ตอนมาถึงที่นี่ เขามีคำพูดอยู่ภายในใจมากมาย แต่ทว่าเมื่อได้เห็นท่าทีของหยวนชิงหลิงที่ไม่ได้ดูดุดันอย่างเช่นตอนอยู่ในที่เกิดเหตุ เขาก็รู้สึกมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังจะต่อว่านางยกใหญ่ หยวนชิงหลิงกลับพูดขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉยว่า “หากมีธุระก็พูดมา แต่หากจะพูดเรื่องตกน้ำแล้วล่ะก็ หม่อมฉันขอเตือนท่านว่าอย่าพูดจะดีกว่า” คำพูดกล่าวโทษของเขาถูกตัดบทลง เขาผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงจ้องเขม็งแล้วพูดว่า “ทำไมจะพูดไม่ได้? เรื่องนี้มันยังไม่จบ เจ้าจะต้องยอมรับความผิด และต้องกล่าวขอโทษชุ่ยเอ๋อร์ มิเช่นนั้น ข้าจะนำเรื่องนี้ไปกราบทูลเสด็จพ่อ ให้เสด็จพ่อเป็นผู้ตัดสิน” หยวนชิงหลิงยิ้มเยาะ นางมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “โตจนป่านนี้แล้ว ยังไม่หย่านมอีกหรือเพคะ? มีเรื่องอันใดก็ต้องกราบทูลเสด็จพ่อ กราบทูบฮองไทเฮา นำไปฟ้องพระชายา ท่านไม่มีสมองหรืออย่างไร?” อ๋องฉีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ คนประเภทนี้ช่างดูหมิ่นคนอื่นมากเกินไปแล้ว อีกทั้งที่นางพูดว่าเขาไม่มีสมอง ใช่เพียงแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น “ข้าเป็นถึงท่านอ๋อง จะปล่อยให้เจ้าดูถูกเหยียดหยามซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ไม่ได้” อ๋องฉีพูดด้วยความโมโห
หยวนชิงหลิงลุกขึ้น เอามือล้วงเข้าไปในแขนเสื้อแล้วแสยะยิ้ม “ได้ หม่อมฉันจะสะสางเรื่องตกน้ำกับท่าน” ไม้เท้าจักรพรรดิที่อยู่ในมือ เมื่อกดลงไปแล้ว จึงค่อย ๆ ยืดยาวออกมาทีละท่อน อ๋องฉีจ้องนาง และก้าวถอยหลังไปทีละก้าว “เจ้าคิดจะทำอะไร? หากเจ้ากล้าตีข้า ข้าจะกราบทูล......” หยวนชิงหลิงฟาดลงไปบนศีรษะ และใบหน้าของเขาด้วยความโมโหถึงขีดสุด “กราบทูลสิเพคะ ไปกราบทูลเลย หม่อมฉันพูดกับท่านมากมายขนาดนั้นแล้ว ท่านยังจะพูดเรื่องตกน้ำกับหม่อมฉันอีกหรือ? เรื่องตกน้ำ ความจริงก็คือฉู่หมิงชุ่ยผลักหม่อมฉัน จากนั้นนางก็กระโดดตามลงไป หม่อมฉันว่ายน้ำไม่เก่ง หากคิดที่จะใส่ร้ายนางจริง ขึ้นขั้นต้องทำให้ตัวเองจนน้ำตายไปด้วยหรือยังไงเพคะ? ท่านเป็นคนโง่ แต่หม่อมฉันไม่ใช่ ท่านไม่มีสมอง แต่หม่อมฉันมี วันนี้หม่อมฉันจะตีเจ้าโง่อย่างท่านให้ตาย ฉู่หมิงชุ่ยเป็นใครกัน? นางมีตระกูลฉู่ทั้งตระกูลคอยหนุนหลังอยู่ แล้วหม่อมฉันจะโง่ถึงขนาดบุกไปทำร้ายนางถึงจวนอ๋องหวยเลยหรือ? หม่อมฉันกับนางมีความแค้นอะไรต่อกันนัก? วันนั้นหม่อมฉันให้นางสาบานต่อหน้าท่าน แต่นางไม่กล้า ทำไมถึงไม่กล้า? นางกลัว แต่หม่อมฉันกล้า หากวันนั้นหม่อมฉันมีใจคิด
อ๋องฉีมองตามหลังนางไป ยังคงรู้สึกโมโห หรือไม่ก็คงอับอาย เขาไม่ยอมกลับไป จะต้องรอพี่ห้ากลับมาให้ได้ ให้พี่ห้าจัดการเรื่องนี้ให้แก่เขา ถังหยางสั่งให้คนยกน้ำชามา เมื่อเห็นเขายังอยู่ในท่าทีโมโห ก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “ทูลอ๋องฉี สิ่งที่พระชายาพูดเมื่อครู่ ล้วนแล้วแต่เป็นคำพูดเพื่อเตือนสติของท่าน ท่านจงรับฟังสักหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ พระชายาหวังดีต่อท่านจริง ๆ” “นางหวังดีต่อข้า? ไม่มีทาง!” อ๋องฉีพูดอย่างไม่พอใจ “พี่ห้ายังไม่กลับมาอีกหรือ?” ถังหยางส่ายหัวเบา ๆ แล้วเดินออกไป อ๋องฉีหันมองน้ำชาใส ๆ จึงยกขึ้นมาดื่ม ในสมองของเขารู้สึกสับสนวุ่นวาย จนไม่รับรู้รสชาติของชา ความรู้สึกแปลก ๆ นี้ค่อย ๆ เกิดขึ้น เขาไม่เชื่อสิ่งที่หยวนชิงหลิงพูด เขาไม่มีทางเชื่อแม้แต่คำเดียว แต่ทำไมฉู่หมิงชุ่ยถึงไม่กล้าสาบาน? คงเป็นเพราะไม่อยากถือสาหยวนชิงหลิง ผู้หญิงเช่นนั้นดุร้ายเกินไป ป่าเถิ่อนเกินไป ไม่ถือสาก็ถือว่าทำถูกต้องแล้ว แต่ทำไมรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างผิดปกติ? ชุ่ยเอ๋อร์เพียงแค่ต้องการหาผลประโยชน์จากเขาและหลอกลวงเขาจริงหรือ? แต่ว่านางเองก็ดีกับเขามาก ทั้งอ่อนโยนและเรียบร้อย ถือเป็นแบบอย
อวี่เหวินห่าวผงะไป สมองหมูของเขาพอถูกตีไปหนึ่งครั้ง ดูเหมือนจะมีความคิดขึ้นมาบ้างแล้ว? เขาคิดอยู่สักครู่ “อย่างไรเสีย ข้าก็ไม่มีทางแต่งกับนาง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ข้า แต่อยู่ที่นาง” “เพราะอะไร?” อ๋องฉีไม่เข้าใจ “นางไม่มีทางแต่งงานกับข้า” อวี่เหวินห่าวพูดด้วยท่าทีเรียบเฉย “เพราะอะไร?” อ๋องฉียังไม่เข้าใจ เดิมทีพวกเขาเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เยาวว์วัย อวี่เหวินห่าวหัวเราะ แล้วพูดขึ้นเบา ๆ ว่า “จะมีเหตุผลอะไรมากมายกัน?” อ๋องฉีรู้สึกหดหู่ใจลงไปมาก “นางไม่แต่งกับท่าน เพราะว่าท่านมีโอกาสที่จะขึ้นเป็นรัชทายาทน้อยกว่าข้าใช่หรือไม่?” แววตาของอวี่เหวินห่าวสั่นไหว “ทำไมถึงถามเช่นนี้?” “พี่สะใภ้ห้าผู้ใจร้ายพูดเช่นนี้” อ๋องฉีรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ไม่สิ เสียใจมากต่างหาก “แล้วเจ้าเชื่อไหม?” อวี่เหวินห่าวถาม อ๋องฉีนิ่งไปสักพัก “เหลวไหล!” “ในเมื่อเป็นเรื่องเหลวไหล แล้วเจ้าคิดมากอะไร?” อ๋องฉีจิตใจเลื่อนลอย เขาเองก็ไม่เข้าใจ คำพูดของพี่สะใภ้ห้าผู้ใจร้าย แน่นอนว่าไม่อาจเชื่อถือได้ คำพูดของนางมีแต่เรื่องโกหก “เรื่องตกน้ำ พี่ห้าเชื่อพี่สะใภ้ห้าผู้ใจร้ายไหม?” อ๋องฉีถาม อวี่เหวินห่
อวี่เหวินห่าวฮัมเพลงไปจนกระทั่งถึงตำหนักเสี่ยวเยว่ หยวนชิงหลิงนั่งอ่านหนังสืออยู่ภายใต้แสงไฟ เมื่อเห็นเขาเดินกลับมาอย่างมีความสุข จึงเงยหน้าขึ้นมองแล้วถามว่า “น้องชายของท่านไปแล้วหรือ?” “ไปแล้ว!” อวี่เหวินห่าวเดินเข้าไปดูหนังสือที่อยู่ในมือของนาง “จดหมายเหตุเจ็ดก๊ก? เจ้าอ่านหนังสือนี่ทำไมกัน?” หยวนชิงหลิงวางหนังสือลงด้านข้าง “อยากรู้ว่านอกจากถังเหนือแล้ว ยังมีประเทศอะไรอีก” นางลุกขึ้น แล้วช่วยอวี่เหวินห่าวถอดเสื้อคลุมด้านนอกออก แล้วถามว่า “น้องชายของท่าน...ยังสบายดีอยู่ใช่ไหม?” “ต้องดูว่าเรื่องอะไร หากเป็นเรื่องบาดแผล ก็คงไม่หนักมาก แต่หากเป็นเรื่องความรู้สึก เกรงว่าจะได้รับความกระทบกระเทือนพอสมควร” อวี่เหวินห่าวขยับตัวตามนาง เพื่อให้นางถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก จากนั้นจึงโยนไปด้านข้าง แล้วดึงนางลงมานั่งอีกครั้ง หยวนชิงหลิงพูดขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉย “ข้าไม่อาจพลั้งมือเอาไว้ได้ จึงตีเขาไปหนึ่งยก” “ตีได้ดี เขาสมควรแล้วที่จะถูกตีแรง ๆ สักครั้งครั้ง อย่าคิดมากเลย” อวี่เหวินห่าวพูดปลอบใจ “ไม่ได้คิดมากหรอกเพคะ หม่อมฉันไม่นึกเสียใจเลย แค่รู้สึกว่า เขาจะคิดยังไงกันแน่? ทำตัวเหมือนคนส
เขาลุกขึ้น แล้วช่วยหยวนชิงหลิงสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นจึงตะโกนออกมาด้วยความโมโห “ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ประตูค่อย ๆ ถูกเปิดออกอย่างระมัดระวัง ซูยี่ใช้มือข้างหนึ่งปิดตาเอาไว้ จากนั้นก็ค่อยๆ แง้มนิ้วมือออก เมื่อเห็นแน่ชัดแล้วว่าสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว จึงได้ถอนหายใจออกมาแล้ววางมือลง แต่หลังจากถอนหายใจแล้ว ก็ต้องรู้สึกประหม่าขึ้นมาอีกครั้ง เพราะดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะโกรธเป็นอย่างมาก! “มีเรื่องอันใดกัน?” อวี่เหวินห่าวจ้องเขาตาเขม็งด้วยความโมโห ซูยี่รีบรายงานอย่างสงบเสงี่ยม “ท่านอ๋อง อ๋องฉีเกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หยวนชิงหลิงผงะไป รีบถามด้วยความร้อนใจ “เขาเพิ่งกลับไปไม่ใช่หรือ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” “ถูกลอบทำร้ายพ่ะย่ะค่ะ!” ซูยี่ตอบ “ถูกลอบทำร้าย?” อวี่เหวินห่าวรู้สึกตกใจ “สถานการณ์เป็นเช่นไร?” “บาดเจ็บไม่มากนัก ตอนนี้ถูกส่งตัวกลับไปยังจวนอ๋องฉีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ซูยี่ตอบ “จับผู้ร้ายได้หรือยัง?” อวี่เหวินห่าวหยิบเสื้อคลุมตัวนอกขึ้นมาสวมใส่อีกครั้ง “เตรียมม้า!” หยวนชิงหลิงพูด “ข้าจะไปกับท่าน” “ไม่ได้ ดึกมากแล้ว เจ้าไม่ต้องออกไปไหนทั้งนั้น ซูยี่บอกแล้วว่าอาการบาดเจ
อ๋องฉีพูดด้วยความโศกเศร้าว่า “มีเรื่องอะไรพูดต่อหน้าข้าก็ได้ ต่อให้ข้าต้องตาย ก็ห้ามปิดบังข้า” ฉู่หมิงชุ่ยขมวดคิ้ว “พูดเหลวไหลอะไรเพคะ? หมอก็บอกแล้วว่าอาการของท่านไม่น่าเป็นห่วง อย่างอแงไปหน่อยเลยเพคะ ให้หมอช่วยรักษาท่านให้หาย หม่อมฉันมีเรื่องจะพูดคุยกับท่านอ๋องสักเล็กน้อย” เมื่ออ๋องฉีเห็นใบหน้าที่ดูไม่สบอารมณ์ของนาง ก็นึกถึงคำพูดของหยวนชิงหลิงขึ้นมาได้ ในใจเกิดความรู้สึกมากมายผสมปนเปกัน จึงได้นิ่งเงียบไป ฉู่หมิงชุ่ยคิดว่าเขายังรู้สึกว่าตนเองได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมา แล้วฉายแววของความผิดหวังออกมาทางสายตา นางแต่งงานกับคนไร้ประโยชน์จริง ๆ นางหันมองอวี่เหวินห่าว แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านอ๋อง เชิญเพคะ!” อวี่เหวินห่าวเองก็หันมองนางด้วยท่าทีเรียบเฉย จากนั้นจึงหันกลับไปพูดกับอ๋องฉีว่า “ข้าไปแป๊บเดียว เดี๋ยวก็มา” อ๋องฉีพยักหน้า “รู้แล้ว” ทั้งสองเดินไปยังโถงด้านข้าง ฉู่หมิงชุ่ยสั่งให้ทุกคนออกไป อีกทั้งยังปิดประตูอีกด้วย อวี่เหวินห่าวพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องปิดประตู” ฉู่หมิงชุ่ยเงยหน้าขึ้น แล้วมองเขาด้วยแววตาที่เฉียบคม พร้อมพูดประชดประชันขึ้นว่า “ทำไ
อวี่เหวินห่าวรู้สึกว่าเรื่องนี้ควรจะสิ้นสุดลงเสียที เขาทำสีหน้าเคร่งขรึมพร้อมพูดอย่างไม่แยแสว่า “เจ้าต้องการจะพูดอะไรกับข้ากันแน่?” ฉู่หมิงชุ่ยจ้องมองเขา น้ำตาค่อย ๆ ไหลรินออกมา และพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ไม่มีอะไรต้องพูดแล้วเพคะ เดิมที เขาถูกลอบทำร้ายที่หน้าประตูจวนอ๋องฉู่ หม่อมฉันจึงนึกเป็นกังวลแทนท่าน เกรงว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวพันไปถึงตัวท่าน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะคิดกับหม่อมฉันเช่นนี้ ทำให้หม่อมฉันเจ็บปวดใจยิ่งนัก ท่านไปเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว ขอท่านจงอย่าได้เสด็จมาที่จวนอ๋องฉีอีก” อวี่เหวินห่าวลุกขึ้น “คงไม่ได้ ข้ายังต้องมาจวนอ๋องฉีอีก อย่างไรเสียเจ้าเจ็ดก็อยู่ที่นี่” พูดจบ เขาก็เดินเอามือไขว้หลังออกไปด้วยความรู้สึกสบายใจอย่างถึงที่สุด ฉู่หมิงชุ่ยโกรธจนตัวสั่น นางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา แต่ยิ่งเช็ดน้ำตากลับยิ่งไหลมากขึ้น จะทำเช่นไรก็ไม่หยุดไหล หัวใจรู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง นางไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเขาจะพูดคำพูดเช่นนี้กับนาง นางคิดมาโดยตลอดว่าความสัมพันธ์นี้จะทำให้เขาสามารถจดจำไปถึงวันตาย มีนางเป็นเจ้าของหัวใจของเขา และไม่มีใครสามารถเดินเข้ามาได้อีก ทำไมต้องเป็นหยวนชิ
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม