เหลิ่งจิ้งเหยียนมองเขาแล้วยิ้ม พร้อมกล่าวช้า ๆ อย่างตรงไปตรงมาว่า "ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับท่านอ๋อง ข้าได้ยินมาว่าในวันนั้นพระชายาจี้ก็ได้ช่วยเหลือผู้คนที่นอกเมืองด้วยเหมือนกัน""ใช่แล้ว" อวี่เหวินห่าวเห็นเขา ก่อนที่จะเตือนไปว่า "อย่าคิดที่จะใช้นางมาเป็นเครื่องมือ" "จำเป็นที่จะต้องใช้นางเป็นเครื่องมือ!" เหลิ่งจิ้งเหยียนกล่าวอวี่เหวินห่าวตบโต๊ะอีกครั้ง "คิดได้อย่างไร"เหลิ่งจิ้งเหยียนมองเขา "ท่านอ๋องอย่าใจร้อน ฟังข้าพูดให้จบก่อน"อวี่เหวินห่าวโบกมือให้ "พูดไปก็เท่านั้น แต่คงไม่ใช่วิธีที่ดี""พระชายาช่วยคนที่นอกเมือง เรื่องนี้มีคนเห็นไม่น้อย ข่าวได้แพร่กระจายในเมืองหลวงในช่วงสองวันที่ผ่านมา พูดกันว่าพระชายาฉู่มีจิตใจเมตตากรุณา ใจก็ดี รูปก็งาม ถ้าต้องหาใครมาแบกรับเรื่องนี้ พระชายาฉู่ดูจะเหมาะที่สุด""อะไรกันนี่?" อวี่เหวินห่าวจ้องเขาอย่างอารมณ์เสียเหลิ่งจิ้งเหยียนยิ้มพร้อมกล่าวว่า "ตอนนี้เหล่าเย๋จื่อโปรดปรานใครมากที่สุด? ในเหล่าพระชายาทั้งหลาย ตอนนี้ใครมีชื่อเสียงมากที่สุด? ท่านคิดว่าหากพระชายาฉู่ต้องรับโทษ ฮ่องเต้จะตำหนินางจริง ๆ หรือ? แม้ว่าฮ่องเต้คิดจริง ๆ แต่เหล่าเย๋จื่อก็คงไ
"หยวนเจี๋ยเป็นผู้มีคุณธรรม!" หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างโกรธเคือง"ข้ารู้ เมื่อครู่ข้ายังจงใจไปที่ประตูเมือง เขาไม่นำพาอาการบาดเจ็บกลับไปเฝ้าประตูเมือง" อวี่เหวินห่าวถอนหายใจหยวนชิงหลิงพูดไม่ออก นางเป็นนักวิจัยที่ไม่เข้าใจเรื่องการเมือง แต่นางแค่คิดว่ามันจะทำร้ายจิตใจของผู้คน โดยเฉพาะคนที่มีคุณธรรม"มีทางออกอื่นหรือไม่?" หยวนชิงหลิงกล่าวถามอวี่เหวินห่าวลังเลอยู่สักพัก ส่ายหัวพลางกล่าว "ไม่มี เรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ"หยวนชิงหลิงถอนหายใจเบาๆ "โหดร้ายยิ่งนัก"ทหารเฝ้าประตูผู้นั้นพยายามทำเต็มที่สุดกำลังความสามารถแล้ว อย่างน้อยก็ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่สมควรที่จะถูกลงโทษ สองสามีภรรยาคับใจจนพูดไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา สับสนกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเวลาผ่านไปเนิ่นนาน อวี่เหวินห่าวจึงกล่าว "ความจริง ข้ายังไปหาจิ้งเหยียนที่กั๋วจื่อเจียน เขาเสนอวิธีหนึ่ง""วิธีไหน?"หยวนชิงหลิงรีบถามอวี่เหวินห่าวมองนาง กล่าวคำที่ดูซับซ้อนว่า "เขาให้เจ้าไปขอโทษ""ข้า?" หยวนชิงหลิงตกใจ "ข้าผิดอะไร? ข้าไม่มียศไม่มีตำแหน่ง สามารถขอโทษอะไรได้?""จิ้งเหยียนพูดว่า เจ้าในฐานะพระชา
อวี่เหวินห่าวประหลาดใจ ข้าคิดว่าถึงจะแค่หนึ่งหรือสองประโยคสั้นๆ แต่นางก็มีประเด็นหลักที่น่าคิดนั่นก็คือความจริงที่ว่าเจ้าเจ็ดมีไม่กี่ชีวิต ที่พร้อมจะทำให้เขาได้เป็นรัชทายาทนี่อาจเป็นสาเหตุที่มหาเสนาบดีฉู่ไม่ได้แสดงจุดยืนของเขามาเป็นเวลานาน ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมเขาเองก็อยากรู้เช่นกัน นางไม่สนใจตำแหน่งพระชายารัชทายาทเลยสักนิดหรือ? หลังจากได้เป็นพระชายาขององค์รัชทายาท ต่อไปก็จะได้ขึ้นเป็นฮองเฮา แน่นอนก่อนที่เขาจะได้เป็นรัชทายาท จะสามารถอยู่อย่างมั่นคงจนถึงวันที่เขาขึ้นครองราชย์"เจ้าไม่หวังจะให้ข้าเป็นรัชทายาทจริงหรือ?" อวี่เหวินห่าวถามหยวนชิงหลิงมองเขาอย่างแปลกใจ "ทำไมถึงมาถามข้าว่าหวังหรือไม่หวัง ไม่ใช่ง่าข้าได้เป็นรัชทายาทนี่"“หากข้าได้เป็นรัชทายาท เจ้าก็ได้เป็นพระชายาขององค์รัชทายาทแล้ว"หยวนชิงหลิงยิ้มอ่อน “พระชายาขององค์รัชทายาทกับพระชายาของอ๋อง มีอะไรแตกต่าง?"หวี่เหวินห่าวมองไปที่นาง "ทำไมไม่แตกต่าง? เจ้าอย่ามาแกล้งเลอะเลือนกับข้า เจ้าไม่อยากเป็นฮองเฮาเหรอ?" หยวนชิงหลิงหยิบถ้วยที่วางอยู่บนโต๊ะ พูดเสียงเบาว่า "ความคิดนั้นง่าย แต่ถนนหนทางมีอันตราย ไม่คุ้มค่า"
เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างมองหน้ากัน พระชายาฉู่คุกเข่าขอโทษอยู่ด้านนอก?ห้องโถงด้านข้างอยู่ห่างจากห้องทรงพระอักษรไม่ไกลนัก จักรพรรดิหมิงหยวนเข้าไปข้างใน หยวนชิงหลิงถูกพาตัวเข้ามาจากประตูด้านข้างอีกบานหนึ่งหยวนชิงหลิงคุกเข่าลงมา ยังไม่ทันได้พูด จักรพรรดิหมิงหยวนก็เอ่ยเสียงเย็น "ลุกขึ้น ข้ารู้ว่าเจ้ามีจุดประสงค์อะไร รีบออกไปจากวัง"หยวนชิงหลิงรู้ว่าทุกอย่างจะถูกเปิดเผย แต่ว่าละครยังต้องมีบทจบ นางกล่าวด้วยความเศร้า "เสด็จพ่อ เรื่องที่ประตูเมือง ลูกสะใภ้ขอรับผิดทั้งหมด""เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเจ้า? เจ้าล้อเล่นอันใด?"จักรพรรดิหมิงหยวนหมดความอดทน เจ้าห้ากับภรรยาก่อแต่เรื่องวุ่นวายหยวนชิงหลิงกล่าวเสียงดัง "ข้าในฐานะพระชายาฉู่ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยความสนับสนุนจากราษฎร เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ถึงแม้จะอยู่ในที่เกิดเหตุ แต่กลับไม่สามารถระงับยับยั้งเหตุได้ ช่วยรักษาไว้ไม่ทัน ทำให้ผู้คนล้มบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก เกิดความโกลาหลวุ่นวาย ทั้งหมดนี้ต้องตำหนิข้าที่ไม่ระงับเหตุแต่เนิ่น ๆ ทำให้เรื่องบานปลายไปใหญ่ เวลานั้นลูกสะใภ้อยู่บนกำแพงเมือง เห็นคนรอเข้าคิวก็กระสับกระส่าย คิดว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่
อวี่เหวินห่าวรอหยวนชิงหลิงอย่างกระวนกระวายใจที่หน้าประตูวังไม่รูว่าจะถูกด่าหรือไม่? ไม่รู้ว่าจะถูกเฆี่ยนตีไหม? ร่างนั้นไม่สามารถต้านทานการเฆี่ยนตีได้ซูยี่เห็นเขา จึงก้าวเข้าไปหาแล้วกล่าวว่า "ท่านอ๋องเข้าวังไปดูไม่ดีกว่าหรือ? พระชายามีปากเป็นอาวุธ และง่ายต่อการล่วงเกินผู้อื่น อาจจะไปทำให้ฮ่องเต้กริ้วก็เป็นได้”"อย่าเสียงดัง บางทีอาจไม่เป็นเช่นนั้น!" อวี่เหวินห่าวเอามือไขว้หลัง ทำไมยังไม่ออกมา? ถ้าจะโดนเฆี่ยนตีก็ควรจะตีเสร็จแล้ว เดินออกมาไม่ไหวก็ควรจะให้คนแบกออกมา?ซูยี่เบ้ปาก "พูดยาก พระชายาก่อเรื่องวุ่นวาย จับคนไหนกัดคนนั้น ล่วงเกินฝ่าบาท เฆี่ยนตียังนับว่าดี กลัวแต่…"อวี่เหวินห่าวยืดคอและตะโกนใส่เขา "ซูยี่ ถ้าเจ้าไม่พูดสักนาที จะเจ็บลิ้นตายเลยใช่หรือไม่?"ซูยี่พูดเสียงเบา "ข้าเป็นห่วง"ความเป็นห่วง ทำให้เขาพูดไร้สาระ การพูดไร้สาระทำให้พูดเรื่องเชิงลบได้ง่ายเขาก็ไม่มีวิธีที่จะบังคับตัวเองในที่สุดเมื่อเห็นนางข้าหลวงสี่กับหยวนชิงหลิงเดินออกมาพร้อมกันนางสวมชุดสีแดง ศีรษะตั้งตรง ก้าวที่มั่นคง มีจิตวิญญาณสูงส่ง เหมือนกับแม่ไก่หงอนแดงที่เพิ่งจะออกรบอวี่เหวินห่าวหัวใจกระโดด
หวี่เหวินห่าวหยิกแก้มนางอย่างแรง "ซูยี่บอกว่าเจ้ามีปากเป็นอาวุธ พูดไม่ผิดจริง ๆ"หยวนชิงหลิงเอาหัวไปพิงที่ไหล่ของเขา "ท่านคิดว่าเสด็จพ่อจะจัดการกับฉู่หมิงชุ่ยจริง ๆ หรือ?"หวี่เหวินห่าวลูบไปที่ผมของนาง "ยากที่จะคาดเดา ใครจะรู้?""อันที่จริงข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น แน่นอน ข้าเชื่อว่ามันจะไม่ไร้ประโยชน์“อย่างน้อยเสด็จพ่อยังไม่คิดจัดการกับหยวนเจี๋ย" หยวนชิงหลิงกล่าวอวี่เหวินห่าวไม่ส่งเสียง เขาก็คิดว่าคงจะไม่เป็นเช่นนั้นวันนั้นมหาเสนาบดีฉู่อยู่ตรงหน้าเขา เพื่อขอร้องแทนฉู่หมิงชุ่ย เห็นได้ว่ามหาเสนาบดีฉู่ไม่ยอมให้ฉู่หมิงชุ่ยเสียชื่อเสียงมหาเสนาบดีฉู่ยอมทำเพื่อเจ้าเจ็ด เสด็จพ่อก็ทำเพื่อเจ้าเจ็ด ดังนั้นคิดว่าสุดท้ายก็ต้องปล่อยฉู่หมิงชุ่ยไปมันไม่สำคัญสำหรับเขาเขาแค่ไม่อยากให้หยวนเจี๋ยต้องถูกลงโทษแต่ว่าใจของนางจะรับไม่ได้ใช่หรือไม่? อุตส่าห์เอาตัวเองเข้าไปแล้ว ก็ไม่สามารถลากฉู่หมิงชุ่ยลงน้ำได้เสด็จพ่อตาบอดจริง ๆ มีตาไม่รู้จัก ทองฝังหยกเขาจะขอความเป็นธรรมแทนหยวนชิงหลิงที่จวนอ๋องฉีฉู่หมิงชุ่ยนั่งอยู่ตรงหน้าเตียงอ๋องฉี ในมือยกชามซุปมาชามหนึ่ง ใช้ช้อนคนเบา ๆ ในชาม ควันลอยขึ้นม
ฉู่หมิงชุ่ยค่อย ๆ เดินมานั่งลงที่ข้างกายเขาอย่างช้า ๆ แล้วเอื้อมมือไปกุมมือเขามาวางที่ท้องตัวเอง พร้อมกล่าวว่า "นี่คือลูกของเรา ที่จะเป็นองค์ชายของเราในอนาคต"อ๋องฉีตะลึงตกใจ รีบกระตุกมือออกมาพร้อมกับจ้องมองนางฉู่หมิงชุ่ยมองเขา ถามเขาอย่างเย็นชา "ท่านกลัวอะไร?"อ๋องฉีรู้สึกกลัวมาก เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าฉู่หมิงชุ่ยจะมีความคิดเช่นนี้ตอนนี้เขาเป็นท่านอ๋อง ถ้าท้องของนางเป็นผู้ชายก็จะได้เป็นรัชทายาท"ชุ่ยเอ๋อร์ อย่าพูดเรื่องไร้สาระ!" อ๋องฉีหดมือกลับ ราวกับถูกไฟไหม้ที่แขนของตัวเอง เขาเอนตัวลงนอนโดยไม่สนใจบาดแผลที่แขนแม้แต่น้อยฉู่หมิงชุ่ยอยากจะตบหน้าเขาสักฉาดจริง ๆ นางตกตะลึง ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่นางเลือกจะไร้ประโยชน์เช่นนี้เวลาผ่านเนิ่นนาน นางจึงได้แต่ยิ้มออกมา "ท่านปู่ได้กล่าวกับข้า ต้องการสนับสนุนให้ท่านเป็นรัชทายาท ท่านปู่ให้ข้าลองทดสอบจิตใจของท่าน เมื่อครู่คือการทดสอบท่าน"อ๋องฉีค่อย ๆ หันกลับมา "ทดสอบ?""อืม ท่านปู่แค่อยากดูว่าใจท่านคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ มีความกล้าที่จะรับหน้าที่นี้หรือไม่?" ฉู่หมิงชุ่ยกล่าวตอบอ๋องฉีเงียบไปสักพัก "ท่านปู่คิดมากแล้ว เสด็จพ่อจะตัดสินพร
นางไม่รู้ว่านางจะไปต่อได้อย่างไรนางรู้สึกเสียใจเหลือเกินที่เลือกเขาตั้งแต่แรกตอนนี้พี่ห่าวค่อนข้างมีน้ำหนักในพระทัยของไท่ซ่างหวง ตอนนี้พระองค์ก็หายจากอาการป่วยแล้ว เขาจึงมีโอกาสมาก ตอนกลับมาถึงบ้านเกิดพร้อมกับท่านย่า เสียงของท่านแหบแห้งจนกระทั้งตอนนี้ก็ยังไม่ดีขึ้นนางรอจนกระทั้งมหาเสนาบดีฉู่กลับมาถึงในตอนเย็นเมื่อมหาเสนาบดีฉู่เห็นนาง เขาเอ่ยกับนางอย่างเย็นชา "เชิญพระชายาตามข้าไปที่ห้องหนังสือ"ฉู่หมิงชุ่ยตอบกลับ "เจ้าค่ะ!"เมื่อเข้ามาในห้องหนังสือมหาเสนาบดีฉู่ก็ถอดชุดคลุมตัวนอกออก แล้วแขวนไว้บนราวแขวน เขาสวมใส่ชุดสีดำลวดลายค้างคาวที่ดูหน้าเกรงขามและรัดกุมเขานั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ชิงชัน ฉู่หมิงชุ่ยกวาดสายตามองอย่างเคร่งขรึม "อ๋องฉีถูกแทง มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ?"มหาเสนาบดีฉู่ตอบกลับอย่างเย็นชา "เจ้าเป็นผู้สร้างปัญหา มาตอนนี้กลับกล้าแสดงความเห็นแล้ว""หลานสาวไร้ซึ่งอำนาจ คิดแล้วก็มีแค่เพียงหนทางนี้ที่จะหลีกเลี่ยงความสนใจ โดยทำให้คนอื่นคิดว่านอกเมืองก็ถูกล้อมเอาไว้ มีคนต้องการจัดการกับจวนอ๋องฉี" ฉู่หมิงชุ่ยคับข้องใจ"แล้ววิธีของเจ้าสำเร็จหรือไม่? เจ้าสามารถปิดบังอ๋องฉีไ
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม