บางคนการแต่งงานอาจเป็นบทสรุปที่หวานชื่น แต่กับเยี่ยนเยว่ฉีการแต่งงานกับมู่เลี่ยงหรงเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น นางต้องออกจากอ้อมอกบิดามารดามาใช้ชีวิตของตนเอง ทว่าการได้รับตำแหน่งชายาเอกฉินอ๋องไม่ได้เรียบง่าย นางต้องพบเจอกับแรงกดดันในฐานะสะใภ้หลวงจากไทเฮา ซึ่งบางเรื่องพี่ชายแสนดีทั้งสองไม่อาจยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้ นางจึงต้องงัดทุกสิ่งที่มารดาอบอรมมาทั้งชีวิตมาใช้เพื่อที่จะยืนอยู่บนตำแหน่งสูงสุดนี้อย่างมั่นคง แต่ยิ่งสูงยิ่งหนาว ผู้ใดจะรู้เล่าว่าภายใต้รอยยิ้มของสตรีมากมายในเรือนหลังจะมีคมมีดซ่อนอยู่ แล้วมู่เลี่ยงหรงจะมีเพียงนางเป็นยอดดวงใจไปถึงเมื่อไร และสุดท้ายนางจะทนใช้บุรุษร่วมกับสตรีนับสิบได้จริงๆ หรือ “มะ...ไม่ ออกไป ข้าไม่ไหวแล้ว” “หือ?” มู่เลี่ยงหรงซึ่งกำลังแข็งขึงอย่างเต็มที่มีอันต้องหยุดชะงัก “ออกไป” นางร้องออกมาพลางเอามือผลักอกของเขา “อ้ายเฟยเจ้าเป็นอันใด” “อะ...ออก มะ...ไม่ไหวแล้ว” พอสิ้นคำ ทุกอย่างที่จุกอยู่ในลำคอพลันราดลงบนร่างของมู่เลี่ยงหรง ไฟราคะที่กำลังพวยพุ่งของเขาพลันมอดดับ “ให้ตายสิ! เยี่ยนเยว่ฉีครานี้เจ้าเป็นอันใดไปอีก”
View Moreได้ยินคำของฉินอ๋อง เยี่ยนเยว่ฉีคิดว่าตนต้องถูกประหารแน่ นางจึงตัดสินใจโผเข้าไปกอดขาชายหน่มหวังให้เขาคลายโทสะลงก่อน มิเช่นนั้นท่านพ่อคงเดือดร้อนไปด้วยมู่เลี่ยงหรงเบิกนัยน์ตาด้วยความตกใจ สตรีผู้นี้จะเล่นเล่ห์อะไรอีก“หม่อมฉันเพียงตกใจกลัวซูจิ้งเป็นอันตราย ท่านอ๋องอย่าเกลียดเยว่ฉีนะเพคะ”“ปล่อยเปิ่นหวางเดี๋ยวนี้” มือแข็งแรงดันไหล่น้อย ๆ ของหญิงสาว เขาออกแรงไม่มาก เพียงแค่อยากรักษาระยะห่าง ด้วยไม่อาจเดาใจสตรีที่กำลังเปลี่ยนท่าที แต่ความโกรธที่พวยพุ่งขึ้นเมื่อครู่กลับค่อย ๆ มลายหายไปอย่างประหลาด เขาไม่อาจเชื่อได้ว่าตนเองจะสามารถตัดใจจากสตรีผู้นี้ได้เลย‘ให้ตายเถอะ เยี่ยนเยว่ฉี หากเจ้าไม่ยอมปล่อยมือเสียตอนนี้ ข้าสาบานว่าจะไม่รามือจากเจ้าอีกต่อไปเช่นกัน’“ไม่เพคะ ท่านอ๋องจะไม่เมตตาเยว่ฉีจริง ๆ หรือ” นางช้อนนัยน์ตาหวานซึ้งขึ้นสบกับเขาแล้วกัดริมฝีปากภาพตรงหน้าทำให้ชาติบุรุษถึงกับหายใจไม่ออก เห็นนางเศร้าสร้อยจิตใจก็อ่อนวูบ อย่างไรก็ตามเขาไม่มีทางให้นางได้ล่วงรู้ถึงความอ่อนไหวที่กำลังก่อตัวขึ้น“ปล่อย...เปิ่นหวางจะไม่ฟังอะไรอีกแล้ว พอกันที” ขาขยับถอยออกเล็กน้อย แต่มือนุ่มนิ่มนั้นยึดชายชุดคลุมส
“ฮือ... ปล่อยนะ ถ้าหม่อมฉันไร้ยางอายแล้วมากอดทำไมกัน ถ้าหม่อมฉันเหมือนสตรีที่อยากปีนขึ้นเตียงท่านพวกนั้น...แล้วจะมาจูบทำไม ในเมื่อเหยียดหยามกันขนาดนี้ ทำไมท่านอ๋องไม่เมินหม่อมฉันไปเสียเลย”เห็นนางตัดพ้อร้องไห้สะอึกสะอื้น มู่เลี่ยงหรงก็ปวดใจอย่างบอกไม่ถูก สตรีนางนี้ช่างบอบบางยิ่งนัก ขนาดร้องไห้ก็ยังงดงามราวดอกสาลี่ที่ต้องฝน แล้วผู้ใดเล่าเมื่อได้เห็นภาพนี้จะทนใจแข็งอยู่ได้อีกชายหนุ่มรวบมือเรียวบางที่กำลังทุบอกเขาเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวแล้วโน้มคอลงประทับจูบบนเปลือกตาอย่างแผ่วเบาราวสัมผัสของปีกแมลงปอ ใช้ริมฝีปากดูดซับน้ำตาของนางเพื่อปลอบประโลม จมูกโด่งรั้นลากไล่ลงมาบนแก้มนวลมู่เลี่ยงหรงชะงักไปครู่หนึ่ง ลมหายใจร้อนเริ่มกระชั้นถี่ สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อแรงดึงดูดอันมหาศาล ท่านอ๋องตัดสินใจครอบครองริมฝีปากสีแดงระเรื่อของนางอีกครั้ง เหยียนเยว่ฉีต่อต้านโดยการเม้มปากเอาไว้แน่น พยายามครองสติของตนไว้ไม่ให้หวั่นไหวไปกับการล่อลวงอันแสนวาบหวามนี้ เขายังคงคิดว่านางมีใจเพียงแต่ขวยอายอยู่เท่านั้น“อืม...เด็กดี อย่าปากแข็งอีกเลย จะเอียงอายไปไย เจ้าไม่ได้ชอบเราแม้สักนิดเลยหรือ” มู่เลี่ยงหรงกระซิบชิดริม
ครั้นนึกถึงยามพบกันที่ใต้ต้นหลิว บุตรสาวท่านกั๋วกงก็ไม่มีท่าทีอยากจะกระโจนสู่อ้อมอกของเขาเสียหน่อย แต่ก็เป็นไปได้ว่าเยี่ยนเยว่ฉีอาจจะเขินอายเมื่อมีคนอื่นอยู่ด้วย หรือไม่นางอาจจะประทับใจบทเพลงรักนกยวนยางกระมังเพราะเมื่อครู่เขาเองก็พยายามส่งกระแสความรู้สึกอันท่วมท้นไปถึงนาง ‘นางชอบข้างั้นรึ’เขาคิดเข้าข้างตัวเอง ยิ่งหวนนึกถึงสายตาหวานหยาดเยิ้มที่นางส่งให้ที่ใต้ต้นหลิวจึงทำให้รู้สึกมั่นใจขึ้นหลายส่วนหากนางพึงใจในตัวเขาเช่นกัน การแต่งงานย่อมเกิดจากความเต็มใจ เท่ากับไม่ต้องบังคับขู่เข็นใครทั้งสิ้น รอยยิ้มอย่างหาได้ยากจึงปรากฏบนใบหน้าของฉินอ๋อง“เสี่ยวเยว่...เจ้าชอบเพลงรักของเรามากหรือ” มู่เลี่ยงหรงกระซิบถามนางพร้อมเรียกขานด้วยชื่อ แอบหวังว่านางจะมีใจให้ดั่งที่เขาคิด“ทะ...ท่านอ๋องเล่นได้ดีจนหม่อมฉันตกใจ ไม่คิดว่าคนที่เพิ่งจับขลุ่ยพลิ้วพรายครั้งแรกจะเป่าเป็นเพลงที่...ที่…” เยี่ยนเยว่ฉีนิ่งเงียบ นางไม่กล้าบอกชายหนุ่มว่าพอได้ฟังเพลงของเขาก็เกิดความรู้สึกหวามไหวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จนปล่อยตัวปล่อยใจให้ท่านอ๋องเชยชิมริมฝีปากและต้องตกอยู่ในอ้อมกอดของบุรุษตัวโตอย่างเช่นในยามนี้นางไม
ครั้นมู่เลี่ยงหรงสังเกตเห็นสตรีตรงหน้าเกิดอาการผิดปกติเขาจึงหยุดเป่าขลุ่ยทันที ร่างสูงปราดเข้าไปรับร่างบางสู่อ้อมแขนได้ทันท่วงทีเขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดหญิงสาวถึงได้หมดเรี่ยวแรง จึงได้แต่ประคองนางไว้ในอ้อมแขน แล้วใช้อีกมือหนึ่งลูบแก้มนวลอย่างห่วงใยร่างงามนุ่มนิ่มหอมกรุ่นอ่อนระทวยพิงอกแกร่ง ใบหน้านางแดงเรื่อจนถึงใบหู เสียงหายใจหอบกระชั้นดังชัดเจน นัยน์ตาฉ่ำปรือ ริมฝีปากสีแดงสดเผยอออกเล็กน้อยราวกับกำลังเชื้อเชิญให้เขาเข้าครอบครองผ่านไปครู่หนึ่งนางยังคงเหมือนคนไร้สติสิ้นเรี่ยวแรง ชายหนุ่มจึงตวัดแขนอุ้มร่างขึ้นแนบกาย เขาพาหญิงสาวไปยังตั่งหินแล้วนั่งลง ส่งผลให้ยามนี้เยี่ยนเยว่ฉีนั่งอยู่บนตักแกร่ง มู่เลี่ยงหรงจดจ้องโฉมสะคราญในอ้อมแขนอย่างไม่วางตา กิริยาช่างยั่วยวนชวนให้เขาตกตะลึง ต้องลอบกลืนน้ำลายด้วยรู้สึกว่าคอนั้นแห้งผาก‘นางกำลังเชิญชวนข้าอยู่อย่างนั้นหรือ’เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยินดีอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างเต็มใจ เขาก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีก ความสุขุมเยือกเย็นที่เคยมีพลันสลายไปจนสิ้น ในที่สุดเขาจรดริมฝีปากแนบปากอันอวบอิ่มลิ้นร้อนตวัดไล้เลียกลีบปากสีกุหลาบอย่างแผ่วเบา จากนั
เยี่ยนเยว่ฉีมองไปรอบถ้ำใต้น้ำตกจำลองซึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงาม มีทางเดินทอดยาวสู่พื้นหินที่ยกสูงขึ้นเสมือนเป็นเกาะกลางน้ำ ด้านบนมีตั่งหินและโต๊ะสำหรับวางขนมกับน้ำชา นี่คงเป็นสถานที่สำหรับนั่งพักผ่อนขณะเดินเล่นภายในสวนเสียงน้ำตกจากภายนอกไม่ได้ดังรบกวนอย่างที่คิด ถ้าสังเกตให้ดี ถ้ำนี้ถูกออกแบบมาให้ระบายอากาศและยังมีช่องรับแสงสว่างอีกด้วยดวงอาทิตย์สาดส่องลำแสงอันอบอุ่นเข้ามาภายในถ้ำ ต้องกระทบผิวน้ำปรากฏเป็นเงาระยิบระยับงดงามพลิ้วไหวมู่เลี่ยงหรงยืนหันหลัง ในมือถือขลุ่ยหยกของนางเอาไว้เนื่องจากเยี่ยนเยว่ฉีมีพี่ชายรูปงามราวเทพเซียนอย่างเยี่ยนจิ้นหลิง มาตรฐานบุรุษในใจของนางจึงสูงตามไปด้วย ในระหว่างที่ย่างเท้าไปตามทางเดินหินหญิงสาวจึงอดลอบพิจารณาบุรุษเบื้องหน้าไม่ได้ฉินอ๋องสูงส่งสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาเหมือนถูกสลักมาอย่างละเอียดลออ ถึงแม้จะดูเย็นชาอยู่บ้าง แต่กลับทำให้โฉมสะคราญประหม่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับเขาเพียงลำพังหัวใจดวงน้อยพลันเต้นระรัวยิ่งเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำมากขึ้นเท่าใด มือของนางก็เย็นเฉียบขึ้นทุกขณะหญิงสาวทั้งตื่นเต้นระคนหวาดหวั่นในหัวใจ
“กระหม่อมยินดีรับใช้ท่านอ๋อง เพื่อฝ่าบาทและบ้านเมือง ซือเซินจะรีบไปดำเนินการตามที่ท่านอ๋องรับสั่งทันทีพ่ะย่ะค่ะ”“ดีมากซือเซิน ในราชสำนักมีไม่กี่คนที่เราไว้ใจ และหนึ่งในนั้นก็คือเจ้า”“นั่นเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ข้าออกจะรู้ใจท่านอ๋อง” ถางซือเซินยิ้มกว้าง‘เชอะ! เอาความดีใส่ตัวได้ในที่สุด สมเป็นขุนนางเสียจริง’ อ๋องหนุ่มลอบด่าพระสหายในใจอย่างอดมิได้มู่เลี่ยงหรงวางใจคลายโทสะ ปรับสีหน้าเป็นนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาหยักมุมปากขึ้นเล็กน้อย บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองกลับมาสมานฉันท์ดุจเดิมอีกครั้ง“อ่อ เรายังมีอีกเรื่องหนึ่งให้เจ้าไปจัดการ จงส่งจดหมายไปให้เยี่ยนเยว่ฉี บอกกับนางว่า หากอยากได้ขลุ่ยหยกคืน จงไปที่อุทยานตะวันออก”“แต่ว่างานเลี้ยงใกล้จะเริ่มแล้ว”“ก่อนที่นางจะขึ้นแสดง เรามีเรื่องที่ต้องตรวจสอบด้วยตนเอง เจ้าไปจัดการให้เรียบร้อยก็พอ”“ท่านอ๋องโปรดวางใจ ซือเซินจะไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”ทั้งสองเดินกลับเข้าไปนั่งประจำที่ของตนเองในกระโจมจัดงานอย่างไม่รีบไม่ร้อน ต่างคนต่างรู้สึกยินดีที่แผนการทั้งหลายเป็นไปตามที่ต้องการแต่นาทีนี้คงไม่มีใครมีความสุขเท่าอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย นอกจาก
เลี่ยงหรงเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงงานเลี้ยงโดยเร็วที่สุด เขาต้องการพบอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายก่อนที่ฮ่องเต้จะเสด็จมาถึง พอขันทีน้อยผู้ทำหน้าที่นำทางในงานเห็นพระอนุชาก็รีบกุลีกุจอเชิญผู้สูงศักดิ์ไปยังที่นั่งในกระโจมทันทีด้วยบรรดาศักดิ์ชินอ๋อง[1] ที่นั่งของมู่เลี่ยงหรงจึงถูกจัดให้อยู่ลำดับแรกในหมู่เชื้อพระวงศ์ฝ่ายชายถัดจากที่ประทับของฮ่องเต้ ทำให้เห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงใส่พระทัยพระอนุชาคนโปรดเป็นอย่างยิ่งเริ่มตั้งแต่ มู่เลี่ยงหรงอายุสิบสองชันษาก็แสดงให้เห็นชัดถึงความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ เริ่มอุทิศแรงกายแรงใจแบ่งเบาราชกิจ อ๋องน้อยมีวิริยะอุตสาหะเป็นอย่างมากจนเป็นที่รู้กันถึงความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา เพียงไม่นานผลงานก็ประจักษ์ไร้ข้อกังขา บรรดาขุนนางทั้งหลายต่างยกย่องเชิดชูอย่างไม่มีข้อโต้แย้งเวลาผ่านไปไวราวกับติดปีก ท่านอ๋องน้อยเติบใหญ่เป็นบุรุษองอาจ ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยจึงแต่งตั้งมู่เลี่ยงหรงเป็นฉินอ๋อง พร้อมให้ดำรงตำแหน่งผู้แทนพระองค์อยู่มิได้ขาด ส่วนหน้าที่หลักคือการตรวจสอบเชื้อพระวงศ์และขุนนางในราชสำนักนับได้ว่าอยู่ใต้ผู้หนึ่ง แต่อยู่เหนือคนนับพันด้วยบุคลิกจริงจังเคร่งขรึม กอปรกับควา
‘ข้าจะได้รู้เสียทีว่าท่านเป็นใคร’ เยี่ยนเยว่ฉีลอบคิดในใจเช่นกัน“นามข้าคือ มู่-เลี่ยง-หรง” เขาบอกนางช้า ๆ ชัด ๆ ทุกคำพูด แอบซ่อนความขบขันยามเห็นใบหน้าคนงามกำลังซีดเผือด‘นางคงพอรู้เลา ๆ อยู่บ้างกระมัง’“ทะ...ท่านคงมิใช่ฉินอ๋อง” นางถามขอความมั่นใจด้วยเสียงอันสั่น ในใจก็ได้แต่ภาวนา เพราะหากเป็นท่านอ๋องผู้ได้ชื่อว่าเข้มงวดเป็นที่สุดผู้นั้น แผนสาวงามอาจจะไม่ได้ผล ยิ่งเขาเข้าใจผิดเช่นนี้นางอาจจะไม่รอดชีวิตแล้ว“คุณหนูเยี่ยน เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว” มู่เลี่ยงหรงดูเหมือนขุนเขาตระหง่านขึ้นมาทันที รัศมีสูงศักดิ์ยิ่งเจิดจ้าจนหญิงสาวหายใจแทบไม่ออกท่านอ๋องสังเกตอากัปกิริยาของหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่ง บัดนี้ใบหน้านางซีดลงกว่าเดิม น้ำตาไหลอาบแก้มสีชมพู นางสะอื้นฮักอยู่เงียบ ๆ ราวกับกำลังยอมรับชะตากรรม แต่เขาไม่อยากให้ว่าที่หวางเฟยของตนเองเป็นลมล้มพับไปเสียก่อน‘ข้าคงแกล้งนางหนักเกินไปเสียแล้ว’“คุณหนูเยี่ยนลุกขึ้นเถิด ข้าจะละเว้นบุตรสาวท่านไคกั๋วกงสักครั้ง แต่จะคาดโทษเอาไว้ก่อน อย่าลืมว่าเจ้าต้องตอบแทนความเมตตาของข้าด้วย” น่าสนุก ท่านอ๋องหนุ่มปั้นหน้าเคร่งขรึมเก็บซ่อนอาการยินดี“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ” นา
“อะแฮ่ม!” มู่เลี่ยงหรงกระแอม พร้อมก้าวเดินออกมาจากข้างต้นหลิว“ว้าย...” นางตกใจหันมาทันทีภาพที่เยี่ยนเย่วฉีเห็นคือบุรุษลึกลับในชุดคลุมสีดำหรูหรา เขาดูสูงส่งและเย็นชา ทว่าทันทีที่สบตาก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นระรัว สีแดงค่อย ๆ ไล่ฉาบไปบนใบหน้านวล นางรู้สึกขวยอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ขออภัยด้วยที่ทำให้คุณหนูท่านนี้ตกใจ” มู่เลี่ยงหรงยืนเอามือไพล่หลังไว้ ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ดวงตาเข้มลึกจ้องมองสตรีเบื้องหน้า ริมฝีปากบางเหยียดตรง“มิได้ ผู้น้อยต่างหากต้องขออภัยใต้เท้า เสียมารยาทแล้ว เป็นเพราะผู้น้อยไม่ทราบว่าท่านยืนพักผ่อนอยู่ตรงนี้” นางยอบกายลงขอขมาด้วยท่วงท่าอันอ่อนช้อย“ไม่เป็นไร เราเองก็ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว” มู่เลี่ยงหรงส่งยิ้มเย็นยะเยือก สีหน้าบ่งบอกว่าเขาได้ยินทุกอย่าง “คุณหนูท่านนี้คงลืมกระมังว่าเวลานี้เจ้ากำลังยืนอยู่ที่ใด”ชายหนุ่มดูน่ากลัวขึ้นอีกหลายส่วน เมื่อรอยยิ้มในตอนแรกหายไป“ใต้เท้าพูดเรื่องอันใด ผู้น้อยไม่เข้าใจเจ้าค่ะ” เยี่ยนเยว่ฉีปรายตาขึ้นสบกับบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้า คิ้วงามขมวดเล็กน้อย ในเมื่อไม่ได้ทำสิ่งใดผิดไยเขาต้องทำราวกับนางกระทำเรื่องไม่สมควร“ข้
แผ่นดินใหญ่ปู้จิ่นฉีอันไกลโพ้นสงครามระหว่างแคว้นหานและแคว้นเป่ยเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการครองความเป็นหนึ่ง ต่อมาแคว้นหานได้ส่งแม่ทัพผู้กร้าวแกร่งแห่งตระกูลเยี่ยนเข้าสู่สนามรบ ด้วยสืบสายเลือดตระกูลนักรบอันดับหนึ่งในแผ่นดิน แม่ทัพหนุ่มห้าวหาญดุดันบุกตีฝ่ายตรงข้ามจนแตกพ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า และแล้วในที่สุดก็มีชัยเหนือแคว้นเป่ยหลังได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงแคว้นเป่ยหยุดยกทัพโจมตีแคว้นหานนานราวสิบปี ทว่าท่ามกลางความเงียบสงบต่างฝ่ายต่างดูเชิงกันโดยไม่ประมาทปราการที่กั้นขวางทั้งสองแคว้นไว้คือแนวเขาลืมทุกข์กับแม่น้ำลืมเลือน แม้จะสงบศึกกันอยู่แต่ก็ยังปรากฏเหตุความไม่สงบก่อตัวขึ้นบ้างตามแนวชายแดน มีการบุกปล้น ลอบทำร้ายกองทหารลาดตระเวนของแคว้นหานเป็นระยะ ทหารแคว้นเป่ยมักลอบเข้ามาดักซุ่มแบบกองโจร ถึงไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก แต่ก่อให้เกิดความหวาดวิตกแก่ราษฎรผู้อาศัยอยู่ในเมืองหน้าด่านเป็นอย่างมากเมื่อเหตุการณ์ยังไม่สงบเรียบร้อยอย่างแท้จริง แม่ทัพตระกูลเยี่ยนผู้เกรียงไกรย่อมต้องแบกรับปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อน ยามนั้นเยี่ยนหยาง...
Comments