ครั้งแรกที่ฉันเข้ามาในห้องแลปภาษาเมื่อตอน ม. 1 ฉันตื่นตาตื่นใจมากกับคอกสี่เหลี่ยมเล็กๆที่กั้นด้วยพาทิชั่น มีกระจกบางๆใสๆ ในคอกมีหูฟังแบบครอบวางอยู่ช่องละอันในห้องแลปนั้นเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นเฉียบ ครูที่สอนภาษาอังกฤษเดินมาหน้าห้อง บอกให้นักเรียนทุกคนเข้าประจำที่โต๊ะเพื่อเตรียมฟังเสียงจากหูฟังในบทเรียนที่ครูกำลังจะสอน“เราจะเรียนที่นี่กันสัปดาห์ละครั้ง เพราะต้องเวียนใช้ในทุกระดับชั้น เพราะฉะนั้นเวลาเดินมาเรียนหัวหน้าห้องต้องคอยดูแลเพื่อนให้มาตรงเวลา ห้ามสาย ห้ามขาด ห้ามแวบไปที่อื่น ไม่งั้นถ้าเวลาน้อยเกินไปจะฟังไม่จบบท...เอาละ วันนี้เริ่มกันเลย นักเรียนใส่หูฟังได้ค่ะ”ทุกคนนั่งกันที่โต๊ะซึ่งมีตัวเลขระบุไว้ตามเลขที่ ฉันเลขที่ 15 ก็ได้นั่งโต๊ะตัวที่ 15 หูฟังของโต๊ะนี้ดูเหมือนจะอันใหญ่กว่าเพื่อนและมีฟองน้ำนุ่มหนา หุ้มด้วยหนังนิ่มอย่างดีเพื่อนที่นั่งโต๊ะข้างๆชะโงกมาดู “โห...หูฟังเริด ขอแลกได้ปะ ?”ฉันหันไปยิ้มให้ไม่ทันได้ตอบอะไรครูก็เริ่มพูดต่อ“เอ้า...กดเปิดที่ปุ่มสีแดงตรงมุมโต๊ะด้านซ้าย...มีไฟขึ้นไหม โต๊ะไหนไม่ติดบ้าง...โอเค ติดทุกโต๊ะนะ ปรับเสียงเบาหรือดังได้ที่ปุ่มข้างๆหูฟังด้านขวา.
ต้นไผ่มันไม่เชื่อผมเลยทุกคืนกลางดึก ผมเห็นร่างตะคุ่มๆยืนอยู่ที่ระเบียง ทำท่าชะโงกมองอะไรสักอย่าง ก่อนจะเสียหลักพลัดตกลงไปข้างล่าง ในหูได้ยินทั้งเสียงตกกระแทกพื้นดังพลั่ก เสียงหักร้าวของกระดูก และเสียงร้องครางอือในลำคอ แต่เมื่อผมตามไปดูก็ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ“มึงหลอนไปเองแล้วโก้ กูบอกแล้วว่าให้นอนพักเสียบ้าง อ่านหนังสือเตรียมสอบถึงเช้าทุกวันแบบนี้ สมองอ๊องหมดแล้ว” มันว่าทั้งที่ตายังไม่ละออกจากเกมในโทรศัพท์มือถือ “เชื่อกู นอนบ้าง เล่นเกมบ้าง กินเหล้าบ้างก็ดี”ผมรำคาญและหงุดหงิดเสมอเมื่อมันพูดเหมือนไม่เคยใส่ใจปัญหาของผมเลย“ผี ห้องนี้แม่งต้องมีผี กูจะลองหาดู ในข่าวเก่าๆอาจจะมี”ผมลองเข้ากูเกิ้ล เซิร์ชหาข่าวด้วยชื่อตึกและคำว่าเสียชีวิต หาอยู่พักใหญ่จนพบข่าวหนึ่ง เป็นข่าวเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่ตกจากระเบียงตึกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อราวปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา แต่เมื่อคลิกจะเข้าไปอ่านรายละเอียดกลับเข้าไม่ได้ “เนตเป็นเหี้ยไรวะ!” ผมบ่นอย่างหงุดหงิด “ต้นไผ่ มึงใช้ 4G ป่ะ กูยืมแป๊บดิ ไวไฟแม่งไม่มีสัญญาณ” ไอ้ต้นไผ่ชำเลืองตามามองผมแวบหนึ่ง “มึงเชื่อกู เลิกค้นเรื่องนี้เถอะรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์”“
หมิงช่วยเราด้วย…เสียงนั่นดังขึ้นพร้อมกับเสียงเดินลากเท้าผ่านมาทางด้านหน้าห้อง มันดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฉันพยายามถดตัวให้เล็กที่สุด หลบอยู่ใต้โต๊ะนักเรียนด้านหลังห้อง ภาวนาอย่าให้มันรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่เรื่องผ่านมานานแล้วเรื่องมันผ่านมาตั้งนานหลายปีแล้วมันจบไปแล้ว...นี่มันไม่จริง นี่มันแค่ฝันร้าย ฉันพยายามบอกตัวเองอย่างนี้ ในขณะที่เสียงลากเท้ามาหยุดอยู่ที่ประตูปัง ปัง ปัง! เสียงทุบประตูดังลั่นหมิงช่วยเราด้วย...เสียงนั้นดังขึ้นอีก พร้อมสะอึกสะอื้นดังกึกก้องไปทั่วระเบียงทางเดิน ประตูซึ่งปิดล็อกกลอนไว้ถูกเขย่าชนกลอนใกล้จะหล่นลงมาทุกทีฉันไม่ควรเลยแท้ๆ มีคนรับคำเชิญของครูและเพื่อนๆให้กลับมาที่นี่อีก ที่นี่มันควรจะเป็นสุสานปิดตายที่ลบเลือนออกไปจากความทรงจำแล้ว แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเมื่อ 20 ปีที่แล้วฉันกับแจนเคยเป็นเพื่อนกัน ใครๆก็คิดว่าเราเป็นเพื่อนที่สนิทสนมรักใคร่กันดีไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด เหมือนคนตัวติดกัน มีเพียงฉันและแจนเท่านั้นที่รู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเราเป็นเหมือนไม้ยืนต้นกับกาฝาก แจนเป็นฝ่ายที่เกาะเกี่ยวพึ่งพิงฉันอยู่ตลอดเวลา คอยเฝ้ารอให้ฉันเปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว
เมื่อสมัยเรียนผมกับหมง เพื่อนที่เป็นรูมเมท พักอยู่ที่หอในด้วยกัน รูมเมทของผมชอบฟังรายการวิทยุเล่าเรื่องผีเอามากๆ แต่ตัวผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ บางทีรำคาญด้วยซ้ำ เพราะอยากอ่านการ์ตูนหรือฟังรายการวิทยุอื่นๆบ้าง “มึงก็ใส่หูฟังฟังของมึงไปไม่ได้เหรอวะ” ผมบอกมันในคืนหนึ่งด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเพราะง่วงมาก อยากนอน แต่ต้องสะดุ้งตื่นกับเสียงประกอบรายการหลอนๆที่มันฟังอยู่ เสียงหัวเราะบ้าง เสียงกรี๊ดบ้าง หมงหันมามองหน้าทำท่าเกรงใจ “เออๆ แป๊บเดียว ใกล้จบละ มึงก็รู้ว่ากูกลัวผี ฟังคนเดียวไม่มีเพื่อนแชร์ เดี๋ยวกูกลัวขึ้นมาแล้วไม่มีคนช่วยกลัว มันว้าเหว่” “ว้าเหว่บ้านเตี่ยมึงเหรอ” ผมพูดไปหัวเราะไป ไม่ค่อยเข้าใจคนแบบนี้เท่าไหร่ กลัวแต่ก็ดันชอบ “มึงไม่กลัวผีเหรอ ?” หมงถามผมบ้าง “น่ากลัวนะมึง ในม.เรา เขาว่ากันว่า ตรงตึกเก่าคณะวิทย์ฯ น่ะผีดุ ใครเดินผ่าน หรือขับมอเตอร์ไซค์วนผ่าน เป็นได้เจอดีทุกราย” มันยังเล่าต่ออีกว่า พวกที่บอกว่าเจอดี ส่วนใหญ่มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จะเห็นเหมือนมีคนใส่ชุดนักศึกษา เป็นผู้หญิงผมสั้น กระโปรงพลีท รองเท้า
ที่โรงเก็บอุปกรณ์เกษตรหลังโรงเรียนของเรามีต้นฉำฉาใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ด้านหลังใหญ่ขนาดสี่คนโอบได้กิ่งก้านของมันแผ่ขยายกว้างใหญ่ใต้ต้นมีใบฉำฉาที่ร่วงหล่นทับถมเต็มพื้นจนนุ่มเหมือนพรมเพราะไม่เคยมีใครไปกวาดที่นั่นแหละที่พวกนักเรียนลือกันว่าต้นฉำฉาต้นนั้นมีผีและผีก็ดุเสียด้วย ที่เล่าๆ ต่อกันมาว่ากันว่าเคยมีนักการภารโรงชอบไปนอนหลับใต้ต้นไม้ต้นนั้น แต่ต้นฉำฉาอายุมากกิ่งเปราะกิ่งไม้เลยหักลงมาทับพอดี ภารโรงคงหลับสนิทเลยไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตายไปทั้งๆ ที่หลับอยู่อย่างนั้นเอง หลังจากนั้นบางคนบอกว่าช่วงบ่ายๆมักจะเห็นคนไปนอนหลับอยู่ใต้ต้นฉำฉา บางทีก็เห็นหลับอยู่บนกิ่งไม้สูงๆที่คนปกติไม่น่าขึ้นไปได้ เรื่องเล่าพวกนี้เพิ่มความน่าเชื่อถือเข้าไปอีก เมื่อเช้าวันหนึ่งครูประกาศออกไมโครโฟนว่าห้ามนักเรียนทุกคนเข้าไปในบริเวณนั้นเด็ดขาด นอกจากจะมีคำสั่งจากครู ไม่อย่างนั้นจะถูกลงโทษตัดคะแนนความประพฤติ พวกเรานักเรียนก็เลยเดากันว่าน่าจะเพราะเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่แหละที่มีน้อง ป.5 หลายคนพากันเข้าไปเล่นที่ใต้ต้นฉำฉาต้นนั้น เล่นกอบใบไม้มาโปรยเป็นหิมะตกบ้าง นอนเล่นสโนวแองเจิ้ลบ้างสักพั
โรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนเก่าแก่ประจำจังหวัด มีพื้นที่กว้างกว่า 40 ไร่ นอกจากจะใช้เป็นสถานศึกษาแล้ว คนในจังหวัดยังมักจะมาใช้สถานที่เพื่อจัดกิจกรรมต่างๆอย่าง เช่น งานแต่งงาน งานเกษียณอายุราชการ และอื่นๆนอกจากสถานที่ที่มีความโอ่โถงสวยงามแล้ว คนทั่วไปต่างรู้กันดีอีกอย่างว่า โรงเรียนของเรามีบริการวงดนตรีไทยเดิม และคณะนาฏศิลป์ไทย ที่ได้อาจารย์ดีจากกรมศิลปากรมาคัดเลือกเด็กเข้าวงและฝึกสอนอย่างเข้มข้นด้วยตัวเอง ทำให้นางรำทุกคนในวงโรงเรียน ทั้งรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณดี ยิ้มสวยหวาน พอแต่งหน้าไทย ใส่เครื่องทรงชุดไทยสวย ๆ ก็มีออร่าราวกับเทพธิดาจำแลง นอกจากนี้ทุกคนยังรำสวยงามอ่อนช้อย ได้มาตรฐาน ถึงขนาดไปประกวดระดับประเทศได้รางวัลมามากมาย ดังนั้นคณะนาฏศิลป์ของโรงเรียนจึงได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะในงานมงคลต่างๆ มีงานจ้างไปออกงานทั้งในหอประชุมโรงเรียนเอง งานในตัวจังหวัดเราเอง รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงด้วยนางรำจึงได้รับอภิสิทธิ์พิเศษเหนือกว่านักเรียนคนอื่นๆ สามารถไว้ผมยาวได้ แต่งหน้าและไว้เล็บได้ หยุดเรียนไปรับงานแสดงได้ โดยมีโรงเรียนคอยดูแลให้ทุกอย่าง ทั้งอาหารการกิน รถรับ-ส่ง ช่างแต่
ร่างในชุดเครื่องรำแปลกประหลาดตรงหน้ายังคงร่ายรำอย่างเชื่องช้า แช่มช้อย เอียงร่างกายท่อนบนจนเอวแทบขนานกับพื้น ค่อยๆวาดเท้าหันกลับมาที่ฉันช้า ๆ ทั้งที่กำลังขวัญผวากับภาพตรงหน้า เสียงหัวใจเต้นเร็วแรงเหมือนกระโดดจากในอกมาอยู่ในแก้วหูแต่ฉันกลับควบคุมตัวเองไม่ได้ เท้าทั้งสองค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าที่กำลังจ้องมองกลับมาเป็นใบหน้าของเจี๊ยบแท้ๆ แต่นั่นเหมือนไม่ใช่ เป็นความขัดแย้งที่แปลกประหลาด ร่างนั้นแสยะยิ้มให้ ริมฝีปากแดงฉ่ำวาดยาวไปบนแก้ม ฟันสีดำเรียงกันเป็นแถว ดวงตาดำกลมโตเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นจนเต็มจอตา ทว่าไม่มีแววตาเมื่อกระทบแสง มืดดำสนิทราวกับหลุมลึกมืดมิด ขาฉันสั่นจนขยับไม่ได้อีกต่อไป แม้แต่บังคับให้ตัวเองหลับตา สวดมนต์ หรือห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาเพราะความกลัวก็ทำไม่ได้ อยากจะหันหลังวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด หรืออย่างน้อยก็เรียกให้คนช่วย แต่ก็ทำไม่ได้สักนิด! ร่างตรงหน้ายังคงแสดงแสนยานุภาพอย่างเต็มที่ราวกำลังสนุกสนานกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเตะเท้าที่คลุมด้วยชุดยาวกรุยกรายลากพื้นไปด้านข้าง คล้ายท่าร่ายรำของนาง
เมื่อสมัยที่ผมยังเป็นนักเรียนเรื่องที่ยากเย็นที่สุดในชีวิตไม่ใช่เรื่องเรียน ผมไม่มีปัญหากับการเรียน ไม่มีปัญหากับสมุดพก พ่อแม่ยิ้มได้ทุกครั้งเวลาเห็นเกรด ในช่องความประพฤติคุณครูก็มักจะเขียนว่าสุภาพเรียบร้อยเงียบขรึมไม่ค่อยพูด นั่นคงเป็นทั้งหมดเท่าที่ครูเห็นสิ่งที่ครูไม่เห็นนั่นต่างหากที่เป็นปัญหา...ตั้งแต่ผมเรียนประถมมาจนถึงม.2 ผมมีปัญหาเรื่องเพื่อนมาตลอด ด้วยบุคลิกที่ชอบเก็บตัวไม่พูดไม่จาของผม แถมไม่สู้คนทำให้ผมคงดูน่ากลั่นแกล้งในสายตาของพวกเด็กหลังห้อง ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันอะไรกันนักหนา ทั้งๆที่ผมไม่พยายามจะไปยุ่งกับใครอยู่แล้วตอนเรียนประถมการแกล้งกันของเด็กๆก็ยังเบาๆ แต่พอเข้ามัธยมการแกล้งเริ่มมีความซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้น ทั้งกลั่นแกล้งกันตรงๆทางร่างกาย เช่น ขัดขา หรือกลั่นแกล้งทางอ้อม เช่น เขียนเก้าอี้นักเรียน ทำลายข้าวของเอากระเป๋านักเรียนหรือรองเท้าของผมไปซ่อน กระทั่งเอากรรไกรมาแกล้งตัดผมผมด้านหลังตอนที่ผมไม่รู้ตัวนอกจากนี้ยังมีการกลั่นแกล้งทางจิตใจ เช่นการล้อเลียน การปล่อยข่าวลือปลอมทั้งในเพจของโรงเรียน และในกรุ๊ปไลน์ของห้อง ทำให้เวลาผมเข้ามาในห้องเรียนมักจะเห็นสายตาของเพื่อน
ต้นไผ่มันไม่เชื่อผมเลยทุกคืนกลางดึก ผมเห็นร่างตะคุ่มๆยืนอยู่ที่ระเบียง ทำท่าชะโงกมองอะไรสักอย่าง ก่อนจะเสียหลักพลัดตกลงไปข้างล่าง ในหูได้ยินทั้งเสียงตกกระแทกพื้นดังพลั่ก เสียงหักร้าวของกระดูก และเสียงร้องครางอือในลำคอ แต่เมื่อผมตามไปดูก็ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ“มึงหลอนไปเองแล้วโก้ กูบอกแล้วว่าให้นอนพักเสียบ้าง อ่านหนังสือเตรียมสอบถึงเช้าทุกวันแบบนี้ สมองอ๊องหมดแล้ว” มันว่าทั้งที่ตายังไม่ละออกจากเกมในโทรศัพท์มือถือ “เชื่อกู นอนบ้าง เล่นเกมบ้าง กินเหล้าบ้างก็ดี”ผมรำคาญและหงุดหงิดเสมอเมื่อมันพูดเหมือนไม่เคยใส่ใจปัญหาของผมเลย“ผี ห้องนี้แม่งต้องมีผี กูจะลองหาดู ในข่าวเก่าๆอาจจะมี”ผมลองเข้ากูเกิ้ล เซิร์ชหาข่าวด้วยชื่อตึกและคำว่าเสียชีวิต หาอยู่พักใหญ่จนพบข่าวหนึ่ง เป็นข่าวเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่ตกจากระเบียงตึกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อราวปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา แต่เมื่อคลิกจะเข้าไปอ่านรายละเอียดกลับเข้าไม่ได้ “เนตเป็นเหี้ยไรวะ!” ผมบ่นอย่างหงุดหงิด “ต้นไผ่ มึงใช้ 4G ป่ะ กูยืมแป๊บดิ ไวไฟแม่งไม่มีสัญญาณ” ไอ้ต้นไผ่ชำเลืองตามามองผมแวบหนึ่ง “มึงเชื่อกู เลิกค้นเรื่องนี้เถอะรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์”“
ครั้งแรกที่ฉันเข้ามาในห้องแลปภาษาเมื่อตอน ม. 1 ฉันตื่นตาตื่นใจมากกับคอกสี่เหลี่ยมเล็กๆที่กั้นด้วยพาทิชั่น มีกระจกบางๆใสๆ ในคอกมีหูฟังแบบครอบวางอยู่ช่องละอันในห้องแลปนั้นเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นเฉียบ ครูที่สอนภาษาอังกฤษเดินมาหน้าห้อง บอกให้นักเรียนทุกคนเข้าประจำที่โต๊ะเพื่อเตรียมฟังเสียงจากหูฟังในบทเรียนที่ครูกำลังจะสอน“เราจะเรียนที่นี่กันสัปดาห์ละครั้ง เพราะต้องเวียนใช้ในทุกระดับชั้น เพราะฉะนั้นเวลาเดินมาเรียนหัวหน้าห้องต้องคอยดูแลเพื่อนให้มาตรงเวลา ห้ามสาย ห้ามขาด ห้ามแวบไปที่อื่น ไม่งั้นถ้าเวลาน้อยเกินไปจะฟังไม่จบบท...เอาละ วันนี้เริ่มกันเลย นักเรียนใส่หูฟังได้ค่ะ”ทุกคนนั่งกันที่โต๊ะซึ่งมีตัวเลขระบุไว้ตามเลขที่ ฉันเลขที่ 15 ก็ได้นั่งโต๊ะตัวที่ 15 หูฟังของโต๊ะนี้ดูเหมือนจะอันใหญ่กว่าเพื่อนและมีฟองน้ำนุ่มหนา หุ้มด้วยหนังนิ่มอย่างดีเพื่อนที่นั่งโต๊ะข้างๆชะโงกมาดู “โห...หูฟังเริด ขอแลกได้ปะ ?”ฉันหันไปยิ้มให้ไม่ทันได้ตอบอะไรครูก็เริ่มพูดต่อ“เอ้า...กดเปิดที่ปุ่มสีแดงตรงมุมโต๊ะด้านซ้าย...มีไฟขึ้นไหม โต๊ะไหนไม่ติดบ้าง...โอเค ติดทุกโต๊ะนะ ปรับเสียงเบาหรือดังได้ที่ปุ่มข้างๆหูฟังด้านขวา.
เมื่อโรงเรียนเริ่มเปิดเทอม สีสันและชีวิตชีวาของโรงเรียนก็กลับมาเบ่งบานเต็มที่ เสียงของเด็ก ๆ เล่นกันสนุกสนาน เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ เสียงร้องตะโกน เสียงผู้ปกครองที่พยายามหาวิธีแกะลูกออกจากแขนขาตัวเองมาส่งให้ครู ฉันเองแม้จะเรียนเกี่ยวกับการศึกษามาและเคยฝึกสอนมาแล้ว แต่ก็ไม่เคยรับมือกับเด็ก ๆ อนุบาลที่ไม่เคยมาโรงเรียนมาก่อน แม้ที่นี่จะมีครูห้องละสองคน และมีครูพี่เลี้ยงคอยช่วยดูแลเด็กอีกคน แต่การจะพยายามทั้งปลอบ ทั้งดูแล ทั้งต้อนเด็ก ๆ ให้ยอมอยู่ในห้องเรียนอย่างสงบนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากอาทิตย์แรกทั้งอาทิตย์จึงหมดไปกับการพยายามทำให้เด็ก ๆ ที่เพิ่งห่างบ้านห่างครอบครัวเป็นครั้งแรก ยอมรับอ้อมกอดของครูและโรงเรียน ยังไม่ต้องพูดถึงการเรียนหรือสอนอะไรทั้งนั้น ฉันแอบดีใจที่เห็นเด็กหญิงดวงตาสดใสคนนั้นมาเรียนที่ห้องของเราด้วย แต่เมื่อถึงเวลาเช็กชื่อ กลับมองหาเธอไม่เจอ ฉันเล่าเรื่องเด็กหญิงคนนั้นให้ครูพี่เลี้ยงที่กำลังง่วนกับการป้อนข้าวและเช็ดปากให้กับเด็กสองคน ครูพี่เลี้ยงพูดเพียงว่าฉันอาจจะเข้าใจผิดไปเอง เด็กคนนั้นอาจะเรียนห้องอื่น อนุบาลเรามีตั้งหลายห้อง หรือไม่เด็กอาจจะเข้าห้อง
นับเป็นโชคดีของฉัน ที่พอเรียนจบก็มีตำแหน่งงานว่างที่โรงเรียนเก่าที่เคยเรียนเมื่อตอนมัธยม ตอนที่ฉันบอกแม่ว่าจะกลับไปเป็นครูสอนที่โรงเรียนเก่า และจะได้กลับไปอยู่บ้านกับแม่ แม่ดีใจมาก เร่งเตรียมห้องเตรียมข้าวของรอฉันกลับ แม่บอกว่า ตั้งแต่วันที่ฉันเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ ก็นึกว่าจะไปตั้งหน้าทำงานในกรุงเทพฯ เหมือนพวกพี่ ๆ เสียแล้วที่จริงแล้วฉันก็เคยคิด คิดว่าอยากจะไปไกล ๆ จากบ้านเก่า โรงเรียนเก่า ลบความทรงจำเก่า ๆ ออกไปแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ หลังจากที่เลิกกับแฟนคนแรกที่นี่เมื่อตอน ม. 5ใคร ๆ ก็บอกว่ารักวัยรุ่น ก็ต้องเรียนรู้ เจ็บบ้างอกหักบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ทำให้เราได้รู้จักเติบโต มีภูมิต้านทานความเจ็บ ความผิดหวังความเศร้าที่จะทยอยเข้ามาเรื่อย ๆ เมื่อเราเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ ฉันก็รับฟังและพยายามจะคิดอย่างนั้น แต่ตลอดเวลาหกปีที่ผ่านมา ความเจ็บช้ำที่เกิดจากแฟนคนแรกยังคงเป็นบาดแผลร้าวลึกจนไม่อยากเอ่ยถึงคนเรียนจบใหม่อย่างฉันในสาขาการศึกษา หางานยากยิ่งกว่าอะไร นั่นเองที่ฉันบอกว่าฉันโชคดีที่จู่ ๆ ก็ได้งานง่ายดาย เป็นงานประจำใกล้บ้าน ไม่ต้องเสียค่าที่พัก แถมได้อยู่กับแม่ โชคดียิ่งกว่านั้น ความหลังท
17. มาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนกลางดึก เมื่อได้ยินเสียงพี่พรพูดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว และยังมีเสียงหัวเราะคิกคักเหมือนเสียงเด็ก ๆ พอลืมตามองก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นร่างเล็ก ๆ นับสิบเป็นร่างเงาจาง ๆ แต่พอมีเค้าว่าเป็นเด็กเล็ก นั่ง นอน คลาน เดินไปมาอยู่รอบตัวพี่พรที่กำลังกางหนังสือนิทานอ่านด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ละร่างนั้นไม่ได้มาในสภาพน่าเวทนาอย่างคนถูกไฟไหม้ แต่มาในร่างอย่างเด็กน้อยไร้เดียงสาตามวัยก่อนที่พวกเขาจะตาย จึงทำให้แม้สถานการณ์ตอนนี้จะฟังดูน่าขนลุกเพียงใด แต่ฉันกลับรู้สึกสงสารระคนหลอน ตอนที่พี่พรถามว่ากลัวผีไหม ใครจะไปนึกว่าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย พี่พรเปิดหนังสือนิทานอ่านออกเสียงจากความทรงจำเพราะในห้องตอนนั้นมืด มีเพียงแสงสว่างรำไรจากแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างเท่านั้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรัก ความเมตตาและอ่อนโยน พี่พรตอนนี้ดูมีความสุขไม่ต่างจากตอนที่แกอยู่ท่ามกลางเด็ก ๆ ที่มีชีวิต ฉันนอนนิ่งตัวแข็ง ไม่กระดุกกระดิก ถึงจะน่ารักอย่างไรก็ผีทั้งนั้น สักพักหนึ่งก็รู้สึกเย็น ๆ ที่ข้อเท้า เหมือนมีมือเย็นเฉียบมาจับ
