Share

บทที่ 15

Author: จูน
last update Last Updated: 2024-10-29 19:42:56
หยวน ชิงหลิงเงยหน้าขึ้น และได้พบกับดวงตาที่อ่อนโยนและห่วงใยของ ฉู่ หมิงชุ่ย

“อยากนั่งพักสักหน่อยไหม” ฉู่ หมิงชุ่ยถาม

หยวน ชิงหลิงส่ายหัวและดึงมือของเธอออกโดยไม่รู้ตัว "ไม่ ขอบคุณ"

อ๋องฉี อวี่ เหวินชิงรีบดึง ฉู่ หมิงชุ่ยกลับมาพร้อมกับเหลือบมองไปที่ใบหน้าของ หยวน ชิงหลิง ด้วยสายตาที่ไม่พอใจและพูดกับ ฉู่ หมิงชุ่ย "คนแบบนั้น จะสนใจไปทำไม?"

ฉู่ หมิงชุ่ยกลับมายืนข้างกายท่านอ๋องฉี และเหลือบมอง หยวน ชิงหลิงแวบหนึ่ง เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เธอกระซิบว่า "อย่างไรก็เป็นคนในตระกลู ”

“เจ้าช่างมีเมตตา” อ๋องฉีจับมือ ฉู่ หมิงชุ่ย ทั้งสองยืนอยู่ด้วยกันราวกับเทพเจ้าและเทพธิดาคู่หนึ่ง เป็นคู่ครองที่ดูเหมาะสมอย่างยิ่ง

หยวน ชิงหลิงรู้สึกถึงความเย็นรอบ ๆ ตัวของเธอ ซึ่งความเย็นนี้มาจาก อวี่ เหวินห่าว

คนที่ตัวเองรัก ยืนข้างชายผู้อื่น แล้วเขาจะไม่รู้สึกปวดใจและโกรธได้อย่างไร? หยวน ชิงหลิง คิดอย่างนั้น

ภายในห้องโถง มีเสียงร้องไห้ดังขึ้น

ทุกคนดูประหลาดใจ และมองไปที่ประตูพร้อมกัน

ผ้าม่านถูกม้วนขึ้น ขันทีที่มีผมสีขาวเหมือนหิมะเดินออกมา ตาของเขาแดงและบวม ใบหน้าของเขาเศร้าและดูอ้างว้าง เสียงแหบแห้ง “ไท่ซ่างหวง มีคำสั่ง ให้เชิญท่านอ๋องและพระชายาเข้าเฝ้าที่ห้องโถง"

เขาผู้นี้คือหลี่กงกง ที่รับใช้ไท่ซ่างหวงมาสี่สิบห้าปี

สีหน้าของทุกคนแสดงถึงเจ็บปวด พวกเขาเดินตามหลี่กงกงเข้าไป พวกเขาเดินเบามาก จนแทบจะกลั้นหายใจ

หยวน ชิงหลิงตามหลัง อวี่ เหวินห่าวและพยายามที่จะระงับอาการเวียนหัวของเธอ

ภายในห้อโถงมีคนอยู่มากมาย

ไทเฮาและฮองเต้นั่งอยู่ข้างเตียง ฮองเฮานั่งเฝ้าอยู่อีกด้าน รวมถึงพี่น้องของไท่ซ่างหวง ท่านอ๋ององค์อื่นที่ได้กลับมายังวังเมื่อวานและรออยู่ในห้องโถง

หลอหลวงเกือบทั้งหมดในวังหลวงมายืนรอเป็นสองแถวด้วยท่าทางเคร่งขรึม

หยวน ชิงหลิงแอบมอง และเห็นว่าผ้าม่านสีทองถูกม้วนขึ้น บนเตียงไม้จันทน์ขนาดใหญ่มีชายชราคนหนึ่งที่มีใบหน้าเหี่ยวแห้งนอนอยู่บนหมอนสูง อ้าปากเพื่อหายใจ เขาอ้าปากกว้าง เบ้าตาลึก

เสียงร้องไห้มาจากไทเฮาซึ่งนั่งบนขอบเตียง สวมชุดสีม่วงดูหลวม ๆ ทำให้เธอดูซูบเซียว

เธอเช็ดน้ำตาของเธอกับผ้าเช็ดหน้า แม้ว่าเธอจะพยายามกลั้นน้ำตา แต่ก็ยังมีเสียงสะอื้นร้องไห้ออกมา

เมื่อเธอเห็นทุกคนเข้ามาเธอเงยหน้าขึ้น น้ำตาที่ไหลอย่างเอ่อล้น และเสียงสะอื้นของเธอ "คุกเข่าลง ถวายบังคมฝ่าบาท"

ทุกคนคุกเข่าลง หยวน ชิงหลิงก็คุกเข่าลง

ลูกสุนัขตัวเล็ก ๆ แอบเข้ามาในห้องโถง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง มันร้องออกมาและปีนขึ้นไปบนเตียงของไท่ซ่างหวง ไม่มีใครห้ามมัน

ไท่ซ่างหวงได้เลี้ยงลูกสุนัขตัวนี้ และยกให้มันเป็นดวงใจของเขา เมื่อเห็นมัน ก็มีความสุขขึ้นมา ลูกสุนัขตัวนี้หายไปสองสามวันไม่กลับมา ไท่ซ่างหวงไม่เสวยอาหารเลยสองสามวัน

เมื่อไท่ซ่างเห็นลูกสุนัข เขาหายใจแรง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่อ่อนโยน เขาลืมตาขึ้นและยกมือลูบลูกสุนัขที่นอนอยู่ข้างเตียงของเขา

ลูกสุนัขส่งเสียงโอดครวญ

ภายในห้องโถง มีเพียงเสียงของลูกสุนัขเท่านั้น

หยวน ชิงหลิงรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า ร่างกายของเธอก็หยุกชะงัก

เธอเข้าใจถึงความหมายของเสียงเห่าของลูกสุนัข ลูกสุนัขกำลังโอดครวญถึงเจ้าของที่กำลังจะจากไป

เธอได้รับความสามรถพิเศษนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมเธอถึงเข้าใจภาษาสุนัข

ไท่ซ่างหวงลูบลูกสุนัขที่ตัวสั่น จากนั้นค่อย ๆ หันศีรษะไปมองที่จักรพรรดิหมิงหยวน แม้ว่าเขาจะพูดไม่ได้ แต่ดวงตาของเขาแสดงถึงความโดดเดี่ยว

จักรพรรดิหมิงหยวน รู้ว่าสิ่งที่พระบิดาหมายถึงคือสิ่งใด และรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว: "ท่านพ่อโปรดวางใจ ลูกจะปฏิบัติต่อฟูเป่าอย่างดีแน่นอน"

ไท่ซ่างหวงยิ้มอย่างพอใจดวงตาของเขาดูอ่อนโยน และนุ่มนวลยามที่มองลูกสุนัขฟูเป่า ลมหายใจของเขาผ่อนลง

ไทเฮาสะอื้น และพูดว่า “ไท่ซ่างหวง หลาน ๆ อยู่นี่แล้วไม่สนใจเลยหรือ?”

Related chapters

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 16

    ไท่ซ่างหวงละสายตาไปมองยังศีรษะมากมายของผู้ที่คุกเข่าบนพื้น ปากสั่นเทา ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใด ๆ ออกมา ถอนหายใจเบา ๆ และดูโศกเศร้ามากหยวน ชิงหลิงรู้ว่าพวกเขาคุกเข่าอยู่ที่นี่เพื่อรอไท่ซ่างหวงสิ้นลม ตั้งแต่ที่เพิ่งเข้ามา ดูเหมือนว่าไท่ซ่างหวงใกล้จะสิ้นลม และท่านจะจากไปในไม่ช้าแต่เมื่อมองดูเขาตอนนี้ เปรียบเสมือนตะเกียงที่ยังมีน้ำมัน และการหายใจของเขาดูแข็งแรงขึ้นมากเพียงแต่ว่า อาจจะเป็นเพราะแพทย์หลวงเพิ่งจะให้ยาแก่เขาดูเหมือนว่าไท่ซ่างหวงจะเป็นโรคหัวใจ และโรคหัดเยอรมันด้วยดังนั้นตอนนี้ กลัวว่าจะหัวใจล้มเหลวหัวใจล้มเหลว หายใจลำบาก...เธอมีโดพามีนอยู่ในกล่องยาของเธอหยวน ชิงหลิงคิดในใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ภาษาสุนัขที่เธอเข้าใจได้นั้นยังคงทำให้เธอตกใจ และเธอกำลังเผชิญหน้ากับบททดสอบชีวิต อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเธอจะสับสนแค่ไหนเธอก็รู้ว่าไม่มีใครเชื่อเธอ และยอมให้เธอรักษาไท่ซ่างหวงดังนั้น สิ่งเดียวที่เธอจะทำได้ก็คือ ต้องดูไท่ซ่างหวงหมดลมไปต่อหน้าเธอสำหรับผู้ที่เป็นแพทย์ นี่ถือเป็นเรื่องที่ทรมานมากสั่นไหวโอนเอน ท่าคุกเข่าของเธอนั้นเป็นอะไรที่อึดอัดและต้องเกร็งตัวจนแข็งทื่อไปหมด เนื่องจ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 17

    หลังจากองค์ชายที่สี่ของจักรพรรดิหมิงหยวนและพระชายาของเขาเข้าไปข้างใน ต่อไปคือ อวี่ เหวินห่าว และ หยวน ชิงหลิงหยวน ชิงหลิงค่อย ๆ หายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ ปรับอารมณ์ของเธอ และไม่สนต่อความรู้สึกไม่สบายทางร่างกายทั้งหมดเธอไม่สามารถทนต่อเรื่องความเป็นและความตายได้ฉางกงกงกล่าวว่า "ท่านอ๋องฉู่และพระชายา เชิญเข้าไปข้างใน"หยวน ชิงหลิงลุกขึ้นเดินตาม อวี่ เหวินห่าว เขาเดินนำหน้าเธอ เปิดม่านและเข้าไปข้างใน อวี่ เหวินห่าวคุกเข่าข้างเตียง หยวน ชิงหลิงคุกเข่าอยู่ข้างหลังเขา และรีบหยิบกล่องยาของเธอออกมา หลังจากที่มันตกลงที่พื้นกล่องยาก็ใหญ่ขึ้น หยวน ชิงหลิงไม่มีเวลาคิดว่าทำไมกล่องยาถึงเป็นแบบนี้ ทำเพียงแค่รีบนำเข็มฉีดยาชาออกมาอย่างรวดเร็วอวี่ เหวินห่าว ผู้ซึ่งจมอยู่ในความเศร้าโศก และไม่ได้สังเกตพฤติกรรมของเธอ เขาสะอื้น และเรียก "ท่านปู่... "หยวน ชิงหลิงจับมือของเขา ทันใดนั้นเขาก็หันกลับมาอย่างไม่รู้ตัวและลืมตาขึ้น หยวน ชิงหลิง ก็ฉีดยาชาเข้าไปที่มือของเขาเขาสะดุ้งตกใจ ดวงตาของลุกวาวเต็มไปด้วยความโกรธ หยวน ชิงหลิงเอื้อมมือไปหาเขาแล้วพูดว่า “ท่านปู่ หลานขอคุกเข่าต่อหน้าท่าน...”นับในใจ หนึ่ง

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 18

    ปริมาณของยาชาที่ไม่มาก ทำให้ อวี่ เหวินห่าวนอนพักในห้องเพียงชั่วครู่เท่านั้น และเขาก็ดีขึ้นแล้วหยวน ชิงหลิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาบรรดาผู้คนที่อยู่ในห้องโถงก็ได้ออกไปหมดแล้ว ในห้องโถงเงียบมากมือที่แข็งแกร่งดั่งเหล็กจับคอของเธอ และบีบคอเธอเกือบจะหายใจไม่ออก อวี่ เหวินห่าวเหมือนสัตว์ป่าที่กำลังโกรธ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น พร้อมกับคำพูดจากปากของเขา "เจ้ากล้าดียังไงวางยาพิษท่านปู่?"หน้าของ หยวน ชิงหลิงเชิดขึ้นอย่างแรง ใบหน้าของเธอแดงก่ำ เส้นเลือดแดงปูดขึ้นที่ดวงตาของเธอ เธอพูดขึ้นอย่างยากลำบาก : “ท่านอ๋องก็ลองก้มลงมองดูสิ”เข็มแทงทะลุต้นขาของเขา เข็มนั้นพิเศษมาก มีหลอดเล็ก ๆ ที่มีของเหลวอยู่ข้างใน“ท่านจะบีบคอข้าให้ตายก็ได้ แต่ท่านต้องตายก่อนข้า เพราะอย่างนั้น ทำไมไม่ลองฟังที่ข้าจะอธิบายก่อนละ?” หยวน ชิงหลิงดิ้นรนและมีอาการหายใจลำบากมือของเขาค่อย ๆ คลายออกอย่างช้า ๆ แต่ความโกรธในดวงตาของเขากลับรุนแรงขึ้น และใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาก็บิดเบี้ยวด้วยความโกรธ เขาพยายามอย่างมากที่จะระงับความโกรธเอาไว้“บอกมา เจ้าใช้ยาพิษชนิดใด?” เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่า หยวน ชิงหลิงจะใช้ยาพิษ ดูเห

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 19

    เธอพยุงร่างกายที่ชาของเธอยังไปเตียงที่ อวี่ เหวินห่าวนอนอยู่เมื่อครู่ เธอนอนลง และเธอรู้สึกว่าร่างกายทั้งหมดของเธอสั่นเทา เมื่อเธอสงบลง เธอคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เธอได้ใช้เซลล์สมองของเธอไปจนหมด ไม่เคยคิดเลยพัฒนาการสมองยังไม่ประสบผลสำเร็จ แต่กลับมุ่งไปทางความเชื่อในเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติมีคนเคยกล่าวว่าวิทยาศาสตร์และและไสยศาสตร์มีความต่างกัน แต่สุดท้ายแล้วก็มักจะมาบรรจบกัน เมื่อสมองมีการพัฒนาไปถึงระดับหนึ่ง ในกรณีที่สมองสั่งจิตให้หยิบจับเคลื่อนย้ายวัตถุเหล่านั้นได้อย่างอิสระ สมองจะประมวลข้อมูลทุกอย่างเองโดยอัตโนมัติ เหมือนในปัจจุบันที่มนุษย์โลกทุกวันนี้ยังบูชากราบไหว้พระเจ้าเธอค่อย ๆ ยกมืออันสั่นเทาขึ้น พยายามแตะกล่องยาในกระเป๋าเสื้อ เพื่อให้รู้สึกปลอดภัย แขนเสื้อเลื่อนลงมาเผยให้เห็นข้อมือขาว แต่มีรอยแดงบนข้อมือของเธอซึ่งเป็นแผลเธอตกใจ ไม่รู้ว่าได้รับบาดเจ็บตอนไหน? อาจจะเป็นตอนที่กำลังทะเลาะกับ อวี่ เหวินห่าวไม่น่าจะใช่ เลือดที่ขอบปากแข็งตัวแล้ว และรอยเลือดที่แขนเสื้อก็แห้งแล้วด้วย แผลนี้ต้องเกิดขึ้นอย่างน้อยเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วครึ่งชั่วโมงที่แล

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 20

    แพทย์หลวงทุกคนต่างตกตะลึงเป็นไปได้อย่างไร? ไท่ซ่างหวงยังเสวยพระกระยาหารลงได้อย่างนั้นหรือ? ภาวะหัวใจล้มเหลวนี้รุนแรงมาก ถึงเวลาที่น้ำมันจะหมด ตะเกียงก็จะดับไป เกรงว่าแม้แต่จะดื่มน้ำสักอึกก็ยังดื่มไม่ได้ แพทย์หลวงรีบเข้าไปวินิจฉัยอาการของไท่ซ่างหวง ขณะตรวจชีพจรเขาร้องไห้ และกล่าวว่า "ขอพระเจ้าอวยพรแก่พระองค์ ขอพระเจ้าอวยพรแก่ไท่ซ่างหวง!"ชีพจรมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจริง ๆ ผ้าม่านสีทองถูกม้วนขึ้นและม่านสีฟ้าค่อย ๆ เปิดออกอย่างช้า ๆ ไท่ซ่างหวงดูเหนื่อยล้า พระองค์กวาดสายตาทอดพระเนตรมองยังภายในโถงตำหนักครู่หนึ่ง ตรัสด้วยเสียงอันแหบพร่าว่า “จะคุกเข่ากันทำไม ลุกขึ้นเถอะ!”เสียงนั้นเบาเหมือนเสียงใบไม้ค่อย ๆ ร่วง แต่กลับเหมือนจะดังสนั่นในหูของทุกคนทุกคนมองด้วยความปิติยินดี และยืนขึ้นพร้อมโค้งคำนับไท่ซ่างหวงถอนหายใจเบา ๆ อย่างโล่งอก ริมฝีปาเขียวค่อย ๆ จางลง และหลังจากเหลือบมอง เขาก็พูดออกมาดัง ๆ "เจ้าห้าอยู่ที่ไหน?"ฉางกงกงรีบทูลกลับไปว่า "ท่านอ๋องฉู่ทรงเป็นกังวลในพระอาการของฝ่าบาท จึงเป็นลมหมดสติไป เพลานี้ถูกพาไปพักผ่อนยังตำหนักข้าง ๆ พ่ะย่ะค่ะ"“ไปพาเขามาที่นี่” ไท่ซ่างหวงลูบหัวฟูเป่า

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 21

    หยวนชิงหลิงลอบมองสีหน้าของไท่ซ่างหวง ผิวหนังที่เป็นสีเขียวค่อย ๆ เบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด เสียงลมหายใจลื่นไหลขึ้นมาก เธอถอนลมหายใจออกเฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็ช่วยพระองค์ไว้ได้ทันเวลาไท่ซ่างหวงมองมาที่อวี่เหวินห่าว พยายามดันตัวขึ้นมาช้า ๆ อวี่เหวินห่าวเห็นเข้าเลยนำเบาะไปวางไว้ที่หลังให้ลุกขึ้นนั่ง“เจ้าห้า ชายาของเจ้าคนนี้ ดูเหมือนว่าปู่จะไม่เคยเห็นมาก่อน” ไท่ซ่างหวงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น แต่แตกต่างไปจากคนปกติ เห็นได้ชัดว่ายังไม่แข็งแรงดีนักอวี่เหวินห่าวรู้สึกไม่ค่อยพอใจ ที่ท่านปู่ฟื้นมาก็ถามถึงเรื่องของนางก่อนปีนี้ไท่ซ่างหวงนอนติดเตียงมาโดยตลอด หลังจากที่พวกเขาแต่งงาน และสุขภาพของไท่ซ่างหวงไม่ค่อยดี อวี่เหวินห่าวจึงไม่ได้พานางมาเข้าเฝ้าหยวนชิงหลิงก้มหน้าไม่พูดจา และก็ไม่ได้แสดงออกอะไรเช่นกันแต่นางรู้สึกว่าสายตาของไท่ซ่างหวงจับจ้องมาที่ใบหน้าของนาง จ้องมองอย่างพินิจพิจารณา ดวงตาคู่นี้คล้ายมีพลังอำนาจแรงกล้าอย่างถึงที่สุด อย่างกับจะมองให้ทะลุหยวนชิงหลิงไท่ซ่างหวงครองบันลังก์มาสามสิบแปดปี ในระยะเวลาที่ถือรวมอำนาจสูงสุด การมีอยู่อันเกรียงไกรของพระองค์นั้น ได้ผ่านการใช้เวล

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 22

    ระหว่างที่อวี่เหวินห่าวกลับจวน ยิ่งคิดก็ยิ่งผิดปกติเขาเห็นนางใช้เข็มฉีดยาฉีดเสด็จปู่ ไม่รู้ว่ากรอกอะไรเข้าไปข้างใน เป็นพิษหรือเป็นอย่างอื่น ไม่อาจรู้ได้แม้ว่าอาการของเสด็จปู่จะค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ว่าพิษนั่นสามารถทำให้พระองค์นั้นทรงเสียสติ และอาจมีผลข้างเคียงต่าง ๆ ตามมา ก่อให้เกิดผลกระทบต่อส่วนอื่น ยกตัวอย่างเช่นการสูญเสียการควบคุมเดิมทีหยวนชิงหลิงก็ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ เว้นแต่ว่ามีใครคอยสอนนางอยู่เบื้องหลังหรืออาจจะเป็นบิดาของนาง หยวนปาหลง?เขาไม่มีความกล้ามากพอ หยวนปาหลงก็เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงคนหนึ่งอวี่เหวินห่าวตระหนักได้ถึงผลลัพธ์ที่ร้ายแรง หยวนชิงหลิงเป็นชายาของเขา สิ่งที่นางทำให้ไท่ซ่างหวงทั้งหมด หากถูกเปิดเผย เขาต้องกลายเป็นคนยุยงที่อยู่เบื้องหลัง จะไม่มีใครเชื่อว่าเขาไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ยิ่งเขาคิดก็ยิ่งไม่สบายใจ จึงมีรับสั่งให้ถังหยางเรียกตัว ลวี่หยาและแม่นมฉีมานางสองคนเป็นคนดูแลใกล้ชิดหยวนชิงหลิง หากนางมีท่าทีไม่ชอบมาพากล คงจะปิดไม่พ้นแม่นมฉีลวี่หยาเป็นคนที่เข้าวังมากับนาง แต่เมื่อออกจากวัง หยวนชิงหลิงกลับบอกว่าจะอยู่ที่วังเฉียนคุนคอยรักษาอาการป่วย เมื่อกลับมาแจ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 23

    ภายในวังเฉียนคุนไท่ซ่างหวงสนทนากับจักรพรรดิหมิงหยวนและท่านอ๋องลุ่ยอยู่ครู่หนึ่ง ก็อ่อนเพลียแล้ว จึงให้พวกเขาออกไป แม้แต่แพทย์ประจำพระองค์ก็ต้องออกไปเช่นกัน เหลือเพียง หยวน ชิงหลิงอยู่ในวังเฉียนคุนเพียงลำพัง ก่อนที่จักรพรรดิหมิงหยวนจะออกไป ก็มอง หยวน ชิงหลิงด้วยสายตาที่มีความนัย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรภายในวังเงียบสงัด ผ้าม่านมืดมิด แม้แต่ลมก็เล็ดลอดเข้ามาไม่ได้ หยวน ชิงหลิงยืนอยู่ข้างเตียง เพียงครู่หนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีไท่ซ่างหวงเดิมทีที่กำลังพักสายตาอยู่ก็ลืมตาขึ้นมา กวาดสายตาอย่างเยือกเย็น พูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน “คุกเข่า!”หยวน ชิงหลิงค่อย ๆ ย่อลงไปคุกเข่า ท่านั่งคุกเข่าของเธอ สำหรับเธอแล้ว ยังสบายกว่านั่งปกติ สรุปก็คือ ตอนนี้ยาต้มจื่อจินหมดฤทธิ์แล้ว รูขุมขนบนร่างกายกำลังทะลุคำว่าเจ็บออกมา“เจ้ามีความผิด?” ไท่ซ่างหวงถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาหยวน ชิงหลิงรู้ว่าไท่ซ่างหวงไม่ลงโทษเธอจริง ๆ หรอก อย่างน้อยช่วงวิกฤตอย่างตอนนี้คงไม่ ขอเพียงแต่พระองค์ยังมีความโหยหาต่อโลกใบนี้ ตนก็จะเป็นกำลังเดียวของพระองค์ด้วยเหตุนี้ เธอจึงเงยหน้าขึ้น ตอบกลับไปอย่างจริงใจ “มีเพคะ”“ผิดมากจากไหน

Latest chapter

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1015

    ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1014

    อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1013

    เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1012

    พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ ​​หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1011

    มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1010

    หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1009

    ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1008

    หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1007

    เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม

DMCA.com Protection Status