อ๋องฉีมองตามหลังนางไป ยังคงรู้สึกโมโห หรือไม่ก็คงอับอาย เขาไม่ยอมกลับไป จะต้องรอพี่ห้ากลับมาให้ได้ ให้พี่ห้าจัดการเรื่องนี้ให้แก่เขา ถังหยางสั่งให้คนยกน้ำชามา เมื่อเห็นเขายังอยู่ในท่าทีโมโห ก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “ทูลอ๋องฉี สิ่งที่พระชายาพูดเมื่อครู่ ล้วนแล้วแต่เป็นคำพูดเพื่อเตือนสติของท่าน ท่านจงรับฟังสักหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ พระชายาหวังดีต่อท่านจริง ๆ” “นางหวังดีต่อข้า? ไม่มีทาง!” อ๋องฉีพูดอย่างไม่พอใจ “พี่ห้ายังไม่กลับมาอีกหรือ?” ถังหยางส่ายหัวเบา ๆ แล้วเดินออกไป อ๋องฉีหันมองน้ำชาใส ๆ จึงยกขึ้นมาดื่ม ในสมองของเขารู้สึกสับสนวุ่นวาย จนไม่รับรู้รสชาติของชา ความรู้สึกแปลก ๆ นี้ค่อย ๆ เกิดขึ้น เขาไม่เชื่อสิ่งที่หยวนชิงหลิงพูด เขาไม่มีทางเชื่อแม้แต่คำเดียว แต่ทำไมฉู่หมิงชุ่ยถึงไม่กล้าสาบาน? คงเป็นเพราะไม่อยากถือสาหยวนชิงหลิง ผู้หญิงเช่นนั้นดุร้ายเกินไป ป่าเถิ่อนเกินไป ไม่ถือสาก็ถือว่าทำถูกต้องแล้ว แต่ทำไมรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างผิดปกติ? ชุ่ยเอ๋อร์เพียงแค่ต้องการหาผลประโยชน์จากเขาและหลอกลวงเขาจริงหรือ? แต่ว่านางเองก็ดีกับเขามาก ทั้งอ่อนโยนและเรียบร้อย ถือเป็นแบบอย
อวี่เหวินห่าวผงะไป สมองหมูของเขาพอถูกตีไปหนึ่งครั้ง ดูเหมือนจะมีความคิดขึ้นมาบ้างแล้ว? เขาคิดอยู่สักครู่ “อย่างไรเสีย ข้าก็ไม่มีทางแต่งกับนาง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ข้า แต่อยู่ที่นาง” “เพราะอะไร?” อ๋องฉีไม่เข้าใจ “นางไม่มีทางแต่งงานกับข้า” อวี่เหวินห่าวพูดด้วยท่าทีเรียบเฉย “เพราะอะไร?” อ๋องฉียังไม่เข้าใจ เดิมทีพวกเขาเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เยาวว์วัย อวี่เหวินห่าวหัวเราะ แล้วพูดขึ้นเบา ๆ ว่า “จะมีเหตุผลอะไรมากมายกัน?” อ๋องฉีรู้สึกหดหู่ใจลงไปมาก “นางไม่แต่งกับท่าน เพราะว่าท่านมีโอกาสที่จะขึ้นเป็นรัชทายาทน้อยกว่าข้าใช่หรือไม่?” แววตาของอวี่เหวินห่าวสั่นไหว “ทำไมถึงถามเช่นนี้?” “พี่สะใภ้ห้าผู้ใจร้ายพูดเช่นนี้” อ๋องฉีรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ไม่สิ เสียใจมากต่างหาก “แล้วเจ้าเชื่อไหม?” อวี่เหวินห่าวถาม อ๋องฉีนิ่งไปสักพัก “เหลวไหล!” “ในเมื่อเป็นเรื่องเหลวไหล แล้วเจ้าคิดมากอะไร?” อ๋องฉีจิตใจเลื่อนลอย เขาเองก็ไม่เข้าใจ คำพูดของพี่สะใภ้ห้าผู้ใจร้าย แน่นอนว่าไม่อาจเชื่อถือได้ คำพูดของนางมีแต่เรื่องโกหก “เรื่องตกน้ำ พี่ห้าเชื่อพี่สะใภ้ห้าผู้ใจร้ายไหม?” อ๋องฉีถาม อวี่เหวินห่
อวี่เหวินห่าวฮัมเพลงไปจนกระทั่งถึงตำหนักเสี่ยวเยว่ หยวนชิงหลิงนั่งอ่านหนังสืออยู่ภายใต้แสงไฟ เมื่อเห็นเขาเดินกลับมาอย่างมีความสุข จึงเงยหน้าขึ้นมองแล้วถามว่า “น้องชายของท่านไปแล้วหรือ?” “ไปแล้ว!” อวี่เหวินห่าวเดินเข้าไปดูหนังสือที่อยู่ในมือของนาง “จดหมายเหตุเจ็ดก๊ก? เจ้าอ่านหนังสือนี่ทำไมกัน?” หยวนชิงหลิงวางหนังสือลงด้านข้าง “อยากรู้ว่านอกจากถังเหนือแล้ว ยังมีประเทศอะไรอีก” นางลุกขึ้น แล้วช่วยอวี่เหวินห่าวถอดเสื้อคลุมด้านนอกออก แล้วถามว่า “น้องชายของท่าน...ยังสบายดีอยู่ใช่ไหม?” “ต้องดูว่าเรื่องอะไร หากเป็นเรื่องบาดแผล ก็คงไม่หนักมาก แต่หากเป็นเรื่องความรู้สึก เกรงว่าจะได้รับความกระทบกระเทือนพอสมควร” อวี่เหวินห่าวขยับตัวตามนาง เพื่อให้นางถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก จากนั้นจึงโยนไปด้านข้าง แล้วดึงนางลงมานั่งอีกครั้ง หยวนชิงหลิงพูดขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉย “ข้าไม่อาจพลั้งมือเอาไว้ได้ จึงตีเขาไปหนึ่งยก” “ตีได้ดี เขาสมควรแล้วที่จะถูกตีแรง ๆ สักครั้งครั้ง อย่าคิดมากเลย” อวี่เหวินห่าวพูดปลอบใจ “ไม่ได้คิดมากหรอกเพคะ หม่อมฉันไม่นึกเสียใจเลย แค่รู้สึกว่า เขาจะคิดยังไงกันแน่? ทำตัวเหมือนคนส
เขาลุกขึ้น แล้วช่วยหยวนชิงหลิงสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นจึงตะโกนออกมาด้วยความโมโห “ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ประตูค่อย ๆ ถูกเปิดออกอย่างระมัดระวัง ซูยี่ใช้มือข้างหนึ่งปิดตาเอาไว้ จากนั้นก็ค่อยๆ แง้มนิ้วมือออก เมื่อเห็นแน่ชัดแล้วว่าสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว จึงได้ถอนหายใจออกมาแล้ววางมือลง แต่หลังจากถอนหายใจแล้ว ก็ต้องรู้สึกประหม่าขึ้นมาอีกครั้ง เพราะดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะโกรธเป็นอย่างมาก! “มีเรื่องอันใดกัน?” อวี่เหวินห่าวจ้องเขาตาเขม็งด้วยความโมโห ซูยี่รีบรายงานอย่างสงบเสงี่ยม “ท่านอ๋อง อ๋องฉีเกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หยวนชิงหลิงผงะไป รีบถามด้วยความร้อนใจ “เขาเพิ่งกลับไปไม่ใช่หรือ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” “ถูกลอบทำร้ายพ่ะย่ะค่ะ!” ซูยี่ตอบ “ถูกลอบทำร้าย?” อวี่เหวินห่าวรู้สึกตกใจ “สถานการณ์เป็นเช่นไร?” “บาดเจ็บไม่มากนัก ตอนนี้ถูกส่งตัวกลับไปยังจวนอ๋องฉีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ซูยี่ตอบ “จับผู้ร้ายได้หรือยัง?” อวี่เหวินห่าวหยิบเสื้อคลุมตัวนอกขึ้นมาสวมใส่อีกครั้ง “เตรียมม้า!” หยวนชิงหลิงพูด “ข้าจะไปกับท่าน” “ไม่ได้ ดึกมากแล้ว เจ้าไม่ต้องออกไปไหนทั้งนั้น ซูยี่บอกแล้วว่าอาการบาดเจ
อ๋องฉีพูดด้วยความโศกเศร้าว่า “มีเรื่องอะไรพูดต่อหน้าข้าก็ได้ ต่อให้ข้าต้องตาย ก็ห้ามปิดบังข้า” ฉู่หมิงชุ่ยขมวดคิ้ว “พูดเหลวไหลอะไรเพคะ? หมอก็บอกแล้วว่าอาการของท่านไม่น่าเป็นห่วง อย่างอแงไปหน่อยเลยเพคะ ให้หมอช่วยรักษาท่านให้หาย หม่อมฉันมีเรื่องจะพูดคุยกับท่านอ๋องสักเล็กน้อย” เมื่ออ๋องฉีเห็นใบหน้าที่ดูไม่สบอารมณ์ของนาง ก็นึกถึงคำพูดของหยวนชิงหลิงขึ้นมาได้ ในใจเกิดความรู้สึกมากมายผสมปนเปกัน จึงได้นิ่งเงียบไป ฉู่หมิงชุ่ยคิดว่าเขายังรู้สึกว่าตนเองได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมา แล้วฉายแววของความผิดหวังออกมาทางสายตา นางแต่งงานกับคนไร้ประโยชน์จริง ๆ นางหันมองอวี่เหวินห่าว แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านอ๋อง เชิญเพคะ!” อวี่เหวินห่าวเองก็หันมองนางด้วยท่าทีเรียบเฉย จากนั้นจึงหันกลับไปพูดกับอ๋องฉีว่า “ข้าไปแป๊บเดียว เดี๋ยวก็มา” อ๋องฉีพยักหน้า “รู้แล้ว” ทั้งสองเดินไปยังโถงด้านข้าง ฉู่หมิงชุ่ยสั่งให้ทุกคนออกไป อีกทั้งยังปิดประตูอีกด้วย อวี่เหวินห่าวพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องปิดประตู” ฉู่หมิงชุ่ยเงยหน้าขึ้น แล้วมองเขาด้วยแววตาที่เฉียบคม พร้อมพูดประชดประชันขึ้นว่า “ทำไ
อวี่เหวินห่าวรู้สึกว่าเรื่องนี้ควรจะสิ้นสุดลงเสียที เขาทำสีหน้าเคร่งขรึมพร้อมพูดอย่างไม่แยแสว่า “เจ้าต้องการจะพูดอะไรกับข้ากันแน่?” ฉู่หมิงชุ่ยจ้องมองเขา น้ำตาค่อย ๆ ไหลรินออกมา และพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ไม่มีอะไรต้องพูดแล้วเพคะ เดิมที เขาถูกลอบทำร้ายที่หน้าประตูจวนอ๋องฉู่ หม่อมฉันจึงนึกเป็นกังวลแทนท่าน เกรงว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวพันไปถึงตัวท่าน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะคิดกับหม่อมฉันเช่นนี้ ทำให้หม่อมฉันเจ็บปวดใจยิ่งนัก ท่านไปเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว ขอท่านจงอย่าได้เสด็จมาที่จวนอ๋องฉีอีก” อวี่เหวินห่าวลุกขึ้น “คงไม่ได้ ข้ายังต้องมาจวนอ๋องฉีอีก อย่างไรเสียเจ้าเจ็ดก็อยู่ที่นี่” พูดจบ เขาก็เดินเอามือไขว้หลังออกไปด้วยความรู้สึกสบายใจอย่างถึงที่สุด ฉู่หมิงชุ่ยโกรธจนตัวสั่น นางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา แต่ยิ่งเช็ดน้ำตากลับยิ่งไหลมากขึ้น จะทำเช่นไรก็ไม่หยุดไหล หัวใจรู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง นางไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเขาจะพูดคำพูดเช่นนี้กับนาง นางคิดมาโดยตลอดว่าความสัมพันธ์นี้จะทำให้เขาสามารถจดจำไปถึงวันตาย มีนางเป็นเจ้าของหัวใจของเขา และไม่มีใครสามารถเดินเข้ามาได้อีก ทำไมต้องเป็นหยวนชิ
หลังจากที่ซูยี่ถูกเคาะหัวดัง “ป๊อก” ไปสองครั้ง ก็ควบม้ากลับจวนไป หยวนชิงหลิงยังไม่เข้านอน นางเฝ้ารออย่างกระวนกระวายใจ เมื่อได้ยินลวี่หยาพูดว่าท่านอ๋องกลับมาแล้ว ก็รีบเดินออกไปทันที อวี่เหวินห่าวเชิญถังหยางให้เข้ามาด้านในด้วย เขาควบม้ามาตลอดทาง ก็รู้สึกอารมณ์ดี จึงไม่ทันได้สอบถามถังหยาง เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ซักถามมาได้จากจวนอ๋องฉี “อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้างเพคะ? น่าเป็นห่วงหรือไม่?” หยวนชิงหลิงรีบเอ่ยถามขึ้น อวี่เหวินห่าวจูงนางไปนั่งลง “ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง มีเพียงแค่รอยบาดแผลเล็กๆ สองแห่งเท่านั้น น่าจะถูกปลายดาบฟันเข้า มีเลือดไหลเล็กน้อย” “ผู้ร้ายคนนี้ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ!” หยวนชิงหลิงพูด แต่อันที่จริงแล้วก็รู้สึกโล่งใจไม่น้อย นี่ไม่ใช่เพราะนางรู้สึกเป็นห่วงอ๋องฉี แต่เป็นเพราะอ๋องฉีถูกนางตีไปก่อนหน้า อีกทั้งยังถูกลอบทำร้ายห่างจากประตูของจวนอ๋องฉู่ไม่ไกลอีกด้วย อวี่เหวินห่าวถามถังหยาง “เจ้าลองเล่าเหตุการณ์มาให้ข้าฟังที” ถังหยางพูดว่า “พ่ะย่ะค่ะ เมื่อลองถามองครักษ์พระจำพระองค์และคนขับรถม้าดู คนร้ายปรากฏตัวขึ้นที่มุมถนนตรงปากทางเข้าตรอก สวมใส่ชุดสีดำ อำพรางใบหน้า ฝีมือก
อวี่เหวินห่าวมองนางอย่างมั่นคงแน่วแน่ ดวงตาของนางเปล่งประกายราวกับไฟ "เปิดเผย ตรงไปตรงมา""นางพูดว่าอย่างไร?" หยวนชิงหลิงนั่งลงบนตักเขา สองแขนโอบไว้ที่คอ พลางพูดเบา ๆ ที่ข้างหูก่อนที่สติของอวี่เหวินห่าวจะดับลง ได้ยินเสียงพูดของถังหยางก้องอยู่ในหูว่า พูดกับผู้หญิงให้พูดความจริงแค่ครึ่งเดียวก็พอแล้ว“นางเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้มาก่อน ก่อนที่นางจะทำให้ข้าโกรธ เพราะตำหนิและกล่าวหาว่าเจ้าเป็นผู้หญิงที่ใจร้าย ข้ากลับชมว่าเจ้าว่าอ่อนโยนใจดี มีใจกว้างขวาง และมีคุณธรรม นี่เป็นข้อดีของเจ้า ข้าจะปล่อยให้นางใส่ร้ายเจ้าได้อย่างไร? ข้าไม่ต้องการให้ใครคิดฟุ้งซ่านและพูดไปเลอะเทอะ ข้าจะตำหนินางเอง และจะบอกให้นางตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเป็นธรรม หยุดคิดที่จะทำสิ่งใดที่ไม่ถูกต้อง”"พูดอย่างนี้จริงหรือ?" หยวนชิงหลิงมองเขาและยิ้ม "หลังจากท่านพูดไปแล้ว นางมีปฏิกิริยาอันใดหรือไม่?"โกรธน่ะสิ ยังบอกอีกว่าต่อไปไม่อนุญาตให้ข้าไปที่จวนฉีอีก" อวี่เหวินห่าวตอบนางดวงตาของหยวนชิงหลิงส่องประกายเล็กน้อย "จริงหรือ? อาจมีคำพูดเท็จครึ่งนึงหรือไม่?อวี่เหวินห่าวยกมือขึ้นสาบาน "เรื่องในคืนนี้ ถ้าข้า