อวี่เหวินห่าวรู้สึกว่าเรื่องนี้ควรจะสิ้นสุดลงเสียที เขาทำสีหน้าเคร่งขรึมพร้อมพูดอย่างไม่แยแสว่า “เจ้าต้องการจะพูดอะไรกับข้ากันแน่?” ฉู่หมิงชุ่ยจ้องมองเขา น้ำตาค่อย ๆ ไหลรินออกมา และพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ไม่มีอะไรต้องพูดแล้วเพคะ เดิมที เขาถูกลอบทำร้ายที่หน้าประตูจวนอ๋องฉู่ หม่อมฉันจึงนึกเป็นกังวลแทนท่าน เกรงว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวพันไปถึงตัวท่าน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะคิดกับหม่อมฉันเช่นนี้ ทำให้หม่อมฉันเจ็บปวดใจยิ่งนัก ท่านไปเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว ขอท่านจงอย่าได้เสด็จมาที่จวนอ๋องฉีอีก” อวี่เหวินห่าวลุกขึ้น “คงไม่ได้ ข้ายังต้องมาจวนอ๋องฉีอีก อย่างไรเสียเจ้าเจ็ดก็อยู่ที่นี่” พูดจบ เขาก็เดินเอามือไขว้หลังออกไปด้วยความรู้สึกสบายใจอย่างถึงที่สุด ฉู่หมิงชุ่ยโกรธจนตัวสั่น นางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา แต่ยิ่งเช็ดน้ำตากลับยิ่งไหลมากขึ้น จะทำเช่นไรก็ไม่หยุดไหล หัวใจรู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง นางไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเขาจะพูดคำพูดเช่นนี้กับนาง นางคิดมาโดยตลอดว่าความสัมพันธ์นี้จะทำให้เขาสามารถจดจำไปถึงวันตาย มีนางเป็นเจ้าของหัวใจของเขา และไม่มีใครสามารถเดินเข้ามาได้อีก ทำไมต้องเป็นหยวนชิ
หลังจากที่ซูยี่ถูกเคาะหัวดัง “ป๊อก” ไปสองครั้ง ก็ควบม้ากลับจวนไป หยวนชิงหลิงยังไม่เข้านอน นางเฝ้ารออย่างกระวนกระวายใจ เมื่อได้ยินลวี่หยาพูดว่าท่านอ๋องกลับมาแล้ว ก็รีบเดินออกไปทันที อวี่เหวินห่าวเชิญถังหยางให้เข้ามาด้านในด้วย เขาควบม้ามาตลอดทาง ก็รู้สึกอารมณ์ดี จึงไม่ทันได้สอบถามถังหยาง เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ซักถามมาได้จากจวนอ๋องฉี “อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้างเพคะ? น่าเป็นห่วงหรือไม่?” หยวนชิงหลิงรีบเอ่ยถามขึ้น อวี่เหวินห่าวจูงนางไปนั่งลง “ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง มีเพียงแค่รอยบาดแผลเล็กๆ สองแห่งเท่านั้น น่าจะถูกปลายดาบฟันเข้า มีเลือดไหลเล็กน้อย” “ผู้ร้ายคนนี้ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ!” หยวนชิงหลิงพูด แต่อันที่จริงแล้วก็รู้สึกโล่งใจไม่น้อย นี่ไม่ใช่เพราะนางรู้สึกเป็นห่วงอ๋องฉี แต่เป็นเพราะอ๋องฉีถูกนางตีไปก่อนหน้า อีกทั้งยังถูกลอบทำร้ายห่างจากประตูของจวนอ๋องฉู่ไม่ไกลอีกด้วย อวี่เหวินห่าวถามถังหยาง “เจ้าลองเล่าเหตุการณ์มาให้ข้าฟังที” ถังหยางพูดว่า “พ่ะย่ะค่ะ เมื่อลองถามองครักษ์พระจำพระองค์และคนขับรถม้าดู คนร้ายปรากฏตัวขึ้นที่มุมถนนตรงปากทางเข้าตรอก สวมใส่ชุดสีดำ อำพรางใบหน้า ฝีมือก
อวี่เหวินห่าวมองนางอย่างมั่นคงแน่วแน่ ดวงตาของนางเปล่งประกายราวกับไฟ "เปิดเผย ตรงไปตรงมา""นางพูดว่าอย่างไร?" หยวนชิงหลิงนั่งลงบนตักเขา สองแขนโอบไว้ที่คอ พลางพูดเบา ๆ ที่ข้างหูก่อนที่สติของอวี่เหวินห่าวจะดับลง ได้ยินเสียงพูดของถังหยางก้องอยู่ในหูว่า พูดกับผู้หญิงให้พูดความจริงแค่ครึ่งเดียวก็พอแล้ว“นางเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้มาก่อน ก่อนที่นางจะทำให้ข้าโกรธ เพราะตำหนิและกล่าวหาว่าเจ้าเป็นผู้หญิงที่ใจร้าย ข้ากลับชมว่าเจ้าว่าอ่อนโยนใจดี มีใจกว้างขวาง และมีคุณธรรม นี่เป็นข้อดีของเจ้า ข้าจะปล่อยให้นางใส่ร้ายเจ้าได้อย่างไร? ข้าไม่ต้องการให้ใครคิดฟุ้งซ่านและพูดไปเลอะเทอะ ข้าจะตำหนินางเอง และจะบอกให้นางตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเป็นธรรม หยุดคิดที่จะทำสิ่งใดที่ไม่ถูกต้อง”"พูดอย่างนี้จริงหรือ?" หยวนชิงหลิงมองเขาและยิ้ม "หลังจากท่านพูดไปแล้ว นางมีปฏิกิริยาอันใดหรือไม่?"โกรธน่ะสิ ยังบอกอีกว่าต่อไปไม่อนุญาตให้ข้าไปที่จวนฉีอีก" อวี่เหวินห่าวตอบนางดวงตาของหยวนชิงหลิงส่องประกายเล็กน้อย "จริงหรือ? อาจมีคำพูดเท็จครึ่งนึงหรือไม่?อวี่เหวินห่าวยกมือขึ้นสาบาน "เรื่องในคืนนี้ ถ้าข้า
ประตูปิดได้ไม่นาน สักครู่ก็เปิดให้เข้ามาในครั้งนี้อวี่เหวินห่าวพูดอย่างตรงไปตรงมา และคิดอย่างใจเย็นที่นอกประตู มีเหตุผลเดียวที่ทำให้นางโกรธ ก็คืออยู่กับฉู่หมิงชุ่ยตามลำพังเขาให้คำมั่นสัญญาว่า "ต่อจากนี้ไป ข้าจะไม่ไปพบนางตามลำพังโดยเด็ดขาด"หยวนชิงหลิงมองดูเขา "ครั้งนี้ข้าไม่ได้หึง และก็ไม่ได้โกรธที่ท่านไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด ทั้งยังรู้สึกว่าใจของท่านยังไม่หนักแน่นพอ แม้ว่าท่านจะไม่มีความรู้สึกแบบนั้นกับนางแล้วก็ตาม แต่ว่าพวกท่านเติบโตมาด้วยกัน จะมากหรือน้อยก็ยังมีความรักใคร่ผูกพันกันอยู่ นางต้องการใช้ประโยชน์จากความรักนี้ครอบคลุมท่าน บทเรียนที่ได้จากจวนองค์หญิง เรื่องง่ายขนาดนี้ ท่านลืมไปแล้วหรือ"หยวนชิงหลิงใช้ความรู้ของตัวเองที่มีอยู่มาสอนเขาด้วยความตั้งใจจริงอวี่เหวินห่าวซาบซึ้งมาก แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่านางไร้ยางอายเล็กน้อยนางละอายใจที่จะเอ่ยถึงจวนองค์หญิงอย่างไรก็ตามเขาไม่กล้าพูดคำเหล่านี้ออกมา เพียงแค่รับฟังการสั่งสอนเท่านั้นในตอนนั้นเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน แม้ว่าภายนอกจะมีคนอยู่ แต่นอกจากซูยี่ ทั้งหมดล้วนเป็นคนของนาง หากว่าตอนนั้นนางต้องการทำอะไรเขา ก็
อวี่เหวินห่าวพูดไม่ออก ใครมีความผิดเรื่องนี้ เขาก็พูดไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?"ดำเนินการทำตามที่ข้าบอก" อวี่เหวินห่าวขยี้คิ้ว "ไปเถอะ"อวี่เหวินห่าวส่ายหัว "ไม่ เสด็จพ่อ ลูกไม่สามารถทอดทิ้งผู้มีคุณธรรมได้"จักรพรรดิหมิงหยวนรู้สึกโกรธ พลางกล่าว "เช่นนั้น เจ้าก็กำลังขัดพระราชโองการใช่หรือไม่?""เสด็จพ่อ" อวี่เหวินห่าวเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ขอร้องอย่างจริงใจ "หยวนเจี๋ยเป็นคนมีคุณธรรมจริง ๆ หากเขาลงโทษขุนนางที่มีคุณงามความดี จะทำร้ายจิตใจข้าราชบริพารนับพัน"จักรพรรดิหมิงหยวนจ้องหน้าเขา หน้าตาบูดบึ้ง "เรื่องนี้ถ้าเจ้าทำไม่ได้ หลายคนทำได้ เจ้าก็ไปไตร่ตรองเอาเองก็แล้วกัน ออกไป!"อวี่เหวินห่าวยังจะพูดต่ออีก มู่หรูกงกงก้าวไปข้างหน้า "ข้าน้อยน้อมส่งท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ"มู่หรูกงกงขยิบตาให้เขา ส่งสัญญาณให้เขาไม่ต้องพูดอะไรอีกอวี่เหวินห่าวชะงักไปชั่วขณะ เขารู้จักนิสัยของเสด็จพ่อดี การขัดแย้งกับเขาในตอนนี้ไม่เป็นผลดีแน่ เพราะไม่เห็นทางที่จะเรียกร้องความยุติธรรมคืนกลับมาให้หยวนเจี๋ยเขากล่าวลา "ลูกทูลลา"มู่หรูกงกงส่งเขาออกถึงนอกประตู มู่หรูกงกงกระซิบบอก "ก่อนรุ่งสางของวันนี้ ที่จวนอ๋องฉีได้ส
เหลิ่งจิ้งเหยียนมองเขาแล้วยิ้ม พร้อมกล่าวช้า ๆ อย่างตรงไปตรงมาว่า "ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับท่านอ๋อง ข้าได้ยินมาว่าในวันนั้นพระชายาจี้ก็ได้ช่วยเหลือผู้คนที่นอกเมืองด้วยเหมือนกัน""ใช่แล้ว" อวี่เหวินห่าวเห็นเขา ก่อนที่จะเตือนไปว่า "อย่าคิดที่จะใช้นางมาเป็นเครื่องมือ" "จำเป็นที่จะต้องใช้นางเป็นเครื่องมือ!" เหลิ่งจิ้งเหยียนกล่าวอวี่เหวินห่าวตบโต๊ะอีกครั้ง "คิดได้อย่างไร"เหลิ่งจิ้งเหยียนมองเขา "ท่านอ๋องอย่าใจร้อน ฟังข้าพูดให้จบก่อน"อวี่เหวินห่าวโบกมือให้ "พูดไปก็เท่านั้น แต่คงไม่ใช่วิธีที่ดี""พระชายาช่วยคนที่นอกเมือง เรื่องนี้มีคนเห็นไม่น้อย ข่าวได้แพร่กระจายในเมืองหลวงในช่วงสองวันที่ผ่านมา พูดกันว่าพระชายาฉู่มีจิตใจเมตตากรุณา ใจก็ดี รูปก็งาม ถ้าต้องหาใครมาแบกรับเรื่องนี้ พระชายาฉู่ดูจะเหมาะที่สุด""อะไรกันนี่?" อวี่เหวินห่าวจ้องเขาอย่างอารมณ์เสียเหลิ่งจิ้งเหยียนยิ้มพร้อมกล่าวว่า "ตอนนี้เหล่าเย๋จื่อโปรดปรานใครมากที่สุด? ในเหล่าพระชายาทั้งหลาย ตอนนี้ใครมีชื่อเสียงมากที่สุด? ท่านคิดว่าหากพระชายาฉู่ต้องรับโทษ ฮ่องเต้จะตำหนินางจริง ๆ หรือ? แม้ว่าฮ่องเต้คิดจริง ๆ แต่เหล่าเย๋จื่อก็คงไ
"หยวนเจี๋ยเป็นผู้มีคุณธรรม!" หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างโกรธเคือง"ข้ารู้ เมื่อครู่ข้ายังจงใจไปที่ประตูเมือง เขาไม่นำพาอาการบาดเจ็บกลับไปเฝ้าประตูเมือง" อวี่เหวินห่าวถอนหายใจหยวนชิงหลิงพูดไม่ออก นางเป็นนักวิจัยที่ไม่เข้าใจเรื่องการเมือง แต่นางแค่คิดว่ามันจะทำร้ายจิตใจของผู้คน โดยเฉพาะคนที่มีคุณธรรม"มีทางออกอื่นหรือไม่?" หยวนชิงหลิงกล่าวถามอวี่เหวินห่าวลังเลอยู่สักพัก ส่ายหัวพลางกล่าว "ไม่มี เรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ"หยวนชิงหลิงถอนหายใจเบาๆ "โหดร้ายยิ่งนัก"ทหารเฝ้าประตูผู้นั้นพยายามทำเต็มที่สุดกำลังความสามารถแล้ว อย่างน้อยก็ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่สมควรที่จะถูกลงโทษ สองสามีภรรยาคับใจจนพูดไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา สับสนกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเวลาผ่านไปเนิ่นนาน อวี่เหวินห่าวจึงกล่าว "ความจริง ข้ายังไปหาจิ้งเหยียนที่กั๋วจื่อเจียน เขาเสนอวิธีหนึ่ง""วิธีไหน?"หยวนชิงหลิงรีบถามอวี่เหวินห่าวมองนาง กล่าวคำที่ดูซับซ้อนว่า "เขาให้เจ้าไปขอโทษ""ข้า?" หยวนชิงหลิงตกใจ "ข้าผิดอะไร? ข้าไม่มียศไม่มีตำแหน่ง สามารถขอโทษอะไรได้?""จิ้งเหยียนพูดว่า เจ้าในฐานะพระชา
อวี่เหวินห่าวประหลาดใจ ข้าคิดว่าถึงจะแค่หนึ่งหรือสองประโยคสั้นๆ แต่นางก็มีประเด็นหลักที่น่าคิดนั่นก็คือความจริงที่ว่าเจ้าเจ็ดมีไม่กี่ชีวิต ที่พร้อมจะทำให้เขาได้เป็นรัชทายาทนี่อาจเป็นสาเหตุที่มหาเสนาบดีฉู่ไม่ได้แสดงจุดยืนของเขามาเป็นเวลานาน ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมเขาเองก็อยากรู้เช่นกัน นางไม่สนใจตำแหน่งพระชายารัชทายาทเลยสักนิดหรือ? หลังจากได้เป็นพระชายาขององค์รัชทายาท ต่อไปก็จะได้ขึ้นเป็นฮองเฮา แน่นอนก่อนที่เขาจะได้เป็นรัชทายาท จะสามารถอยู่อย่างมั่นคงจนถึงวันที่เขาขึ้นครองราชย์"เจ้าไม่หวังจะให้ข้าเป็นรัชทายาทจริงหรือ?" อวี่เหวินห่าวถามหยวนชิงหลิงมองเขาอย่างแปลกใจ "ทำไมถึงมาถามข้าว่าหวังหรือไม่หวัง ไม่ใช่ง่าข้าได้เป็นรัชทายาทนี่"“หากข้าได้เป็นรัชทายาท เจ้าก็ได้เป็นพระชายาขององค์รัชทายาทแล้ว"หยวนชิงหลิงยิ้มอ่อน “พระชายาขององค์รัชทายาทกับพระชายาของอ๋อง มีอะไรแตกต่าง?"หวี่เหวินห่าวมองไปที่นาง "ทำไมไม่แตกต่าง? เจ้าอย่ามาแกล้งเลอะเลือนกับข้า เจ้าไม่อยากเป็นฮองเฮาเหรอ?" หยวนชิงหลิงหยิบถ้วยที่วางอยู่บนโต๊ะ พูดเสียงเบาว่า "ความคิดนั้นง่าย แต่ถนนหนทางมีอันตราย ไม่คุ้มค่า"
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม