เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
ณ ตำหนักเฟิ่งอี้ จวนอ๋องฉู่แห่งราชวงศ์ถังของทางตอนเหนือ แสงเทียนพริ้วไหวไปมา กระทบกระดาษอักษรมงคลสีแดงค่อนข้างเก่าที่แปะอยู่ทั่วทุกที่ภายในห้อง แสงและเงากระจายเป็นขอบสีทอง เรืองแสงอ่อน ๆ สะท้อนเป็นเงาซ้อนอยู่บนผนังใบหน้าของ หยวน ชิงหลิง มีเพียงความอัดอั้นและไม่พอใจหนึ่งปีแห่งการแต่งงาน เขาไม่เคยแตะต้องนางเลยแม้แต่ปลายนิ้ว และเมื่อวันก่อนไปเข้าเฝ้าในวังหลวง ไทเฮามองดูหน้าท้องแบนราบของนางแล้วก็ถอนหายใจ เพราะทรงผิดหวังมาก พระนางยังตรัสถึงเรื่องการรับพระชายารองของท่านอ๋องเพิ่ม นางจึงอดไม่ได้ที่จะต้องบอกไทเฮาว่า พวกเขาแต่งงานกันมาแล้วหนึ่งปี แต่ยังไม่เคยร่วมหอด้วยกันเลยนางไม่อยากร้องไห้เพื่อเรียกร้องความสนใจ นางเพียงแค่ไม่พอใจตั้งแต่ที่นางเห็นเขาครั้งแรกตอนอายุสิบสาม หัวใจของนางก็ผูกติดอยู่กับเขา นางพยายามทำทุกวิถีทาง และในที่สุดก็แต่งงานกับเขาในฐานะพระชายา นางคิดว่านางทุ่มเทให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เขาก็ต้องหวั่นไหวหรือใจอ่อนให้บ้างสักเล็กน้อย แต่นางกลับประเมินค่าตัวเองสูงไปเกินไป ทั้งที่รู้ ๆ กันว่าเขาเป็นสามีของนาง แต่นางไม่เห็นความสงสารแม้แต่น้อยในสายตาของเขา มีเพียงความเกลียดชัง
เธอหมดสติไปหลังจากฉีดยาที่เธอคิดค้นขึ้น พอตื่นขึ้นมาก็อยู่ที่นี่แล้วความทรงจำบางอย่างในสมองของเธอ ที่ไม่ได้เป็นของเธอนั้นค่อย ๆ ไหลทะลักเข้ามาเชื่อมโยงความทรงจำอย่างช้า ๆหยวนชิงหลิงบุตรสาวภรรยาหลวงของขุนนางจิ้ง รอคอยอย่างเงียบ ๆ เธอเฝ้ารออ๋องฉู่ หวี่เหวินห่าวมานาน เมื่ออายุได้สิบห้าปี เธอไปที่บ้านขององค์หญิงเพื่อร่วมงานเลี้ยง และวางแผนจัดฉากว่าอ๋องฉู่มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับเธอ และการขู่ว่าจะทำร้ายตัวเอง เลยทำให้เธอกลายเป็นพระชายาของอ๋องฉู่น่าเสียดายที่หลังจากอภิเษกสมรสในวังเป็นเวลาหนึ่งปี เธอทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ อ๋องฉู่ก็ไม่เคยชายตามองเธอแม้แต่นิดเดียวสาววิศวะ แม้ว่าจะไม่เคยมีความรัก แต่ร่างกายบอกกับเธอว่า ก่อนเจ้าของเดิมจะเสียชีวิต เธอน่าจะเคยมีพฤติกรรมก้าวร้าวมาก่อนความทรงจำของเจ้าของเดิมในใจของเธอก็ยืนยันสิ่งนี้เช่นกันจากหมออัจฉริยะเลื่อนขั้นเป็นพระชายาอ๋องฉู่แห่งราชวงศ์ที่ไม่รู้จัก สิ่งที่เสียดายเพียงอย่างเดียวของหยวนชิงหลิงคือโครงการวิจัยที่เธอมีอยู่ในมือแต่ไม่สามารถดำเนินการได้อีกต่อไปวิญญาณข้ามมิติทะลุเวลาเป็นเรื่องที่ไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์แบบนี้ได้เกิดข
ร่างของเจ้าของเดิมอ่อนแอเกินไป เธอจึงหลับไปอย่างเพลีย ๆเธอฝันว่าตัวเองได้กลับไปที่ห้องวิจัยของเธอจริง ๆห้องวิจัยที่บริษัทจัดให้เธอเป็นห้องที่ลึกลับมาก นอกจากประธานบริษัทและผู้ช่วยของเธอ แทบไม่มีใครรู้ที่ตั้งของห้องวิจัยเลยทั้งหมดไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เธอแตะโต๊ะ, คอมพิวเตอร์, กล้องจุลทรรศน์, กระบอกฉีดยาที่เธอเคยฉีด และหลอดทดลองก็ทิ้งไว้ที่ด้านข้างคอมพิวเตอร์เปิดอยู่ เธอล็อกอินไลน์ในคอมพิวเตอร์ ข้อความมากมายเด้งขึ้นอย่างต่อเนื่องจากคนในครอบครัว ถามเธอว่าอยู่ที่ไหนเธอสัมผัสแป้นพิมพ์ ในใจรู้สึกเศร้า เพราะว่าความตายในยุคปัจจุบันของเธอเธอจะไม่มีวันได้เจอพ่อแม่และครอบครัวอีกแล้วตกใจอยู่ครู่หนึ่ง เธอเห็นขวดยาใส่แผลโพวิโดนวางอยู่บนโต๊ะ ซึ่งเธอได้เอามันมาด้วยก่อนจะฉีดยา เพราะเธออยู่ในสถาบันวิจัยมานาน ดังนั้นสถาบันวิจัยมักจะมียาหลายชนิดอยู่เธอเปิดกล่องยา ยาแทบจะไม่เคยได้ใช้เลยถ้าเธอมียาเหล่านี้ เด็กคนนั้นอาจจะรอดไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน และทันใดนั้นเธอก็ตื่นจากความฝัน เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูสาวใช้เดินมาพร้อมกับตะเกียง ในมือถือจานหมั่นโถว วางลงบนโต๊ะอย่างแรง แล้วพูดอย่างเย็นช
หยวน ชิงหลิงผงะไปชั่วขณะ ในสมองพลัยผุดภาพความทรงจำนั้น เป็นวันก่อนที่ฮั่วเกอเอ๋อร์จะเกิดเรื่องขึ้น เจ้าของร่างเดิมเคยดุเขาตบเขาอย่างรุนแรง ทั้งยังสั่งให้แน่นหนา ที่เขาเกิดเรื่องขึ้นก็คงเป็นเพราะเกิดพลัดกลิ้งตกลงมา แล้วถูกตะปูตำจนได้รับบาดเจ็บซึ่งจริง ๆ แล้วงานนี้ ไม่ใช่หน้าทีของเขาไม่เพียงแค่นั้น เพราะคนที่เขาแต่งงานด้วยก็ถูกขายออกไป เธอโกรธแค้นคนที่อ๋องฉู่สั่งการมา และมักจะเฆี่ยนตีและดุด่าคนรอบข้างของเธอเสมอ แม่นมฉีก็ถูกเธอทุบด้วยถ้วย เลือดไหลออกมาจำนวนมากเจ้าของเดิมเป็นคนจิตใจไม่ดี ไม่แปลกที่ทุกคนจะเกินความรำคาญ“เจ้าลองถามแม่นมฉีดู ฉันจะไปดูเขาได้ไหม” หยวน ชิงหลิง ถาม“พระชายามีจิตใจที่ดีเช่นนี้ เราก็คงจะไม่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ไม่ต้องหน้าซื่อใจคด แม่นมฉี และ ฮั่วเกอเอ๋อร์ไม่อยากเห็นพระชายา” ลู่หยา พูดแล้วหันกลับก่อนจะเดินออกไปประตูปิดอีกครั้งหยวน ชิงหลิง ถอนหายใจเบา ๆ เด็กคนนั้นกำลังจะตาย?เธอไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของหั่วเกอนั้นร้ายแรงแค่ไหน และก็ไม่รู้ว่าหมอที่นี่รักษาเขาอย่างไร หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม เป็นไปได้มากที่กระจกตาจะหลุดออกมา และลูกตาอาจจะติดเชื้อชีวิต
แม่นมฉีคุกเข่าลงกับพื้น ขอร้องหมอลี่ หมอลี่มองไปที่องครักษ์ทังหยาง ทังหยางพูดอย่างลำบากใจ: "หมอ ไม่ลองดูเหรอ?"หมอลี่ยิ้มแหย ๆ "ลองดู? คนใกล้จะตายแล้วให้ข้ารับช่วงต่อ มันก็จะทำลายชื่อเสียงของข้าหมดสิ"หลังจากได้ยินแบบนี้ แม่นมฉีร้องไห้เกือบจะเป็นลม หายใจหอบและตะโกนต่อไปว่า: "หลานชายผู้น่าสงสารของข้า!"ลวี่หยาเดินเข้าไปปลอบ ช่วยประคองแม่นมฉีลุกขึ้นนั่งข้าง ๆแต่องครักษ์ทังหยางพูดกับหมอว่า: "เด็กคนนี้มีอาการปวดรุนแรงมาก ไม่ก็หมอช่วยสั่งยาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของเขา ข้างนอกจะไม่พูดถึงท่านแน่นอนว่าเคยช่วยเหลือไว้"ทังหยางพูด ๆ อยู่ พร้อมกับยัดเงินเข้าไปในแขนเสื้อของหมอหมอลี่พูดขึ้นว่า "ถ้าความเจ็บปวดบรรเทาลงก็ถือว่าดี แต่ก็เปล่าประโยชน์ที่จะบรรเทาความเจ็บปวด เพราะเมื่อถึงเวลาก็ต้องไป"“ใช่ ใช่ ใช่!” ทังหยางก็อยากให้หั่วเกอไปอย่างสบาย เด็กคนนั้นน่าสงสารจริง ๆ ก็เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆหมอลี่กำลังจะเข้าไปเขียนใบสั่งยา แต่จู่ ๆ ประตูก็ปิดดังปั้ง ทั้งยังคล้องด้วยสลักประตูลวี่หยาจำลักษณะของเสื้อผ้าที่เห็นก่อนประตูจะปิด และตะโกนว่า "เป็นพระชายา"แม่นมฉีได้เมื่อยินว่าเป็นพระชายา ก็ทั้