หมิงช่วยเราด้วย…
เสียงนั่นดังขึ้นพร้อมกับเสียงเดินลากเท้าผ่านมาทางด้านหน้าห้อง มันดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฉันพยายามถดตัวให้เล็กที่สุด หลบอยู่ใต้โต๊ะนักเรียนด้านหลังห้อง ภาวนาอย่าให้มันรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่
เรื่องผ่านมานานแล้วเรื่องมันผ่านมาตั้งนานหลายปีแล้วมันจบไปแล้ว...นี่มันไม่จริง นี่มันแค่ฝันร้าย ฉันพยายามบอกตัวเองอย่างนี้ ในขณะที่เสียงลากเท้ามาหยุดอยู่ที่ประตู
ปัง ปัง ปัง! เสียงทุบประตูดังลั่น
หมิงช่วยเราด้วย...
เสียงนั้นดังขึ้นอีก พร้อมสะอึกสะอื้นดังกึกก้องไปทั่วระเบียงทางเดิน ประตูซึ่งปิดล็อกกลอนไว้ถูกเขย่าชนกลอนใกล้จะหล่นลงมาทุกที
ฉันไม่ควรเลยแท้ๆ มีคนรับคำเชิญของครูและเพื่อนๆให้กลับมาที่นี่อีก ที่นี่มันควรจะเป็นสุสานปิดตายที่ลบเลือนออกไปจากความทรงจำแล้ว แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น
เมื่อ 20 ปีที่แล้วฉันกับแจนเคยเป็นเพื่อนกัน ใครๆก็คิดว่าเราเป็นเพื่อนที่สนิทสนมรักใคร่กันดีไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด เหมือนคนตัวติดกัน มีเพียงฉันและแจนเท่านั้นที่รู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเราเป็นเหมือนไม้ยืนต้นกับกาฝาก แจนเป็นฝ่ายที่เกาะเกี่ยวพึ่งพิงฉันอยู่ตลอดเวลา คอยเฝ้ารอให้ฉันเปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวเพื่อที่เธอจะได้รับช่วงต่อ
เช่นเดียวกับหนังสือดีๆ กระเป๋าสตางค์ และของกระจุกกระจิกน่ารักคนอื่นๆ ฉันรู้ดีว่าบ้านของแจนมีฐานะไม่ค่อยดีนักและเราก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม หลายครั้งที่แจนทำให้ฉันอึดอัด หงุดหงิดรำคาญใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
แจนพยายามทำดีชดเชยกับฉัน ด้วยการช่วยดูแลช่วยเหลือฉันทุกอย่างต่อมือต่อเท้า เวลาที่ฉันอยากได้อยากทำอะไร ไปๆมาๆระหว่างเรากลายเป็นความเคยชินที่ฉันจะเป็นผู้ออกคำสั่งและแจนก็คอยปฏิบัติตาม
ครั้งหนึ่งหลังสอบเสร็จ ในขณะที่คนอื่นๆยังอยู่ในห้องสอบ ฉันเบื่อเลยชวนแจนขึ้นไปเดินเล่นบนชั้น 5 ของอาคาร ที่เป็นห้องเรียนร้างไม่มีใครจัดการสอบบนนั้น ซึ่งแจนก็ทำตามโดยดี
“กระเป๋าใบนี้น่ารักดีนะ” แจนเอ่ยชมกระเป๋าใส่ดินสอของฉันที่เพิ่งซื้อมาได้ไม่กี่วัน ฉันเห็นแววตาที่เป็นประกายมองข้าวของของฉันอย่างที่มองของชิ้นอื่นๆที่เธอจะได้รับเสมอหลังจากนี้ จู่ๆฉันก็เกิดความรู้สึกขยะแขยงรังเกียจความมักได้ของเธอ แจนจับได้ว่าฉันอารมณ์ไม่ค่อยดีแล้ว เธอจึงพยายามจะแก้สถานการณ์ด้วยการชวนเล่น เธอแย่งกระเป๋าพลางหัวเราะร่าวิ่งไปข้างหน้า ทำท่าจะให้ฉันวิ่งแย่ง
ทว่าฉันยืนนิ่งอยู่กับที่ หน้าตึง แจนหน้าเสียรีบเดินเอากระเป๋ามายื่นคืนให้ฉันแต่ตอนนั้น ฉันโกรธมากจึงเอามือปัดกระเป๋าทิ้ง
กระเป๋าดินสออันสวยของฉันหล่นออกไปอยู่ที่กันสาดด้านนอกของระเบียง แจนตกใจรีบพูดว่า “ขอโทษนะหมิง เดี๋ยวเราเก็บให้เอง”
“นี่มันชั้น 5 นะ” ฉันคิดในใจขณะที่แจนก้าวข้ามระเบียงปีนออกไปที่ชายคานั้น เธอยื่นมือไปยังกระเป๋าที่กำลังจะหล่นอยู่รอมร่อแต่ก็ไม่กล้าขยับไปใกล้เพราะกลัวตก ตอนนั้นฉันทั้งหงุดหงิดทั้งรำคาญจึงหันหลังเดินเข้าไปในห้องเรียนใกล้ๆ หยิบไม้กวาดและยื่นออกไปแกล้งเขี่ยกระเป๋าให้หล่น แต่ไม่คิดเลยว่าแจนจะรีบคว้ากระเป๋าจนตัวเองเสียหลักพลัดตกลงไป
ฉันยังจำภาพนั้นได้ดี ร่างกายมนุษย์ที่บิดเบี้ยวผิดรูป แขนหัก กระดูกขาทิ่มทะลุเนื้อ เลือดจำนวนมหาศาลที่ไหลออกจากศีรษะของเธอ
สิ่งแรกที่ฉันทำคือรีบวิ่งลงไปข้างล่าง มองหากระเป๋าของตัวเองแล้วรีบคว้าออกมาจากที่นั่นเพราะกลัวจะเป็นหลักฐาน
ฉันสะดุ้งเฮือกตอนที่ได้ยินเสียงแจนร้องครางเบาๆว่า “หมิงช่วยเราด้วย...ช่วยเราด้วย” ความตกใจกลัวทำให้ฉันวิ่งหนีไปจากที่นั่น
การตายของแจนถูกสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุและไม่มีอะไรเกี่ยวข้องเชื่อมโยงถึงฉันได้
มันควรจะจบไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว...
เมื่อทางโรงเรียนเชิญฉันกลับมาบรรยายให้น้องๆฟังเกี่ยวกับกับหน้าที่การงานที่ฉันทำ ฉันคิดว่าฉันจะรับมือกับมันได้ คิดว่าลืมเรื่องนั้นเสียสนิทแล้ว แต่ในขณะบรรยายอยู่นั้น ฉันกลับมองเห็นแจนนั่งเลือดท่วมตัวอยู่ท่ามกลางนักเรียนฟังบรรยาย
ฉันขนลุกเกรียวไปทั้งตัวหน้าซีดตัวสั่นด้วยความกลัว ก่อนจะลุกจากโต๊ะบรรยายแล้วเดินถอยหลังจนสะดุดบันไดล้มลงจนหมดสติไป
ฉันฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในโรงเรียนร้างที่หาทางออกไม่ได้ มีแต่เสียงเดินลากขาของซากร่างอมนุษย์บิดเบี้ยวหักพังผิดรูป คราบเลือดสีคล้ำเป็นทางตามฉันไปทุกๆที่ ฉันกลัวจนร้องตะโกนออกไปว่า “ปล่อยเราไปเถอะแจน เรากลัวแล้วเราจะทำบุญไปให้ ยกโทษให้เราด้วย”
ประตูเปิดออก ร่างบิดเบี้ยวเลือดชุ่มค่อยๆ เดินขโยกเขยกเข้ามา ฉันกรีดร้องวิ่งหนีออกไปที่ประตูอีกด้านด้วยความหวาดกลัว หางตาแลเห็นสีชมพูแวบๆที่กันสาดด้านนอกระเบียงเลยนึกขึ้นได้รีบปีนออกไปนอกระเบียง เก็บกระเป๋าดินสอใบนั้นแล้วยื่นให้ร่างสุดสยองที่กำลังเริ่มตามมาใกล้เข้าทุกที
“แจน...นี่ไงกระเป๋าที่เธออยากได้ ฉันยกให้ ยกโทษให้ฉันนะ”
ทันใดนั้นร่างสุดสยองของแจนก็กลับเป็นเหมือนเด็กหญิงปกติอย่างที่เธอเคยเป็นตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ แจนยิ้มให้ฉัน
“เราจะยกโทษให้หมิงได้ยังไง ในเมื่อเราไม่เคยโกรธเธอเลย หมิงให้อะไรมาตั้งมากมาย เราก็แค่อยากคืนกระเป๋าใบนี้ให้หมิงเท่านั้นเอง” เธอพูดพลางยื่นมือออกมาทำท่าจะรับฉันกลับเข้าไปด้านใน
เป็นฉันเองที่ตกใจผวา หงายหลังและร่วงหล่นลงไปพร้อมกระเป๋าใบนั้น
ฉันมารู้สึกตัวอีกครั้งที่โรงพยาบาล มารู้ว่าฉันหลับไปเกือบสามวันเพราะสมองกระทบกระเทือน
“กว่าจะมีคนไปพบคุณก็หลายชั่วโมงแล้ว อาการเลยแย่หน่อย ว่าแต่คุณเข้าไปทำอะไรในโรงเรียนร้างคะ ?”
หลังออกจากโรงพยาบาลฉันถึงได้รู้ว่า โรงเรียนเก่าของฉันปิดทำการมานานแล้วกลายเป็นโรงเรียนร้างโดยสมบูรณ์ น่าจะตั้งแต่ก่อนที่ฉันขับรถเข้าไปวันนั้นซะอีก
แล้วทั้งหมดที่ฉันเจอมาคืออะไร ?
จนถึงวันนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจ
เมื่อสมัยเรียนผมกับหมง เพื่อนที่เป็นรูมเมท พักอยู่ที่หอในด้วยกัน รูมเมทของผมชอบฟังรายการวิทยุเล่าเรื่องผีเอามากๆ แต่ตัวผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ บางทีรำคาญด้วยซ้ำ เพราะอยากอ่านการ์ตูนหรือฟังรายการวิทยุอื่นๆบ้าง “มึงก็ใส่หูฟังฟังของมึงไปไม่ได้เหรอวะ” ผมบอกมันในคืนหนึ่งด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเพราะง่วงมาก อยากนอน แต่ต้องสะดุ้งตื่นกับเสียงประกอบรายการหลอนๆที่มันฟังอยู่ เสียงหัวเราะบ้าง เสียงกรี๊ดบ้าง หมงหันมามองหน้าทำท่าเกรงใจ “เออๆ แป๊บเดียว ใกล้จบละ มึงก็รู้ว่ากูกลัวผี ฟังคนเดียวไม่มีเพื่อนแชร์ เดี๋ยวกูกลัวขึ้นมาแล้วไม่มีคนช่วยกลัว มันว้าเหว่” “ว้าเหว่บ้านเตี่ยมึงเหรอ” ผมพูดไปหัวเราะไป ไม่ค่อยเข้าใจคนแบบนี้เท่าไหร่ กลัวแต่ก็ดันชอบ “มึงไม่กลัวผีเหรอ ?” หมงถามผมบ้าง “น่ากลัวนะมึง ในม.เรา เขาว่ากันว่า ตรงตึกเก่าคณะวิทย์ฯ น่ะผีดุ ใครเดินผ่าน หรือขับมอเตอร์ไซค์วนผ่าน เป็นได้เจอดีทุกราย” มันยังเล่าต่ออีกว่า พวกที่บอกว่าเจอดี ส่วนใหญ่มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จะเห็นเหมือนมีคนใส่ชุดนักศึกษา เป็นผู้หญิงผมสั้น กระโปรงพลีท รองเท้า
ที่โรงเก็บอุปกรณ์เกษตรหลังโรงเรียนของเรามีต้นฉำฉาใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ด้านหลังใหญ่ขนาดสี่คนโอบได้กิ่งก้านของมันแผ่ขยายกว้างใหญ่ใต้ต้นมีใบฉำฉาที่ร่วงหล่นทับถมเต็มพื้นจนนุ่มเหมือนพรมเพราะไม่เคยมีใครไปกวาดที่นั่นแหละที่พวกนักเรียนลือกันว่าต้นฉำฉาต้นนั้นมีผีและผีก็ดุเสียด้วย ที่เล่าๆ ต่อกันมาว่ากันว่าเคยมีนักการภารโรงชอบไปนอนหลับใต้ต้นไม้ต้นนั้น แต่ต้นฉำฉาอายุมากกิ่งเปราะกิ่งไม้เลยหักลงมาทับพอดี ภารโรงคงหลับสนิทเลยไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตายไปทั้งๆ ที่หลับอยู่อย่างนั้นเอง หลังจากนั้นบางคนบอกว่าช่วงบ่ายๆมักจะเห็นคนไปนอนหลับอยู่ใต้ต้นฉำฉา บางทีก็เห็นหลับอยู่บนกิ่งไม้สูงๆที่คนปกติไม่น่าขึ้นไปได้ เรื่องเล่าพวกนี้เพิ่มความน่าเชื่อถือเข้าไปอีก เมื่อเช้าวันหนึ่งครูประกาศออกไมโครโฟนว่าห้ามนักเรียนทุกคนเข้าไปในบริเวณนั้นเด็ดขาด นอกจากจะมีคำสั่งจากครู ไม่อย่างนั้นจะถูกลงโทษตัดคะแนนความประพฤติ พวกเรานักเรียนก็เลยเดากันว่าน่าจะเพราะเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่แหละที่มีน้อง ป.5 หลายคนพากันเข้าไปเล่นที่ใต้ต้นฉำฉาต้นนั้น เล่นกอบใบไม้มาโปรยเป็นหิมะตกบ้าง นอนเล่นสโนวแองเจิ้ลบ้างสักพั
โรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนเก่าแก่ประจำจังหวัด มีพื้นที่กว้างกว่า 40 ไร่ นอกจากจะใช้เป็นสถานศึกษาแล้ว คนในจังหวัดยังมักจะมาใช้สถานที่เพื่อจัดกิจกรรมต่างๆอย่าง เช่น งานแต่งงาน งานเกษียณอายุราชการ และอื่นๆนอกจากสถานที่ที่มีความโอ่โถงสวยงามแล้ว คนทั่วไปต่างรู้กันดีอีกอย่างว่า โรงเรียนของเรามีบริการวงดนตรีไทยเดิม และคณะนาฏศิลป์ไทย ที่ได้อาจารย์ดีจากกรมศิลปากรมาคัดเลือกเด็กเข้าวงและฝึกสอนอย่างเข้มข้นด้วยตัวเอง ทำให้นางรำทุกคนในวงโรงเรียน ทั้งรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณดี ยิ้มสวยหวาน พอแต่งหน้าไทย ใส่เครื่องทรงชุดไทยสวย ๆ ก็มีออร่าราวกับเทพธิดาจำแลง นอกจากนี้ทุกคนยังรำสวยงามอ่อนช้อย ได้มาตรฐาน ถึงขนาดไปประกวดระดับประเทศได้รางวัลมามากมาย ดังนั้นคณะนาฏศิลป์ของโรงเรียนจึงได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะในงานมงคลต่างๆ มีงานจ้างไปออกงานทั้งในหอประชุมโรงเรียนเอง งานในตัวจังหวัดเราเอง รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงด้วยนางรำจึงได้รับอภิสิทธิ์พิเศษเหนือกว่านักเรียนคนอื่นๆ สามารถไว้ผมยาวได้ แต่งหน้าและไว้เล็บได้ หยุดเรียนไปรับงานแสดงได้ โดยมีโรงเรียนคอยดูแลให้ทุกอย่าง ทั้งอาหารการกิน รถรับ-ส่ง ช่างแต่
ร่างในชุดเครื่องรำแปลกประหลาดตรงหน้ายังคงร่ายรำอย่างเชื่องช้า แช่มช้อย เอียงร่างกายท่อนบนจนเอวแทบขนานกับพื้น ค่อยๆวาดเท้าหันกลับมาที่ฉันช้า ๆ ทั้งที่กำลังขวัญผวากับภาพตรงหน้า เสียงหัวใจเต้นเร็วแรงเหมือนกระโดดจากในอกมาอยู่ในแก้วหูแต่ฉันกลับควบคุมตัวเองไม่ได้ เท้าทั้งสองค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าที่กำลังจ้องมองกลับมาเป็นใบหน้าของเจี๊ยบแท้ๆ แต่นั่นเหมือนไม่ใช่ เป็นความขัดแย้งที่แปลกประหลาด ร่างนั้นแสยะยิ้มให้ ริมฝีปากแดงฉ่ำวาดยาวไปบนแก้ม ฟันสีดำเรียงกันเป็นแถว ดวงตาดำกลมโตเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นจนเต็มจอตา ทว่าไม่มีแววตาเมื่อกระทบแสง มืดดำสนิทราวกับหลุมลึกมืดมิด ขาฉันสั่นจนขยับไม่ได้อีกต่อไป แม้แต่บังคับให้ตัวเองหลับตา สวดมนต์ หรือห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาเพราะความกลัวก็ทำไม่ได้ อยากจะหันหลังวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด หรืออย่างน้อยก็เรียกให้คนช่วย แต่ก็ทำไม่ได้สักนิด! ร่างตรงหน้ายังคงแสดงแสนยานุภาพอย่างเต็มที่ราวกำลังสนุกสนานกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเตะเท้าที่คลุมด้วยชุดยาวกรุยกรายลากพื้นไปด้านข้าง คล้ายท่าร่ายรำของนาง
ร่างในชุดเครื่องรำแปลกประหลาดตรงหน้ายังคงร่ายรำอย่างเชื่องช้า แช่มช้อย เอียงร่างกายท่อนบนจนเอวแทบขนานกับพื้น ค่อยๆวาดเท้าหันกลับมาที่ฉันช้า ๆ ทั้งที่กำลังขวัญผวากับภาพตรงหน้า เสียงหัวใจเต้นเร็วแรงเหมือนกระโดดจากในอกมาอยู่ในแก้วหูแต่ฉันกลับควบคุมตัวเองไม่ได้ เท้าทั้งสองค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าที่กำลังจ้องมองกลับมาเป็นใบหน้าของเจี๊ยบแท้ๆ แต่นั่นเหมือนไม่ใช่ เป็นความขัดแย้งที่แปลกประหลาด ร่างนั้นแสยะยิ้มให้ ริมฝีปากแดงฉ่ำวาดยาวไปบนแก้ม ฟันสีดำเรียงกันเป็นแถว ดวงตาดำกลมโตเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นจนเต็มจอตา ทว่าไม่มีแววตาเมื่อกระทบแสง มืดดำสนิทราวกับหลุมลึกมืดมิด ขาฉันสั่นจนขยับไม่ได้อีกต่อไป แม้แต่บังคับให้ตัวเองหลับตา สวดมนต์ หรือห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาเพราะความกลัวก็ทำไม่ได้ อยากจะหันหลังวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด หรืออย่างน้อยก็เรียกให้คนช่วย แต่ก็ทำไม่ได้สักนิด! ร่างตรงหน้ายังคงแสดงแสนยานุภาพอย่างเต็มที่ราวกำลังสนุกสนานกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเตะเท้าที่คลุมด้วยชุดยาวกรุยกรายลากพื้นไปด้านข้าง คล้ายท่าร่ายรำของนาง
โรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนเก่าแก่ประจำจังหวัด มีพื้นที่กว้างกว่า 40 ไร่ นอกจากจะใช้เป็นสถานศึกษาแล้ว คนในจังหวัดยังมักจะมาใช้สถานที่เพื่อจัดกิจกรรมต่างๆอย่าง เช่น งานแต่งงาน งานเกษียณอายุราชการ และอื่นๆนอกจากสถานที่ที่มีความโอ่โถงสวยงามแล้ว คนทั่วไปต่างรู้กันดีอีกอย่างว่า โรงเรียนของเรามีบริการวงดนตรีไทยเดิม และคณะนาฏศิลป์ไทย ที่ได้อาจารย์ดีจากกรมศิลปากรมาคัดเลือกเด็กเข้าวงและฝึกสอนอย่างเข้มข้นด้วยตัวเอง ทำให้นางรำทุกคนในวงโรงเรียน ทั้งรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณดี ยิ้มสวยหวาน พอแต่งหน้าไทย ใส่เครื่องทรงชุดไทยสวย ๆ ก็มีออร่าราวกับเทพธิดาจำแลง นอกจากนี้ทุกคนยังรำสวยงามอ่อนช้อย ได้มาตรฐาน ถึงขนาดไปประกวดระดับประเทศได้รางวัลมามากมาย ดังนั้นคณะนาฏศิลป์ของโรงเรียนจึงได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะในงานมงคลต่างๆ มีงานจ้างไปออกงานทั้งในหอประชุมโรงเรียนเอง งานในตัวจังหวัดเราเอง รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงด้วยนางรำจึงได้รับอภิสิทธิ์พิเศษเหนือกว่านักเรียนคนอื่นๆ สามารถไว้ผมยาวได้ แต่งหน้าและไว้เล็บได้ หยุดเรียนไปรับงานแสดงได้ โดยมีโรงเรียนคอยดูแลให้ทุกอย่าง ทั้งอาหารการกิน รถรับ-ส่ง ช่างแต่
ที่โรงเก็บอุปกรณ์เกษตรหลังโรงเรียนของเรามีต้นฉำฉาใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ด้านหลังใหญ่ขนาดสี่คนโอบได้กิ่งก้านของมันแผ่ขยายกว้างใหญ่ใต้ต้นมีใบฉำฉาที่ร่วงหล่นทับถมเต็มพื้นจนนุ่มเหมือนพรมเพราะไม่เคยมีใครไปกวาดที่นั่นแหละที่พวกนักเรียนลือกันว่าต้นฉำฉาต้นนั้นมีผีและผีก็ดุเสียด้วย ที่เล่าๆ ต่อกันมาว่ากันว่าเคยมีนักการภารโรงชอบไปนอนหลับใต้ต้นไม้ต้นนั้น แต่ต้นฉำฉาอายุมากกิ่งเปราะกิ่งไม้เลยหักลงมาทับพอดี ภารโรงคงหลับสนิทเลยไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตายไปทั้งๆ ที่หลับอยู่อย่างนั้นเอง หลังจากนั้นบางคนบอกว่าช่วงบ่ายๆมักจะเห็นคนไปนอนหลับอยู่ใต้ต้นฉำฉา บางทีก็เห็นหลับอยู่บนกิ่งไม้สูงๆที่คนปกติไม่น่าขึ้นไปได้ เรื่องเล่าพวกนี้เพิ่มความน่าเชื่อถือเข้าไปอีก เมื่อเช้าวันหนึ่งครูประกาศออกไมโครโฟนว่าห้ามนักเรียนทุกคนเข้าไปในบริเวณนั้นเด็ดขาด นอกจากจะมีคำสั่งจากครู ไม่อย่างนั้นจะถูกลงโทษตัดคะแนนความประพฤติ พวกเรานักเรียนก็เลยเดากันว่าน่าจะเพราะเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่แหละที่มีน้อง ป.5 หลายคนพากันเข้าไปเล่นที่ใต้ต้นฉำฉาต้นนั้น เล่นกอบใบไม้มาโปรยเป็นหิมะตกบ้าง นอนเล่นสโนวแองเจิ้ลบ้างสักพั
เมื่อสมัยเรียนผมกับหมง เพื่อนที่เป็นรูมเมท พักอยู่ที่หอในด้วยกัน รูมเมทของผมชอบฟังรายการวิทยุเล่าเรื่องผีเอามากๆ แต่ตัวผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ บางทีรำคาญด้วยซ้ำ เพราะอยากอ่านการ์ตูนหรือฟังรายการวิทยุอื่นๆบ้าง “มึงก็ใส่หูฟังฟังของมึงไปไม่ได้เหรอวะ” ผมบอกมันในคืนหนึ่งด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเพราะง่วงมาก อยากนอน แต่ต้องสะดุ้งตื่นกับเสียงประกอบรายการหลอนๆที่มันฟังอยู่ เสียงหัวเราะบ้าง เสียงกรี๊ดบ้าง หมงหันมามองหน้าทำท่าเกรงใจ “เออๆ แป๊บเดียว ใกล้จบละ มึงก็รู้ว่ากูกลัวผี ฟังคนเดียวไม่มีเพื่อนแชร์ เดี๋ยวกูกลัวขึ้นมาแล้วไม่มีคนช่วยกลัว มันว้าเหว่” “ว้าเหว่บ้านเตี่ยมึงเหรอ” ผมพูดไปหัวเราะไป ไม่ค่อยเข้าใจคนแบบนี้เท่าไหร่ กลัวแต่ก็ดันชอบ “มึงไม่กลัวผีเหรอ ?” หมงถามผมบ้าง “น่ากลัวนะมึง ในม.เรา เขาว่ากันว่า ตรงตึกเก่าคณะวิทย์ฯ น่ะผีดุ ใครเดินผ่าน หรือขับมอเตอร์ไซค์วนผ่าน เป็นได้เจอดีทุกราย” มันยังเล่าต่ออีกว่า พวกที่บอกว่าเจอดี ส่วนใหญ่มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จะเห็นเหมือนมีคนใส่ชุดนักศึกษา เป็นผู้หญิงผมสั้น กระโปรงพลีท รองเท้า
หมิงช่วยเราด้วย…เสียงนั่นดังขึ้นพร้อมกับเสียงเดินลากเท้าผ่านมาทางด้านหน้าห้อง มันดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฉันพยายามถดตัวให้เล็กที่สุด หลบอยู่ใต้โต๊ะนักเรียนด้านหลังห้อง ภาวนาอย่าให้มันรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่เรื่องผ่านมานานแล้วเรื่องมันผ่านมาตั้งนานหลายปีแล้วมันจบไปแล้ว...นี่มันไม่จริง นี่มันแค่ฝันร้าย ฉันพยายามบอกตัวเองอย่างนี้ ในขณะที่เสียงลากเท้ามาหยุดอยู่ที่ประตูปัง ปัง ปัง! เสียงทุบประตูดังลั่นหมิงช่วยเราด้วย...เสียงนั้นดังขึ้นอีก พร้อมสะอึกสะอื้นดังกึกก้องไปทั่วระเบียงทางเดิน ประตูซึ่งปิดล็อกกลอนไว้ถูกเขย่าชนกลอนใกล้จะหล่นลงมาทุกทีฉันไม่ควรเลยแท้ๆ มีคนรับคำเชิญของครูและเพื่อนๆให้กลับมาที่นี่อีก ที่นี่มันควรจะเป็นสุสานปิดตายที่ลบเลือนออกไปจากความทรงจำแล้ว แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเมื่อ 20 ปีที่แล้วฉันกับแจนเคยเป็นเพื่อนกัน ใครๆก็คิดว่าเราเป็นเพื่อนที่สนิทสนมรักใคร่กันดีไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด เหมือนคนตัวติดกัน มีเพียงฉันและแจนเท่านั้นที่รู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเราเป็นเหมือนไม้ยืนต้นกับกาฝาก แจนเป็นฝ่ายที่เกาะเกี่ยวพึ่งพิงฉันอยู่ตลอดเวลา คอยเฝ้ารอให้ฉันเปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว