กินหมั่นโถวไปแล้วครึ่งลูก เธอรู้สึกว่าเริ่มมีแรงขึ้นมาบ้างเล็กน้อย เธอพยายามลุกขึ้นเอนตัวลงไปพักกับโต๊ะ ใช้ร่างกายท่อนบนพยุงร่าง ไม่มีทางที่จะเทน้ำเองได้ จึงทำได้แค่เอนตัวไปดื่มน้ำที่เหลือเท่านั้นรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย เธอค่อย ๆ ขยับขาทั้งสองขาอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ พาตัวเองลงมาจากโต๊ะ แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงมากพอ จึงล้มลงกับพื้นกระเทือนถึงแผลบอบช้ำที่หลังเธอกัดฟันอดทนกับความเจ็บ จากนั้นใช้ศอกทั้งสองคลานหากล่องยาอย่างช้า ๆ ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่เธอจำได้ว่ามียาแก้อักเสบและยาลดไข้อยู่ในนั้น ฉีดยาไม่ได้ เธอก็ทำได้แค่เพิ่มปริมาณยาที่กินเท่านั้นผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง เธอเทวิตามินซีกินไปสักนิด เมื่อไม่มีน้ำเลยกินแบบกลืนลงไป รสชาติเปรี้ยวจนเธอแทบอยากเอามือทุบพื้นกินยาแล้ว เธอนอนขดตัวกับพื้นแล้วหายใจเข้าลึก ๆ ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยได้รับความทุก์ทรมานขนาดนี้มาก่อนเลย ทำให้เธอรู้ตัวว่ายุคนี้กับยุคปัจจุบันที่เธอเคยอยู่มันต่างกัน คนที่มีอำนาจ สามารถลิขิตสั่งให้ใครอยู่หรือใครตายก็ได้และชีวิตของเธอ อยู่ในกำมือของอ๋องฉู่เธอจำเป็นต้องปรับตัวให้มีชีวิตรอดในสภาพแวดล้อมเลวร้ายนี้ให้ได้เพียงแต่ก็ไ
หยวน ชิงหลิง ปรับตัวให้ชินกับความมืดได้แล้ว ทันใดนั้นเองแสงสว่างที่เข้ามาโดนตาเธอทำให้เธอต้องยกมือบังแสงนั้น เธอได้ยินเสียงคุกเข่ากับพื้น แม่นมฉีคุกเข่าลง “พระชายา หม่อมฉันไม่รู้ จึงเข้าใจพระชายาผิดไป ได้โปรดช่วยฮั่วเกอเอ๋อร์ด้วย”“พยุงข้าขึ้น!” หยวน ชิงหลิง พูดอย่างช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแม่นมฉีวางตะเกียงลงแล้วไปช่วยพยุง หยวน ชิงหลิง นางมองเห็นรอยเลือดที่ด้านหลังของหยวนชิงหลิงแล้ว อาการบาดเจ็บช่างสาหัสจริง ๆ นางเกิดความลังเลขึ้นมาในใจเล็กน้อย นางเกลียดผู้หญิงคนนี้จากก้นบึ้งของหัวใจ แต่ทว่าสิ่งที่ฮั่วเกอเอ๋อร์พูดอาจจะเป็นความจริง?“พระชายา พระองค์ยืนได้ไหมเพคะ?”“ไปนำกล่องยาข้ามา!” หยวน ชิงหลิง รู้ว่าแม่นมฉีเกลียดเธอยังกับอะไรดี แต่ก็ยังยอมคุกเข่าขอร้องให้เธอช่วยแบบนี้ คาดว่าอาการของฮั่วเกอเอ๋อร์ดูท่าคงไม่ดีแล้ว ไม่ใช่เวลามาสนใจว่าใครจะเห็นกระเป๋ายาอีกแล้ว“พะ เพคะ!” แม่นมฉีรีบเข้าไปเอากระเป๋ายาหลังจากนั้นก็กลับมาพยุงเธอหยวน ชิงหลิง เดินไปไม่กี่ก้าวรู้สึกเจ็บปวดที่ขาและสะโพกจนเหงื่อไหลหยดออกมา เมื่อก้าวออกจากประตู มันเจ็บมากเสียจนฟันกระทบกัน“พระชายา...”“อย่าพูดไร้สาระ รี
หลังจากทำแผลเสร็จแล้ว เธอเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุด เธอเอนกายพักผ่อน เธอรู้ตัวเองดีกว่ากระทำของตัวเองไม่ได้น่าภูมิใจมากนัก แต่เธอก็ไม่ได้สนใจอะไรมันอีกแล้วพักอยู่ครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงแม่นมฉีบ่นด้วยความกังวลใจ “พระชายา เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”หยวน ชิงหลิง ดันตัวเองขึ้นจากโต๊ะอย่างช้า ๆ แล้วยืนให้เรียบร้อย ก่อนเรียกแม่นมฉี “เข้ามาเถอะ”เสียงผลักประตูดังขึ้น แม่นมฉีกับลวี่หยาเมา ทั้งสองคนรีบวิ่งไปดูฮั่วเกอเอ๋อร์ พบว่าลมหายใจสม่ำเสมอดี แม่นมฉีจึงถอนหายใจได้อย่างโล่งอกหยวน ชิงหลิง ยกกล่องยาขึ้นแล้วพกกับทั้งคู้ว่า “เรื่องในคืนนี้ พวกเจ้าทั้งสองจงเก็บเป็นความลับ อย่าได้บอกอ๋องฉู่หรือคนในจวนแม้แต่คนเดียว” แม่นมฉีและลวี่หยามองหน้ากันและคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายลวี่หยาเข้าไปพยุง หยวน ชิงหลิง “พระชายา หม่อมฉันพยุงพระองค์กลับไปนะเพคะ” “ไม่เป็นไร เจ้าเฝ้าเขาเถอะ ที่หัวเตียงข้าวางยาเอาไว้ สองชั่วยามให้เขากินหนึ่งครั้ง ถ้ากินหมดแล้ว ค่อยมาหาข้า” หยวน ชิงหลิง ปล่อยมือลวี่หยาแล้วเดินออกไปข้างนอกอย่างยากลำบาก “พระชายาเพคะ!” จริง ๆ แล้วนางอยากพูดขอบคุณสักคำ แต่พอนึกเรื่องเมื่อก่อนที่
เธอมีความรู้สึกแยกไม่ออกแล้วว่านี่เป็นความจริงหรือความฝัน ก่อนจะดันกล่องยากลับไปที่ใต้เตียงอย่างสั่นเทา แต่ทันทีที่กล่องยาเข้าไปใต้เตียง มันก็หายไปเธอกลั้นหายใจไปสามวินาที ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะใต้เตียง มันไม่มีอะไรเลยจริง ๆตัวเธอสั่นเทา และค่อย ๆ คลานกลับไปที่เตียง เธอหายใจแรงขึ้นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้เกินความรู้ความเข้าใจของเธอ ความรู้อย่างเป็นมืออาชีพ และที่ไม่ใช่มืออาชีพของเธอก็ไม่สามารถให้คำตอบกับเธอได้ มนุษย์มักกลัวสิ่งที่ไม่รู้ และมีความกลัวอยู่ลึก ๆ ในใจ และเธอรู้สึกกลัวจริง ๆประตูถูกผลักออกเสียงดัง "ปัง" หยวน ชิงหลิงยังไม่ทันจะเงยหน้าขึ้นมอง และไม่รู้สึกถึงบรรยากาศเย็นชาที่เต็มไปรอบ ๆ เธอเพียงรู้สึกเจ็บที่หนังศีรษะเท่านั้น จากนั้นตัวเธอก็ถูกโยนลงพื้น“เจ้าคิดจะสำออยแกล้งตายงั้นรึ? เจ้าอยากจะตายเสียในตอนนี้ หรือลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับวังไปกับข้า” เสียงเย็นชาดังขึ้นเหนือศีรษะของเธอ และร่างเธอกูถูกพลิกอย่างรุนแรงป่าเถื่อน หลังเธอกระแทกกับพื้น เจ็บจนทำให้ทั้งร่างกายของเธอสั่นสะท้าน และยังไม่ทันที่เธอจะสูดหายใจ คางของเธอก็ถูกมือบีบไว้อย่างแรงจนรู้สึกเหมือนจะ
หลังจากดื่มยาเข้าไป เธอก็รู้สึกในท้องอุ่นขึ้นมา มันทำให้เธอรู้สึกสบายตัวขึ้นมาก แม่นมฉีกล่าวอย่างแผ่วเบา: “พระชายา หลังจากพระองค์กลับจวนแล้ว ข้าจะค่อย ๆ ให้บำรุงร่างกายพระองค์ ตอนนี้ได้โปรดหลับตาและพักผ่อนสักครู่ เดี๋ยวก็ดีขึ้น” หยวน ชิงหลิงหลับตาลง รู้สึกเพียงว่ามีแสงไฟกระพริบในหัวรู้สึกเหมือนจะระเบิด และเสียงที่ยุ่งวุ่นวายบางอย่างสะท้อนกลับมา “เจ้าไม่มีค่าพอให้ข้าเกลียดเจ้า ข้าแค่ขยะแขยงเจ้า ในสายตาข้าเจ้าเป็นเหมือนแมลงวันเน่าเหม็นที่ทำให้ผู้คนเกลียด ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่จำเป็นต้องดื่มยาเพื่อมาร่วมหอกับเจ้า” มันคือเสียงของท่านอ๋องฉู๋ อวี่ เหวินห่าวน้ำเสียงเต็มไปด้วยความแค้นและความเกลียดชัง เธอไม่เคยได้ยินคำพูดที่ทำร้ายความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน และมีบางคนกำลังร้องไห้ฮือฮืออยู่ที่ข้างหู และแสงไฟในหัวก็กลายเป็นแอ่งเลือด หลังจากนั้นทุกอย่างก็ค่อย ๆ สงบลง ราวกับว่าเส้นประสาทนับพันในหัวของเธอได้ผ่อนคลายในที่สุด ความเจ็บปวดค่อย ๆ หายไป หรือจะพูดได้ว่า มันไม่ได้หายไปแต่กลับชาไปแล้ว เธอลืมตาขึ้นเห็นลวี่หยายืนอยู่ที่เตียงขมวดคิ้วมองเธอ “พระชายา รู้สึกดีขึ้นบ้างไหมเพคะ?” ลวี่หย
กล่องเล็ก ๆ นั้น มีขนาดประมาณครึ่งกำปั้น ไม่ใช่สิ่งของอย่างอื่น แต่เป็นกล่องยาที่หายไปของเธอเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร? ทำไมกล่องยาถึงเล็กลงและซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเธอ?ร่างกายที่ชาของ หยวน ชิงหลิงก็มีอาการขนลุกขึ้นทันทีมีเสียงเท้าตามหลังเธอ แล้วเธอก็รีบยัดกล่องยาเล็ก ๆ กลับเข้าไปในกระเป๋าแขนเสื้อ“ข้าเดินไปส่งพระชายา” ลวี่หยาพยุงเธอ “ข้าจะขอร้องกับท่านอ๋องและขอเข้าวังพร้อมพระองค์”หยวน ชิงหลิงรู้สึกสับสน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลวี่หยาพูดอะไร ก่อนที่จะพยักหน้าอย่างงง ๆ และเดินตามเธอออกไปเดินผ่านซุ้มประตูต่าง ๆ ขึ้นไปตามทางเดิน หลังจากเดินคดเคี้ยวได้ซักพัก ก็ถึงทางเข้าลานด้านหน้ารถม้าเตรียมพร้อมอยู่ที่หน้าประตูแล้ว อวี่ เหวินห่าวไม่ได้นั่งอยู่ในรถม้า แต่กลับนั่งอยู่บนหลังม้าสีดำตัวหนึ่งเขาสวมชุดสีทองและมงกุฏหยกสีทอง ใบหน้ามืดมนเหมือนสภาพอากาศและแววตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เมื่อเห็นเธอเดินมาก็เพียงแค่เหลือบมอง และพูดอย่างเย็นชาว่า"เตรียมตัวขึ้นมา"“ท่านอ๋อง ต้องการให้ข้าตามเข้าไปในวังหรือไม่เพคะ?” หลี่หยาถามขึ้นอย่างดื้อรั้นอวี่ เหวินห่าวเหลือบมองที่หลี่หยาแล้วพูดว่า “ก็ดี ประหยั
รถม้าตรงไปที่ประตูวังภายใต้การนำทางของอวี่เหวินห่าว จนถึงวันนี้หยวนชิงหลิงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นสงสัยอะไรเกี่ยวกับพระราชวังเลยมองเห็นถนนในวังที่ทอดยาวลึกเข้าไป กับกำแพงวังที่ทำจากอิฐสีแดง ซึ่งมีรอยกระดำกระด่าง ผ่านทางช่องผ้าม่านที่สะบัดไปมาเท่านั้นตลอดทางสัญจรไม่สามารถมองไปในระยะไกลได้ มีหอคอยสูงตระหง่านอยู่เป็นระลอก ๆ หลังคาปูด้วยกระเบื้องเคลือบแลดูงดงามจับตาเมื่อต้องแสงแดดรถม้าหยุดลง หยวนชิงหลิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ลวี่หยาก็พยุงเธอให้ลงจากรถม้าแสงแดดส่องกระทบกับกำแพงสีแดงสด กระเบื้องเคลือบสัทองสะท้อนแสงเจิดจ้าในระยะไกล ดวงตาของเธอพร่ามัวแทบจะบอด เธอทำตัวเหมือนตัวเองเป็นผีไม่สามารถเห็นแสงสว่างได้อย่างไรอย่างนั้น รีบยกมือขึ้นมาบังแสงอาทิตย์ที่ส่องหน้าเธอโดยไม่รู้ตัวอวี่เหวินห่าวก็ลงจากม้าแล้ว ทั้งรถม้าและม้าถูกมัดไว้ที่นี่ แล้วเดินต่อไปเมื่อมาถึงนอกห้องโถงเสียวหยุ๋น ลวี่หยากระซิบเบา ๆ ว่า: "พระชายา ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป พระองค์เดินอย่างระมัดระวังด้วยเพคะ"หยวน ชิงหลิงรู้ว่าห้องโถงเสียวหยุ๋น เป็นวังที่ไท่ซ่างหวงอาศัยอยู่ ข้างนอกนั้นเต็มไปด้วยบ่าวจากจวนต่าง ๆ มากมาย เธอสูด
หยวน ชิงหลิงเงยหน้าขึ้น และได้พบกับดวงตาที่อ่อนโยนและห่วงใยของ ฉู่ หมิงชุ่ย “อยากนั่งพักสักหน่อยไหม” ฉู่ หมิงชุ่ยถาม หยวน ชิงหลิงส่ายหัวและดึงมือของเธอออกโดยไม่รู้ตัว "ไม่ ขอบคุณ" อ๋องฉี อวี่ เหวินชิงรีบดึง ฉู่ หมิงชุ่ยกลับมาพร้อมกับเหลือบมองไปที่ใบหน้าของ หยวน ชิงหลิง ด้วยสายตาที่ไม่พอใจและพูดกับ ฉู่ หมิงชุ่ย "คนแบบนั้น จะสนใจไปทำไม?" ฉู่ หมิงชุ่ยกลับมายืนข้างกายท่านอ๋องฉี และเหลือบมอง หยวน ชิงหลิงแวบหนึ่ง เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เธอกระซิบว่า "อย่างไรก็เป็นคนในตระกลู ” “เจ้าช่างมีเมตตา” อ๋องฉีจับมือ ฉู่ หมิงชุ่ย ทั้งสองยืนอยู่ด้วยกันราวกับเทพเจ้าและเทพธิดาคู่หนึ่ง เป็นคู่ครองที่ดูเหมาะสมอย่างยิ่ง หยวน ชิงหลิงรู้สึกถึงความเย็นรอบ ๆ ตัวของเธอ ซึ่งความเย็นนี้มาจาก อวี่ เหวินห่าว คนที่ตัวเองรัก ยืนข้างชายผู้อื่น แล้วเขาจะไม่รู้สึกปวดใจและโกรธได้อย่างไร? หยวน ชิงหลิง คิดอย่างนั้น ภายในห้องโถง มีเสียงร้องไห้ดังขึ้น ทุกคนดูประหลาดใจ และมองไปที่ประตูพร้อมกัน ผ้าม่านถูกม้วนขึ้น ขันทีที่มีผมสีขาวเหมือนหิมะเดินออกมา ตาของเขาแดงและบวม ใบหน้าของเขาเศร้าและดูอ้างว้าง เสียงแหบ
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม