บางคนการแต่งงานอาจเป็นบทสรุปที่หวานชื่น แต่กับเยี่ยนเยว่ฉีการแต่งงานกับมู่เลี่ยงหรงเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น นางต้องออกจากอ้อมอกบิดามารดามาใช้ชีวิตของตนเอง ทว่าการได้รับตำแหน่งชายาเอกฉินอ๋องไม่ได้เรียบง่าย นางต้องพบเจอกับแรงกดดันในฐานะสะใภ้หลวงจากไทเฮา ซึ่งบางเรื่องพี่ชายแสนดีทั้งสองไม่อาจยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้ นางจึงต้องงัดทุกสิ่งที่มารดาอบอรมมาทั้งชีวิตมาใช้เพื่อที่จะยืนอยู่บนตำแหน่งสูงสุดนี้อย่างมั่นคง แต่ยิ่งสูงยิ่งหนาว ผู้ใดจะรู้เล่าว่าภายใต้รอยยิ้มของสตรีมากมายในเรือนหลังจะมีคมมีดซ่อนอยู่ แล้วมู่เลี่ยงหรงจะมีเพียงนางเป็นยอดดวงใจไปถึงเมื่อไร และสุดท้ายนางจะทนใช้บุรุษร่วมกับสตรีนับสิบได้จริงๆ หรือ “มะ...ไม่ ออกไป ข้าไม่ไหวแล้ว” “หือ?” มู่เลี่ยงหรงซึ่งกำลังแข็งขึงอย่างเต็มที่มีอันต้องหยุดชะงัก “ออกไป” นางร้องออกมาพลางเอามือผลักอกของเขา “อ้ายเฟยเจ้าเป็นอันใด” “อะ...ออก มะ...ไม่ไหวแล้ว” พอสิ้นคำ ทุกอย่างที่จุกอยู่ในลำคอพลันราดลงบนร่างของมู่เลี่ยงหรง ไฟราคะที่กำลังพวยพุ่งของเขาพลันมอดดับ “ให้ตายสิ! เยี่ยนเยว่ฉีครานี้เจ้าเป็นอันใดไปอีก”
View Moreแผ่นดินใหญ่ปู้จิ่นฉีอันไกลโพ้น
สงครามระหว่างแคว้นหานและแคว้นเป่ยเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการครองความเป็นหนึ่ง ต่อมาแคว้นหานได้ส่งแม่ทัพผู้กร้าวแกร่งแห่งตระกูลเยี่ยนเข้าสู่สนามรบ ด้วยสืบสายเลือดตระกูลนักรบอันดับหนึ่งในแผ่นดิน แม่ทัพหนุ่มห้าวหาญดุดันบุกตีฝ่ายตรงข้ามจนแตกพ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า และแล้วในที่สุดก็มีชัยเหนือแคว้นเป่ย
หลังได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงแคว้นเป่ยหยุดยกทัพโจมตีแคว้นหานนานราวสิบปี ทว่าท่ามกลางความเงียบสงบต่างฝ่ายต่างดูเชิงกันโดยไม่ประมาท
ปราการที่กั้นขวางทั้งสองแคว้นไว้คือแนวเขาลืมทุกข์กับแม่น้ำลืมเลือน แม้จะสงบศึกกันอยู่แต่ก็ยังปรากฏเหตุความไม่สงบก่อตัวขึ้นบ้างตามแนวชายแดน มีการบุกปล้น ลอบทำร้ายกองทหารลาดตระเวนของแคว้นหานเป็นระยะ ทหารแคว้นเป่ยมักลอบเข้ามาดักซุ่มแบบกองโจร ถึงไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก แต่ก่อให้เกิดความหวาดวิตกแก่ราษฎรผู้อาศัยอยู่ในเมืองหน้าด่านเป็นอย่างมาก
เมื่อเหตุการณ์ยังไม่สงบเรียบร้อยอย่างแท้จริง แม่ทัพตระกูลเยี่ยนผู้เกรียงไกรย่อมต้องแบกรับปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อน ยามนั้นเยี่ยนหยางเจวี๋ยนิสัยดุดันเหี้ยมหาญ หากใครอยากลองดีคงต้องมอดม้วยด้วยทวนเกล็ดมังกร เมื่อต้องสู้รบติดพันมายาวนานหลายปี ความที่ยังหนุ่มยังแน่นย่อมคิดถึงฮูหยินและบุตรธิดาเป็นธรรมดา สุดท้ายแล้วจึงตัดสินใจย้ายครอบครัวมาปักหลักที่เมืองชายแดนหานจี
ฮูหยินท่านแม่ทัพได้เดินทางตามสามีมาพร้อมกับบุตรชายทั้งสองคน อีกหลายปีต่อมานางได้ให้กำเนิดบุตรสาวแก่เยี่ยนหยางเจวี๋ย สร้างความปีติยินดีให้เขาเป็นอย่างมาก
แม้จะอยู่เมืองชายแดนห่างไกลความเจริญ แต่ท่านแม่ทัพกับฮูหยินก็ตั้งใจอบรมบุตรชายกับบุตรสาวอย่างเข้มงวด เพราะต้องการให้บุตรธิดาเติบโตมาอย่างไม่น้อยหน้าผู้ใดในแคว้นหาน สองสามีภรรยาจึงเชิญอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงในยุทธภพและเชี่ยวชาญศาสตร์ในแต่ละด้านมาสั่งสอนวิชาให้แก่เด็กทั้งสาม
คุณชายใหญ่มีพรสวรรค์ด้านฝึกยุทธ์ เขามานะฝึกฝนจนสำเร็จวิชาทวนตระกูลเยี่ยนได้ตั้งแต่อายุเพียงสิบห้าปี ด้วยฝีมืออันเยี่ยมยุทธ์รวมไปถึงความห้าวหาญและแข็งแกร่ง ในที่สุดเขาก็สามารถสังหารแม่ทัพแคว้นเป่ยคนสำคัญได้ เหตุการณ์นี้สร้างชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ จนฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้เขาขึ้นเป็นรองแม่ทัพอย่างภาคภูมิเมื่อมีอายุได้เพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น
บุตรชายคนรองเชี่ยวชาญทั้งศาสตร์และศิลป์ โดยเฉพาะความรู้ด้านพิชัยสงคราม อีกทั้งยังเป็นศิษย์หนึ่งในสองของท่านโหราจารย์ประจำรัชกาลของอดีตฮ่องเต้ ด้วยความฉลาดหลักแหลม เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ทำเอาข้าศึกงุนงงตกหลุมพราง เขาจึงขึ้นเป็นกุนซือฝีมือฉกาจได้ตั้งแต่ตอนอายุสิบแปดปี
ความสามารถของบุตรชายท่านแม่ทัพเป็นที่ประจักษ์ นำพาให้ทั้งราชสำนักและราษฎรมั่นใจว่าตระกูลเยี่ยนจะปกป้องชายแดนให้สงบสุขได้อีกหลายชั่วอายุคน
ส่วนบุตรสาวเพียงคนเดียวนามเยี่ยนเยว่ฉี ท่านแม่ทัพและฮูหยินให้นางศึกษาวิชาความรู้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งเขียนอักษร วาดภาพ และดนตรี แต่เรื่องที่คนกล่าวขวัญมากที่สุดคงจะเป็นเรื่องที่ท่านแม่ทัพเชิญปรมาจารย์ขลุ่ยโลกันต์แห่งยุทธภพ ไป่หลงจิว มาเป็นอาจารย์ให้นาง
เนื่องจากไป่หลงจิ่วประกาศเลิกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในยุทธภพ เขาผนึกขลุ่ยโลกันต์พร้อมให้คำมั่นว่าจะไม่ถ่ายทอดวิชาต้องห้ามนี้แก่ผู้ใดเด็ดขาด ตราบเท่าที่เขายังรักษาคำสัตย์ ราชสำนักจึงปล่อยให้ผู้อาวุโสได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสุขสงบ ทำให้ผู้คนหาได้นึกหวาดกลัวที่ชายชราคนหนึ่งจะมาเป็นอาจารย์สอนดนตรีให้สตรีตัวน้อย แต่ก็มีผู้คนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังคลางแคลงใจ
ท่านแม่ทัพเปิดเผยจริงใจ ไม่กลัวฟ้ากลัวดิน หากผู้ใดอยากจับผิดก็ทำไป เมื่อธิดาน้อยเรียนเพียงวิชาขลุ่ย เหตุใดเขาจะต้องกลัวคำครหา นานวันเข้าข่าวลือไม่ดีก็ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา ดรุณีน้อยเติบโตขึ้นมาเป็นสตรีในห้องหออย่างสมบูรณ์แบบ
เยี่ยนเยว่ฉีได้รับขลุ่ยหยกพลิ้วพลายซึ่งไป่หลงจิวสร้างให้เป็นพิเศษ ว่ากันว่านางสามารถเป่าขลุ่ยเป็นเพลงไพเราะน่าอัศจรรย์ เมื่อใครได้ฟังจะเคลิบเคลิ้มสุขใจยิ่ง ผู้คนจึงเข้าใจว่าท่านแม่ทัพแค่ต้องการให้บุตรสาวได้เรียนกับอาจารย์ผู้เป็นสุดยอดแต่ละด้านเท่านั้นเอง
นอกจากความสามารถด้านต่าง ๆ ที่โดดเด่นของทายาทตระกูลเยี่ยน อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเขาเป็นที่กล่าวขวัญคือรูปร่างหน้าตา ผู้คนต่างร่ำลือถึงรูปโฉมอันงดงามของสามพี่น้อง
บุตรชายคนโตของตระกูลนามเยี่ยนหยางจง ปีนี้อายุยี่สิบสามปี เขามีรูปร่างสูงใหญ่ กำยำล่ำสัน กล้ามเนื้อทุกมัดเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง เส้นผมดำสนิทราวขนกาถูกรวบเป็นมวยด้วยผ้าแถบ องคาพยพทั้งห้า[1] ได้รูป ใบหน้าคมเข้ม ริมฝีปากอิ่มหนา ผิวคร้ามแดด นัยน์ตาเหยี่ยวฉายแววล้ำลึกดุดัน กลิ่นอายบุรุษแผ่กำจายมีสง่าราศีของผู้ฝึกยุทธ์อยู่เต็มเปี่ยม เรื่องฝีมือก็เป็นที่ประจักษ์จนเลื่องระบือไปถึงเมืองหลวง เขาจึงเป็นความหวังของตระกูลและราชสำนัก ด้วยรองแม่ทัพเป็นคนหนุ่มรูปงาม องอาจ อนาคตไกล จึงไม่แปลกที่จะเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของเหล่าตระกูลผู้ดีทั้งหลายเพราะอยากได้เป็นเขยขวัญ หญิงงามที่นิยมชมชอบก็มีอยู่มากมายแต่ชายหนุ่มมักพูดเสมอว่าชายแดนยังไม่สงบจึงไม่อาจวางใจแต่งงานได้
“เยี่ยนเยว่ฉีอย่ามาเฉไฉ! คอยดูให้ดีเถิดว่าเราจะลงโทษเจ้าอย่างไร” มู่เลี่ยงหรงตีหน้าเคร่งขรึมเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริง เขาไม่มีทางยอมรับว่าทำเรื่องไร้มารยาทเป็นอันขาดเฟิงหลี่จื้อได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ไม่คิดว่าฉินอ๋องจะบันดาลโทสะถึงขั้นจะลงไม้ลงมือกับหญิงสาว อย่างไรเสียก็เป็นชายชาตินักรบและตนเองก็คือต้นเหตุในเรื่องนี้ เขาจึงหวังไกล่เกลี่ยเพื่อไม่ให้ท่านอ๋องทำร้ายสตรีที่ตนมีใจ“เรียนท่านอ๋อง หากจะลงโทษนาง กระหม่อมยินดีจะเป็นผู้รับโทษแทน” แทนที่สถานการณ์จะดีขึ้น แต่คำพูดประโยคนี้กลับเหมือนดั่งการน้ำมันราดลงบนกองไฟ ยามนี้ฉินอ๋องอยากจะสับเขาเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วโยนลงแม่น้ำเสียให้รู้แล้วรู้รอดมู่เลี่ยงหรงหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับบุรุษผู้บังอาจแตะต้องสตรีของตนอีกครั้ง น้ำแข็งเริ่มจับตัวหนาขึ้นในแววตา อากาศเย็นสบายกลายเป็นหนาวจับจิตจนเฟิงหลี่จื้อขนลุกขึ้นมาจริง ๆ“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า ทางที่ดีสงบปากสงบคำเอาไว้ดีกว่า”“ทั้งหมดเป็นความผิดของกระหม่อมที่ละเลยเรื่องชายหญิงไม่ควรชิดใกล้”“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เปิ่นหวางจะให้โอกาสเจ้ากลับไปอย่างไม่บุบสลาย” มู่เลี่ยงหรงไม่ได้สนใจเหตุผล
“กระหม่อมคงรับไม่ไหว ท่านอ๋องไม่ได้ทำผิดอันใดไม่ต้องกล่าวเช่นนั้นกับซือเซิน” อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายตกใจ ด้วยสถานะสูงส่ง ฉินอ๋องไม่มีความจำเป็นจะต้องลดตัวลงมากล่าวคำขออภัยเขา“ข้าไม่ได้ตั้งใจ”“ซือเซินรู้...” อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายเงยหน้าขึ้น ส่งยิ้มเพื่อคลายความกังวลใจให้สหายสูงศักดิ์หลังจากปรับอารมณ์ความรู้สึกกับถางซือเซินเรียบร้อยแล้ว มู่เลี่ยงหรงจึงหันกลับไปยังโต๊ะของตระกูลเยี่ยนอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นเงาร่างของเยี่ยนเยว่ฉีกับเฟิงหลี่จื้อเสียแล้ว แม้สังเกตดี ๆ เยี่ยนจิ้นหลิงจะหายไปด้วยก็ตามความกระวนกระวายแทรกซึมเข้ามาอย่างเฉียบพลัน เขาไม่อาจวางใจอะไรได้ทั้งสิ้น ด้วยรอยยิ้มงดงามเป็นธรรมชาติที่นางมอบให้ชายคนนั้นเป็นแบบที่ไม่เคยมีให้กับตนเองไฟริษยายังคงตอกย้ำในจิตใจ อ๋องหนุ่มรีบลุกขึ้นแล้วสาวเท้าออกไปเพื่อตามหาคู่หมั้นในทันทีเยี่ยนจิ้นหลิงเดินนำน้องสาวกับเฟิงหลี่จื้อไปบนดาดฟ้า เขาชวนทั้งสองพูดคุยตลอดทาง ในที่สุดก็พามาหยุดยืนอยู่บริเวณด้านหลังของเรือ แต่แล้วบุรุษผมสีเงินก็อ้างว่าลืมวางพัดไม้หอมไว้บนโต๊ะ จึงขอตัวกลับไปเอา แล้วบอกให้คนทั้งสองรอเขาอยู่ที่นี่ก่อนเมื่อกุนซือหนุ่มเดินจากไป
มู่เลี่ยงหรงคิดว่า ยิ่งอยู่ตรงนี้ก็ยิ่งมีโทสะ การจากไปตั้งหลักน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด ท่านอ๋องหนุ่มจึงพยายามเก็บงำอาการ ก่อนจะเดินนำถางซือเซียนกับอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายไปทางห้องโถงอย่างมิรั้งรอ เพราะไม่ต้องการเห็นภาพบาดตานี้อีกแม้แต่ชั่วเค่อเยี่ยนจิ้นหลิงอัศจรรย์ใจไม่น้อยที่ฉินอ๋องเก็บกักอารมณ์ได้ดีเยี่ยม แต่สายตากรุ่นโกรธนั่นไม่อาจเล็ดลอดสายตาจิ้งจอกไปได้‘ตีเหล็กก็ต้องตีตอนร้อนสิ ถึงจะได้ผลลัพธ์ชั้นดี ฉินอ๋องท่านคิดว่าแค่นี้จะหนีพ้นหรือ นี่มันบนเรือนะ’“เอาล่ะ ได้เวลาอาหารค่ำแล้ว พวกเราไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า” เยี่ยนจิ้นหลิงเอ่ยชวน“ดีเหมือนกัน น้องสาวก็รู้สึกหิวแล้ว”“หลี่จื้อ เจ้ามาร่วมโต๊ะกับพวกข้าสิ ท่านแม่ทัพเฟิงคงไม่ว่ากระไรหรอก” เยี่ยนจิ้นหลิงเอ่ยชวน“หากไม่รังเกียจ หลี่จื้อขอรบกวนแล้ว”จิ้งจอกเงินปรายยิ้มเล็กน้อย ก็เดินนำสหายเก่ากับน้องสาวแสนสวยไปยังห้องโถงใหญ่เพื่อร่วมรับประทานอาหารตลอดเส้นทางเฟิงหลี่จื้อคอยปรายตามองเยี่ยนเยว่ฉีอยู่บ่อยครั้งเนื่องจากไม่ใช่งานเลี้ยง ที่นั่งจึงถูกจัดวางไว้สำหรับแต่ละครอบครัวเป็นสัดส่วน ขณะที่ฮ่องเต้กับฮองเฮานั้นทรงประทับอยู่ในห้องแยกที่มีม่า
แม้คุณหนูถางผู้นั้นจะไม่มีวาสนาต่อฉินอ๋องก็ตาม แต่สตรีนางใดเล่าจะทนเห็นสตรีอื่นคอยเดินตามบุรุษของตนราวกับเงาได้ แต่เมื่อพี่ชายคนโปรดยืนยันว่าจะเป็นคนจัดการหญิงน่าตายผู้นั้นด้วยตนเอง นางก็จะไม่ก้าวก่ายเยี่ยนเยว่ฉีจึงตัดสินใจวกกลับมาสนทนาต่อด้วยเรื่องที่ยังค้างคา“แล้วน้องจะรู้หัวใจของฉินอ๋องได้อย่างไร” “เรื่องนั้นง่ายมาก เพียงต้องเกาให้ถูกที่คัน” บุรุษผมสีเงินเผยแววตาเจ้าเล่ห์แสนกล“ขอจิ้งจอกสีเงินแห่งแคว้นชี้แนะข้าน้อยด้วย” เยี่ยนเยว่ฉียิ้มตอบจนตาหยีเยี่ยนจิ้นหลิงขยับเข้าไปใกลแล้วกระซิบกระซาบสองสามประโยค นางทำตาโต ตกใจไม่น้อย“จะดีหรือพี่รอง”“ย่อมดี เขาทำให้เจ้าสำลักน้ำส้มเกือบร้อยไหได้แล้วกระมัง แล้วทำไมจะเอาคืนบ้างมิได้”“ข้ากลัวท่านอ๋องจะมีโทสะน่ะสิ เขาอาจหาทางลงโทษผู้อื่นอย่างหนักก็ได้”“ถ้ากลัวก็ไม่ต้อง แต่หากอยากรู้เจ้าก็ต้องเสี่ยง” เยี่ยนจิ้นหลิงโบกพัดในมือ “เจ้าควรจะหวั่นใจว่า ฉินอ๋องจะไร้โทสะเสียมากกว่า เพราะหากเป็นเช่นนั้น เจ้าคงรู้ตัวกระมังว่าน้ำหนักของเจ้าในใจของเขามัน...เบาเพียงใด”“ฉีเอ๋อร์ต้องการรู้ว่าตนเองอยู่ส่วนไหนในใจเขา ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไรก็ตาม”“หืม...ตก
“ย่อมไม่ใช่เช่นนั้น แต่หากเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับคำทำนาย รวมไปถึงคำเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ คนในตระกูลล้วนต้องให้ความสำคัญกับคำพูดของพี่รอง มิเช่นนั้นอาจจะต้องเสียใจในภายหลัง”“เหลวไหล!”“ท่านอ๋องโปรดอย่าดูเบา พี่ชายของหม่อมฉันไม่เคยผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียว”“หึ! งั้นข้าขอถาม เคยมีคนไม่เชื่อเขาบ้างหรือไม่”“ย่อมมีอยู่แล้วเพคะ”“แล้วคนเหล่านั้นเป็นอย่างไร”“บ้างก็ประสบปัญหาหนัก พิกลพิการ แต่ส่วนใหญ่ล้วนตายไปหมดแล้ว”“...” มู่เลี่ยงหรงถึงกับสะอึก“เชื่อหม่อมฉันเถิดเพคะ พวกเรามิบังอาจลบลู่ฝ่าบาทกับท่านอ๋องอย่างแน่นอน” เยี่ยนเยว่ฉีอ้อนวอนด้วยท่าทางของสตรีอ่อนแอน่าสงสาร“ได้! ในเมื่อพูดมาขนาดนี้แล้ว เราจะเชื่อคำเจ้าก็แล้วกัน” พอเห็นนางทำหน้าเศร้าจิตใจของเขาก็ไหววูบ ไม่อาจถือโทษนางได้อีก มิหนำซ้ำยังอยากจะโอบกอดปลอบประโลมยิ่งนัก“หากท่านอ๋องเมตตา ได้โปรดรอเยว่ฉีนะเพคะ” นัยน์ตาหวานล้ำกับน้ำเสียงอันออดอ้อนของนางทำให้มู่เลี่ยงหรงหูแดงซ่าน เลือดในกายของเขากำลังเดือดพล่าน ต้องควบคุมสติระงับไม่ให้รีบร้อนครอบครองริมฝีปากสีกลีบกุหลาบอันแสนจะยั่วยวนเสียตอนนี้“อย่าปล่อยให้เรารอนานเกินไปเล่าพระจันทร์ดวงน้อย”
ส่วนจ้าวจวิ้นอ๋องก็ดูพึงใจในตัวถางซือเซียนเป็นอย่างมาก ดรุณีน้อยเองก็มีท่าทีเขินอายเมื่อชายหนุ่มส่งสายตาลึกซึ้งไปให้ บุตรสาวแม่ทัพใหญ่จึงรู้สึกแปลกใจ ตกลงแล้วสตรีผู้นั้นชอบพอผู้ใดกันแน่ แต่หากนางหมายจะเปลี่ยนกิ่งไม้สูง นั่นย่อมเป็นผลดีกับตนเองมิใช่หรือการสนทนาผ่านไปสักครู่หนึ่ง มู่เลี่ยงหรงเริ่มรำคาญจ้าวกุ้ยอินเป็นกำลัง และเหมือนเยี่ยนเยว่ฉีจะไม่ได้รู้สึกอยากกินน้ำส้มยามท่านหญิงพูดคุยกับเขา ดูท่าคู่หมั้นคนงามจะรู้จักการมองสีหน้าผู้คนอยู่บ้าง ในเมื่อไม่มีประโยชน์ตนก็คร้านที่จะสนทนากับสองพี่น้องตระกูลจ้าวต่อไป“แดดเริ่มแรงแล้ว เปิ่นหวางคงต้องขอตัวพาคู่หมั้นกับเซียนเอ๋อร์กลับไปพักผ่อน เกรงว่าพวกนางจะไม่สบายได้”“ก็ให้พวกนางกลับไปเองสิ อินอินไม่ได้เจอเลี่ยงหรงเกอเกอตั้งนาน มีเรื่องอยากจะพูดคุยอีกมากมาย”“เปิ่นหวางต้องไปหารือเรื่องงานราชการกับพระเชษฐาอีก”“แต่ว่า...” จ้าวกุ้ยอินพยายามคัดค้าน“เปิ่นหวางขอตัว” ใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลักดูเย็นชาห่างเหินอย่างยิ่ง มู่เลี่ยงหรงพยักหน้าให้จ้าวจวิ้นอ๋องเล็กน้อย จากนั้นจึงสาวเท้าเดินจากไปทันที ถางซือเซียนกับเยี่ยนเยว่ฉีจึงรีบยอบกายเป็นเชิงอำลาจวิ้นอ
“ข้าแค่อยากรู้ว่าหากมีคู่แข่งที่เหมาะสม นางจะต่อสู้กับสตรีอื่นเพื่อข้าหรือไม่ก็เท่านั้น” อ๋องหนุ่มแสดงท่าทีมีความสุขกับคู่สนทนา “แต่ที่แน่ ๆ เป็นนางกับพี่ชายสมควรตายผู้นั้นที่เริ่มเรื่องนี้ก่อนต่างหาก ข้าเพียงร่วมสนุกกับพวกเขา ในเมื่อพี่น้องตระกูลเยี่ยนมีเล่ห์เหลี่ยมมากนัก เหตุใดข้าจะหาความครึกครื้นบ้างไม่ได้เล่าเซียนเอ๋อร์”“เลี่ยงหรงเกอเกอ...ท่านอย่าทำเป็นเล่นไป”“นี่เจ้าคิดว่าข้าเพียงเล่นสนุกจริง ๆ อย่างนั้นสิ”“มิได้เพคะ เพียงแต่ผู้อื่นไม่เห็นประโยชน์ที่ท่านจะทำเรื่องให้มันยุ่งยากขึ้นไปอีก”“คู่หมั้นคนงามเอาแต่บอกว่าให้รอ แต่ถ้าหากข้าสร้างแรงกระตุ้นเสียหน่อย อาจจะทำให้นางมีความเคลื่อนไหวบ้าง”“ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่านางอาจจะมีเหตุผลก็ได้ ดูท่าทีของนางอย่างไรก็มีใจให้ท่านไม่ผิด เพียงแต่ซือเซียนก็มิอาจเข้าใจสาเหตุนั้นได้เช่นกัน”“ขนาดเจ้ายังไม่มั่นใจ แล้วจะให้ข้าปักใจเชื่อเหตุผลไร้สาระนั่นได้ลงคออย่างนั้นหรือ”“แต่ผู้อื่นก็ไม่เห็นว่าเรื่องที่กำลังทำอยู่นี้น่าสนุกที่ตรงไหน เคลื่อนไหวเช่นนี้ มิสู้อยู่เฉย ๆ ไปเลยดีกว่า”“ผิดแล้วนางฟ้าน้อย หากข้านิ่งเฉยนั่นต่างหากที่ทรยศความรู้สึกตัวเอ
ย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอย่างสมบูรณ์ มองไปทางไหนก็เห็นสีสันของเหล่าต้นไม้ดอกไม้นานาพันธุ์แข่งกันผลิบานล่อหลอกหมู่ภมร ตลอดช่วงฤดูนี้เหมาะแก่การท่องเที่ยวและสังสรรค์ จวนต่าง ๆ มักออกเทียบเชิญจัดงานชมดอกโบตั๋น ดอกไม้สวรรค์นี้มีราคาแพงมาก จึงมีมากก็เพียงในอุทยานหลวงกับจวนของเชื้อพระวงศ์เท่านั้นเมื่อถึงช่วงนี้ของทุกปี ฮ่องเต้จะต้องเสด็จไปบวงสรวงบรรพบุรุษยังวัดประจำราชวงศ์ที่เมืองจินเหยียน การเสด็จแปรพระราชฐานในแต่ละครั้งจะมีเหล่าราชนิกุลและขุนนางคนสำคัญร่วมเสด็จไปด้วย ในฐานะแม่ทัพรักษานครทำให้เยี่ยนหยางเจวี๋ย และบุตรชายทั้งสองต้องร่วมเดินทางไปในครั้งนี้ ส่วนเยี่ยนเยว่ฉีได้รับเทียบเชิญในฐานะคู่หมั้นของฉินอ๋องการเสด็จแปรพระราชฐานในครั้งนี้ ฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์จะเสด็จโดยเรือพระที่นั่ง เนื่องจากวัดประจำราชวงศ์มิได้อยู่ไกลห่างมากนัก จึงใช้เวลาไปกลับเพียงสองวันเท่านั้น เมื่อทุกคนมาพร้อมเพรียงกันที่ท่าเรือใหญ่ของวังหลวง ขันทีผู้ทำหน้าที่แบ่งห้องพักต่างรีบกุลีกุจอนำทางผู้ที่ได้รับเทียบเชิญเข้าสู่ห้องพักเยี่ยนเยว่ฉีมองไปรอบ ๆ อย่างสำรวจตรวจตรา นางจำเชื้อพระวงศ์และขุนนางบางคนได้ เนื่องจากเคยได้ร
มู่เลี่ยงหรงไม่เปิดโอกาสให้นางพูด “ขอเราถามเจ้าบ้างเป็นไรว่าต้องการสิ่งใดกันแน่ ยามแสดงออกเจ้าก็ว่าเราเป็นชายฉวยโอกาส พอควบคุมตนเองเอาไว้ได้ เจ้ากลับมองว่าเรากำลังเสแสร้ง”“ท่านอ๋อง เยว่ฉี...”“ที่สำคัญหากเจ้ามาเป็นเราจะรู้สึกเช่นไรถ้าต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน รู้หรือไม่ ทุกวันนี้ขุนนางพวกนั้นกับผู้คนทั้งหลายยังเย้ยหยันเราอยู่เลย ตอบมาสิ เป็นเจ้าจะใจเย็นและสามารถมานั่งลอยโคมกับสตรีผู้บังอาจคนนั้นได้เฉกเช่นเดียวกับเราหรือไม่...เยี่ยนเยว่ฉี” เขาพยายามข่มโทสะที่มีถามนางด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบที่สุด แต่ดวงตานั้นคมปลาบบาดหัวใจของผู้มองทำให้รู้สึกผิดยิ่งนัก“เยว่ฉีไม่ได้รังเกียจท่านอ๋องสักนิด ไม่ได้ตั้งใจตบท่าน ไม่ได้ต้องการทำให้เสียหน้า เพียงแค่ทุกอย่างประดาประดังเข้ามารวดเร็วจนหวาดหวั่นไปหมด หม่อมฉันเสียใจเพคะที่ทำให้ท่านอ๋องต้องปวดใจ” เยี่ยนเยว่ฉีหยุดดิ้น แล้วปรายสายตาขึ้นสบกับเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ หวังว่าคู่หมั้นหนุ่มจะอภัยให้การกระทำเหล่านั้นของนาง “ส่วนเรื่องดวงชะตานั้น เยว่ฉีกับพี่รองไม่ได้โป้ปดแต่อย่างใด ท่านอ๋องเชื่อหม่อมฉันนะเพคะ”เมื่อเห็นแววตากอปรกับน้ำเสียงออดอ้อนนั้น มู่เล
Comments