ยังไม่ทันได้ตั้งตัว นิ้วที่แข็งราวกับคีมเหล็กบีบคอเธอ ดวงตาของเธอเบิกกว้าง ก็ได้เห็นใบหน้าเหย่อหยิ่งของอ๋องฉู่ที่ระเบิดอารมณ์โกรธออกมาแรงบีบที่ทำให้เกือบขาดอากาศหายใจ ตาของเธอมืดลงจนเกือบจะหมดสติ“แม้แต่เด็กอายุสิบขวบ” เสียงขบกรามแน่นที่ดังอยู่ข้างหูเธอ “เจ้าลงมืออย่างอมหิตถึงเพียงนี้ ทหาร นำตัวพระชายาออกไปโบยสามสิบที!”หยวน ชิงหลิง นอนไม่หลับติดต่อกันมาหลายวัน ร่างกายจึงไม่มีเรี่ยวแรง ทั้งยังโดนตบไปอีก ร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรงจนลุกไม่ขึ้น ทันทีที่ท่านอ๋องปล่อยมือ ร่างเธอก็ร่วงฟุบลงไปกับพื้น ทันทีที่ได้รับอากาศ เธออ้าปากกว้างสูดหายใจเข้าปอด จู่ ๆ ร่างก็ถูกหามลากออกไปยามค่ำคืน เธอมองเห็นเพียงแค่ใบหน้าเย็นชาของอ๋องฉู่ในชุดคลุมหรูหราและสายตาที่มองมาด้วยความรังเกียจ…เธอถูกลากไปที่บันไดหิน ศีรษะโขกกระแทกกับขั้นบันไดหินแข็ง ความรู้สึกเจ็บปวดที่ล้นทะลักออกมา แววตาที่มืดลง เธอได้หมดสติไปแล้วเธอหมดสติได้ไม่นาน ความเจ็บปวดก็กลับเข้ามาในสติ เป็นความรู้สึกเจ็บปวดที่แม้แต่ในชีวิตที่แล้วก็ไม่เคยได้รับ แรงฟาดของไม้ที่ฟาดลงมาแต่ละทีบนเอวและขา ทุกครั้งที่ฟาดลงมาเจ็บซึมลึกเข้ากระดูก เธอรู้สึกได้แค่
ถังหยางสั่งให้ลวี่หยาไปจัดยาและพูดปลอบใจแม่นมฉีเล็กน้อยก่อนจะหันจากไปแม่นมฉีเฝ้าดูแล ยิ่งมืดก็เริ่มหวาดกลัวลวี่หยาก็เข้ามาอยู่เป็นเพื่อน ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกลั้นหายใจเฝ้ามองฮั่วเกอเอ๋อร์ กลัวว่าถ้าหายใจแรงไปเขาจะตื่นขึ้นมาแต่ทว่า ฮั่วเกอเอ๋อร์นอนหลับสนิท จนถึงรุ่งสาง ไม่คิดเลยว่าจะตื่นขึ้นมา ฮั่วเกอเอ๋อร์ลืมตาขึ้นมาข้างหนึ่งมองแม่นมฉี “ท่านย่า ข้าหิว!”แม่นมฉีแทบจะกระโดดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ หลังจากได้รับบาดเจ็บ เขาก็กินอะไรไม่ได้ แม้แต่นมแพะที่นางไปร้องขอมาอย่างยากลำบากก็ดื่มไม่ลงเลยสักนิดนางเอื้อมมือไปลูบหน้าผากของหลาน คาดไม่ถึงเลยว่าจะไม่ร้อนแล้ว“ยาของท่านหมอได้ผล ได้ผลจริงๆ!” แม่นมพูดกับลวี่หยาด้วยความรู้สึกตื่นตะลึง“ใช่เจ้าค่ะ ยาของท่าหมอได้ผลแล้ว” ลวี่หยาเองก็รู้สึกดีใจมากๆท่านหมอหลี่ที่ถูกเชิญมาในวันรุ่งขึ้นได้มาถึงที่จวนอ๋องฉู่แล้วได้ยินว่าเด็กยังไม่ตาย หมอหลี่ก็ได้แต่คิดมันช่างเป็นเรื่องที่แปลกจริง ๆ “เด็กคนนี้ดวงแข็งจริงๆ โดยปกติคงไม่รอดแล้ว”แม่นมฉีคุกเข่าแล้วก้มหัวลง “ท่านหมอ ท่านจ่ายยาช่วยชีวิตหลานชายข้า”หมอหลี่ชะงักไปสักครู่ เมื่อวานที่ยาที่จ่ายไม่
กินหมั่นโถวไปแล้วครึ่งลูก เธอรู้สึกว่าเริ่มมีแรงขึ้นมาบ้างเล็กน้อย เธอพยายามลุกขึ้นเอนตัวลงไปพักกับโต๊ะ ใช้ร่างกายท่อนบนพยุงร่าง ไม่มีทางที่จะเทน้ำเองได้ จึงทำได้แค่เอนตัวไปดื่มน้ำที่เหลือเท่านั้นรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย เธอค่อย ๆ ขยับขาทั้งสองขาอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ พาตัวเองลงมาจากโต๊ะ แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงมากพอ จึงล้มลงกับพื้นกระเทือนถึงแผลบอบช้ำที่หลังเธอกัดฟันอดทนกับความเจ็บ จากนั้นใช้ศอกทั้งสองคลานหากล่องยาอย่างช้า ๆ ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่เธอจำได้ว่ามียาแก้อักเสบและยาลดไข้อยู่ในนั้น ฉีดยาไม่ได้ เธอก็ทำได้แค่เพิ่มปริมาณยาที่กินเท่านั้นผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง เธอเทวิตามินซีกินไปสักนิด เมื่อไม่มีน้ำเลยกินแบบกลืนลงไป รสชาติเปรี้ยวจนเธอแทบอยากเอามือทุบพื้นกินยาแล้ว เธอนอนขดตัวกับพื้นแล้วหายใจเข้าลึก ๆ ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยได้รับความทุก์ทรมานขนาดนี้มาก่อนเลย ทำให้เธอรู้ตัวว่ายุคนี้กับยุคปัจจุบันที่เธอเคยอยู่มันต่างกัน คนที่มีอำนาจ สามารถลิขิตสั่งให้ใครอยู่หรือใครตายก็ได้และชีวิตของเธอ อยู่ในกำมือของอ๋องฉู่เธอจำเป็นต้องปรับตัวให้มีชีวิตรอดในสภาพแวดล้อมเลวร้ายนี้ให้ได้เพียงแต่ก็ไ
หยวน ชิงหลิง ปรับตัวให้ชินกับความมืดได้แล้ว ทันใดนั้นเองแสงสว่างที่เข้ามาโดนตาเธอทำให้เธอต้องยกมือบังแสงนั้น เธอได้ยินเสียงคุกเข่ากับพื้น แม่นมฉีคุกเข่าลง “พระชายา หม่อมฉันไม่รู้ จึงเข้าใจพระชายาผิดไป ได้โปรดช่วยฮั่วเกอเอ๋อร์ด้วย”“พยุงข้าขึ้น!” หยวน ชิงหลิง พูดอย่างช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแม่นมฉีวางตะเกียงลงแล้วไปช่วยพยุง หยวน ชิงหลิง นางมองเห็นรอยเลือดที่ด้านหลังของหยวนชิงหลิงแล้ว อาการบาดเจ็บช่างสาหัสจริง ๆ นางเกิดความลังเลขึ้นมาในใจเล็กน้อย นางเกลียดผู้หญิงคนนี้จากก้นบึ้งของหัวใจ แต่ทว่าสิ่งที่ฮั่วเกอเอ๋อร์พูดอาจจะเป็นความจริง?“พระชายา พระองค์ยืนได้ไหมเพคะ?”“ไปนำกล่องยาข้ามา!” หยวน ชิงหลิง รู้ว่าแม่นมฉีเกลียดเธอยังกับอะไรดี แต่ก็ยังยอมคุกเข่าขอร้องให้เธอช่วยแบบนี้ คาดว่าอาการของฮั่วเกอเอ๋อร์ดูท่าคงไม่ดีแล้ว ไม่ใช่เวลามาสนใจว่าใครจะเห็นกระเป๋ายาอีกแล้ว“พะ เพคะ!” แม่นมฉีรีบเข้าไปเอากระเป๋ายาหลังจากนั้นก็กลับมาพยุงเธอหยวน ชิงหลิง เดินไปไม่กี่ก้าวรู้สึกเจ็บปวดที่ขาและสะโพกจนเหงื่อไหลหยดออกมา เมื่อก้าวออกจากประตู มันเจ็บมากเสียจนฟันกระทบกัน“พระชายา...”“อย่าพูดไร้สาระ รี
หลังจากทำแผลเสร็จแล้ว เธอเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุด เธอเอนกายพักผ่อน เธอรู้ตัวเองดีกว่ากระทำของตัวเองไม่ได้น่าภูมิใจมากนัก แต่เธอก็ไม่ได้สนใจอะไรมันอีกแล้วพักอยู่ครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงแม่นมฉีบ่นด้วยความกังวลใจ “พระชายา เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”หยวน ชิงหลิง ดันตัวเองขึ้นจากโต๊ะอย่างช้า ๆ แล้วยืนให้เรียบร้อย ก่อนเรียกแม่นมฉี “เข้ามาเถอะ”เสียงผลักประตูดังขึ้น แม่นมฉีกับลวี่หยาเมา ทั้งสองคนรีบวิ่งไปดูฮั่วเกอเอ๋อร์ พบว่าลมหายใจสม่ำเสมอดี แม่นมฉีจึงถอนหายใจได้อย่างโล่งอกหยวน ชิงหลิง ยกกล่องยาขึ้นแล้วพกกับทั้งคู้ว่า “เรื่องในคืนนี้ พวกเจ้าทั้งสองจงเก็บเป็นความลับ อย่าได้บอกอ๋องฉู่หรือคนในจวนแม้แต่คนเดียว” แม่นมฉีและลวี่หยามองหน้ากันและคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายลวี่หยาเข้าไปพยุง หยวน ชิงหลิง “พระชายา หม่อมฉันพยุงพระองค์กลับไปนะเพคะ” “ไม่เป็นไร เจ้าเฝ้าเขาเถอะ ที่หัวเตียงข้าวางยาเอาไว้ สองชั่วยามให้เขากินหนึ่งครั้ง ถ้ากินหมดแล้ว ค่อยมาหาข้า” หยวน ชิงหลิง ปล่อยมือลวี่หยาแล้วเดินออกไปข้างนอกอย่างยากลำบาก “พระชายาเพคะ!” จริง ๆ แล้วนางอยากพูดขอบคุณสักคำ แต่พอนึกเรื่องเมื่อก่อนที่
เธอมีความรู้สึกแยกไม่ออกแล้วว่านี่เป็นความจริงหรือความฝัน ก่อนจะดันกล่องยากลับไปที่ใต้เตียงอย่างสั่นเทา แต่ทันทีที่กล่องยาเข้าไปใต้เตียง มันก็หายไปเธอกลั้นหายใจไปสามวินาที ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะใต้เตียง มันไม่มีอะไรเลยจริง ๆตัวเธอสั่นเทา และค่อย ๆ คลานกลับไปที่เตียง เธอหายใจแรงขึ้นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้เกินความรู้ความเข้าใจของเธอ ความรู้อย่างเป็นมืออาชีพ และที่ไม่ใช่มืออาชีพของเธอก็ไม่สามารถให้คำตอบกับเธอได้ มนุษย์มักกลัวสิ่งที่ไม่รู้ และมีความกลัวอยู่ลึก ๆ ในใจ และเธอรู้สึกกลัวจริง ๆประตูถูกผลักออกเสียงดัง "ปัง" หยวน ชิงหลิงยังไม่ทันจะเงยหน้าขึ้นมอง และไม่รู้สึกถึงบรรยากาศเย็นชาที่เต็มไปรอบ ๆ เธอเพียงรู้สึกเจ็บที่หนังศีรษะเท่านั้น จากนั้นตัวเธอก็ถูกโยนลงพื้น“เจ้าคิดจะสำออยแกล้งตายงั้นรึ? เจ้าอยากจะตายเสียในตอนนี้ หรือลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับวังไปกับข้า” เสียงเย็นชาดังขึ้นเหนือศีรษะของเธอ และร่างเธอกูถูกพลิกอย่างรุนแรงป่าเถื่อน หลังเธอกระแทกกับพื้น เจ็บจนทำให้ทั้งร่างกายของเธอสั่นสะท้าน และยังไม่ทันที่เธอจะสูดหายใจ คางของเธอก็ถูกมือบีบไว้อย่างแรงจนรู้สึกเหมือนจะ
หลังจากดื่มยาเข้าไป เธอก็รู้สึกในท้องอุ่นขึ้นมา มันทำให้เธอรู้สึกสบายตัวขึ้นมาก แม่นมฉีกล่าวอย่างแผ่วเบา: “พระชายา หลังจากพระองค์กลับจวนแล้ว ข้าจะค่อย ๆ ให้บำรุงร่างกายพระองค์ ตอนนี้ได้โปรดหลับตาและพักผ่อนสักครู่ เดี๋ยวก็ดีขึ้น” หยวน ชิงหลิงหลับตาลง รู้สึกเพียงว่ามีแสงไฟกระพริบในหัวรู้สึกเหมือนจะระเบิด และเสียงที่ยุ่งวุ่นวายบางอย่างสะท้อนกลับมา “เจ้าไม่มีค่าพอให้ข้าเกลียดเจ้า ข้าแค่ขยะแขยงเจ้า ในสายตาข้าเจ้าเป็นเหมือนแมลงวันเน่าเหม็นที่ทำให้ผู้คนเกลียด ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่จำเป็นต้องดื่มยาเพื่อมาร่วมหอกับเจ้า” มันคือเสียงของท่านอ๋องฉู๋ อวี่ เหวินห่าวน้ำเสียงเต็มไปด้วยความแค้นและความเกลียดชัง เธอไม่เคยได้ยินคำพูดที่ทำร้ายความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน และมีบางคนกำลังร้องไห้ฮือฮืออยู่ที่ข้างหู และแสงไฟในหัวก็กลายเป็นแอ่งเลือด หลังจากนั้นทุกอย่างก็ค่อย ๆ สงบลง ราวกับว่าเส้นประสาทนับพันในหัวของเธอได้ผ่อนคลายในที่สุด ความเจ็บปวดค่อย ๆ หายไป หรือจะพูดได้ว่า มันไม่ได้หายไปแต่กลับชาไปแล้ว เธอลืมตาขึ้นเห็นลวี่หยายืนอยู่ที่เตียงขมวดคิ้วมองเธอ “พระชายา รู้สึกดีขึ้นบ้างไหมเพคะ?” ลวี่หย
กล่องเล็ก ๆ นั้น มีขนาดประมาณครึ่งกำปั้น ไม่ใช่สิ่งของอย่างอื่น แต่เป็นกล่องยาที่หายไปของเธอเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร? ทำไมกล่องยาถึงเล็กลงและซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเธอ?ร่างกายที่ชาของ หยวน ชิงหลิงก็มีอาการขนลุกขึ้นทันทีมีเสียงเท้าตามหลังเธอ แล้วเธอก็รีบยัดกล่องยาเล็ก ๆ กลับเข้าไปในกระเป๋าแขนเสื้อ“ข้าเดินไปส่งพระชายา” ลวี่หยาพยุงเธอ “ข้าจะขอร้องกับท่านอ๋องและขอเข้าวังพร้อมพระองค์”หยวน ชิงหลิงรู้สึกสับสน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลวี่หยาพูดอะไร ก่อนที่จะพยักหน้าอย่างงง ๆ และเดินตามเธอออกไปเดินผ่านซุ้มประตูต่าง ๆ ขึ้นไปตามทางเดิน หลังจากเดินคดเคี้ยวได้ซักพัก ก็ถึงทางเข้าลานด้านหน้ารถม้าเตรียมพร้อมอยู่ที่หน้าประตูแล้ว อวี่ เหวินห่าวไม่ได้นั่งอยู่ในรถม้า แต่กลับนั่งอยู่บนหลังม้าสีดำตัวหนึ่งเขาสวมชุดสีทองและมงกุฏหยกสีทอง ใบหน้ามืดมนเหมือนสภาพอากาศและแววตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เมื่อเห็นเธอเดินมาก็เพียงแค่เหลือบมอง และพูดอย่างเย็นชาว่า"เตรียมตัวขึ้นมา"“ท่านอ๋อง ต้องการให้ข้าตามเข้าไปในวังหรือไม่เพคะ?” หลี่หยาถามขึ้นอย่างดื้อรั้นอวี่ เหวินห่าวเหลือบมองที่หลี่หยาแล้วพูดว่า “ก็ดี ประหยั