โอ๊ย...หัวมันก็จะปวด
อิงอิงอยากจะดึงทึ้งผมตัวเองยิ่งนักหลังจากได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมด แต่ก็ทำได้เพียงหลับตานิ่งคร่ำครวญอยู่ในใจ เกิดมานางยังไม่เคยรู้สึกปวดกบาลเช่นนี้มาก่อนเลย
ทำไมชีวิตนางถึงไม่ชวนฝันเหมือนในนิยายที่เคยอ่านมาเลยนะ
จะทำเช่นไรต่อไปดีล่ะทีนี้ เห็นทีนางคงได้ตายอีกรอบเป็นแน่
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งจึงเอ่ยถามเด็กสาวตรงหน้าที่กำลังมองนางตาละห้อย ดวงตาหยีเล็กนั้นยังคงแดงระเรื่อ
"เสี่ยวมี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าบิดาของข้าจะกลับมาเมื่อใด"
ใช่แล้ว นางต้องการที่พึ่ง ที่พึ่งเดียวที่นึกได้ในตอนนี้คือผู้เป็นบิดาเจ้าของร่าง หากบิดากลับมาอย่างไรเสียอีกฝ่ายคงจะยังไม่กล้าที่จะลงมือกับนาง อย่างน้อยก็สามารถยืดเวลาออกไปได้ แต่ใบหน้าที่เจื่อนลงของคนตรงหน้าบอกให้รู้ได้ว่าทางเลือกนี้ของนางถูกปิดตายไปเสียแล้ว
เสี่ยวมี่มองผู้เป็นนายอย่างชอกช้ำระกำใจได้แต่คร่ำครวญอยู่ในอก
โถ...คุณหนูเจ้าขา ท่านที่เป็นบุตรยังไม่ทราบ แล้วบ่าวเป็นเพียงบ่าวในจวนจะทราบได้เยี่ยงไรกันเจ้าคะ
แม้ภายในใจจะคิดเช่นนั้น แต่คำพูดที่กล่าวออกมา หาได้เป็นอย่างใจนึกไม่ มีหรือที่นางจะกล้าเอ่ยเช่นนั้นออกไป
"บ่าวก็ไม่รู้ได้เจ้าค่ะคุณหนู นายท่านจะไปจะมาล้วนไม่มีใครทราบ"
ฝ่ามือบางยกขึ้นนวดขมับอย่างคิดหนักอีกครั้ง แล้วใครจะช่วยสตรีตัวเล็กๆ เช่นนางให้พ้นภัยในครั้งนี้ไปได้กัน
ในหัวของนางตอนนี้พยายามไล่เรียงถึงตัวละครในเรื่องที่พอจะเป็นที่พึ่งให้แก่นางได้ แต่ให้ตายเถอะ เหตุใดมันจึงได้ว่างเปล่าถึงเพียงนี้
เห็นทีคงต้องพึ่งตัวเองเสียแล้วอิงอิงเอ๋ย
สิ่งสำคัญที่สุดที่นางคิดได้คือนางต้องเร่งหาทางออกไปนอกจวน เพื่อหยุดยั้งไม่ให้มีการวางเพลิงร้านซาลาเปาของแม่นางเอก มันช่างบังเอิญเสียจริงที่ คืนนี้ คนของว่านเย่วอิงจะลงมือ
ดังนั้นนางจึงต้องหยุดยั้งแผนการทั้งหมด หากไม่มีการวางเพลิงเกิดขึ้น นางก็ยังพอจะมีทางรอด
แต่นางจะหลุดรอดจากสายตาคนของเซี่ยชิงเทียนไปได้อย่างไรกัน นี่สิปัญหา
เจ้าคนบัดซบนั่น กัดข้าไม่ปล่อยเลยจริงๆ
อิงอิงได้แต่ก่นด่าบุรุษผู้เป็นพระเอกของเรื่องอยู่ในใจ ก่อนจะสั่งให้เสี่ยวมี่นำอาภรณ์ที่รัดกุมเหมาะแก่การลักลอบออกนอกจวนมาให้เปลี่ยน เพราะอาภรณ์ที่นางสวมใส่อยู่ตอนนี้สีสันช่างโดดเด่นเสียเหลือเกิน
ครู่ต่อมาจึงปรากฏร่างบอบบางในอาภรณ์สุดแสนจะธรรมดาแต่ทว่ายังคงเป็นผ้าเนื้อดี กำลังทำลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงกำแพงด้านหลังจวน
"คุณหนูระวังนะเจ้าคะ"
เสี่ยวมี่เอ่ยบอกผู้เป็นนายด้วยใบหน้าซีดขาว หลังจากพลัดตกน้ำคุณหนูของนางก็เปลี่ยนไปคล้ายจะไม่ใช่คุณหนูคนเดิม อีกทั้งยังจำสิ่งใดไม่ได้ แม้นางจะยินดีที่คุณหนูมิได้ร้ายกาจดังเก่า แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงอีกฝ่ายเพราะความดื้อรั้นนั้นมิได้ลดน้อยถอยลงเลย ตอนนี้นางจึงทำได้เพียงยืนมองร่างบอบบางพยุงตัวขึ้นไปบนเก้าอี้ที่นางเป็นผู้ยกออกมาวางให้ ปีนป่ายขึ้นไปบนกำแพงสูง สองเท้าเล็กๆ ที่เหยียบลงบนล่องอิฐนั้นสั่นเทา ฝ่ามือเล็กบอบบางเกร็งเกาะขอบกำแพงแลดูน่าหวาดเสียว เสี่ยวมี่รู้สึกสงสารคุณหนูของนางจับใจ ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะสร้างความลำบากให้คุณหนูของนางได้ถึงเพียงนี้ แม้นางอยากจะออกไปแทนผู้เป็นนายแต่อีกฝ่ายกลับไม่ยินยอม
อิงอิงปีนขึ้นมานั่งกายสั่นเทาอยู่บนกำแพงด้วยหัวใจที่สั่นรัว สายตาเหลือบมองลงไปเบื้องล่างพลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่
เกิดนางพลาดพลัดตกลงไปคงมิวายแข้งขาหักเป็นแน่ เกิดมายังไม่เคยที่จะทำอะไรเสี่ยงอันตรายดังเช่นครั้งนี้มาก่อนเลย
พ่อแก้วแม่แก้ว ช่วยปกป้องคุ้มครองลูกด้วยเถิด
เมื่อสงบจิตสงบใจได้ก็กระเถิบกาย ค่อยๆ ไต่ลงไปเบื้องล่าง เพียงสองเท้าสัมผัสพื้น ร่างบอบบางก็ทรุดฮวบลง สองขาของนางสั่นเทาจนไม่อาจที่จะพยุงตัวอยู่ได้ ฝ่ามือทั้งสองนั้นเจ็บแปลบเมื่อยกขึ้นดูก็เห็นว่ามันแดงเถือกและยังมีรอยถลอกจนเลือดสีแดงไหลซึมออกมาอีกด้วย
อิงอิงแข็งใจกัดฟันอดทนกับความเจ็บปวดที่ได้รับ พยุงกายลุกขึ้น นำผ้าคลุมหน้าขึ้นมาสวม นางต้องเร่งไปให้ถึงจุดหมาย หากมัวแต่ชักช้าจะไม่ทันการณ์
ร่างบางย่ำเท้าเดินมุ่งหน้าไปตามถนนด้านหลังจวน ก่อนจะเห็นต้นไม้ใหญ่ที่เสี่ยวมี่บอกมาก่อนหน้าว่ามีตรอกเล็กๆ ซึ่งเป็นทางลัดที่จะพานางไปยังจุดหมาย หากไม่รู้มาก่อนก็ไม่มีทางที่จะสังเกตเห็น
ซึ่งจุดหมายปลายทางของนางก็คือ ตรอกขอทานแหล่งกบดานของเหล่าสมุน ของว่านเย่วอิง
หึ นางร้ายของเรื่องจะไร้ซึ่งแขนขาได้เช่นไรกัน
แต่ที่ไปที่มาของลูกสมุนเหล่านี้ที่ได้รับรู้จากเสี่ยวมี่ ทำให้อิงอิงขยาดในความร้ายกาจและไร้ยางอายของว่านเย่วอิงยิ่งนัก
การที่ว่านเย่วอิงมีคนเหล่านี้ไว้ใช้งานก็เพราะบิดาของนางได้รักษาบุตรชายที่กำลังป่วยของหัวหน้าขอทานโดยที่ไม่คิดเงินค่ารักษา ทั้งๆ ที่ไม่มีหมอคนใดยอมรักษาบุตรชายของเขาเพราะรังเกียจที่เป็นเพียงขอทานและมองว่าชีวิตของพวกเขานั้นไร้ค่า จนอีกฝ่ายสำนึกในบุญคุณยอมทำตามคำสั่งของว่ายเย่วอิงผู้เป็นบุตรสาวของผู้มีพระคุณ หลังจากที่นางได้ฟังเรื่องราวของขอทานเหล่านั้นจากเสี่ยวมี่นางก็พอจะจำได้ว่าเดิมขอทานเหล่านั้นมิใช่คนเลวร้าย แต่เพราะคำสั่งของว่านเย่วอิงที่สั่งให้พวกเขาทำเรื่องชั่วร้าย จากที่เป็นเพียงขอทานก็ได้กลายเป็นกลุ่มโจรที่ชาวบ้านชาวเมืองประณามว่าเป็นพวกต่ำช้าใจทราม เช่นนั้นคงเป็นพวกเขาที่ว่านเย่วอิงสั่งให้ไปข่มเหงนางเอก เพราะหลังจากที่ว่านเย่วอิงจบชีวิตลง พวกเขาก็ถูกพระเอกที่ร่วมมือกับทางการกวาดล้างจนต้องพบกับจุดจบที่น่าเศร้า
แต่ในครั้งนี้นางจะไม่ยอมให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นอีกครั้งเป็นแน่ และภาพที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าทำให้นางยิ่งไม่อาจปล่อยให้เรื่องราวเช่นนั้นเกิดขึ้น
ปลายเท้าและความคิดทั้งหมดของนางหยุดนิ่งลง กวาดตามองสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าด้วยหัวใจที่สั่นไหวโดยไม่รู้ตัว
พวกเขาเหล่านี้หรือที่ถูกกวาดล้างจนไม่เหลือ
ตรงหน้าของนางมีคนแก่ ผู้หญิงและเด็กอีกหลายสิบชีวิต แค่มองด้วยตาก็รู้ว่าพวกเขาเหล่านี้ต้องอยู่กันอย่างอดอยากเพียงใด ร่างกายของคนเหล่านี้คือคนที่ขาดสารอาหารมาเป็นเวลานาน เสื้อผ้าที่สวมใส่ขาดวิ่น เพิงพักที่ใช้ซุกหัวนอนไม่อาจที่จะใช้ป้องกันอากาศที่หนาวเหน็บหรือแม้กระทั่งหลบแดดหลบฝนได้
ภาพเหล่านี้ทำให้นางรู้สึกวูบโหวงสะท้อนในอก นางผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา นอนอุ่นกินอิ่ม สุขสบายมาตลอดชีวิต ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาพบเจอกับสภาพอันน่าเวทนาเหล่านี้ ในขณะที่นางกินทิ้งกินขว้างยังมีอีกหลายชีวิตที่อดอยาก
"นายหญิง"
เสียงเรียกของบุรุษผู้หนึ่งดึงสติของนางจากภาพตรงหน้า ใบหน้างดงามหันไปมองชายฉกรรจ์ที่ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยหนวดเครารกรุงรัง รูปร่างสูงแต่ทว่าผอมจนตาลึกโบ๋ดูน่ากลัวในชุดสกปรกสีมอซอ ด้านหลังของเขามีเด็กหนุ่มอีกสี่ห้าคน ซึ่งแต่ละคนนั้นมีสภาพที่ไม่ได้แตกต่างกันเลย
"ตู้เซิ่ง"
อิงอิงเอ่ยนามของคนตรงหน้าแผ่วเบา ชายผู้นี้คือหัวหน้าของขอทานเหล่านี้ เขาสั่งให้เด็กหนุ่มผู้หนึ่งยกเก้าอี้ตัวเก่าที่ถูกซ่อมแซมหลายจุดออกมา ก่อนจะใช้ฝ่ามือเช็ดถูมันและเชิญให้นางนั่ง จากนั้นจึงคุกเข่าลงเบื้องหน้า เด็กหนุ่มเบื้องหลังของเขาเมื่อเห็นว่าหัวหน้าของตนทำเช่นนั้น ก็พร้อมใจกันนั่งคุกเข่าลงตรงหน้านาง
พวกเขาทั้งหมดก้มหน้าลง รอรับคำสั่งราวกับทาสผู้ซื่อสัตย์
"ข้ามาที่นี่เพื่อยกเลิกคำสั่งทั้งหมด"
คำพูดของสตรีตรงหน้าทำให้เกิดความเงียบไปทั่วบริเวณ ทุกสายตาต่างจับจ้องเจ้าของคำพูด ก่อนจะหันมามองสบตากัน ราวกับจะย้ำให้แน่ใจว่าตนมิได้หูฝาด เมื่อทบทวนประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่อีกครั้ง ต่างก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับสตรีงดงามที่กำลังจ้องมองพวกเขาอยู่เช่นกัน"นายหญิง เอ่อ ท่านพูดจริงๆ หรือขอรับ"ตู้เซิ่งเอ่ยถามคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับก็ถึงกับยิ้มกว้างออกมา รับรู้ได้ว่าวันนี้แววตาของสตรีตรงหน้านั้นดูเปลี่ยนไปจากเดิม เขาเห็นความอ่อนโยนมีเมตตาอยู่ในนั้น หาใช่ความดุร้ายแข็งกร้าวอย่างเคยตู้เซิ่งรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ไม่ต้องทำเรื่องเลวร้ายเช่นนั้น แต่ถึงอย่างไรหากเป็นความต้องการของอีกฝ่าย เขาก็ยินดีที่จะทำเพื่อตอบแทนคุณ ถึงแม้ว่ามันจะต้องฝืนใจทำก็ตาม เพราะแม้แต่ชีวิตของเขาเองเขาก็ยินดีที่จะมอบให้อิงอิงสังเกตเห็นประกายความยินดีที่วาบผ่านดวงตาของพวกเขา ทำให้นึกละอายใจยิ่งนัก พวกเขาเองก็คงไม่อยากทำสิ่งไม่ดี นางกวาดตามองไปรอบกายอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมาถามในสิ่งที่นางสงสัย"ตู้เซิ่งข้าขอถามท่านหน่อยเถิด เหตุใดพวกท่านจึงมีความเป็นอยู่เช่นนี้ ทำไมถึงไม่
ระหว่างที่อิงอิงกำลังฟุ้งซ่านคิดไม่ตกอยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นร่างเล็กผอมบางของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อายุของนางคงไม่เกินห้าขวบปีเป็นแน่ กำลังทำตัวลับๆ ล่อๆ หลบอยู่หลังซอกกำแพงหินที่พังลงมา จากอาภรณ์ที่สวมใส่คาดว่าคงจะเป็นบุตรหลานของเหล่าขอทานจึงทำให้นางตัดสินใจเดินเข้าไปหา ใบหน้าเล็กมอมแมมนั้นเอาแต่ชะเง้อมองทางด้วยท่าทีกระวนกระวาย ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยแม้ว่านางจะมายืนอยู่ด้านหลังอิงอิงสะกิดแผ่นหลังเล็กนั้นสองสามครั้งเพื่อให้แม่หนูน้อยนั้นหันมามอง แต่อีกฝ่ายกลับไม่แม้แต่จะหันมามองหรือสนใจนาง จึงได้ลองสะกิดดูอีกครั้ง ปรากฏว่ามือเล็กๆ ของอีกฝ่ายกลับปัดมือของนางออกอย่างรำคาญ นางจึงตัดสินใจจับลงบนบ่าเล็ก ฝ่ามือบางรู้สึกได้ว่าร่างน้อยนั้นเกร็งตัวจนแข็งทื่อเมื่อรับรู้ถึงตัวตนของนาง ก่อนเจ้าตัวจะค่อยๆ หันใบหน้ากลับมามอง เมื่อเห็นใบหน้าของนาง เด็กน้อยผู้นั้นก็สะดุ้งเฮือก ดวงตากลมโตยิ่งเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก แล้วเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อราวกับจะร้องไห้ ก่อนจะหลับหูหลับตาละล่ำละลักเอ่ยออกมา"ข้าไม่รู้ ข้าไม่เกี่ยว ข้าไม่เห็นอะไรเลยเจ้าค่ะ"อิงอิงยิ้มขำให้กับท่าทางของแม่หนูน้อยตัวจ้อยที่ริอ่านจะเป็นเด
ร่างสูงของบุรุษในอาภรณ์สีดำผู้ที่มักจะมีใบหน้าเรียบเฉยอยู่เสมอ เจ้าของนัยน์ตาคมปลาบยืนอิงไหล่กว้างกับขอบหน้าต่างชั้นบนสุดของ หอหมื่นบุปผา หอสุราและโรงน้ำชาเลื่องชื่อแห่งแคว้น หากได้ยินเพียงชื่อหลายคนอาจจะคิดว่าสถานที่แห่งนี้คงจะเป็นหอคณิกาแหล่งรวบรวมหญิงงาม แต่เปล่าเลย หมื่นบุปผา ชื่อนี้หาได้สื่อถึงหญิงงาม แต่บ่งบอกถึงสุราและชารสเลิศที่บ่มมาจากดอกไม้นานาพันธ์ บุปผาหายากหลากหลายชนิดที่ใช้ทั้งเวลาและกรรมวิธีพิเศษจนได้สุราและชาที่มีกลิ่นหอมและรสเลิศแตกต่างกันออกไปให้เหล่าคอสุราและผู้ที่ชื่นชอบในการดื่มชาได้ลิ้มรสดื่มด่ำกับรสชาติของมันเซี่ยเยี่ยนเฉิน แม่ทัพผู้เกรียงไกรหนุ่มใหญ่วัยฉกรรจ์ ผู้ที่ถือคติมาตลอดว่า นารีงามไหนเลยจะสู้สุราดี เขาก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่หลงใหลในรสสุราของที่นี่ แม้จะไปกรำศึกอยู่ชายแดนนานหลายปี แต่สุราและชาดีก็ถูกส่งไปให้ลิ้มลองไม่เคยขาดเพราะสหายสนิทของเขาคือเจ้าของหอหมื่นบุปผาแห่งนี้ดวงตาคู่คมหลุบลงมองจอกสุราในมือ จู่ๆ ก็รู้สึกถึงความเงียบเหงาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อศึกสงครามจบลงชีวิตของเขาก็กลับมาไร้สีสันอีกครั้ง เขาใช้ชีวิตในสนามรบมามากกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิต สอ
หลังจากมองดูเด็กทั้งสองจูงมือกันกลับไปหาตู้เซิ่ง ใบหน้างามจึงปรากฏรอยยิ้มกว้างขึ้นอย่างระงับเอาไว้ไม่อยู่ จากนี้ก็ถึงเวลาของนางเสียที นางจะเดินเที่ยวให้หนำใจเลยทีเดียวร่างระหงก้าวเดินราวกับกำลังเริงระบำไปตามเส้นทางที่เริ่มจะมีผู้คนหนาตา สายตากวาดมองรอบกายอย่างตื่นตาตื่นใจ หลงลืมเรื่องทุกข์ใจไปหมดสิ้น ทุกอย่างล้วนแปลกตาสำหรับนาง แต่แล้วเสียงสนทนาอย่างออกรสของกลุ่มคนตรงร้านน้ำชาริมทางทำให้ใบหน้างามหุบยิ้มฉับ ปลายเท้าเล็กที่ก้าวเดินอย่างเริงร่านั้นหยุดกึก กายบางขยับเข้าไปใกล้อย่างแนบเนียน อาศัยร้านหินเครื่องรางที่อยู่ข้างๆ กันเป็นที่กำบัง มือนั้นแสร้งหยิบจับราวกับสนใจหนักหนาแต่หูนั้นตั้งใจฟังคำสนทนาของพวกเขานางมิใช่คนสอดรู้หากจะไม่บังเอิญได้ยินชื่อของนางอยู่ในหัวข้อสนทนา"สตรีนางนั้นส่งคนไปพังร้านซาลาเปาของเถ้าแก่หลิวจนพังเละเทะ ข้าว่าอีกหลายวันกว่าจะเปิดขายได้ นางช่างจิตใจโหดร้ายยิ่งนัก อิจฉาริษยาจนน่ารังเกียจ รังแกคนไม่มีทางสู้"นั่นคือเสียงของหญิงร่างท้วมที่จีบปากจีบคอเอ่ยเล่าอย่างออกรสชาติ ใบหน้ามันเยิ้มนั้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟันราวกับมันเป็นร้านของตัวเอง ไฝเม็ดโตที่ขยับอยู่เหนือริมฝีปา
".....?"สายตาคู่งามกวาดมองบรรยากาศภายในหอคณิกาแห่งนี้อย่างโง่งม หากไม่กลัวว่าถอยหลังกลับไปแล้วจะจ๊ะเอ๋กับพวกที่ไล่ตามนางมา นางคงถอยกลับไปดูป้ายด้านหน้าอีกครั้งว่านางตาฝาดไปหรือไม่ เพราะภาพตรงหน้าของนางตอนนี้มันไม่เหมือนหอคณิกาในความคิดนางแม้แต่น้อย ไม่เห็นโฉมสะคราญในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย ไม่มีเสียงดนตรี ไม่มีการร่ายรำ แต่มันคล้ายดังโรงเตี๊ยม โรงน้ำชาหรือโรงสุราของเหล่าคนมีเงินเสียมากกว่า คนที่อยู่ด้านในนี้ก็ดูดีมีระดับ ดูจากการแต่งกายแล้วล้วนเป็นเหล่าคุณหนูคุณชายและเหล่าขุนน้ำขุนนางทั้งสิ้น อีกทั้งตอนนี้สายตาของพวกเขาและพวกนางๆ บางคนก็จ้องมองมายังนางด้วยสายตาแปลกๆ อีกด้วย คงเป็นคนรู้จักของว่านเย่วอิงสินะ สายตาที่มองมาทำให้นางเผลอยกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองอย่างลืมตัว แต่ให้ตายเถอะ ผ้าคลุมหน้าของนางอันธทานหายไปตั้งแต่เมื่อใดกัน มิน่าเล่าคนเหล่านี้ถึงได้มองนางด้วยสายตาเช่นนั้นแหม...สายตาของแต่ละคนดูรักนางจังเลยนะ ก็อย่างว่านางเป็นถึงนางร้ายผู้โด่งดังของเรื่องนี่นาอิงอิงได้แต่คิดอย่างขมขื่น ก่อนจะกลั้นใจฉีกรอยยิ้มที่ฝืดเฝื่อนเต็มทนส่งไปให้พวกเขา ซึ่งแต่ละคนเพียงเห็นนางยิ้มให้กลับทำราวกับว่า
"พวกเขาออกไปกันแล้ว เจ้า ปล่อยขาข้าแล้วออกมาเสียที"เสียงแหบพร่าที่ดังขึ้นทำให้อิงอิงสะดุ้งสุดตัว รอยยิ้มบนใบหน้างามหุบฉับ ความคิดที่กำลังเจิดจ้าสะดุดลงทันใด ฝ่ามือเล็กที่กำลังลูบไล้ต้นขาแกร่งอย่างลืมตัวผละออกราวกับแตะต้องของร้อน แต่ความหนั่นแน่นแข็งกร้าวของกล้ามเนื้อที่ได้สัมผัสเมื่อครู่ยังคงอุ่นซ่านไปทั่วฝ่ามือน้อยๆ ของนางจนแก้มนวลร้อนผะผ่าว เท่านั้นยังไม่พอ กลิ่นกายหอมอ่อนๆ ของบุรุษผู้นี้ยังกรุ่นเข้ามาในจมูกนางจนใจสั่นไปหมด จากนั้นก้อนเนื้อภายในอกของนางก็กระตุกวูบแล้วเต้นรัวเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำเสียงที่แหบพร่าของคนผู้นี้มันทำให้นางสัมผัสได้ถึงความมีเสน่ห์ของบุรุษเพศที่เข้มข้นแม่เจ้า นางไม่อยากจะบอกเลยว่า นางชอบน้ำเสียงของเขามาก เพียงแค่ได้ฟังเสียงเท่านั้น ใจของนางถึงกับสั่นไหว นางคลั่งไคล้ในน้ำเสียงแบบนี้นางไม่อยากจะคิดเลยว่าหน้าตาของอีกฝ่ายจะเป็นเช่นไร แม้จะสัมผัสได้เพียงแค่นี้ก็ทำเอาใบหน้านวลถึงกับแดงซ่านร้อนไปทั้งหน้าลามไปถึงลำคอ รู้สึกประหม่าไปหมดแล้วจริงๆอิงอิงสะบัดหัวกับความคิดฟุ้งซ่านของตนเองเร่งคลานออกมาจากใต้โต๊ะ รู้สึกตื่นเต้นและลุ้นมากๆ ว่าเขาจะหน้าตาเป็นเช
"......."เงิบ บอกได้คำเดียวว่าเงิบไปเลยสิคะ อิงอิงถึงกับไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว เซี่ยเยี่ยนเฉินหรี่ตามองใบหน้าที่แสดงอารมณ์หลากหลายของสตรีตรงหน้าเขาอย่างสนใจ ริมฝีปากอวบอิ่มที่ประเดี๋ยวอ้าประเดี๋ยวหุบอย่างเสียอาการ ช่างดูน่าขบขันในสายตาคนมองยิ่งนัก ดวงตางดงามคู่นี้เขาคิดว่ามันช่างน่ามอง เมื่อครู่นี้มันดูซับซ้อน เจ้าเล่ห์ ดังกับว่าเจ้าของนั้นกำลังคิดแผนการบางอย่างที่ทำให้เจ้าตัวรู้สึกฮึกเหิม แต่ในขณะนี้มันกลับดูเลิ่กลั่ก ตื่นตระหนก ประหม่า ปะปนกันไปหมด ก่อนจะเปลี่ยนมาคล้ายกับกำลังขบคิด ลูกแก้วแวววาวคู่งามกลอกกลิ้งไปมาดูน่ามอง เขาเองก็อยากจะรู้ว่านางจะทำเช่นไรต่อไปฮ่าฮ่าฮ่า"ท่านกล่าวอันใดเช่นนั้นเจ้าคะ ล้อข้าเล่นแล้ว"เสียงหัวเราะที่ฟังดูแห้งแล้งดังขึ้นกล่าวกับอีกฝ่ายเสียงเบา ใบหน้างามยังคงฉีกยิ้มหวานมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างไร้เดียงสา แม้จะรู้สึกอับอายขายหน้าที่อีกฝ่ายดันรู้ทันแต่มันกลับมีความรู้สึกปลื้มปริ่มมากกว่าหล่อ เลิศ ฉลาด หลักแหลม โอ้ พ่อเจ้าประคุณของอิงอิง จะหาบุรุษเช่นนี้ได้จากที่ใดอีก เห็นทีคงต้องจับเอาไว้ให้มั่นอิงอิงลอบมองใบหน้าหล่อร้ายของอีกฝ่าย คิ้วหนาได้รูปเลิกขึ้นพร้
"เจ้ามีเรื่องอันใดกับคุณชายเซี่ยชิงเทียนอย่างนั้นหรือ"เมื่อเห็นว่าสตรีที่รับเอาจอกสุราจากเขาไปพยักหน้ารับกับข้อเสนอของเขา จึงเอ่ยถามคำถามที่เขาอยากรู้กับอีกฝ่ายทันทีแต่ชื่อของคนที่หลุดออกมาริมฝีปากหยัก ทำให้มือขาวนวลที่ยกจอกสุราขึ้นดื่มชะงักไป ก่อนจะวางจอกสุราที่ตอนนี้นั้นว่างเปล่าลงบนโต๊ะด้วยแรงที่ไม่เบานัก นั่นทำให้รู้ได้ว่าสตรีตรงหน้าดูจะโกรธเคืองผู้ที่ถูกกล่าวถึงอยู่ไม่น้อย"ท่านรู้จักเจ้าลูกสุนัขนั่นด้วยหรือเจ้าคะ"มิรู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของสุราหรืออย่างไร มันจึงทำให้นางดูผ่อนคลายขึ้น เอ่ยถามอีกฝ่ายพร้อมด้วยจ้องหน้าเขาเขม็ง ลืมวางตัวเป็นสตรีผู้อ่อนน้อมอ่อนหวานไปเสียสิ้น แต่นั่นมิใช่ประเด็นที่ทำให้เขาถึงกับสะอึก จนเกือบจะสำลักสุราที่ยกขึ้นดื่มสองครั้งแล้ว สองครั้งแล้วนะเขาอยากจะยกมือขึ้นเคาะบนหน้าผากเกลี้ยงเกลานั่นเหลือเกิน นางช่างเป็นสตรีที่ปากคอเราะร้ายยิ่งนัก เซี่ยเยี่ยนเฉินที่ทำได้เพียงข่มกลั้นมิให้เอ่ยออกไปว่าเขานี่แหละบิดาของเจ้าลูกสุนัขตัวนั้น ได้แต่คิดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ถึงแม้คำพูดที่ออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มนั้นจะทำให้เขาถึงกับหน้าชา แต่ก็ยังข่มใจเอ่ยกับอีกฝ่าย"ม
ผ่านไปเพียงหนึ่งเดือนหลังจากงานมงคลสมรสของคุณชายน้อยตระกูลเซี่ย จวนตระกูลเซี่ยก็มีงานมงคลเกิดขึ้นอีกครั้ง เป็นงานมงคลสมรสของท่านแม่ทัพเซี่ยเยี่ยนเฉินนายท่านของจวนกับคุณหนูว่านเย่วอิงคนงาม สตรีผู้อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน และครั้งนี้ก็คล้ายดังจะชื่นมื่นเสียยิ่งกว่างานมงคลของบุตรชาย เพราะแขกที่มาร่วมงานล้วนมีแต่เหล่าคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่เคียงคู่กันมาร่วมแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาว สหายของเจ้าสาวที่มาร่วมงานในวันนี้ล้วนไม่มีสตรีคนใดที่ไร้คู่อีกแล้ว เพราะหลังจากงานมงคลของเซี่ยชิงเทียนในวันนั้นภายในเดือนเดียวพวกนางต่างพากันขึ้นเกี้ยว ตบเท้าแต่งงานออกเรือนกันไปตามๆ กัน และเจ้าบ่าวของพวกนางก็หาใช่ใครที่ไหน บุรุษเหล่านั้นล้วนเป็นสหายของคุณชายเซี่ยชิงเทียนทั้งสิ้น ความดีความชอบนี้คงต้องยกให้เจ้าสาวของงานในวันนี้ที่เป็นผู้จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ในวันนั้นขึ้น หนุ่มสาวจึงมีโอกาสได้ใกล้ชิดกันแบบถึงพริกถึงขิง เพราะหลังจากที่พากันเต้นระบำคลอเคล้าจอกสุราอย่างที่ไม่เคยได้ทำมาก่อน ตื่นมาอีกทีก็เนื้อตัวเปล่าเปลือยแนบชิดอยู่กับบุรุษเสียแล้วงานในวันนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีท่ามกลางความหวานชื่นของคู่บ่าวสาว และ
แล้ววันมงคลสมรสของเซี่ยชิงเทียนกับจ้าวอี้หลันก็มาถึง จวนแม่ทัพในวันนี้อบอวลไปด้วยความสุขและกลิ่นอายอันเป็นมงคล ภายในจวนนั้นดูมีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ บ่าวไพร่ต่างมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า เพราะไม่ใช่เพียงแค่คู่บ่าวสาวที่ดูจะมีความสุขและหวานซึ้งต่อกัน แต่ดูจะมีหลายคู่ที่หวานชื่นไม่แพ้คู่บ่าวสาว บรรดาบุรุษจากจวนแม่ทัพต่างพากันหลงเสน่ห์สาวๆ จากจวนตระกูลว่าน ตบเท้าเข้าไปเกี้ยวพาจนประตูจวนท่านหมอว่านแทบจะสึกแต่ดูเหมือนผู้ที่ดูจะคลั่งรักกว่าใครคงจะเป็นนายท่านของจวน ที่ไม่ยอมออกห่างจากคนงามแม้เพียงครึ่งก้าว เพราะวันนี้คุณหนูว่านเย่วอิงงดงามมากเสียจนท่านแม่ทัพตามติดแจ โฉมงามผู้เป็นว่าที่มารดาของเจ้าบ่าว ใบหน้างามประดับไปด้วยรอยยิ้ม ดวงตายังทอประกายแห่งความสุขจนยากที่จะละสายตาได้และยังมีรอยยิ้มหวานที่ถูกส่งไปให้บรรดาแขกที่มาร่วมงานก็ยังหวานหยดย้อย จนท่านแม่ทัพต้องคอยถลึงตามองเหล่าบุรุษหนุ่มๆ ที่เผลอไผลหันมาจ้องมองสตรีของตนจนใบหน้าเลิ่กลั่กไปตามๆ กันเซี่ยเยี่ยนเฉินทอดสายตามองว่าที่ฮูหยินของตนด้วยสายตารักใคร่ชื่นชม ภูมิอกภูมิใจในตัวคนรักอย่างมาก แม้นางจะซุกซนแต่กลับรู้ว่าเ
อิงอิงแอบย่องออกมาจากเรือนของตนด้วยฝีเท้าที่เบาและเงียบกริบ เรือนร่างกลมกลึงแฝงกายไปกับความมืด ใช้เงาไม้ช่วยอำพรางกาย นางต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งเพื่อที่จะหลบให้พ้นสายตาของเหล่าเวรยามที่บิดาได้วางเอาไว้รอบเรือน เพื่อป้องกันมิให้ชายคนรักแอบลอบเข้ามาหานาง แต่หารู้ไม่ว่าตอนนี้กลับเป็นเป็นบุตรสาวของตนเสียเองที่ลักลอบแอบออกมาหาบุรุษ แม้จะรู้สึกผิดต่อบิดาแต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อตอนนี้ความรักความคิดถึงคนรักมันอึดอัดคับแน่นอยู่ในอก นึกเข้าข้างตัวเองว่าอย่างไรนางก็ต้องแต่งให้เขาอยู่แล้ว การกระทำเช่นนี้ก็คงจะไม่ผิดมากนัก เพราะถึงอย่างไรนางกับเขาก็กลายเป็นคนคนเดียวกันแล้ว ยิ่งคิดถึงใบหน้าหล่อเหลาที่มองนางด้วยสายตาตัดพ้อ นางยิ่งไม่อาจที่จะเมินเฉยปล่อยให้อีกฝ่ายแง่งอนได้นาน ยิ่งน้ำคำที่ชายคนรักฝากมากับเสี่ยวม่านม่าน ยิ่งทำให้โฉมงามหัวใจอ่อนยวบจนแทบจะล่องลอยไปหาเขาเสียเดี๋ยวนี้จะรอจนกว่าจะได้พบหน้า แนบชิดเนื้อนวลโถ โถ โถ โถ โถ...พ่อพยัคฆ์เฒ่าของอิงอิง พ่อยอดขมองอิ่ม ทูนหัวทูลกระหม่อมของเมีย คงคิดถึงเมียใจจะขาดแล้วกระมังท่านพ่อเจ้าขา อิงอิงขอโทษนะเจ้าคะ อื้อ...หนูรักเค้า หลงเค้า ให้เค้าไปหมดแล้
ณ เวลานี้คงไม่มีใครไม่กล่าวถึงเรื่องราวของท่านแม่ทัพเซี่ยเยี่ยนเฉินบุรุษผู้กล้าแกร่ง ผู้เป็นยอดบุรุษแห่งแผ่นดิน บุรุษผู้ที่ขณะนี้กลายเป็นที่อิจฉาของบรรดาบุรุษทั่วทั้งเมืองหลวง เพราะนอกจากจะเป็นผู้ที่ฝ่าบาทให้ความไว้วางพระทัยแล้ว อีกฝ่ายยังได้ครอบครองโฉมสะคราญผู้งดงามเป็นหนึ่ง สตรีผู้มีความงามอันเย้ายวนแล้วยังอ่อนเยาว์เป็นสาวน้อยวัยแรกแย้มที่อายุรุ่นราวคราวลูกมาเป็นว่าที่ฮูหยินความสุขใดเล่าจะเทียบเท่าการได้ครอบครองหญิงงาม มันช่างน่าอิจฉาเสียยิ่งนัก ชีวิตคงจะกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาไม่ใช่น้อย ไม่รู้ว่าพวกตนต้องทำบุญอีกกี่ชาติจึงจะมีวาสนาเช่นอีกฝ่ายแต่ไหนเลยใครเล่าจะรู้ ว่าบุรุษผู้ที่ทุกคนต่างก็อิจฉาอยู่นั้น ตอนนี้กำลังนั่งใบหน้างอง้ำอย่างคนอดอยากปากแห้ง เนื้อขาวๆ หวานๆ ฉ่ำๆ อยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ไม่อาจที่จะกัดกินได้ ใบหน้าหล่อเหลาคร้ามคมจึงดูหม่นเศร้าหงอยเหงาราวคนกำลังตรอมใจอย่างหนัก คร่ำครวญอย่างชอกช้ำอยู่ได้เพียงในใจ ไม่อาจที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ไหนล่ะรางวัลที่เขาสมควรจะได้รับ รางวัลความดีความชอบของเขาอยู่ที่ใดกัน เพราะตั้งแต่งานเลี้ยงในวังหลวงวันนั้น นี่ก็ผ่านมากว่าสิบวันแ
ตึก ตึก ตึก ตึกเสียงหัวใจภายใต้อกอิ่มเต้นอย่างรุนแรงจนน่ากลัวว่ามันจะหลุดออกมา เสียงตุบๆ ดังอื้ออึงอยู่ในหัวจนกลบเสียงรอบกายไปเสียสนิท อิงอิงจ้องมองบุรุษผู้ที่หันมาสบตานาง เฝ้ารอคำตอบของอีกฝ่ายอย่างใจจดใจจ่อมากกว่าผู้ใดนางกำลังตื่นเต้น ตื่นเต้นมากๆ ตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าเมื่อครู่นี้ที่อีกฝ่ายขอสมรสพระราชทานให้บุตรชายเสียอีก สองมือของนางรู้สึกได้ว่ามันเย็นเฉียบและสั่นเทา นางรู้สึกยินดีอย่างมากที่เขายอมให้บุตรชายและคนรักได้ครองคู่กัน ยินดีจนอยากจะตกรางวัลให้อย่างงาม และตอนนี้หัวใจของนางก็กำลังเต้นกระหน่ำรอคอยคำตอบของเขา รอคอยว่าคำตอบนั้นมันจะใช่อย่างที่นางคิดหรือไม่ แม้ตอนนี้สายตาของเขาที่มองมาจะสื่อถึงความในใจทั้งหมด จนสามารถบอกนางให้มั่นใจ แต่นางก็ยังอยากได้ยินจากปากของเขา เซี่ยเยี่ยนเฉินมองสบดวงตาคู่งามของสตรีคนรัก สตรีที่เขามั่นใจแล้วว่าไม่อาจที่จะปล่อยมือจากนางได้ สตรีที่เขายอมให้นางหมดทุกอย่างโดยไร้เงื่อนไข ยอมมอบให้ได้แม้แต่ชีวิต เขาค้นพบแล้วว่าความสุขของเขาคือนาง ถึงแม้จะมีใครกล่าวว่าเขานั้นเป็นบุรุษโง่งมหลงใหลในตัวสตรีเขาก็พร้อมที่จะน้อมรับ เขาจะยืดอกรับอย่างเต็มภาคภูมิ คำกล่า
อิงอิงกวาดตามองหาบุรุษผู้ที่ส่งสายตาบอกให้นางออกมาหาอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะนางออกมาตามหาเขาอยู่นานแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมโผล่หัวออกมาเสียทีเซี่ยชิงเทียนคิดจะเล่นพิเรนทร์อะไรอีกอุ๊ย!!!คนงามหลุดอุทานขึ้น ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง เมื่อจู่ๆ เอวบางก็ถูกโอบรัดจากทางด้านหลังด้วยลำแขนแข็งแกร่ง ก่อนร่างของนางจะถูกยกจนตัวลอยขึ้นจากพื้น แต่เพราะสัมผัสและกลิ่นหอมอันคุ้นเคยของอีกฝ่ายจึงทำให้นางหาได้มีความตระหนกตกใจ รู้ตัวอีกทีก็ถูกอุ้มมาหลบอยู่หลังต้นไม้ต้นใหญ่ลับตาคนเสียแล้ว เซี่ยชิงเทียนหายขุ่นเคืองบิดาของเขาแล้วหรืออย่างไรจึงปล่อยให้อีกฝ่ายมาใกล้ชิดนางเช่นนี้เมื่อเท้าแตะพื้นจึงหันมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย ใบหน้างามงอง้ำเตรียมจะเอ่ยถ้อยคำต่อว่าคนที่เมินเฉยใส่นางมาหลายวันแต่วันนี้กลับมาทำตัวรุ่มร่ามอุกอาจราวกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ หึ พอนางเมินเฉยใส่บ้างก็มาทำตาขุ่นเขียวใส่นาง อย่าคิดนะว่านางจะยอมใจอ่อนง่ายๆ ปล่อยให้นางต้องเสียน้ำตาเศร้าซึมเสียหลายวัน ความรู้สึกที่เสียไปใช่จะเรียกคืนกันโดยง่าย มันคงต้องมีการแลกเปลี่ยนกันบ้าง"นี่ท่าน..."อื้อ...แต่ทว่านางยังไม่ทันจะได้เอ่ยสิ่งใดจอมเผด็จการก็ใช้ริมฝี
เสียงล้อรถม้าของคุณหนูสามจ้าวอี้หลันบดมาบนท้องถนนตามเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่จวนตระกูลจ้าว สองข้างทางที่เต็มไปด้วยร้านค้าบ้านเรือนเริ่มบางตาลง จนมีเพียงแนวต้นไม้ขึ้นหนาแน่น เสียงจอแจของผู้คนที่ดังมาตลอดทางตอนนี้เงียบสงัดมีเพียงเสียงเสียดสีของกิ่งไม้ที่พัดไหวตามแรงลม เพราะมัวแต่สนทนากับสหายจนลืมเวลา ตอนนี้รอบกายจึงโอบล้อมไปด้วยความอึมครึมของเวลาเย็นย่ำโพล้เพล้แม้อากาศยามนี้จะเย็นสบายแต่ใจของสตรีภายในรถม้ากลับร้อนรุ่ม นางกลับบ้านมืดค่ำเช่นนี้คงไม่ดีแน่ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครมาคอยจับตามองเช่นเก่า แต่นางก็จำต้องกลับจวนให้ตรงเวลา มิเช่นนั้นคราวหน้าผู้เป็นพี่ชายคงไม่อนุญาตให้นางออกมาอีกเป็นแน่ และดีไม่ดีอาจจะโดนฮูหยินใหญ่เล่นงานเอาได้หลังจากที่พี่สาวต่างมารดาของนางทั้งสองออกเรือนไป ดูเหมือนชีวิตของคุณหนูคนงามจะมีอิสระมากขึ้น แต่ถึงแม้ฮูหยินใหญ่จะขังตัวเองอยู่เพียงในเรือนเพราะยังทำใจไม่ได้กับเรื่องงามหน้าของบุตรสาวทั้งสอง ตรอมใจจนล้มป่วย แต่ก็ยังคอยส่งคนมาสอดส่องนาง หากมีโอกาสคงเล่นงานนางอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนบิดาแม้จะรู้สึกอับอายแต่ก็ยังคงเอาแต่ทำงานไม่มีเวลามาสนใจในตัวนางเช่นเดิมท่ามกลาง
เซี่ยชิงเทียนจ้าวอี้หลันจวินฟางตงคนทั้งสามนั่งมองสตรีเจ้าของเรือนที่ไม่ว่าพวกตนจะมาเยือนสักกี่ครั้ง สภาพของเจ้าของเรือนก็จะเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง นั่นคือนั่งเหม่อไม่พูดไม่จา ถามอะไรก็ตอบเพียง อืม อื้อ อือ อยู่เช่นนั้นจนคนมองรู้สึกผิดและเจ็บปวดใจ โดยเฉพาะเซี่ยชิงเทียนที่ละอายใจเหลือเกินที่เรื่องของตนทำให้อีกคนเป็นเช่นนี้ เขาไม่ชอบเลยที่อีกฝ่ายคล้ายดังมีลมหายใจแต่ไร้วิญญาณส่วนผู้เป็นบิดา เฮ้อ...เมื่อนึกถึงอีกฝ่ายก็รู้สึกขุ่นเคืองใจไม่น้อย เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมีแผนการบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าบิดาจะใช้เล่ห์กลใดให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการก็เท่านั้น เขารู้ว่าบิดาของตนรักและหวงแหนสตรีนางนี้มากมายเพียงใด และไม่มีวันปล่อยมือจากนางเป็นอันขาด ถ้าหากไม่ใช่เพราะเรื่องของเขา ทั้งสองคงได้ครองคู่กันไปเสียตั้งนานแล้ว บิดาไม่มีทางปล่อยให้สตรีนางนี้อยู่ห่างกายอยู่แบบนี้เป็นแน่ และเป็นไปไม่ได้ที่บิดาของเขาจะยอมหันหลังให้นางง่ายดายถึงเพียงนี้ บุรุษเฒ่าผู้นั้นมากเล่ห์และเจ้าแผนการเหนือผู้ใด เขานั้นรู้ดีที่สุด ที่แสร้งหันหลังให้ว่านเย่วอิงในครั้งนี้ก็เป็นเพียงมารยาของอีกฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย คงคิดจะกดดันว่านเ
"โอ๊ย...หายใจไม่ทัน"เสียงบ่นกระปอดกระแปดคละเคล้าเสียงลมหายใจหอบเหนื่อยของชายหญิงผู้ที่พากันวิ่งหน้าตั้งอย่างไม่คิดชีวิต หลังจากที่กระโดดขึ้นรถม้าได้สำเร็จคนทั้งสองก็ทิ้งกายลงพิงผนังรถม้าอย่างหมดแรงทันทีที่ล้อรถม้าเคลื่อนตัวออกห่างจากบริเวณสุ่มเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดอันตราย อิงอิงระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อชะโงกใบหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าแล้วไม่เห็นว่ามีใครตามมา"อ่า...นึกว่าจะไม่รอดเสียแล้ว""อิงอิง ต่อไปถ้าบิดาของเจ้าจะดุขนาดนี้ ไม่ต้องชวนข้ามากับเจ้าแล้วนะ ข้าเหนื่อยเกือบตาย"จวินฟางตงยกมือเรียวของตนขึ้นทาบแผ่นอกที่ตอนนี้ภายในนั้นกำลังเต้นแรงดั่งรัวกลอง เขาใจหายใจคว่ำไปหมดแล้ว ลำคอของเขาตอนนี้แห้งผากเป็นผุยผง เหนื่อยก็เหนื่อย กลัวก็กลัว สายตาของแม่ทัพเซี่ยเยี่ยนเฉินที่ใช้มองเขาทำให้รู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูกสันหลัง หากสายตาของคนผู้นั้นสามารถฆ่าคนได้ เขาคงได้ตายไปแล้ว"เจ้าจะบ้าหรือตงตง นั่นไม่ใช่พ่อ นั่นน่ะผัว"แค่ก แค่ก แค่กจวินฟางตงสำลักลมหายใจตัวเองหน้าดำหน้าแดงจนเกือบจะตายอีกครั้ง เพราะคำพูดตรงไปตรงมาของสตรีที่ทิ้งกายลงนอนแผ่หลาอย่างไร้ความเป็นกุลสตรีที่คุณหนูในห้องหอพึ