ยังไม่ทันได้ตั้งตัว นิ้วที่แข็งราวกับคีมเหล็กบีบคอเธอ ดวงตาของเธอเบิกกว้าง ก็ได้เห็นใบหน้าเหย่อหยิ่งของอ๋องฉู่ที่ระเบิดอารมณ์โกรธออกมาแรงบีบที่ทำให้เกือบขาดอากาศหายใจ ตาของเธอมืดลงจนเกือบจะหมดสติ“แม้แต่เด็กอายุสิบขวบ” เสียงขบกรามแน่นที่ดังอยู่ข้างหูเธอ “เจ้าลงมืออย่างอมหิตถึงเพียงนี้ ทหาร นำตัวพระชายาออกไปโบยสามสิบที!”หยวน ชิงหลิง นอนไม่หลับติดต่อกันมาหลายวัน ร่างกายจึงไม่มีเรี่ยวแรง ทั้งยังโดนตบไปอีก ร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรงจนลุกไม่ขึ้น ทันทีที่ท่านอ๋องปล่อยมือ ร่างเธอก็ร่วงฟุบลงไปกับพื้น ทันทีที่ได้รับอากาศ เธออ้าปากกว้างสูดหายใจเข้าปอด จู่ ๆ ร่างก็ถูกหามลากออกไปยามค่ำคืน เธอมองเห็นเพียงแค่ใบหน้าเย็นชาของอ๋องฉู่ในชุดคลุมหรูหราและสายตาที่มองมาด้วยความรังเกียจ…เธอถูกลากไปที่บันไดหิน ศีรษะโขกกระแทกกับขั้นบันไดหินแข็ง ความรู้สึกเจ็บปวดที่ล้นทะลักออกมา แววตาที่มืดลง เธอได้หมดสติไปแล้วเธอหมดสติได้ไม่นาน ความเจ็บปวดก็กลับเข้ามาในสติ เป็นความรู้สึกเจ็บปวดที่แม้แต่ในชีวิตที่แล้วก็ไม่เคยได้รับ แรงฟาดของไม้ที่ฟาดลงมาแต่ละทีบนเอวและขา ทุกครั้งที่ฟาดลงมาเจ็บซึมลึกเข้ากระดูก เธอรู้สึกได้แค่
ถังหยางสั่งให้ลวี่หยาไปจัดยาและพูดปลอบใจแม่นมฉีเล็กน้อยก่อนจะหันจากไปแม่นมฉีเฝ้าดูแล ยิ่งมืดก็เริ่มหวาดกลัวลวี่หยาก็เข้ามาอยู่เป็นเพื่อน ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกลั้นหายใจเฝ้ามองฮั่วเกอเอ๋อร์ กลัวว่าถ้าหายใจแรงไปเขาจะตื่นขึ้นมาแต่ทว่า ฮั่วเกอเอ๋อร์นอนหลับสนิท จนถึงรุ่งสาง ไม่คิดเลยว่าจะตื่นขึ้นมา ฮั่วเกอเอ๋อร์ลืมตาขึ้นมาข้างหนึ่งมองแม่นมฉี “ท่านย่า ข้าหิว!”แม่นมฉีแทบจะกระโดดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ หลังจากได้รับบาดเจ็บ เขาก็กินอะไรไม่ได้ แม้แต่นมแพะที่นางไปร้องขอมาอย่างยากลำบากก็ดื่มไม่ลงเลยสักนิดนางเอื้อมมือไปลูบหน้าผากของหลาน คาดไม่ถึงเลยว่าจะไม่ร้อนแล้ว“ยาของท่านหมอได้ผล ได้ผลจริงๆ!” แม่นมพูดกับลวี่หยาด้วยความรู้สึกตื่นตะลึง“ใช่เจ้าค่ะ ยาของท่าหมอได้ผลแล้ว” ลวี่หยาเองก็รู้สึกดีใจมากๆท่านหมอหลี่ที่ถูกเชิญมาในวันรุ่งขึ้นได้มาถึงที่จวนอ๋องฉู่แล้วได้ยินว่าเด็กยังไม่ตาย หมอหลี่ก็ได้แต่คิดมันช่างเป็นเรื่องที่แปลกจริง ๆ “เด็กคนนี้ดวงแข็งจริงๆ โดยปกติคงไม่รอดแล้ว”แม่นมฉีคุกเข่าแล้วก้มหัวลง “ท่านหมอ ท่านจ่ายยาช่วยชีวิตหลานชายข้า”หมอหลี่ชะงักไปสักครู่ เมื่อวานที่ยาที่จ่ายไม่
กินหมั่นโถวไปแล้วครึ่งลูก เธอรู้สึกว่าเริ่มมีแรงขึ้นมาบ้างเล็กน้อย เธอพยายามลุกขึ้นเอนตัวลงไปพักกับโต๊ะ ใช้ร่างกายท่อนบนพยุงร่าง ไม่มีทางที่จะเทน้ำเองได้ จึงทำได้แค่เอนตัวไปดื่มน้ำที่เหลือเท่านั้นรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย เธอค่อย ๆ ขยับขาทั้งสองขาอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ พาตัวเองลงมาจากโต๊ะ แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงมากพอ จึงล้มลงกับพื้นกระเทือนถึงแผลบอบช้ำที่หลังเธอกัดฟันอดทนกับความเจ็บ จากนั้นใช้ศอกทั้งสองคลานหากล่องยาอย่างช้า ๆ ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่เธอจำได้ว่ามียาแก้อักเสบและยาลดไข้อยู่ในนั้น ฉีดยาไม่ได้ เธอก็ทำได้แค่เพิ่มปริมาณยาที่กินเท่านั้นผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง เธอเทวิตามินซีกินไปสักนิด เมื่อไม่มีน้ำเลยกินแบบกลืนลงไป รสชาติเปรี้ยวจนเธอแทบอยากเอามือทุบพื้นกินยาแล้ว เธอนอนขดตัวกับพื้นแล้วหายใจเข้าลึก ๆ ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยได้รับความทุก์ทรมานขนาดนี้มาก่อนเลย ทำให้เธอรู้ตัวว่ายุคนี้กับยุคปัจจุบันที่เธอเคยอยู่มันต่างกัน คนที่มีอำนาจ สามารถลิขิตสั่งให้ใครอยู่หรือใครตายก็ได้และชีวิตของเธอ อยู่ในกำมือของอ๋องฉู่เธอจำเป็นต้องปรับตัวให้มีชีวิตรอดในสภาพแวดล้อมเลวร้ายนี้ให้ได้เพียงแต่ก็ไ
หยวน ชิงหลิง ปรับตัวให้ชินกับความมืดได้แล้ว ทันใดนั้นเองแสงสว่างที่เข้ามาโดนตาเธอทำให้เธอต้องยกมือบังแสงนั้น เธอได้ยินเสียงคุกเข่ากับพื้น แม่นมฉีคุกเข่าลง “พระชายา หม่อมฉันไม่รู้ จึงเข้าใจพระชายาผิดไป ได้โปรดช่วยฮั่วเกอเอ๋อร์ด้วย”“พยุงข้าขึ้น!” หยวน ชิงหลิง พูดอย่างช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแม่นมฉีวางตะเกียงลงแล้วไปช่วยพยุง หยวน ชิงหลิง นางมองเห็นรอยเลือดที่ด้านหลังของหยวนชิงหลิงแล้ว อาการบาดเจ็บช่างสาหัสจริง ๆ นางเกิดความลังเลขึ้นมาในใจเล็กน้อย นางเกลียดผู้หญิงคนนี้จากก้นบึ้งของหัวใจ แต่ทว่าสิ่งที่ฮั่วเกอเอ๋อร์พูดอาจจะเป็นความจริง?“พระชายา พระองค์ยืนได้ไหมเพคะ?”“ไปนำกล่องยาข้ามา!” หยวน ชิงหลิง รู้ว่าแม่นมฉีเกลียดเธอยังกับอะไรดี แต่ก็ยังยอมคุกเข่าขอร้องให้เธอช่วยแบบนี้ คาดว่าอาการของฮั่วเกอเอ๋อร์ดูท่าคงไม่ดีแล้ว ไม่ใช่เวลามาสนใจว่าใครจะเห็นกระเป๋ายาอีกแล้ว“พะ เพคะ!” แม่นมฉีรีบเข้าไปเอากระเป๋ายาหลังจากนั้นก็กลับมาพยุงเธอหยวน ชิงหลิง เดินไปไม่กี่ก้าวรู้สึกเจ็บปวดที่ขาและสะโพกจนเหงื่อไหลหยดออกมา เมื่อก้าวออกจากประตู มันเจ็บมากเสียจนฟันกระทบกัน“พระชายา...”“อย่าพูดไร้สาระ รี
หลังจากทำแผลเสร็จแล้ว เธอเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุด เธอเอนกายพักผ่อน เธอรู้ตัวเองดีกว่ากระทำของตัวเองไม่ได้น่าภูมิใจมากนัก แต่เธอก็ไม่ได้สนใจอะไรมันอีกแล้วพักอยู่ครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงแม่นมฉีบ่นด้วยความกังวลใจ “พระชายา เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”หยวน ชิงหลิง ดันตัวเองขึ้นจากโต๊ะอย่างช้า ๆ แล้วยืนให้เรียบร้อย ก่อนเรียกแม่นมฉี “เข้ามาเถอะ”เสียงผลักประตูดังขึ้น แม่นมฉีกับลวี่หยาเมา ทั้งสองคนรีบวิ่งไปดูฮั่วเกอเอ๋อร์ พบว่าลมหายใจสม่ำเสมอดี แม่นมฉีจึงถอนหายใจได้อย่างโล่งอกหยวน ชิงหลิง ยกกล่องยาขึ้นแล้วพกกับทั้งคู้ว่า “เรื่องในคืนนี้ พวกเจ้าทั้งสองจงเก็บเป็นความลับ อย่าได้บอกอ๋องฉู่หรือคนในจวนแม้แต่คนเดียว” แม่นมฉีและลวี่หยามองหน้ากันและคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายลวี่หยาเข้าไปพยุง หยวน ชิงหลิง “พระชายา หม่อมฉันพยุงพระองค์กลับไปนะเพคะ” “ไม่เป็นไร เจ้าเฝ้าเขาเถอะ ที่หัวเตียงข้าวางยาเอาไว้ สองชั่วยามให้เขากินหนึ่งครั้ง ถ้ากินหมดแล้ว ค่อยมาหาข้า” หยวน ชิงหลิง ปล่อยมือลวี่หยาแล้วเดินออกไปข้างนอกอย่างยากลำบาก “พระชายาเพคะ!” จริง ๆ แล้วนางอยากพูดขอบคุณสักคำ แต่พอนึกเรื่องเมื่อก่อนที่
เธอมีความรู้สึกแยกไม่ออกแล้วว่านี่เป็นความจริงหรือความฝัน ก่อนจะดันกล่องยากลับไปที่ใต้เตียงอย่างสั่นเทา แต่ทันทีที่กล่องยาเข้าไปใต้เตียง มันก็หายไปเธอกลั้นหายใจไปสามวินาที ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะใต้เตียง มันไม่มีอะไรเลยจริง ๆตัวเธอสั่นเทา และค่อย ๆ คลานกลับไปที่เตียง เธอหายใจแรงขึ้นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้เกินความรู้ความเข้าใจของเธอ ความรู้อย่างเป็นมืออาชีพ และที่ไม่ใช่มืออาชีพของเธอก็ไม่สามารถให้คำตอบกับเธอได้ มนุษย์มักกลัวสิ่งที่ไม่รู้ และมีความกลัวอยู่ลึก ๆ ในใจ และเธอรู้สึกกลัวจริง ๆประตูถูกผลักออกเสียงดัง "ปัง" หยวน ชิงหลิงยังไม่ทันจะเงยหน้าขึ้นมอง และไม่รู้สึกถึงบรรยากาศเย็นชาที่เต็มไปรอบ ๆ เธอเพียงรู้สึกเจ็บที่หนังศีรษะเท่านั้น จากนั้นตัวเธอก็ถูกโยนลงพื้น“เจ้าคิดจะสำออยแกล้งตายงั้นรึ? เจ้าอยากจะตายเสียในตอนนี้ หรือลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับวังไปกับข้า” เสียงเย็นชาดังขึ้นเหนือศีรษะของเธอ และร่างเธอกูถูกพลิกอย่างรุนแรงป่าเถื่อน หลังเธอกระแทกกับพื้น เจ็บจนทำให้ทั้งร่างกายของเธอสั่นสะท้าน และยังไม่ทันที่เธอจะสูดหายใจ คางของเธอก็ถูกมือบีบไว้อย่างแรงจนรู้สึกเหมือนจะ
หลังจากดื่มยาเข้าไป เธอก็รู้สึกในท้องอุ่นขึ้นมา มันทำให้เธอรู้สึกสบายตัวขึ้นมาก แม่นมฉีกล่าวอย่างแผ่วเบา: “พระชายา หลังจากพระองค์กลับจวนแล้ว ข้าจะค่อย ๆ ให้บำรุงร่างกายพระองค์ ตอนนี้ได้โปรดหลับตาและพักผ่อนสักครู่ เดี๋ยวก็ดีขึ้น” หยวน ชิงหลิงหลับตาลง รู้สึกเพียงว่ามีแสงไฟกระพริบในหัวรู้สึกเหมือนจะระเบิด และเสียงที่ยุ่งวุ่นวายบางอย่างสะท้อนกลับมา “เจ้าไม่มีค่าพอให้ข้าเกลียดเจ้า ข้าแค่ขยะแขยงเจ้า ในสายตาข้าเจ้าเป็นเหมือนแมลงวันเน่าเหม็นที่ทำให้ผู้คนเกลียด ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่จำเป็นต้องดื่มยาเพื่อมาร่วมหอกับเจ้า” มันคือเสียงของท่านอ๋องฉู๋ อวี่ เหวินห่าวน้ำเสียงเต็มไปด้วยความแค้นและความเกลียดชัง เธอไม่เคยได้ยินคำพูดที่ทำร้ายความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน และมีบางคนกำลังร้องไห้ฮือฮืออยู่ที่ข้างหู และแสงไฟในหัวก็กลายเป็นแอ่งเลือด หลังจากนั้นทุกอย่างก็ค่อย ๆ สงบลง ราวกับว่าเส้นประสาทนับพันในหัวของเธอได้ผ่อนคลายในที่สุด ความเจ็บปวดค่อย ๆ หายไป หรือจะพูดได้ว่า มันไม่ได้หายไปแต่กลับชาไปแล้ว เธอลืมตาขึ้นเห็นลวี่หยายืนอยู่ที่เตียงขมวดคิ้วมองเธอ “พระชายา รู้สึกดีขึ้นบ้างไหมเพคะ?” ลวี่หย
กล่องเล็ก ๆ นั้น มีขนาดประมาณครึ่งกำปั้น ไม่ใช่สิ่งของอย่างอื่น แต่เป็นกล่องยาที่หายไปของเธอเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร? ทำไมกล่องยาถึงเล็กลงและซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเธอ?ร่างกายที่ชาของ หยวน ชิงหลิงก็มีอาการขนลุกขึ้นทันทีมีเสียงเท้าตามหลังเธอ แล้วเธอก็รีบยัดกล่องยาเล็ก ๆ กลับเข้าไปในกระเป๋าแขนเสื้อ“ข้าเดินไปส่งพระชายา” ลวี่หยาพยุงเธอ “ข้าจะขอร้องกับท่านอ๋องและขอเข้าวังพร้อมพระองค์”หยวน ชิงหลิงรู้สึกสับสน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลวี่หยาพูดอะไร ก่อนที่จะพยักหน้าอย่างงง ๆ และเดินตามเธอออกไปเดินผ่านซุ้มประตูต่าง ๆ ขึ้นไปตามทางเดิน หลังจากเดินคดเคี้ยวได้ซักพัก ก็ถึงทางเข้าลานด้านหน้ารถม้าเตรียมพร้อมอยู่ที่หน้าประตูแล้ว อวี่ เหวินห่าวไม่ได้นั่งอยู่ในรถม้า แต่กลับนั่งอยู่บนหลังม้าสีดำตัวหนึ่งเขาสวมชุดสีทองและมงกุฏหยกสีทอง ใบหน้ามืดมนเหมือนสภาพอากาศและแววตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เมื่อเห็นเธอเดินมาก็เพียงแค่เหลือบมอง และพูดอย่างเย็นชาว่า"เตรียมตัวขึ้นมา"“ท่านอ๋อง ต้องการให้ข้าตามเข้าไปในวังหรือไม่เพคะ?” หลี่หยาถามขึ้นอย่างดื้อรั้นอวี่ เหวินห่าวเหลือบมองที่หลี่หยาแล้วพูดว่า “ก็ดี ประหยั
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม