านางเกิดความรู้สึกผูกพันกับเจิ้งจิ่งเหอยามใด เดิมทีเขาและนางเปรียบเหมือนกับเส้นขนานที่ไม่อาจจะมาบรรจบกันได้ เขาไม่เคยรักนาง ส่วนนางก็ต้องกลับไปยังที่ที่ตนเองจากมา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการไม่สานความสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกันนับว่าเป็นเรื่องดีเมื่อนึกเรื่องที่ต้องกลับไปยังโลกอนาคต เสิ่นลี่จูก็พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เรื่องของเสิ่นอ้ายเยว่ก็ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ว่าเหตุใดนางจึงกลับไปไม่ได้เล่าหญิงสาวมองไปโดยรอบ ก่อนจะพบเข้ากับเทพธิดาจิ้งจกที่เกาะอยู่ตรงประตู"เทพธิดาจิ้งจก ข้าไขคดีการตายของเสิ้นอ้ายเยว่ได้แล้ว เหตุใดจึงยังไม่สามารถกลับไปได้อีกเล่า"เทพธิดาจิ้งจกปรา
เมื่อเรื่องราวทุกอย่างคลี่คลายกระจ่างชัด คนร้ายถูกจับได้แล้ว เสิ่นอ้ายเยว่ย่อมได้รับความเป็นธรรม ส่วนอนุซ่งก็ถูกขับไล่ออกจากตระกูล ไม่กี่วันผ่านไปก็มีคนพบนางกลายเป็นศพนอนคว่ำหน้าอยู่ในแม่น้ำที่นอกเมืองหลวงด้านป้ายสุสานของเสิ่นอ้ายเยว่นั้น แม่ทัพใหญ่เสิ่นห้ามไม่ให้ผู้ใดเคลื่อนย้ายออกจากจวนเด็ดขาด แม้จะรู้ว่านางไม่ใช่บุตรแท้ ๆ แต่กลับไม่สนใจ พวกเขายังเห็นนางเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเสิ่นเสมอ เสิ่นอ้ายเยว่ไม่ผิด นางคือเหยื่อที่น่าสงสาร เพราะฉนั้นเกียรติสุดท้ายของนาง พวกเขาจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำลายได้อีกแล้วเมืองหลวงนยามนี้สงบไร้คลื่นลม ก่อนกลับเมืองหลวง เจิ้งจิ่งเหอสั่งคนตามหาตัวเจิ้งมู่หยาง ก่อนจะพบว่าเขากลายเป็นศพไปเสียแล้ว สภาพศพเหมือนกับตายมาหลายวัน ถูกสัตว์กัดแทะไปตามร่างกาย แต่ใบหน้ายังไม่ได้ถูกทำลายทั้งหมด เจิ้งจิ่งเหอจำได้ว่านี่คือเจิ้งมู่หยางไม่ผิดแน่อากาศฤดูร้อนผันผ่านล่วงเข้าสู่ช่วงสารทฤดู อากาศเริ่มร้อนน้อยลง กลางคืนเย็นสบาย เช้านี้เสิ่นลี่จูสั่งให้เมี่ยวเถียนและอาหลวนทำอาหารมากหน่อย นางจะนำไปไหว้หลุมศพของเสิ่นอ้ายเยว่ด้วยตนเองสุสานตระกูลเสิ่นอยู่ห่างจากนอกเมืองหลวงไปไม่ไกล เพรา
เจิ้งหมี่ตัวแข็งทื่อทำสิ่งใดไม่ถูกไปชั่วขณะ มือไม้ของนางสั่นเทา หญิงสาวมองบุรุษตรงหน้าที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายด้วยแววตาที่ตื่นตระหนกยามนี้ร่างกายของเสิ่นลี่จูไม่ไหวแล้ว นางได้รับบาดเจ็บสาหัส โลหิตสีแดงฉานอาบย้อมอาภรณ์ของนางจนเปียกชุ่ม เจิ้งจิ่งเหอใจหล่นวูบ ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าต่อให้สตรีนางนี้จะเป็นหรือตายล้วนไม่เกี่ยวกับเขา แต่เมื่อได้เห็นว่านางตกอยู่ในสภาพนี้ใจของเขากลับหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนที่ผ่านมาเขาเข้าใจนางผิดมาโดยตลอด แท้จริงแล้วฆาตกรกลับอยู่ข้างกายเขาทุกวัน ซ้ำยังเป็นคนที่เขารักและเชื่อใจมาโดยตลอดก่อนหน้านี้องครักษ์ลับของเขามาแจ้งว่าด้านเจิ้งมู่หยางเหมือนจะมีความเคลื่อนไหว เขาจึงรีบไปเฝ้าจับตาดูคนอยู่เป็นนานสองนาน แต่กลับไม่พบสิ่งใด จนกระทั่งเริ่มรู้สึกว่ามันผิดสังเกต จึงกลับกลับมาที่ตำหนักฤดูร้อน ก่อนจะพบกับอาหลวนนางกำนัลที่เขาส่งให้ไปรับใช้เสิ่นลี่จู อาหลวนบอกเขาอย่างร้อนใจว่าเจ้านายของตนหายตัวไป เขาจึงรีบตามหาจนกระทั่งมาพบนางในสภาพนี้"อวิ๋นหาน ให้คนส่งนางกลับตำหนักฤดูร้อน แล้วเร่งตามหมอมาโดยด่วน"เจิ้งจิ่งเหอเอ่ยจบก็ส่งสัญญาณให้เหล่าองครักษ์เงาออกมารับมือกั
เสิ่นลี่จูถูกคนปริศนาจับตัวพาดบ่าและออกวิ่งไปตามทางอย่างรวดเร็ว นางรู้สึกเวียนหัวเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังไม่อาจแยกแยะทิศทางได้อีกด้วยไม่นานนักพวกมันก็หยุดฝีเท้าลง ก่อนจะโยนตัวนางลงไปบนแคร่แข็ง ๆ จนนางร้องโอดครวญ จากนั้นพวกมันจึงจัดการเอากระสอบผ้าป่านที่คลุมศีรษะของนางออก เมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้า เสิ่นลี่จูก็ถึงกับขมวดคิ้วมุ่นคนที่อยู่ตรงหน้านางคือเจิ้งหมี่!"องค์หญิง"แม้จะตกตะลึงไปบ้าง แต่เสิ่นลี่จูกลับไม่มีความแปลกใจเท่าใดนัก เดิมทีนางก็สงสัยเจิ้งหมี่อยู่นานแล้ว เพียงแต่นางยังหาเหตุผลมาประกอบความสงสัยในใจของตนเองไม่ได้ หากเจิ้งหมี่เป็นคนลงมือจริง ๆ นางมีแรงจูงใจใดในการสังหารเสิ่นอ้ายเยว่กันแน่เจิ้งหมี่มองหน้าเสิ่นลี่จูด้วยแววตาเย็นชา ก่อนจะสั่งให้คนแก้ผ้ามัดปากนางออก ตอนนี้คนของนางทำงานไม่ได้เรื่อง จำเป็นต้องยืมคนของเจิ้งมู่หยางมาใช้งานก่อน คืนนี้หลังจากจัดการเสิ่นลี่จูได้แล้ว นางก็จะสังหารคนของเจิ้งมู่หยางให้หมด จากนั้นก็หาทางวางยาสังหารเขาเสีย ต่อไปนี้ก็จะไม่มีใครมาคอยบังคับหรือบงการให้นางทำตามใจชอบได้อีก"องค์หญิง จับตัวข้ามาทำไมกัน”ประโยคแรกที่เสิ่นลี่จูเอ่ยถามเจิ้งหมี่ก็คือ