".....?"
สายตาคู่งามกวาดมองบรรยากาศภายในหอคณิกาแห่งนี้อย่างโง่งม หากไม่กลัวว่าถอยหลังกลับไปแล้วจะจ๊ะเอ๋กับพวกที่ไล่ตามนางมา นางคงถอยกลับไปดูป้ายด้านหน้าอีกครั้งว่านางตาฝาดไปหรือไม่ เพราะภาพตรงหน้าของนางตอนนี้มันไม่เหมือนหอคณิกาในความคิดนางแม้แต่น้อย ไม่เห็นโฉมสะคราญในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย ไม่มีเสียงดนตรี ไม่มีการร่ายรำ แต่มันคล้ายดังโรงเตี๊ยม โรงน้ำชาหรือโรงสุราของเหล่าคนมีเงินเสียมากกว่า คนที่อยู่ด้านในนี้ก็ดูดีมีระดับ ดูจากการแต่งกายแล้วล้วนเป็นเหล่าคุณหนูคุณชายและเหล่าขุนน้ำขุนนางทั้งสิ้น อีกทั้งตอนนี้สายตาของพวกเขาและพวกนางๆ บางคนก็จ้องมองมายังนางด้วยสายตาแปลกๆ อีกด้วย คงเป็นคนรู้จักของว่านเย่วอิงสินะ สายตาที่มองมาทำให้นางเผลอยกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองอย่างลืมตัว แต่ให้ตายเถอะ ผ้าคลุมหน้าของนางอันธทานหายไปตั้งแต่เมื่อใดกัน มิน่าเล่าคนเหล่านี้ถึงได้มองนางด้วยสายตาเช่นนั้น
แหม...สายตาของแต่ละคนดูรักนางจังเลยนะ ก็อย่างว่านางเป็นถึงนางร้ายผู้โด่งดังของเรื่องนี่นา
อิงอิงได้แต่คิดอย่างขมขื่น ก่อนจะกลั้นใจฉีกรอยยิ้มที่ฝืดเฝื่อนเต็มทนส่งไปให้พวกเขา ซึ่งแต่ละคนเพียงเห็นนางยิ้มให้กลับทำราวกับว่าไม่เห็นเสียอย่างนั้น ชีวิตของว่านเย่วอิงช่างโดดเดี่ยวดีแท้
แต่แล้วเสียงฝีเท้าหนักๆ ของกลุ่มคนที่ดังใกล้เข้ามา ทำให้นางหยุดความคิดทุกอย่างเอาไว้เร่งสาวเท้าขึ้นบันไดไปยังชั้นบนอย่างรวดเร็ว นัยน์ตากลมโตกวาดมองหาที่ซ่อนตัวอย่างตื่นตระหนก ภาวนาอย่าให้พวกเขารู้ว่านางหนีขึ้นมาบนนี้ เสียงโหวกเหวกของคนด้านล่างโดยเฉพาะเหล่าสตรีที่พากันส่งเสียงบอกพวกที่ตามนางมาว่านางหนีขึ้นมาด้านบนดังมาเต็มสองหู อิงอิงทำได้เพียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันคิดอย่างอาฆาตแค้น ผู้ใดที่ปากโป้งหากนางรอดไปได้คงได้เจอนางแน่ เสียงฝีเท้าที่วิ่งขึ้นบันไดมาทำให้นางจำต้องวางความแค้นในครั้งนี้ลงก่อน แล้วพุ่งตัวเข้าไปในห้องที่อยู่ใกล้ที่สุดในตอนนี้โดยไม่สนสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว ทันทีที่บานประตูเปิดออก ก็หลับหูหลับตาก้มศีรษะให้คนที่เห็นว่านั่งอยู่ภายในห้องปลกๆ ก่อนจะทรุดกายลงคลานเข่ามุดเข้าไปใต้โต๊ะโดยไม่สนมารยาท
เซี่ยเยี่ยนเฉินมองสตรีที่พรวดพราดเข้ามาทำลายบรรยากาศการดื่มด่ำในรสสุราของเขาด้วยความตกตะลึง มิหนำซ้ำนางยังมุดเข้ามาอยู่ใต้โต๊ะที่เขานั่งอยู่โดยไม่เกรงกลัวอีกด้วย เจ้าของร่างบางที่เปิดประตูเข้ามานั้นใบหน้าเล็กของนางแดงก่ำดูกระเซอะกระเซิง หลับหูหลับตาไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา ตั้งหน้าตั้งตาลนลานมุดเข้าไปใต้โต๊ะ มันดูน่าขันจนเขาหลุดยิ้มออกมา สตรีนางนี้ทำเอาบุรุษหน้านิ่งเช่นเขาเสียอาการอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยังมิทันที่เขาจะได้ลากตัวของนางออกมาถามไถ่ให้รู้ความ เสียงความวุ่นวายที่ดังขึ้นด้านนอกทำให้เขาเปลี่ยนใจที่จะลากสตรีนางนั้นออกมา เพราะคนด้านนอกนั่นคงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้นางหนีเข้ามาหลบในนี้ จึงทำเพียงนั่งจิบสุราราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นึกอยากจะมีเมตตาช่วยเหลือลูกนกลูกกา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูอย่างมีมารยาทดังขึ้นด้านหน้าห้องของเขาหลังจากที่ห้องข้างๆ เงียบสงบลง ก่อนที่ประตูจะเปิดกว้างออกอีกครั้งด้วยฝีมือของผู้มาใหม่ พร้อมกับปรากฏร่างสูงของบุรุษใบหน้าหล่อเหลาคุ้นตาที่ทำให้คิ้วกระบี่ถึงกับขมวดมุ่นอย่างแปลกใจกับการมาของอีกฝ่าย ด้านหลังนั้นยังมีผู้ติดตามที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี ในใจนั้นคิดว่าเด็กสาวนางนี้ไปก่อเรื่องอันใดมาจึงทำให้คนตรงหน้าเขาถึงกับต้องตามหานางด้วยตัวเอง อีกฝ่ายเองก็ดูเหมือนจะชะงักไปเช่นกันเมื่อเห็นเขา
อิงอิงที่ไม่รู้เลยว่าด้านนอกนั้นเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง ยกฝ่ามือที่สั่นเทาขึ้นแนบอกกดลงบนตำแหน่งหัวใจที่กำลังเต้นอย่างบ้าคลั่ง ถามว่านางหวาดกลัวหรือไม่ หากไม่กลัวนี่สิแปลก ผู้หญิงตัวเล็กๆ ตัวคนเดียว หลุดเข้ามายังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย แถมยังโดนตามล่าอย่างบ้าคลั่งอีก หากไม่กลัวก็บ้าแล้ว
ตอนนี้ลำคอของนางนั้นแห้งผากรู้สึกแสบลำคอไปหมด แต่ก็ทำได้แค่เพียงกลืนน้ำลายลงคอดับกระหาย ก่อนจะเงี่ยหูฟังเสียงความเคลื่อนไหมด้านนอก เพียงได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามากายบางพลันแข็งเกร็งขึ้น ลอบมองช่วงล่างของเจ้าของห้องที่นางถือวิสาสะเข้ามาหลบ รองเท้าใหญ่โตของอีกฝ่ายและชายอาภรณ์สีดำนั้นทำให้เดาได้ไม่ยากว่าเขาคือบุรุษ ในตอนนี้ปลายเท้าของเขากำลังเคาะอย่างเป็นจังหวะกับพื้นราวกับกำลังใช้ความคิด นั่นทำให้นางหายใจไม่ทั่วท้อง หากนางโดนจับได้ เรื่องที่เกิดขึ้นมันจะถึงทางการหรือไม่ ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้เป็นคนทำแต่ใครเล่าจะมายืนยันให้นาง ซึ่งมันแน่อยู่แล้วว่าคงไม่มี หากคนผู้นี้เอ่ยปากบอกว่านางหลบอยู่ในนี้คงจบเห่เป็นแน่ และนางไม่รู้เลยว่าเขาจะตัดสินใจเช่นไร
เอาวะ เป็นไงเป็นกัน
นางจะไม่ยอมถูกจับทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำผิดเด็ดขาด คิดได้ดังนั้น ร่างบางก็กระถดกายเข้าไปใกล้กับ ลำแข้ง เอ่อ... ขาแกร่งเบื้องหน้าส่งฝ่ามือที่สั่นน้อยๆ ดึงรั้งชายอาภรณ์ของอีกฝ่ายกระตุกเบาๆ ราวกับบอกให้เขารับรู้ว่านางต้องการขอความช่วยเหลือ ใบหูเล็กนั้นเงี่ยฟังว่าอีกฝ่ายจะกล่าวเช่นไร จะยอมช่วยเหลือตนหรือไม่ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างยังคงเงียบ จึงตัดสินใจวางมือเล็กของตนลงบนต้นขาแกร่งบรรจงบีบนวดต้นขาของอีกฝ่ายอย่างขอความเมตตา หารู้ไม่ว่าเจ้าของขานั้นกำลังใบหน้าแดงก่ำ จิตใจที่เคยมั่นคงสั่นไหวอย่างไม่เคยเป็นกับน้ำหนักมืออ่อนนุ่มที่บีบนวดอย่างมีจังหวะ ขนอ่อนบนกายถึงกับลุกซู่จนเขาเกือบจะลุกพรวดขึ้นเพราะตกใจกับความรู้สึกของตัวเอง วันนี้เขาคงดื่มมากเกินไปจึงทำให้หวั่นไหวได้ง่ายถึงเพียงนี้
"ท่านพ่อ"
เสียงของชายหนุ่มผู้มาใหม่เอ่ยเรียกเขาเสียงเบาราวกับกระซิบ แต่มันกลับดึงสติของเขากลับมา ใช่แล้ว บุรุษหนุ่มตรงหน้าผู้นี้คือบุตรชายเพียงคนเดียวของเขา สายเลือดของตระกูลเซี่ย เป็นความภาคภูมิใจของเขา แม้ความสัมพันธ์ของเขากับมารดาของบุตรจะเป็นไปตามหน้าที่ แต่กับบุตรชายนั้นทุกอย่างล้วนมาจากหัวใจ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนทุ่มเทให้กับคนผู้นี้ แต่มิทันที่เขาจะได้เอ่ยปากทักทายอีกฝ่าย เจ้าตัวดีก็ฉีกยิ้มกว้างชิงกล่าวขึ้นอย่างร้อนรนจนดูมีพิรุธ
"เอ่อ ข้าขออภัยขอรับที่มารบกวน ข้าเพียงมาดูว่าท่านสำราญดีหรือไม่ เห็นเช่นนี้แล้วข้าก็เบาใจ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะขอรับ"
เซี่ยชิงเทียนเมื่อเห็นอีกฝ่ายเต็มๆ ตาก็คล้ายจะดูลนลาน รีบค้อมศีรษะให้ผู้เป็นบิดาแล้วหันหลังกลับออกมาโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ทันซักถาม ตั้งแต่เล็กเขาถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีในฐานะที่เป็นทายาทสายหลักที่จะสืบทอดตระกูลคนต่อไป บิดาคือคนที่เคียงข้างและทุ่มเทเพื่อเขามาตลอด ผู้เป็นบิดาคือต้นแบบของเขา เขาอยากเติบโตมาเก่งกล้าเช่นดังผู้เป็นบิดา แต่กับเรื่องความรักเขามิใช่คนไร้หัวใจเช่นดังบิดา เขากลัวว่าการกระทำของตนในวันนี้จะทำให้บิดาต้องขุ่นมัวและผิดหวัง เขาไม่อยากให้บิดารู้ว่าเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นเกี่ยวพันไปถึงสตรีคนรัก คนที่ทุกคนต่างมองว่านางไม่เหมาะสมที่จะเดินเคียงข้างเขา คนที่มองทุกอย่างเป็นหน้าที่และผลประโยชน์เช่นบิดาของเขาย่อมไม่เข้าใจในความรักเรื่องนี้เขาย่อมรู้ดี เขายังไม่พร้อมที่จะให้บิดารับรู้ถึงเรื่องราวเหล่านี้
เซี่ยเยี่ยนเฉินมองตามแผ่นหลังกว้างของบุตรชายที่เมื่อเห็นหน้าเขาก็ทำราวกับตกใจเสียหนักหนา ไม่ทันให้เขาได้กล่าวคำใดก็รีบเดินหนีออกไป มุมปากหยักพลันกดลึกลง แม้ในตอนนี้จะยังไม่รู้ว่าผู้เป็นบุตรชายกำลังปิดบังเรื่องใดอยู่ แต่อีกไม่นานเขาจะได้รู้
ส่วนอีกคนที่หลบอยู่ใต้โต๊ะในตอนนี้ดวงตาคู่งามกำลังส่องประกายวาววับ มันดูเจิดจรัสราวกับดวงดารา
น้ำเสียงของอีกฝ่ายเมื่อครู่นางฟังไม่ผิดแน่
พ่อพระเอกผู้เก่งกาจดูจะร้อนรนและหวั่นเกรงเมื่อเอ่ยกับบุรุษเจ้าของช่วงล่างที่ดูแข็งแรงและบึกบึนนี้
อิงอิงเหยียดยิ้มกว้างด้วยความหวัง นางคิดว่านางเจอคนที่จะฉุดนางออกจากชะตากรรมอันน่าสังเวชของนางร้ายได้แล้วล่ะ
"พวกเขาออกไปกันแล้ว เจ้า ปล่อยขาข้าแล้วออกมาเสียที"เสียงแหบพร่าที่ดังขึ้นทำให้อิงอิงสะดุ้งสุดตัว รอยยิ้มบนใบหน้างามหุบฉับ ความคิดที่กำลังเจิดจ้าสะดุดลงทันใด ฝ่ามือเล็กที่กำลังลูบไล้ต้นขาแกร่งอย่างลืมตัวผละออกราวกับแตะต้องของร้อน แต่ความหนั่นแน่นแข็งกร้าวของกล้ามเนื้อที่ได้สัมผัสเมื่อครู่ยังคงอุ่นซ่านไปทั่วฝ่ามือน้อยๆ ของนางจนแก้มนวลร้อนผะผ่าว เท่านั้นยังไม่พอ กลิ่นกายหอมอ่อนๆ ของบุรุษผู้นี้ยังกรุ่นเข้ามาในจมูกนางจนใจสั่นไปหมด จากนั้นก้อนเนื้อภายในอกของนางก็กระตุกวูบแล้วเต้นรัวเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำเสียงที่แหบพร่าของคนผู้นี้มันทำให้นางสัมผัสได้ถึงความมีเสน่ห์ของบุรุษเพศที่เข้มข้นแม่เจ้า นางไม่อยากจะบอกเลยว่า นางชอบน้ำเสียงของเขามาก เพียงแค่ได้ฟังเสียงเท่านั้น ใจของนางถึงกับสั่นไหว นางคลั่งไคล้ในน้ำเสียงแบบนี้นางไม่อยากจะคิดเลยว่าหน้าตาของอีกฝ่ายจะเป็นเช่นไร แม้จะสัมผัสได้เพียงแค่นี้ก็ทำเอาใบหน้านวลถึงกับแดงซ่านร้อนไปทั้งหน้าลามไปถึงลำคอ รู้สึกประหม่าไปหมดแล้วจริงๆอิงอิงสะบัดหัวกับความคิดฟุ้งซ่านของตนเองเร่งคลานออกมาจากใต้โต๊ะ รู้สึกตื่นเต้นและลุ้นมากๆ ว่าเขาจะหน้าตาเป็นเช
"......."เงิบ บอกได้คำเดียวว่าเงิบไปเลยสิคะ อิงอิงถึงกับไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว เซี่ยเยี่ยนเฉินหรี่ตามองใบหน้าที่แสดงอารมณ์หลากหลายของสตรีตรงหน้าเขาอย่างสนใจ ริมฝีปากอวบอิ่มที่ประเดี๋ยวอ้าประเดี๋ยวหุบอย่างเสียอาการ ช่างดูน่าขบขันในสายตาคนมองยิ่งนัก ดวงตางดงามคู่นี้เขาคิดว่ามันช่างน่ามอง เมื่อครู่นี้มันดูซับซ้อน เจ้าเล่ห์ ดังกับว่าเจ้าของนั้นกำลังคิดแผนการบางอย่างที่ทำให้เจ้าตัวรู้สึกฮึกเหิม แต่ในขณะนี้มันกลับดูเลิ่กลั่ก ตื่นตระหนก ประหม่า ปะปนกันไปหมด ก่อนจะเปลี่ยนมาคล้ายกับกำลังขบคิด ลูกแก้วแวววาวคู่งามกลอกกลิ้งไปมาดูน่ามอง เขาเองก็อยากจะรู้ว่านางจะทำเช่นไรต่อไปฮ่าฮ่าฮ่า"ท่านกล่าวอันใดเช่นนั้นเจ้าคะ ล้อข้าเล่นแล้ว"เสียงหัวเราะที่ฟังดูแห้งแล้งดังขึ้นกล่าวกับอีกฝ่ายเสียงเบา ใบหน้างามยังคงฉีกยิ้มหวานมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างไร้เดียงสา แม้จะรู้สึกอับอายขายหน้าที่อีกฝ่ายดันรู้ทันแต่มันกลับมีความรู้สึกปลื้มปริ่มมากกว่าหล่อ เลิศ ฉลาด หลักแหลม โอ้ พ่อเจ้าประคุณของอิงอิง จะหาบุรุษเช่นนี้ได้จากที่ใดอีก เห็นทีคงต้องจับเอาไว้ให้มั่นอิงอิงลอบมองใบหน้าหล่อร้ายของอีกฝ่าย คิ้วหนาได้รูปเลิกขึ้นพร้
เสียงฝีเท้าของผู้คนที่มากกว่าหนึ่งกำลังเดินตรงมาทางนี้ ทำให้สาวใช้คนสนิทของสตรีที่นั่งกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงดวงตาเหลือกลาน"คุณหนู พวกเขามากันแล้วเจ้าค่ะ เราจักทำเยี่ยงไรดีเจ้าคะ"เสี่ยวมี่ เอ่ยถามผู้เป็นนายเสียงสั่น ทั้งร่างของนางยังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวก้าวเข้ามาเกาะขาผู้เป็นนายที่นั่งอยู่บนเตียงอิงอิง หรือในตอนนี้ก็คือ ว่านเย่วอิง บุตรสาวของท่านหมอ ว่านกู่ถิง หมอผู้ได้รับขนานนามว่าเป็นหมอเทวดาที่ชอบช่วยเหลือคนยากไร้ เป็นที่นับหน้าถือตาของเหล่าเชื้อพระวงศ์ ขุนนางและบรรดาชาวบ้านชาวเมือง ท่านหมอว่านนั้นได้มีโอกาสรักษาโรคประหลาดให้แก่องค์ชายพระองค์หนึ่ง ซึ่งองค์ชายพระองค์นั้นเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้จนหาย ตระกูลว่านจึงได้รับพระราชทานทรัพย์สินมากมาย และเป็นที่ชื่นชมขององค์ฮ่องเต้ จนประทานตำแหน่งให้ท่านหมอว่านเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้แก่เหล่าหมอหลวง ท่านหมอว่านจึงเป็นที่เคารพนับถือของผู้คน แต่เขากลับมีบุตรสาวที่เป็นสตรีร้ายกาจแห่งแคว้น"เจ้ารับหน้าพวกเขาไปก่อน แจ้งว่าข้ายังไม่ได้สติ"อิงอิงกล่าวจบนางก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้งและหลับตาลงในทันที"จะดีหรือเจ้าคะคุณหนู"เสี่ยวมี่ที่เอ่ยถาม
อิงอิงในตอนนี้กำลังคิดไม่ตกว่าจะทำเช่นไรต่อไปกับชีวิตของตัวเองดี หลังจากที่ได้ทบทวนเรื่องราวชีวิตของว่านเย่วอิงที่พอจะจำได้แค่เลือนราง นางนั้นก็ให้รู้สึกกระวนกระวายกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก มาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยว่าหนักหนาแล้ว ยังต้องมาคอยหวาดระแวงระแวดระวังเพื่อรักษาชีวิตน้อยๆ นี้ให้อยู่รอดปลอดภัยอีก จิตใจของนางในตอนนี้นั้นร้อนรุ่มดังกับมีไฟสุม เดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้องนอนมาหลายชั่วยามแล้ว แต่ก็ยังไม่มีทางออก นางทั้งรู้สึกหวาดกลัว กังวล อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออกเพราะน้ำตามันไม่ยอมไหล จะหัวเราะให้กับชะตาชีวิตของตนก็ขมขื่นเต็มทนเมื่อไม่อาจทำสิ่งใดได้ร่างบอบบางจึงเดินกระแทกส้นเท้าปึงปังอย่างขัดใจ อารมณ์นั้นเดือดดาลถึงที่สุด จะว่าไปแล้วนิสัยของนางกับเจ้าของร่างเดิมดูจะคล้ายคลึงกันอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะนิสัยใจร้อน วู่วาม เอาแต่ใจ แต่นางก็ยังดีกว่าว่านเย่วอิงมากนัก เพราะนางไม่เคยคิดร้ายหรือทำร้ายให้ผู้อื่นต้องเป็นอันตรายถึงชีวิต แม้จะมีการกลั่นแกล้งผู้อื่นบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเลือดตกยางออก แต่ดูสิ่งที่นางได้รับสิ ช่างไม่ยุติธรรมแม้แต่น้อย ถึงแม้นางจะเป็นคุณหนูเอาแต่ใจ แต่นางก็
โอ๊ย...หัวมันก็จะปวดอิงอิงอยากจะดึงทึ้งผมตัวเองยิ่งนักหลังจากได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมด แต่ก็ทำได้เพียงหลับตานิ่งคร่ำครวญอยู่ในใจ เกิดมานางยังไม่เคยรู้สึกปวดกบาลเช่นนี้มาก่อนเลยทำไมชีวิตนางถึงไม่ชวนฝันเหมือนในนิยายที่เคยอ่านมาเลยนะจะทำเช่นไรต่อไปดีล่ะทีนี้ เห็นทีนางคงได้ตายอีกรอบเป็นแน่เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งจึงเอ่ยถามเด็กสาวตรงหน้าที่กำลังมองนางตาละห้อย ดวงตาหยีเล็กนั้นยังคงแดงระเรื่อ"เสี่ยวมี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าบิดาของข้าจะกลับมาเมื่อใด"ใช่แล้ว นางต้องการที่พึ่ง ที่พึ่งเดียวที่นึกได้ในตอนนี้คือผู้เป็นบิดาเจ้าของร่าง หากบิดากลับมาอย่างไรเสียอีกฝ่ายคงจะยังไม่กล้าที่จะลงมือกับนาง อย่างน้อยก็สามารถยืดเวลาออกไปได้ แต่ใบหน้าที่เจื่อนลงของคนตรงหน้าบอกให้รู้ได้ว่าทางเลือกนี้ของนางถูกปิดตายไปเสียแล้วเสี่ยวมี่มองผู้เป็นนายอย่างชอกช้ำระกำใจได้แต่คร่ำครวญอยู่ในอกโถ...คุณหนูเจ้าขา ท่านที่เป็นบุตรยังไม่ทราบ แล้วบ่าวเป็นเพียงบ่าวในจวนจะทราบได้เยี่ยงไรกันเจ้าคะแม้ภายในใจจะคิดเช่นนั้น แต่คำพูดที่กล่าวออกมา หาได้เป็นอย่างใจนึกไม่ มีหรือที่นางจะกล้าเอ่ยเช่นนั้นออกไป"บ่าวก็ไม่รู้ได้เจ้าค่ะคุณหนู
คำพูดของสตรีตรงหน้าทำให้เกิดความเงียบไปทั่วบริเวณ ทุกสายตาต่างจับจ้องเจ้าของคำพูด ก่อนจะหันมามองสบตากัน ราวกับจะย้ำให้แน่ใจว่าตนมิได้หูฝาด เมื่อทบทวนประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่อีกครั้ง ต่างก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับสตรีงดงามที่กำลังจ้องมองพวกเขาอยู่เช่นกัน"นายหญิง เอ่อ ท่านพูดจริงๆ หรือขอรับ"ตู้เซิ่งเอ่ยถามคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับก็ถึงกับยิ้มกว้างออกมา รับรู้ได้ว่าวันนี้แววตาของสตรีตรงหน้านั้นดูเปลี่ยนไปจากเดิม เขาเห็นความอ่อนโยนมีเมตตาอยู่ในนั้น หาใช่ความดุร้ายแข็งกร้าวอย่างเคยตู้เซิ่งรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ไม่ต้องทำเรื่องเลวร้ายเช่นนั้น แต่ถึงอย่างไรหากเป็นความต้องการของอีกฝ่าย เขาก็ยินดีที่จะทำเพื่อตอบแทนคุณ ถึงแม้ว่ามันจะต้องฝืนใจทำก็ตาม เพราะแม้แต่ชีวิตของเขาเองเขาก็ยินดีที่จะมอบให้อิงอิงสังเกตเห็นประกายความยินดีที่วาบผ่านดวงตาของพวกเขา ทำให้นึกละอายใจยิ่งนัก พวกเขาเองก็คงไม่อยากทำสิ่งไม่ดี นางกวาดตามองไปรอบกายอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมาถามในสิ่งที่นางสงสัย"ตู้เซิ่งข้าขอถามท่านหน่อยเถิด เหตุใดพวกท่านจึงมีความเป็นอยู่เช่นนี้ ทำไมถึงไม่
ระหว่างที่อิงอิงกำลังฟุ้งซ่านคิดไม่ตกอยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นร่างเล็กผอมบางของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อายุของนางคงไม่เกินห้าขวบปีเป็นแน่ กำลังทำตัวลับๆ ล่อๆ หลบอยู่หลังซอกกำแพงหินที่พังลงมา จากอาภรณ์ที่สวมใส่คาดว่าคงจะเป็นบุตรหลานของเหล่าขอทานจึงทำให้นางตัดสินใจเดินเข้าไปหา ใบหน้าเล็กมอมแมมนั้นเอาแต่ชะเง้อมองทางด้วยท่าทีกระวนกระวาย ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยแม้ว่านางจะมายืนอยู่ด้านหลังอิงอิงสะกิดแผ่นหลังเล็กนั้นสองสามครั้งเพื่อให้แม่หนูน้อยนั้นหันมามอง แต่อีกฝ่ายกลับไม่แม้แต่จะหันมามองหรือสนใจนาง จึงได้ลองสะกิดดูอีกครั้ง ปรากฏว่ามือเล็กๆ ของอีกฝ่ายกลับปัดมือของนางออกอย่างรำคาญ นางจึงตัดสินใจจับลงบนบ่าเล็ก ฝ่ามือบางรู้สึกได้ว่าร่างน้อยนั้นเกร็งตัวจนแข็งทื่อเมื่อรับรู้ถึงตัวตนของนาง ก่อนเจ้าตัวจะค่อยๆ หันใบหน้ากลับมามอง เมื่อเห็นใบหน้าของนาง เด็กน้อยผู้นั้นก็สะดุ้งเฮือก ดวงตากลมโตยิ่งเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก แล้วเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อราวกับจะร้องไห้ ก่อนจะหลับหูหลับตาละล่ำละลักเอ่ยออกมา"ข้าไม่รู้ ข้าไม่เกี่ยว ข้าไม่เห็นอะไรเลยเจ้าค่ะ"อิงอิงยิ้มขำให้กับท่าทางของแม่หนูน้อยตัวจ้อยที่ริอ่านจะเป็นเด
ร่างสูงของบุรุษในอาภรณ์สีดำผู้ที่มักจะมีใบหน้าเรียบเฉยอยู่เสมอ เจ้าของนัยน์ตาคมปลาบยืนอิงไหล่กว้างกับขอบหน้าต่างชั้นบนสุดของ หอหมื่นบุปผา หอสุราและโรงน้ำชาเลื่องชื่อแห่งแคว้น หากได้ยินเพียงชื่อหลายคนอาจจะคิดว่าสถานที่แห่งนี้คงจะเป็นหอคณิกาแหล่งรวบรวมหญิงงาม แต่เปล่าเลย หมื่นบุปผา ชื่อนี้หาได้สื่อถึงหญิงงาม แต่บ่งบอกถึงสุราและชารสเลิศที่บ่มมาจากดอกไม้นานาพันธ์ บุปผาหายากหลากหลายชนิดที่ใช้ทั้งเวลาและกรรมวิธีพิเศษจนได้สุราและชาที่มีกลิ่นหอมและรสเลิศแตกต่างกันออกไปให้เหล่าคอสุราและผู้ที่ชื่นชอบในการดื่มชาได้ลิ้มรสดื่มด่ำกับรสชาติของมันเซี่ยเยี่ยนเฉิน แม่ทัพผู้เกรียงไกรหนุ่มใหญ่วัยฉกรรจ์ ผู้ที่ถือคติมาตลอดว่า นารีงามไหนเลยจะสู้สุราดี เขาก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่หลงใหลในรสสุราของที่นี่ แม้จะไปกรำศึกอยู่ชายแดนนานหลายปี แต่สุราและชาดีก็ถูกส่งไปให้ลิ้มลองไม่เคยขาดเพราะสหายสนิทของเขาคือเจ้าของหอหมื่นบุปผาแห่งนี้ดวงตาคู่คมหลุบลงมองจอกสุราในมือ จู่ๆ ก็รู้สึกถึงความเงียบเหงาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อศึกสงครามจบลงชีวิตของเขาก็กลับมาไร้สีสันอีกครั้ง เขาใช้ชีวิตในสนามรบมามากกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิต สอ
"......."เงิบ บอกได้คำเดียวว่าเงิบไปเลยสิคะ อิงอิงถึงกับไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว เซี่ยเยี่ยนเฉินหรี่ตามองใบหน้าที่แสดงอารมณ์หลากหลายของสตรีตรงหน้าเขาอย่างสนใจ ริมฝีปากอวบอิ่มที่ประเดี๋ยวอ้าประเดี๋ยวหุบอย่างเสียอาการ ช่างดูน่าขบขันในสายตาคนมองยิ่งนัก ดวงตางดงามคู่นี้เขาคิดว่ามันช่างน่ามอง เมื่อครู่นี้มันดูซับซ้อน เจ้าเล่ห์ ดังกับว่าเจ้าของนั้นกำลังคิดแผนการบางอย่างที่ทำให้เจ้าตัวรู้สึกฮึกเหิม แต่ในขณะนี้มันกลับดูเลิ่กลั่ก ตื่นตระหนก ประหม่า ปะปนกันไปหมด ก่อนจะเปลี่ยนมาคล้ายกับกำลังขบคิด ลูกแก้วแวววาวคู่งามกลอกกลิ้งไปมาดูน่ามอง เขาเองก็อยากจะรู้ว่านางจะทำเช่นไรต่อไปฮ่าฮ่าฮ่า"ท่านกล่าวอันใดเช่นนั้นเจ้าคะ ล้อข้าเล่นแล้ว"เสียงหัวเราะที่ฟังดูแห้งแล้งดังขึ้นกล่าวกับอีกฝ่ายเสียงเบา ใบหน้างามยังคงฉีกยิ้มหวานมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างไร้เดียงสา แม้จะรู้สึกอับอายขายหน้าที่อีกฝ่ายดันรู้ทันแต่มันกลับมีความรู้สึกปลื้มปริ่มมากกว่าหล่อ เลิศ ฉลาด หลักแหลม โอ้ พ่อเจ้าประคุณของอิงอิง จะหาบุรุษเช่นนี้ได้จากที่ใดอีก เห็นทีคงต้องจับเอาไว้ให้มั่นอิงอิงลอบมองใบหน้าหล่อร้ายของอีกฝ่าย คิ้วหนาได้รูปเลิกขึ้นพร้
"พวกเขาออกไปกันแล้ว เจ้า ปล่อยขาข้าแล้วออกมาเสียที"เสียงแหบพร่าที่ดังขึ้นทำให้อิงอิงสะดุ้งสุดตัว รอยยิ้มบนใบหน้างามหุบฉับ ความคิดที่กำลังเจิดจ้าสะดุดลงทันใด ฝ่ามือเล็กที่กำลังลูบไล้ต้นขาแกร่งอย่างลืมตัวผละออกราวกับแตะต้องของร้อน แต่ความหนั่นแน่นแข็งกร้าวของกล้ามเนื้อที่ได้สัมผัสเมื่อครู่ยังคงอุ่นซ่านไปทั่วฝ่ามือน้อยๆ ของนางจนแก้มนวลร้อนผะผ่าว เท่านั้นยังไม่พอ กลิ่นกายหอมอ่อนๆ ของบุรุษผู้นี้ยังกรุ่นเข้ามาในจมูกนางจนใจสั่นไปหมด จากนั้นก้อนเนื้อภายในอกของนางก็กระตุกวูบแล้วเต้นรัวเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำเสียงที่แหบพร่าของคนผู้นี้มันทำให้นางสัมผัสได้ถึงความมีเสน่ห์ของบุรุษเพศที่เข้มข้นแม่เจ้า นางไม่อยากจะบอกเลยว่า นางชอบน้ำเสียงของเขามาก เพียงแค่ได้ฟังเสียงเท่านั้น ใจของนางถึงกับสั่นไหว นางคลั่งไคล้ในน้ำเสียงแบบนี้นางไม่อยากจะคิดเลยว่าหน้าตาของอีกฝ่ายจะเป็นเช่นไร แม้จะสัมผัสได้เพียงแค่นี้ก็ทำเอาใบหน้านวลถึงกับแดงซ่านร้อนไปทั้งหน้าลามไปถึงลำคอ รู้สึกประหม่าไปหมดแล้วจริงๆอิงอิงสะบัดหัวกับความคิดฟุ้งซ่านของตนเองเร่งคลานออกมาจากใต้โต๊ะ รู้สึกตื่นเต้นและลุ้นมากๆ ว่าเขาจะหน้าตาเป็นเช
".....?"สายตาคู่งามกวาดมองบรรยากาศภายในหอคณิกาแห่งนี้อย่างโง่งม หากไม่กลัวว่าถอยหลังกลับไปแล้วจะจ๊ะเอ๋กับพวกที่ไล่ตามนางมา นางคงถอยกลับไปดูป้ายด้านหน้าอีกครั้งว่านางตาฝาดไปหรือไม่ เพราะภาพตรงหน้าของนางตอนนี้มันไม่เหมือนหอคณิกาในความคิดนางแม้แต่น้อย ไม่เห็นโฉมสะคราญในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย ไม่มีเสียงดนตรี ไม่มีการร่ายรำ แต่มันคล้ายดังโรงเตี๊ยม โรงน้ำชาหรือโรงสุราของเหล่าคนมีเงินเสียมากกว่า คนที่อยู่ด้านในนี้ก็ดูดีมีระดับ ดูจากการแต่งกายแล้วล้วนเป็นเหล่าคุณหนูคุณชายและเหล่าขุนน้ำขุนนางทั้งสิ้น อีกทั้งตอนนี้สายตาของพวกเขาและพวกนางๆ บางคนก็จ้องมองมายังนางด้วยสายตาแปลกๆ อีกด้วย คงเป็นคนรู้จักของว่านเย่วอิงสินะ สายตาที่มองมาทำให้นางเผลอยกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองอย่างลืมตัว แต่ให้ตายเถอะ ผ้าคลุมหน้าของนางอันธทานหายไปตั้งแต่เมื่อใดกัน มิน่าเล่าคนเหล่านี้ถึงได้มองนางด้วยสายตาเช่นนั้นแหม...สายตาของแต่ละคนดูรักนางจังเลยนะ ก็อย่างว่านางเป็นถึงนางร้ายผู้โด่งดังของเรื่องนี่นาอิงอิงได้แต่คิดอย่างขมขื่น ก่อนจะกลั้นใจฉีกรอยยิ้มที่ฝืดเฝื่อนเต็มทนส่งไปให้พวกเขา ซึ่งแต่ละคนเพียงเห็นนางยิ้มให้กลับทำราวกับว่า
หลังจากมองดูเด็กทั้งสองจูงมือกันกลับไปหาตู้เซิ่ง ใบหน้างามจึงปรากฏรอยยิ้มกว้างขึ้นอย่างระงับเอาไว้ไม่อยู่ จากนี้ก็ถึงเวลาของนางเสียที นางจะเดินเที่ยวให้หนำใจเลยทีเดียวร่างระหงก้าวเดินราวกับกำลังเริงระบำไปตามเส้นทางที่เริ่มจะมีผู้คนหนาตา สายตากวาดมองรอบกายอย่างตื่นตาตื่นใจ หลงลืมเรื่องทุกข์ใจไปหมดสิ้น ทุกอย่างล้วนแปลกตาสำหรับนาง แต่แล้วเสียงสนทนาอย่างออกรสของกลุ่มคนตรงร้านน้ำชาริมทางทำให้ใบหน้างามหุบยิ้มฉับ ปลายเท้าเล็กที่ก้าวเดินอย่างเริงร่านั้นหยุดกึก กายบางขยับเข้าไปใกล้อย่างแนบเนียน อาศัยร้านหินเครื่องรางที่อยู่ข้างๆ กันเป็นที่กำบัง มือนั้นแสร้งหยิบจับราวกับสนใจหนักหนาแต่หูนั้นตั้งใจฟังคำสนทนาของพวกเขานางมิใช่คนสอดรู้หากจะไม่บังเอิญได้ยินชื่อของนางอยู่ในหัวข้อสนทนา"สตรีนางนั้นส่งคนไปพังร้านซาลาเปาของเถ้าแก่หลิวจนพังเละเทะ ข้าว่าอีกหลายวันกว่าจะเปิดขายได้ นางช่างจิตใจโหดร้ายยิ่งนัก อิจฉาริษยาจนน่ารังเกียจ รังแกคนไม่มีทางสู้"นั่นคือเสียงของหญิงร่างท้วมที่จีบปากจีบคอเอ่ยเล่าอย่างออกรสชาติ ใบหน้ามันเยิ้มนั้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟันราวกับมันเป็นร้านของตัวเอง ไฝเม็ดโตที่ขยับอยู่เหนือริมฝีปา
ร่างสูงของบุรุษในอาภรณ์สีดำผู้ที่มักจะมีใบหน้าเรียบเฉยอยู่เสมอ เจ้าของนัยน์ตาคมปลาบยืนอิงไหล่กว้างกับขอบหน้าต่างชั้นบนสุดของ หอหมื่นบุปผา หอสุราและโรงน้ำชาเลื่องชื่อแห่งแคว้น หากได้ยินเพียงชื่อหลายคนอาจจะคิดว่าสถานที่แห่งนี้คงจะเป็นหอคณิกาแหล่งรวบรวมหญิงงาม แต่เปล่าเลย หมื่นบุปผา ชื่อนี้หาได้สื่อถึงหญิงงาม แต่บ่งบอกถึงสุราและชารสเลิศที่บ่มมาจากดอกไม้นานาพันธ์ บุปผาหายากหลากหลายชนิดที่ใช้ทั้งเวลาและกรรมวิธีพิเศษจนได้สุราและชาที่มีกลิ่นหอมและรสเลิศแตกต่างกันออกไปให้เหล่าคอสุราและผู้ที่ชื่นชอบในการดื่มชาได้ลิ้มรสดื่มด่ำกับรสชาติของมันเซี่ยเยี่ยนเฉิน แม่ทัพผู้เกรียงไกรหนุ่มใหญ่วัยฉกรรจ์ ผู้ที่ถือคติมาตลอดว่า นารีงามไหนเลยจะสู้สุราดี เขาก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่หลงใหลในรสสุราของที่นี่ แม้จะไปกรำศึกอยู่ชายแดนนานหลายปี แต่สุราและชาดีก็ถูกส่งไปให้ลิ้มลองไม่เคยขาดเพราะสหายสนิทของเขาคือเจ้าของหอหมื่นบุปผาแห่งนี้ดวงตาคู่คมหลุบลงมองจอกสุราในมือ จู่ๆ ก็รู้สึกถึงความเงียบเหงาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อศึกสงครามจบลงชีวิตของเขาก็กลับมาไร้สีสันอีกครั้ง เขาใช้ชีวิตในสนามรบมามากกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิต สอ
ระหว่างที่อิงอิงกำลังฟุ้งซ่านคิดไม่ตกอยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นร่างเล็กผอมบางของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อายุของนางคงไม่เกินห้าขวบปีเป็นแน่ กำลังทำตัวลับๆ ล่อๆ หลบอยู่หลังซอกกำแพงหินที่พังลงมา จากอาภรณ์ที่สวมใส่คาดว่าคงจะเป็นบุตรหลานของเหล่าขอทานจึงทำให้นางตัดสินใจเดินเข้าไปหา ใบหน้าเล็กมอมแมมนั้นเอาแต่ชะเง้อมองทางด้วยท่าทีกระวนกระวาย ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยแม้ว่านางจะมายืนอยู่ด้านหลังอิงอิงสะกิดแผ่นหลังเล็กนั้นสองสามครั้งเพื่อให้แม่หนูน้อยนั้นหันมามอง แต่อีกฝ่ายกลับไม่แม้แต่จะหันมามองหรือสนใจนาง จึงได้ลองสะกิดดูอีกครั้ง ปรากฏว่ามือเล็กๆ ของอีกฝ่ายกลับปัดมือของนางออกอย่างรำคาญ นางจึงตัดสินใจจับลงบนบ่าเล็ก ฝ่ามือบางรู้สึกได้ว่าร่างน้อยนั้นเกร็งตัวจนแข็งทื่อเมื่อรับรู้ถึงตัวตนของนาง ก่อนเจ้าตัวจะค่อยๆ หันใบหน้ากลับมามอง เมื่อเห็นใบหน้าของนาง เด็กน้อยผู้นั้นก็สะดุ้งเฮือก ดวงตากลมโตยิ่งเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก แล้วเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อราวกับจะร้องไห้ ก่อนจะหลับหูหลับตาละล่ำละลักเอ่ยออกมา"ข้าไม่รู้ ข้าไม่เกี่ยว ข้าไม่เห็นอะไรเลยเจ้าค่ะ"อิงอิงยิ้มขำให้กับท่าทางของแม่หนูน้อยตัวจ้อยที่ริอ่านจะเป็นเด
คำพูดของสตรีตรงหน้าทำให้เกิดความเงียบไปทั่วบริเวณ ทุกสายตาต่างจับจ้องเจ้าของคำพูด ก่อนจะหันมามองสบตากัน ราวกับจะย้ำให้แน่ใจว่าตนมิได้หูฝาด เมื่อทบทวนประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่อีกครั้ง ต่างก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับสตรีงดงามที่กำลังจ้องมองพวกเขาอยู่เช่นกัน"นายหญิง เอ่อ ท่านพูดจริงๆ หรือขอรับ"ตู้เซิ่งเอ่ยถามคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับก็ถึงกับยิ้มกว้างออกมา รับรู้ได้ว่าวันนี้แววตาของสตรีตรงหน้านั้นดูเปลี่ยนไปจากเดิม เขาเห็นความอ่อนโยนมีเมตตาอยู่ในนั้น หาใช่ความดุร้ายแข็งกร้าวอย่างเคยตู้เซิ่งรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ไม่ต้องทำเรื่องเลวร้ายเช่นนั้น แต่ถึงอย่างไรหากเป็นความต้องการของอีกฝ่าย เขาก็ยินดีที่จะทำเพื่อตอบแทนคุณ ถึงแม้ว่ามันจะต้องฝืนใจทำก็ตาม เพราะแม้แต่ชีวิตของเขาเองเขาก็ยินดีที่จะมอบให้อิงอิงสังเกตเห็นประกายความยินดีที่วาบผ่านดวงตาของพวกเขา ทำให้นึกละอายใจยิ่งนัก พวกเขาเองก็คงไม่อยากทำสิ่งไม่ดี นางกวาดตามองไปรอบกายอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมาถามในสิ่งที่นางสงสัย"ตู้เซิ่งข้าขอถามท่านหน่อยเถิด เหตุใดพวกท่านจึงมีความเป็นอยู่เช่นนี้ ทำไมถึงไม่
โอ๊ย...หัวมันก็จะปวดอิงอิงอยากจะดึงทึ้งผมตัวเองยิ่งนักหลังจากได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมด แต่ก็ทำได้เพียงหลับตานิ่งคร่ำครวญอยู่ในใจ เกิดมานางยังไม่เคยรู้สึกปวดกบาลเช่นนี้มาก่อนเลยทำไมชีวิตนางถึงไม่ชวนฝันเหมือนในนิยายที่เคยอ่านมาเลยนะจะทำเช่นไรต่อไปดีล่ะทีนี้ เห็นทีนางคงได้ตายอีกรอบเป็นแน่เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งจึงเอ่ยถามเด็กสาวตรงหน้าที่กำลังมองนางตาละห้อย ดวงตาหยีเล็กนั้นยังคงแดงระเรื่อ"เสี่ยวมี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าบิดาของข้าจะกลับมาเมื่อใด"ใช่แล้ว นางต้องการที่พึ่ง ที่พึ่งเดียวที่นึกได้ในตอนนี้คือผู้เป็นบิดาเจ้าของร่าง หากบิดากลับมาอย่างไรเสียอีกฝ่ายคงจะยังไม่กล้าที่จะลงมือกับนาง อย่างน้อยก็สามารถยืดเวลาออกไปได้ แต่ใบหน้าที่เจื่อนลงของคนตรงหน้าบอกให้รู้ได้ว่าทางเลือกนี้ของนางถูกปิดตายไปเสียแล้วเสี่ยวมี่มองผู้เป็นนายอย่างชอกช้ำระกำใจได้แต่คร่ำครวญอยู่ในอกโถ...คุณหนูเจ้าขา ท่านที่เป็นบุตรยังไม่ทราบ แล้วบ่าวเป็นเพียงบ่าวในจวนจะทราบได้เยี่ยงไรกันเจ้าคะแม้ภายในใจจะคิดเช่นนั้น แต่คำพูดที่กล่าวออกมา หาได้เป็นอย่างใจนึกไม่ มีหรือที่นางจะกล้าเอ่ยเช่นนั้นออกไป"บ่าวก็ไม่รู้ได้เจ้าค่ะคุณหนู
อิงอิงในตอนนี้กำลังคิดไม่ตกว่าจะทำเช่นไรต่อไปกับชีวิตของตัวเองดี หลังจากที่ได้ทบทวนเรื่องราวชีวิตของว่านเย่วอิงที่พอจะจำได้แค่เลือนราง นางนั้นก็ให้รู้สึกกระวนกระวายกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก มาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยว่าหนักหนาแล้ว ยังต้องมาคอยหวาดระแวงระแวดระวังเพื่อรักษาชีวิตน้อยๆ นี้ให้อยู่รอดปลอดภัยอีก จิตใจของนางในตอนนี้นั้นร้อนรุ่มดังกับมีไฟสุม เดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้องนอนมาหลายชั่วยามแล้ว แต่ก็ยังไม่มีทางออก นางทั้งรู้สึกหวาดกลัว กังวล อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออกเพราะน้ำตามันไม่ยอมไหล จะหัวเราะให้กับชะตาชีวิตของตนก็ขมขื่นเต็มทนเมื่อไม่อาจทำสิ่งใดได้ร่างบอบบางจึงเดินกระแทกส้นเท้าปึงปังอย่างขัดใจ อารมณ์นั้นเดือดดาลถึงที่สุด จะว่าไปแล้วนิสัยของนางกับเจ้าของร่างเดิมดูจะคล้ายคลึงกันอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะนิสัยใจร้อน วู่วาม เอาแต่ใจ แต่นางก็ยังดีกว่าว่านเย่วอิงมากนัก เพราะนางไม่เคยคิดร้ายหรือทำร้ายให้ผู้อื่นต้องเป็นอันตรายถึงชีวิต แม้จะมีการกลั่นแกล้งผู้อื่นบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเลือดตกยางออก แต่ดูสิ่งที่นางได้รับสิ ช่างไม่ยุติธรรมแม้แต่น้อย ถึงแม้นางจะเป็นคุณหนูเอาแต่ใจ แต่นางก็