เสียงฝีเท้าของผู้คนที่มากกว่าหนึ่งกำลังเดินตรงมาทางนี้ ทำให้สาวใช้คนสนิทของสตรีที่นั่งกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงดวงตาเหลือกลาน
"คุณหนู พวกเขามากันแล้วเจ้าค่ะ เราจักทำเยี่ยงไรดีเจ้าคะ"
เสี่ยวมี่ เอ่ยถามผู้เป็นนายเสียงสั่น ทั้งร่างของนางยังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวก้าวเข้ามาเกาะขาผู้เป็นนายที่นั่งอยู่บนเตียง
อิงอิง หรือในตอนนี้ก็คือ ว่านเย่วอิง บุตรสาวของท่านหมอ ว่านกู่ถิง หมอผู้ได้รับขนานนามว่าเป็นหมอเทวดาที่ชอบช่วยเหลือคนยากไร้ เป็นที่นับหน้าถือตาของเหล่าเชื้อพระวงศ์ ขุนนางและบรรดาชาวบ้านชาวเมือง ท่านหมอว่านนั้นได้มีโอกาสรักษาโรคประหลาดให้แก่องค์ชายพระองค์หนึ่ง ซึ่งองค์ชายพระองค์นั้นเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้จนหาย ตระกูลว่านจึงได้รับพระราชทานทรัพย์สินมากมาย และเป็นที่ชื่นชมขององค์ฮ่องเต้ จนประทานตำแหน่งให้ท่านหมอว่านเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้แก่เหล่าหมอหลวง ท่านหมอว่านจึงเป็นที่เคารพนับถือของผู้คน แต่เขากลับมีบุตรสาวที่เป็นสตรีร้ายกาจแห่งแคว้น
"เจ้ารับหน้าพวกเขาไปก่อน แจ้งว่าข้ายังไม่ได้สติ"
อิงอิงกล่าวจบนางก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้งและหลับตาลงในทันที
"จะดีหรือเจ้าคะคุณหนู"
เสี่ยวมี่ที่เอ่ยถามผู้เป็นนายของนางเสียงสั่นแต่กลับไม่ได้รับการตอบรับจากอีกฝ่าย พร้อมกับเสียงเปิดประตูเข้ามาทำให้นางไม่มีทางเลือก รีบทรุดกายลงนั่งบนพื้นข้างเตียง ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นซีดเผือดน้ำตาไหลพราก
"คุณหนูของเจ้าเหตุใดจึงยังไม่ตื่นอีก"
เสียงทุ้มกดต่ำที่เต็มไปด้วยโทสะของบุรุษตรงหน้าทำให้เสี่ยวมี่เอ่ยตอบด้วยเสียงอันสั่นเครือตะกุกตะกัก
"มะ ไม่ทราบ เจ้าค่ะ คุณชายเซี่ย บ่าวมิรู้ว่าเหตุใดคุณหนูของบ่าวถึงได้ยังไม่ฟื้นคืนสติ"
กล่าวได้เพียงเท่านั้นนางก็ปล่อยโฮออกมาอีกครา นางมิได้เสแสร้งแกล้งทำ แต่นางร้องไห้เพราะความหวาดกลัวจริงๆ เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเคืองของบุรุษตรงหน้าที่แทบจะฆ่าคนได้ของคุณชายเซี่ย เซี่ยชิงเทียน นางกลัวเหลือเกินว่ากระบี่ในมือของเขาจะตวัดใส่ลำคอเล็กๆ ของนาง
อิงอิง นางได้ยินเสียงของบุรุษผู้นั้นถึงกับต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก รับรู้ถึงความโกรธเคืองที่แผ่ออกมาจากกายของอีกฝ่าย คุณชายเซี่ยชิงเทียน พระเอกในนิยายที่คร่าชีวิตของนางร้ายในเรื่องหรือก็คือนางในตอนนี้ไม่ผิดแน่
อิงอิง รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในคราแรกนางก็พบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาในสถานที่ที่แปลกตา จำได้ว่านางนอนอ่านนิยายจนไม่ยอมหลับยอมนอนแล้วร่างกายนั้นก็เกิดรับไม่ไหว นางช็อคจนถึงแก่ความตาย แต่ไม่คิดเลยว่าชีวิตหลังความตายของนางจะโผล่มาเป็นนางร้ายในนิยายที่นางเคยอ่านเมื่อนานมาแล้ว จนนางแทบจะจำเนื้อหาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นางตื่นขึ้นมาอีกทีก็อยู่ในร่างของ ว่านเย่วอิง สตรีร้ายกาจแห่งแคว้น ที่รู้เพียงว่านางร้ายในเรื่องตายอย่างอนาถยิ่งนัก ถูกพระเอกวางยาพิษให้ทุกทรมานเพราะคิดร้ายต่อนางเอก วางแผนทำร้ายนางเอกสารพัดวิธี เลือดนั้นไหลออกทางทวารทั้งเจ็ด จนตาย แค่คิดนางก็ขนพองสยองเกล้า
ในตอนแรกเมื่อรับรู้ว่าตนมาอยู่ในร่างของนางร้ายผู้นี้ นิยายที่นางเคยอ่านก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ สตรีในยุคปัจจุบันเข้ามาเกิดใหม่ในร่างของสตรียุคอดีตที่ไม่ได้โดดเด่น มีความสวยแต่ไม่มีสมอง เป็นตัวประกอบบ้างล่ะ นางร้ายบ้างล่ะ แต่พวกนางกลับใช้ความสามารถที่ติดตัวมาพลิกบทบาทเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นนางเอก
แล้วนางเล่า เดิมนางนั้นเป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่ ตระกูลเก่าแก่ที่ร่ำรวยติดอันดับของประเทศ ชีวิตของนางจึงเปรียบดั่งเจ้าหญิง ที่ไม่แม้แต่จะต้องหยิบจับสิ่งใด วันๆ หนึ่ง ชีวิตของนางจึงมีแต่เรื่องน่าเบื่อหน่าย สิ่งเดียวที่นางทำได้ดีคือชี้นิ้วสั่ง นางไม่มีความสามารถใดใดเลย นางทำสิ่งใดไม่เป็น อีกอย่างนางนั้นยังเป็นตัวโง่งม ไร้ความสามารถ จะใช้สิ่งใดมาตะเกียกตะกายให้ร่างนี้ได้เป็นนางเอกกัน คุณหนูเช่นนางจะทำสิ่งใดได้ จะใช้ความสามารถใดพาตัวเองให้รอดพ้นจากความตายเช่นในนิยายได้เล่า นางมิได้เป็นหมอ ทำอาหารหรือก็ไม่เป็น ความรู้ใดก็ไม่มี ก็นางเป็นคุณหนูที่ใช้ชีวิตดุจดั่งเจ้าหญิง บ้านนางร่ำรวยล้นฟ้า แล้วนางจะเหนื่อยดิ้นรนไปทำไมกัน
แต่อิงอิงเอ๋ย เจ้าช่างมาอยู่ในร่างนี้ได้ถูกเวลายิ่ง เพียงคิดว่าหากอยู่อย่างสงบ นางก็จะไม่พบจุดจบที่น่าเศร้า แต่กลับมิอาจทำได้ เมื่อเจ้าของร่างเดิมได้สร้างเรื่องเอาไว้ให้นางเสียแล้ว
ว่านเย่วอิงนางปักใจรักในตัวคุณชายเซี่ยชิงเทียนมาตั้งแต่นางอายุได้สิบสองหนาว เพราะว่านเย่วอิงนั้นได้ติดตามผู้เป็นบิดาซึ่งเป็นหมอผู้ที่มีพรสวรรค์ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองหลวงตั้งแต่สี่ปีก่อน เรือนของทั้งสองนั้นอยู่ติดกัน จึงทำให้ทั้งคู่นั้นสนิทสนมกันมาตั้งแต่บัดนั้น
คุณชายเซี่ยชิงเทียนมีอายุมากกว่าว่านเย่วอิงสองปี เขาเป็นบุตรชายคนเดียวของแม่ทัพใหญ่ของแคว้น เป็นชายหนุ่มรูปงามทำให้ว่านเย่วอิงตกหลุมรักอีกฝ่ายตั้งแต่แรกพบ ว่านเย่วอิงนางคิดมาตลอดว่าชายหนุ่มเองก็มีใจให้แก่นาง จนกระทั่งในวันปักปิ่นของนางเมื่อหนึ่งปีก่อน ว่านเย่วอิงถึงได้รู้ว่าชายที่นางตกหลุมรัก เขานั้นมีใจให้สตรีอีกคน เพราะเขานั้นสารภาพรักกับสตรีนางนั้นในวันปักปิ่นของนาง ซึ่งสตรีนางนั้นก็เป็นสหายสนิทของว่านเย่วอิง หลิวซูเซียน นางเอกของเรื่อง จึงสร้างความโกรธแค้นให้ว่านเย่วอิงเป็นอย่างมาก นางจึงเข้าไปทำร้ายอีกฝ่าย เรื่องราวในวันนั้นทำให้ความสัมพันธ์ของนางและเซี่ยชิงเทียนแย่ลงอย่างมาก
หลิวซูเซียนนางเป็นเพียงบุตรสาวของเถ้าแก่ร้านขายซาลาเปา ที่ฝ่าฟันอุปสรรคระหว่างชนชั้นและการกลั่นแกล้งของนางร้ายของเรื่อง ซึ่งก็คือว่านเย่วอิงอดีตสหายจนได้ครองคู่กับพระเอก
ความสัมพันธ์ของว่านเย่วอิงกับหลิวซูเซียนนั้นก็ได้จบสิ้นลงตั้งแต่วันนั้นเช่นกันและว่านเย่วอิงนางก็คอยกลั่นแกล้งอีกฝ่ายมาตลอด จากเรื่องเล็กๆ คล้ายจะหนักมือขึ้นเรื่อยๆ จนครั้งนี้ว่านเย่วอิงถึงกับคิดจะเอาชีวิตของอีกฝ่าย นางผลักหลิวซูเซียนจนพลัดตกลงไปในสระบัว แต่นางเองก็พลาดท่าพลัดตกลงไปด้วย หลิวซูเซียนที่กำลังจะหมดลมหายใจกลับได้พระเอกช่วยเอาไว้ได้ทัน เหตุการณ์ในครั้งนี้หลิวซูเซียนนั้นรอดแต่ว่านเย่วอิงนั้นไม่รอด นั่นจึงเป็นสาเหตุให้นางมาอยู่ที่นี่และเป็นผู้รับโทสะของพระเอกของเรื่องที่เป็นสาเหตุให้คนรักของเขาเจ็บตัว
"คุณชาย บ่าวว่าเรากลับกันก่อนเถิดนะขอรับ คุณหนูว่าน นางเองก็ยังไม่ได้สติ แล้วเราค่อยมาชำระความกับนางในภายหลัง ตอนนี้บ่าวว่าท่านรีบกลับไปรอต้อนรับท่านแม่ทัพก่อนเถิดนะขอรับ"
เสียงบ่าวชายคนสนิทของบุรุษผู้นั้นเอ่ยกับเขา ทำให้อิงอิงที่แกล้งหลับแทบจะลุกขึ้นตบมือให้บ่าวผู้นั้น แต่ก็จำต้องฝืนเอาไว้ เกิดความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนบุรุษผู้นั้นจะกล่าวขึ้น
"ได้ ข้าจะกลับไปก่อน แต่ข้าจะกลับมาชำระความกับสตรีร้ายกาจเช่นเจ้าแน่ ว่านเย่วอิง"
ว่าแล้วชายผู้นั้นก็สะบัดชายอาภรณ์ แล้วเดินกลับออกไปด้วยแรงอารมณ์ อิงอิงนางหรี่ตามองเสี่ยวมี่ที่รีบลุกไปปิดประตูก่อนจะระบายลมหายใจออกมายืดยาว
อิงอิงในตอนนี้กำลังคิดไม่ตกว่าจะทำเช่นไรต่อไปกับชีวิตของตัวเองดี หลังจากที่ได้ทบทวนเรื่องราวชีวิตของว่านเย่วอิงที่พอจะจำได้แค่เลือนราง นางนั้นก็ให้รู้สึกกระวนกระวายกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก มาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยว่าหนักหนาแล้ว ยังต้องมาคอยหวาดระแวงระแวดระวังเพื่อรักษาชีวิตน้อยๆ นี้ให้อยู่รอดปลอดภัยอีก จิตใจของนางในตอนนี้นั้นร้อนรุ่มดังกับมีไฟสุม เดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้องนอนมาหลายชั่วยามแล้ว แต่ก็ยังไม่มีทางออก นางทั้งรู้สึกหวาดกลัว กังวล อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออกเพราะน้ำตามันไม่ยอมไหล จะหัวเราะให้กับชะตาชีวิตของตนก็ขมขื่นเต็มทนเมื่อไม่อาจทำสิ่งใดได้ร่างบอบบางจึงเดินกระแทกส้นเท้าปึงปังอย่างขัดใจ อารมณ์นั้นเดือดดาลถึงที่สุด จะว่าไปแล้วนิสัยของนางกับเจ้าของร่างเดิมดูจะคล้ายคลึงกันอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะนิสัยใจร้อน วู่วาม เอาแต่ใจ แต่นางก็ยังดีกว่าว่านเย่วอิงมากนัก เพราะนางไม่เคยคิดร้ายหรือทำร้ายให้ผู้อื่นต้องเป็นอันตรายถึงชีวิต แม้จะมีการกลั่นแกล้งผู้อื่นบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเลือดตกยางออก แต่ดูสิ่งที่นางได้รับสิ ช่างไม่ยุติธรรมแม้แต่น้อย ถึงแม้นางจะเป็นคุณหนูเอาแต่ใจ แต่นางก็
โอ๊ย...หัวมันก็จะปวดอิงอิงอยากจะดึงทึ้งผมตัวเองยิ่งนักหลังจากได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมด แต่ก็ทำได้เพียงหลับตานิ่งคร่ำครวญอยู่ในใจ เกิดมานางยังไม่เคยรู้สึกปวดกบาลเช่นนี้มาก่อนเลยทำไมชีวิตนางถึงไม่ชวนฝันเหมือนในนิยายที่เคยอ่านมาเลยนะจะทำเช่นไรต่อไปดีล่ะทีนี้ เห็นทีนางคงได้ตายอีกรอบเป็นแน่เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งจึงเอ่ยถามเด็กสาวตรงหน้าที่กำลังมองนางตาละห้อย ดวงตาหยีเล็กนั้นยังคงแดงระเรื่อ"เสี่ยวมี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าบิดาของข้าจะกลับมาเมื่อใด"ใช่แล้ว นางต้องการที่พึ่ง ที่พึ่งเดียวที่นึกได้ในตอนนี้คือผู้เป็นบิดาเจ้าของร่าง หากบิดากลับมาอย่างไรเสียอีกฝ่ายคงจะยังไม่กล้าที่จะลงมือกับนาง อย่างน้อยก็สามารถยืดเวลาออกไปได้ แต่ใบหน้าที่เจื่อนลงของคนตรงหน้าบอกให้รู้ได้ว่าทางเลือกนี้ของนางถูกปิดตายไปเสียแล้วเสี่ยวมี่มองผู้เป็นนายอย่างชอกช้ำระกำใจได้แต่คร่ำครวญอยู่ในอกโถ...คุณหนูเจ้าขา ท่านที่เป็นบุตรยังไม่ทราบ แล้วบ่าวเป็นเพียงบ่าวในจวนจะทราบได้เยี่ยงไรกันเจ้าคะแม้ภายในใจจะคิดเช่นนั้น แต่คำพูดที่กล่าวออกมา หาได้เป็นอย่างใจนึกไม่ มีหรือที่นางจะกล้าเอ่ยเช่นนั้นออกไป"บ่าวก็ไม่รู้ได้เจ้าค่ะคุณหนู
คำพูดของสตรีตรงหน้าทำให้เกิดความเงียบไปทั่วบริเวณ ทุกสายตาต่างจับจ้องเจ้าของคำพูด ก่อนจะหันมามองสบตากัน ราวกับจะย้ำให้แน่ใจว่าตนมิได้หูฝาด เมื่อทบทวนประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่อีกครั้ง ต่างก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับสตรีงดงามที่กำลังจ้องมองพวกเขาอยู่เช่นกัน"นายหญิง เอ่อ ท่านพูดจริงๆ หรือขอรับ"ตู้เซิ่งเอ่ยถามคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับก็ถึงกับยิ้มกว้างออกมา รับรู้ได้ว่าวันนี้แววตาของสตรีตรงหน้านั้นดูเปลี่ยนไปจากเดิม เขาเห็นความอ่อนโยนมีเมตตาอยู่ในนั้น หาใช่ความดุร้ายแข็งกร้าวอย่างเคยตู้เซิ่งรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ไม่ต้องทำเรื่องเลวร้ายเช่นนั้น แต่ถึงอย่างไรหากเป็นความต้องการของอีกฝ่าย เขาก็ยินดีที่จะทำเพื่อตอบแทนคุณ ถึงแม้ว่ามันจะต้องฝืนใจทำก็ตาม เพราะแม้แต่ชีวิตของเขาเองเขาก็ยินดีที่จะมอบให้อิงอิงสังเกตเห็นประกายความยินดีที่วาบผ่านดวงตาของพวกเขา ทำให้นึกละอายใจยิ่งนัก พวกเขาเองก็คงไม่อยากทำสิ่งไม่ดี นางกวาดตามองไปรอบกายอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมาถามในสิ่งที่นางสงสัย"ตู้เซิ่งข้าขอถามท่านหน่อยเถิด เหตุใดพวกท่านจึงมีความเป็นอยู่เช่นนี้ ทำไมถึงไม่
ระหว่างที่อิงอิงกำลังฟุ้งซ่านคิดไม่ตกอยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นร่างเล็กผอมบางของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อายุของนางคงไม่เกินห้าขวบปีเป็นแน่ กำลังทำตัวลับๆ ล่อๆ หลบอยู่หลังซอกกำแพงหินที่พังลงมา จากอาภรณ์ที่สวมใส่คาดว่าคงจะเป็นบุตรหลานของเหล่าขอทานจึงทำให้นางตัดสินใจเดินเข้าไปหา ใบหน้าเล็กมอมแมมนั้นเอาแต่ชะเง้อมองทางด้วยท่าทีกระวนกระวาย ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยแม้ว่านางจะมายืนอยู่ด้านหลังอิงอิงสะกิดแผ่นหลังเล็กนั้นสองสามครั้งเพื่อให้แม่หนูน้อยนั้นหันมามอง แต่อีกฝ่ายกลับไม่แม้แต่จะหันมามองหรือสนใจนาง จึงได้ลองสะกิดดูอีกครั้ง ปรากฏว่ามือเล็กๆ ของอีกฝ่ายกลับปัดมือของนางออกอย่างรำคาญ นางจึงตัดสินใจจับลงบนบ่าเล็ก ฝ่ามือบางรู้สึกได้ว่าร่างน้อยนั้นเกร็งตัวจนแข็งทื่อเมื่อรับรู้ถึงตัวตนของนาง ก่อนเจ้าตัวจะค่อยๆ หันใบหน้ากลับมามอง เมื่อเห็นใบหน้าของนาง เด็กน้อยผู้นั้นก็สะดุ้งเฮือก ดวงตากลมโตยิ่งเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก แล้วเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อราวกับจะร้องไห้ ก่อนจะหลับหูหลับตาละล่ำละลักเอ่ยออกมา"ข้าไม่รู้ ข้าไม่เกี่ยว ข้าไม่เห็นอะไรเลยเจ้าค่ะ"อิงอิงยิ้มขำให้กับท่าทางของแม่หนูน้อยตัวจ้อยที่ริอ่านจะเป็นเด
ร่างสูงของบุรุษในอาภรณ์สีดำผู้ที่มักจะมีใบหน้าเรียบเฉยอยู่เสมอ เจ้าของนัยน์ตาคมปลาบยืนอิงไหล่กว้างกับขอบหน้าต่างชั้นบนสุดของ หอหมื่นบุปผา หอสุราและโรงน้ำชาเลื่องชื่อแห่งแคว้น หากได้ยินเพียงชื่อหลายคนอาจจะคิดว่าสถานที่แห่งนี้คงจะเป็นหอคณิกาแหล่งรวบรวมหญิงงาม แต่เปล่าเลย หมื่นบุปผา ชื่อนี้หาได้สื่อถึงหญิงงาม แต่บ่งบอกถึงสุราและชารสเลิศที่บ่มมาจากดอกไม้นานาพันธ์ บุปผาหายากหลากหลายชนิดที่ใช้ทั้งเวลาและกรรมวิธีพิเศษจนได้สุราและชาที่มีกลิ่นหอมและรสเลิศแตกต่างกันออกไปให้เหล่าคอสุราและผู้ที่ชื่นชอบในการดื่มชาได้ลิ้มรสดื่มด่ำกับรสชาติของมันเซี่ยเยี่ยนเฉิน แม่ทัพผู้เกรียงไกรหนุ่มใหญ่วัยฉกรรจ์ ผู้ที่ถือคติมาตลอดว่า นารีงามไหนเลยจะสู้สุราดี เขาก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่หลงใหลในรสสุราของที่นี่ แม้จะไปกรำศึกอยู่ชายแดนนานหลายปี แต่สุราและชาดีก็ถูกส่งไปให้ลิ้มลองไม่เคยขาดเพราะสหายสนิทของเขาคือเจ้าของหอหมื่นบุปผาแห่งนี้ดวงตาคู่คมหลุบลงมองจอกสุราในมือ จู่ๆ ก็รู้สึกถึงความเงียบเหงาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อศึกสงครามจบลงชีวิตของเขาก็กลับมาไร้สีสันอีกครั้ง เขาใช้ชีวิตในสนามรบมามากกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิต สอ
หลังจากมองดูเด็กทั้งสองจูงมือกันกลับไปหาตู้เซิ่ง ใบหน้างามจึงปรากฏรอยยิ้มกว้างขึ้นอย่างระงับเอาไว้ไม่อยู่ จากนี้ก็ถึงเวลาของนางเสียที นางจะเดินเที่ยวให้หนำใจเลยทีเดียวร่างระหงก้าวเดินราวกับกำลังเริงระบำไปตามเส้นทางที่เริ่มจะมีผู้คนหนาตา สายตากวาดมองรอบกายอย่างตื่นตาตื่นใจ หลงลืมเรื่องทุกข์ใจไปหมดสิ้น ทุกอย่างล้วนแปลกตาสำหรับนาง แต่แล้วเสียงสนทนาอย่างออกรสของกลุ่มคนตรงร้านน้ำชาริมทางทำให้ใบหน้างามหุบยิ้มฉับ ปลายเท้าเล็กที่ก้าวเดินอย่างเริงร่านั้นหยุดกึก กายบางขยับเข้าไปใกล้อย่างแนบเนียน อาศัยร้านหินเครื่องรางที่อยู่ข้างๆ กันเป็นที่กำบัง มือนั้นแสร้งหยิบจับราวกับสนใจหนักหนาแต่หูนั้นตั้งใจฟังคำสนทนาของพวกเขานางมิใช่คนสอดรู้หากจะไม่บังเอิญได้ยินชื่อของนางอยู่ในหัวข้อสนทนา"สตรีนางนั้นส่งคนไปพังร้านซาลาเปาของเถ้าแก่หลิวจนพังเละเทะ ข้าว่าอีกหลายวันกว่าจะเปิดขายได้ นางช่างจิตใจโหดร้ายยิ่งนัก อิจฉาริษยาจนน่ารังเกียจ รังแกคนไม่มีทางสู้"นั่นคือเสียงของหญิงร่างท้วมที่จีบปากจีบคอเอ่ยเล่าอย่างออกรสชาติ ใบหน้ามันเยิ้มนั้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟันราวกับมันเป็นร้านของตัวเอง ไฝเม็ดโตที่ขยับอยู่เหนือริมฝีปา
".....?"สายตาคู่งามกวาดมองบรรยากาศภายในหอคณิกาแห่งนี้อย่างโง่งม หากไม่กลัวว่าถอยหลังกลับไปแล้วจะจ๊ะเอ๋กับพวกที่ไล่ตามนางมา นางคงถอยกลับไปดูป้ายด้านหน้าอีกครั้งว่านางตาฝาดไปหรือไม่ เพราะภาพตรงหน้าของนางตอนนี้มันไม่เหมือนหอคณิกาในความคิดนางแม้แต่น้อย ไม่เห็นโฉมสะคราญในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย ไม่มีเสียงดนตรี ไม่มีการร่ายรำ แต่มันคล้ายดังโรงเตี๊ยม โรงน้ำชาหรือโรงสุราของเหล่าคนมีเงินเสียมากกว่า คนที่อยู่ด้านในนี้ก็ดูดีมีระดับ ดูจากการแต่งกายแล้วล้วนเป็นเหล่าคุณหนูคุณชายและเหล่าขุนน้ำขุนนางทั้งสิ้น อีกทั้งตอนนี้สายตาของพวกเขาและพวกนางๆ บางคนก็จ้องมองมายังนางด้วยสายตาแปลกๆ อีกด้วย คงเป็นคนรู้จักของว่านเย่วอิงสินะ สายตาที่มองมาทำให้นางเผลอยกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองอย่างลืมตัว แต่ให้ตายเถอะ ผ้าคลุมหน้าของนางอันธทานหายไปตั้งแต่เมื่อใดกัน มิน่าเล่าคนเหล่านี้ถึงได้มองนางด้วยสายตาเช่นนั้นแหม...สายตาของแต่ละคนดูรักนางจังเลยนะ ก็อย่างว่านางเป็นถึงนางร้ายผู้โด่งดังของเรื่องนี่นาอิงอิงได้แต่คิดอย่างขมขื่น ก่อนจะกลั้นใจฉีกรอยยิ้มที่ฝืดเฝื่อนเต็มทนส่งไปให้พวกเขา ซึ่งแต่ละคนเพียงเห็นนางยิ้มให้กลับทำราวกับว่า
"พวกเขาออกไปกันแล้ว เจ้า ปล่อยขาข้าแล้วออกมาเสียที"เสียงแหบพร่าที่ดังขึ้นทำให้อิงอิงสะดุ้งสุดตัว รอยยิ้มบนใบหน้างามหุบฉับ ความคิดที่กำลังเจิดจ้าสะดุดลงทันใด ฝ่ามือเล็กที่กำลังลูบไล้ต้นขาแกร่งอย่างลืมตัวผละออกราวกับแตะต้องของร้อน แต่ความหนั่นแน่นแข็งกร้าวของกล้ามเนื้อที่ได้สัมผัสเมื่อครู่ยังคงอุ่นซ่านไปทั่วฝ่ามือน้อยๆ ของนางจนแก้มนวลร้อนผะผ่าว เท่านั้นยังไม่พอ กลิ่นกายหอมอ่อนๆ ของบุรุษผู้นี้ยังกรุ่นเข้ามาในจมูกนางจนใจสั่นไปหมด จากนั้นก้อนเนื้อภายในอกของนางก็กระตุกวูบแล้วเต้นรัวเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำเสียงที่แหบพร่าของคนผู้นี้มันทำให้นางสัมผัสได้ถึงความมีเสน่ห์ของบุรุษเพศที่เข้มข้นแม่เจ้า นางไม่อยากจะบอกเลยว่า นางชอบน้ำเสียงของเขามาก เพียงแค่ได้ฟังเสียงเท่านั้น ใจของนางถึงกับสั่นไหว นางคลั่งไคล้ในน้ำเสียงแบบนี้นางไม่อยากจะคิดเลยว่าหน้าตาของอีกฝ่ายจะเป็นเช่นไร แม้จะสัมผัสได้เพียงแค่นี้ก็ทำเอาใบหน้านวลถึงกับแดงซ่านร้อนไปทั้งหน้าลามไปถึงลำคอ รู้สึกประหม่าไปหมดแล้วจริงๆอิงอิงสะบัดหัวกับความคิดฟุ้งซ่านของตนเองเร่งคลานออกมาจากใต้โต๊ะ รู้สึกตื่นเต้นและลุ้นมากๆ ว่าเขาจะหน้าตาเป็นเช
"......."เงิบ บอกได้คำเดียวว่าเงิบไปเลยสิคะ อิงอิงถึงกับไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว เซี่ยเยี่ยนเฉินหรี่ตามองใบหน้าที่แสดงอารมณ์หลากหลายของสตรีตรงหน้าเขาอย่างสนใจ ริมฝีปากอวบอิ่มที่ประเดี๋ยวอ้าประเดี๋ยวหุบอย่างเสียอาการ ช่างดูน่าขบขันในสายตาคนมองยิ่งนัก ดวงตางดงามคู่นี้เขาคิดว่ามันช่างน่ามอง เมื่อครู่นี้มันดูซับซ้อน เจ้าเล่ห์ ดังกับว่าเจ้าของนั้นกำลังคิดแผนการบางอย่างที่ทำให้เจ้าตัวรู้สึกฮึกเหิม แต่ในขณะนี้มันกลับดูเลิ่กลั่ก ตื่นตระหนก ประหม่า ปะปนกันไปหมด ก่อนจะเปลี่ยนมาคล้ายกับกำลังขบคิด ลูกแก้วแวววาวคู่งามกลอกกลิ้งไปมาดูน่ามอง เขาเองก็อยากจะรู้ว่านางจะทำเช่นไรต่อไปฮ่าฮ่าฮ่า"ท่านกล่าวอันใดเช่นนั้นเจ้าคะ ล้อข้าเล่นแล้ว"เสียงหัวเราะที่ฟังดูแห้งแล้งดังขึ้นกล่าวกับอีกฝ่ายเสียงเบา ใบหน้างามยังคงฉีกยิ้มหวานมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างไร้เดียงสา แม้จะรู้สึกอับอายขายหน้าที่อีกฝ่ายดันรู้ทันแต่มันกลับมีความรู้สึกปลื้มปริ่มมากกว่าหล่อ เลิศ ฉลาด หลักแหลม โอ้ พ่อเจ้าประคุณของอิงอิง จะหาบุรุษเช่นนี้ได้จากที่ใดอีก เห็นทีคงต้องจับเอาไว้ให้มั่นอิงอิงลอบมองใบหน้าหล่อร้ายของอีกฝ่าย คิ้วหนาได้รูปเลิกขึ้นพร้
"พวกเขาออกไปกันแล้ว เจ้า ปล่อยขาข้าแล้วออกมาเสียที"เสียงแหบพร่าที่ดังขึ้นทำให้อิงอิงสะดุ้งสุดตัว รอยยิ้มบนใบหน้างามหุบฉับ ความคิดที่กำลังเจิดจ้าสะดุดลงทันใด ฝ่ามือเล็กที่กำลังลูบไล้ต้นขาแกร่งอย่างลืมตัวผละออกราวกับแตะต้องของร้อน แต่ความหนั่นแน่นแข็งกร้าวของกล้ามเนื้อที่ได้สัมผัสเมื่อครู่ยังคงอุ่นซ่านไปทั่วฝ่ามือน้อยๆ ของนางจนแก้มนวลร้อนผะผ่าว เท่านั้นยังไม่พอ กลิ่นกายหอมอ่อนๆ ของบุรุษผู้นี้ยังกรุ่นเข้ามาในจมูกนางจนใจสั่นไปหมด จากนั้นก้อนเนื้อภายในอกของนางก็กระตุกวูบแล้วเต้นรัวเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำเสียงที่แหบพร่าของคนผู้นี้มันทำให้นางสัมผัสได้ถึงความมีเสน่ห์ของบุรุษเพศที่เข้มข้นแม่เจ้า นางไม่อยากจะบอกเลยว่า นางชอบน้ำเสียงของเขามาก เพียงแค่ได้ฟังเสียงเท่านั้น ใจของนางถึงกับสั่นไหว นางคลั่งไคล้ในน้ำเสียงแบบนี้นางไม่อยากจะคิดเลยว่าหน้าตาของอีกฝ่ายจะเป็นเช่นไร แม้จะสัมผัสได้เพียงแค่นี้ก็ทำเอาใบหน้านวลถึงกับแดงซ่านร้อนไปทั้งหน้าลามไปถึงลำคอ รู้สึกประหม่าไปหมดแล้วจริงๆอิงอิงสะบัดหัวกับความคิดฟุ้งซ่านของตนเองเร่งคลานออกมาจากใต้โต๊ะ รู้สึกตื่นเต้นและลุ้นมากๆ ว่าเขาจะหน้าตาเป็นเช
".....?"สายตาคู่งามกวาดมองบรรยากาศภายในหอคณิกาแห่งนี้อย่างโง่งม หากไม่กลัวว่าถอยหลังกลับไปแล้วจะจ๊ะเอ๋กับพวกที่ไล่ตามนางมา นางคงถอยกลับไปดูป้ายด้านหน้าอีกครั้งว่านางตาฝาดไปหรือไม่ เพราะภาพตรงหน้าของนางตอนนี้มันไม่เหมือนหอคณิกาในความคิดนางแม้แต่น้อย ไม่เห็นโฉมสะคราญในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย ไม่มีเสียงดนตรี ไม่มีการร่ายรำ แต่มันคล้ายดังโรงเตี๊ยม โรงน้ำชาหรือโรงสุราของเหล่าคนมีเงินเสียมากกว่า คนที่อยู่ด้านในนี้ก็ดูดีมีระดับ ดูจากการแต่งกายแล้วล้วนเป็นเหล่าคุณหนูคุณชายและเหล่าขุนน้ำขุนนางทั้งสิ้น อีกทั้งตอนนี้สายตาของพวกเขาและพวกนางๆ บางคนก็จ้องมองมายังนางด้วยสายตาแปลกๆ อีกด้วย คงเป็นคนรู้จักของว่านเย่วอิงสินะ สายตาที่มองมาทำให้นางเผลอยกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองอย่างลืมตัว แต่ให้ตายเถอะ ผ้าคลุมหน้าของนางอันธทานหายไปตั้งแต่เมื่อใดกัน มิน่าเล่าคนเหล่านี้ถึงได้มองนางด้วยสายตาเช่นนั้นแหม...สายตาของแต่ละคนดูรักนางจังเลยนะ ก็อย่างว่านางเป็นถึงนางร้ายผู้โด่งดังของเรื่องนี่นาอิงอิงได้แต่คิดอย่างขมขื่น ก่อนจะกลั้นใจฉีกรอยยิ้มที่ฝืดเฝื่อนเต็มทนส่งไปให้พวกเขา ซึ่งแต่ละคนเพียงเห็นนางยิ้มให้กลับทำราวกับว่า
หลังจากมองดูเด็กทั้งสองจูงมือกันกลับไปหาตู้เซิ่ง ใบหน้างามจึงปรากฏรอยยิ้มกว้างขึ้นอย่างระงับเอาไว้ไม่อยู่ จากนี้ก็ถึงเวลาของนางเสียที นางจะเดินเที่ยวให้หนำใจเลยทีเดียวร่างระหงก้าวเดินราวกับกำลังเริงระบำไปตามเส้นทางที่เริ่มจะมีผู้คนหนาตา สายตากวาดมองรอบกายอย่างตื่นตาตื่นใจ หลงลืมเรื่องทุกข์ใจไปหมดสิ้น ทุกอย่างล้วนแปลกตาสำหรับนาง แต่แล้วเสียงสนทนาอย่างออกรสของกลุ่มคนตรงร้านน้ำชาริมทางทำให้ใบหน้างามหุบยิ้มฉับ ปลายเท้าเล็กที่ก้าวเดินอย่างเริงร่านั้นหยุดกึก กายบางขยับเข้าไปใกล้อย่างแนบเนียน อาศัยร้านหินเครื่องรางที่อยู่ข้างๆ กันเป็นที่กำบัง มือนั้นแสร้งหยิบจับราวกับสนใจหนักหนาแต่หูนั้นตั้งใจฟังคำสนทนาของพวกเขานางมิใช่คนสอดรู้หากจะไม่บังเอิญได้ยินชื่อของนางอยู่ในหัวข้อสนทนา"สตรีนางนั้นส่งคนไปพังร้านซาลาเปาของเถ้าแก่หลิวจนพังเละเทะ ข้าว่าอีกหลายวันกว่าจะเปิดขายได้ นางช่างจิตใจโหดร้ายยิ่งนัก อิจฉาริษยาจนน่ารังเกียจ รังแกคนไม่มีทางสู้"นั่นคือเสียงของหญิงร่างท้วมที่จีบปากจีบคอเอ่ยเล่าอย่างออกรสชาติ ใบหน้ามันเยิ้มนั้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟันราวกับมันเป็นร้านของตัวเอง ไฝเม็ดโตที่ขยับอยู่เหนือริมฝีปา
ร่างสูงของบุรุษในอาภรณ์สีดำผู้ที่มักจะมีใบหน้าเรียบเฉยอยู่เสมอ เจ้าของนัยน์ตาคมปลาบยืนอิงไหล่กว้างกับขอบหน้าต่างชั้นบนสุดของ หอหมื่นบุปผา หอสุราและโรงน้ำชาเลื่องชื่อแห่งแคว้น หากได้ยินเพียงชื่อหลายคนอาจจะคิดว่าสถานที่แห่งนี้คงจะเป็นหอคณิกาแหล่งรวบรวมหญิงงาม แต่เปล่าเลย หมื่นบุปผา ชื่อนี้หาได้สื่อถึงหญิงงาม แต่บ่งบอกถึงสุราและชารสเลิศที่บ่มมาจากดอกไม้นานาพันธ์ บุปผาหายากหลากหลายชนิดที่ใช้ทั้งเวลาและกรรมวิธีพิเศษจนได้สุราและชาที่มีกลิ่นหอมและรสเลิศแตกต่างกันออกไปให้เหล่าคอสุราและผู้ที่ชื่นชอบในการดื่มชาได้ลิ้มรสดื่มด่ำกับรสชาติของมันเซี่ยเยี่ยนเฉิน แม่ทัพผู้เกรียงไกรหนุ่มใหญ่วัยฉกรรจ์ ผู้ที่ถือคติมาตลอดว่า นารีงามไหนเลยจะสู้สุราดี เขาก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่หลงใหลในรสสุราของที่นี่ แม้จะไปกรำศึกอยู่ชายแดนนานหลายปี แต่สุราและชาดีก็ถูกส่งไปให้ลิ้มลองไม่เคยขาดเพราะสหายสนิทของเขาคือเจ้าของหอหมื่นบุปผาแห่งนี้ดวงตาคู่คมหลุบลงมองจอกสุราในมือ จู่ๆ ก็รู้สึกถึงความเงียบเหงาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อศึกสงครามจบลงชีวิตของเขาก็กลับมาไร้สีสันอีกครั้ง เขาใช้ชีวิตในสนามรบมามากกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิต สอ
ระหว่างที่อิงอิงกำลังฟุ้งซ่านคิดไม่ตกอยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นร่างเล็กผอมบางของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อายุของนางคงไม่เกินห้าขวบปีเป็นแน่ กำลังทำตัวลับๆ ล่อๆ หลบอยู่หลังซอกกำแพงหินที่พังลงมา จากอาภรณ์ที่สวมใส่คาดว่าคงจะเป็นบุตรหลานของเหล่าขอทานจึงทำให้นางตัดสินใจเดินเข้าไปหา ใบหน้าเล็กมอมแมมนั้นเอาแต่ชะเง้อมองทางด้วยท่าทีกระวนกระวาย ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยแม้ว่านางจะมายืนอยู่ด้านหลังอิงอิงสะกิดแผ่นหลังเล็กนั้นสองสามครั้งเพื่อให้แม่หนูน้อยนั้นหันมามอง แต่อีกฝ่ายกลับไม่แม้แต่จะหันมามองหรือสนใจนาง จึงได้ลองสะกิดดูอีกครั้ง ปรากฏว่ามือเล็กๆ ของอีกฝ่ายกลับปัดมือของนางออกอย่างรำคาญ นางจึงตัดสินใจจับลงบนบ่าเล็ก ฝ่ามือบางรู้สึกได้ว่าร่างน้อยนั้นเกร็งตัวจนแข็งทื่อเมื่อรับรู้ถึงตัวตนของนาง ก่อนเจ้าตัวจะค่อยๆ หันใบหน้ากลับมามอง เมื่อเห็นใบหน้าของนาง เด็กน้อยผู้นั้นก็สะดุ้งเฮือก ดวงตากลมโตยิ่งเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก แล้วเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อราวกับจะร้องไห้ ก่อนจะหลับหูหลับตาละล่ำละลักเอ่ยออกมา"ข้าไม่รู้ ข้าไม่เกี่ยว ข้าไม่เห็นอะไรเลยเจ้าค่ะ"อิงอิงยิ้มขำให้กับท่าทางของแม่หนูน้อยตัวจ้อยที่ริอ่านจะเป็นเด
คำพูดของสตรีตรงหน้าทำให้เกิดความเงียบไปทั่วบริเวณ ทุกสายตาต่างจับจ้องเจ้าของคำพูด ก่อนจะหันมามองสบตากัน ราวกับจะย้ำให้แน่ใจว่าตนมิได้หูฝาด เมื่อทบทวนประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่อีกครั้ง ต่างก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับสตรีงดงามที่กำลังจ้องมองพวกเขาอยู่เช่นกัน"นายหญิง เอ่อ ท่านพูดจริงๆ หรือขอรับ"ตู้เซิ่งเอ่ยถามคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับก็ถึงกับยิ้มกว้างออกมา รับรู้ได้ว่าวันนี้แววตาของสตรีตรงหน้านั้นดูเปลี่ยนไปจากเดิม เขาเห็นความอ่อนโยนมีเมตตาอยู่ในนั้น หาใช่ความดุร้ายแข็งกร้าวอย่างเคยตู้เซิ่งรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ไม่ต้องทำเรื่องเลวร้ายเช่นนั้น แต่ถึงอย่างไรหากเป็นความต้องการของอีกฝ่าย เขาก็ยินดีที่จะทำเพื่อตอบแทนคุณ ถึงแม้ว่ามันจะต้องฝืนใจทำก็ตาม เพราะแม้แต่ชีวิตของเขาเองเขาก็ยินดีที่จะมอบให้อิงอิงสังเกตเห็นประกายความยินดีที่วาบผ่านดวงตาของพวกเขา ทำให้นึกละอายใจยิ่งนัก พวกเขาเองก็คงไม่อยากทำสิ่งไม่ดี นางกวาดตามองไปรอบกายอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมาถามในสิ่งที่นางสงสัย"ตู้เซิ่งข้าขอถามท่านหน่อยเถิด เหตุใดพวกท่านจึงมีความเป็นอยู่เช่นนี้ ทำไมถึงไม่
โอ๊ย...หัวมันก็จะปวดอิงอิงอยากจะดึงทึ้งผมตัวเองยิ่งนักหลังจากได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมด แต่ก็ทำได้เพียงหลับตานิ่งคร่ำครวญอยู่ในใจ เกิดมานางยังไม่เคยรู้สึกปวดกบาลเช่นนี้มาก่อนเลยทำไมชีวิตนางถึงไม่ชวนฝันเหมือนในนิยายที่เคยอ่านมาเลยนะจะทำเช่นไรต่อไปดีล่ะทีนี้ เห็นทีนางคงได้ตายอีกรอบเป็นแน่เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งจึงเอ่ยถามเด็กสาวตรงหน้าที่กำลังมองนางตาละห้อย ดวงตาหยีเล็กนั้นยังคงแดงระเรื่อ"เสี่ยวมี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าบิดาของข้าจะกลับมาเมื่อใด"ใช่แล้ว นางต้องการที่พึ่ง ที่พึ่งเดียวที่นึกได้ในตอนนี้คือผู้เป็นบิดาเจ้าของร่าง หากบิดากลับมาอย่างไรเสียอีกฝ่ายคงจะยังไม่กล้าที่จะลงมือกับนาง อย่างน้อยก็สามารถยืดเวลาออกไปได้ แต่ใบหน้าที่เจื่อนลงของคนตรงหน้าบอกให้รู้ได้ว่าทางเลือกนี้ของนางถูกปิดตายไปเสียแล้วเสี่ยวมี่มองผู้เป็นนายอย่างชอกช้ำระกำใจได้แต่คร่ำครวญอยู่ในอกโถ...คุณหนูเจ้าขา ท่านที่เป็นบุตรยังไม่ทราบ แล้วบ่าวเป็นเพียงบ่าวในจวนจะทราบได้เยี่ยงไรกันเจ้าคะแม้ภายในใจจะคิดเช่นนั้น แต่คำพูดที่กล่าวออกมา หาได้เป็นอย่างใจนึกไม่ มีหรือที่นางจะกล้าเอ่ยเช่นนั้นออกไป"บ่าวก็ไม่รู้ได้เจ้าค่ะคุณหนู
อิงอิงในตอนนี้กำลังคิดไม่ตกว่าจะทำเช่นไรต่อไปกับชีวิตของตัวเองดี หลังจากที่ได้ทบทวนเรื่องราวชีวิตของว่านเย่วอิงที่พอจะจำได้แค่เลือนราง นางนั้นก็ให้รู้สึกกระวนกระวายกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก มาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยว่าหนักหนาแล้ว ยังต้องมาคอยหวาดระแวงระแวดระวังเพื่อรักษาชีวิตน้อยๆ นี้ให้อยู่รอดปลอดภัยอีก จิตใจของนางในตอนนี้นั้นร้อนรุ่มดังกับมีไฟสุม เดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้องนอนมาหลายชั่วยามแล้ว แต่ก็ยังไม่มีทางออก นางทั้งรู้สึกหวาดกลัว กังวล อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออกเพราะน้ำตามันไม่ยอมไหล จะหัวเราะให้กับชะตาชีวิตของตนก็ขมขื่นเต็มทนเมื่อไม่อาจทำสิ่งใดได้ร่างบอบบางจึงเดินกระแทกส้นเท้าปึงปังอย่างขัดใจ อารมณ์นั้นเดือดดาลถึงที่สุด จะว่าไปแล้วนิสัยของนางกับเจ้าของร่างเดิมดูจะคล้ายคลึงกันอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะนิสัยใจร้อน วู่วาม เอาแต่ใจ แต่นางก็ยังดีกว่าว่านเย่วอิงมากนัก เพราะนางไม่เคยคิดร้ายหรือทำร้ายให้ผู้อื่นต้องเป็นอันตรายถึงชีวิต แม้จะมีการกลั่นแกล้งผู้อื่นบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเลือดตกยางออก แต่ดูสิ่งที่นางได้รับสิ ช่างไม่ยุติธรรมแม้แต่น้อย ถึงแม้นางจะเป็นคุณหนูเอาแต่ใจ แต่นางก็