ฉันกับพี่พรรู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เราอยู่ค่ายอาสาเดียวกันทุกปี ค่ายของเราส่วนใหญ่จะอาสาไปสอนหนังสือเด็ก ๆ ในชนบทห่างไกล หลายแห่งมีครูอยู่คนเดียว ต้องสอนทุกระดับชั้นทุกวิชา โรงเรียนแบบที่แบกรับภาระหนักที่สุดคือโรงเรียนประเภทที่เป็นโรงเรียนประจำ เพราะต้องดูแลเรื่องที่อยู่อาศัย อาหารการกิน รวมถึงความปลอดภัยของเด็ก ๆ ด้วย หลายพื้นที่เช่นกันที่ครูคนเดียวรับหน้าที่นั้นทั้งหมด เป็นทั้งครู ทั้งพ่อและแม่ในคนเดียวกัน นี่ยังไม่รวมการที่ต้องเป็นคนคอยจัดหาเงินทุนเพื่อมาดูแลเด็ก ๆ และคอยประสานกับทางส่วนกลางในเรื่องเอกสารการเรียนต่าง ๆ อีก ในสมัยนั้นพวกเราเองก็ทำอะไรได้ไม่มาก แต่ละครั้งเราก็จะพากันขนสื่อการเรียนการสอนเท่าที่จัดหามาได้ รวมถึงหนังสือเรียน หนังสืออื่น ๆ เอาไปสร้างห้องสมุดหรือมุมหนังสือให้เด็ก ๆ ขอรับบริจาคพวกอุปกรณ์การเรียน เครื่องเขียน สมุดดินสอ หรือบางครั้งโชคดีก็ได้อุปกรณ์กีฬาบ้าง พวกเราเป็นครูชั่วคราวที่เด็ก ๆ มักจะรัก เพราะมีอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ ไปสอนไปเล่าให้ฟัง บางครั้งแม้ค่ายจะจบลงในเวลาเพียงครึ่งเดือน แต่วันที่พวกเราจะ
ใครที่เคยอ่านหรือฟังเรื่องผีกันเป็นประจำคงคุ้นเคยกับผีที่มีฉายาลงท้ายว่าแดง โดยมีที่มาจากเลือดที่สาดลงบนสิ่งของสีขาว อย่างเช่น ผีเสื้อแดง ผีชุดแดง ผีโบแดง และเรื่องนี้ของผมก็เหมือนกัน ตัวแดงมาอีกแล้วแต่ไม่หรอก คราวนี้ไม่เหมือนตัวอื่นๆ เพราะผีตัวนี้ใช้กระเป๋าสีแดงจริงๆตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นคนมีชีวิตอยู่ มันเป็นเพื่อนผมเองครับ...เพื่อนคนนี้ชื่อจิ๊บ อยู่ ม. 2/2 เรียนห้องเดียวกับผม เมื่อเทอมที่แล้วมันยังนั่งข้างผมอยู่เลย เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ สูงประมาณ145 เซนติเมตร เตี้ยสุดในห้องผิวขาวเหมือนไข่ปลอก หน้าหมวยตาตี่ จัดฟันอยู่แต่ยิ้มสวยไว้ผมหน้าม้า รวบผมหางม้า ร่าเริงตลอด มองดูเวลาวิ่งแล้วมีท่าทางดุ๊กดิ๊กๆเหมือนตุ๊กตาจนเพื่อนๆชอบเรียกมันว่าไอ้จิ๊บหมากระเป๋าเวลานั่งกับผมก็ชอบแกล้งชอบอำจนบางทีผมโกรธ แต่ก็โกรธได้ไม่นานหรอกเพราะมันน่ารัก เวลามีงานโรงเรียนจิ๊บมันไม่ค่อยได้รับเลือกไปแสดงอะไรกับเขาเพราะตัวเล็ก มีก็แต่กิจกรรมการเป็นเชียร์ลีดเดอร์ที่พี่ๆม.ปลายเห็นแล้วชอบ เพราะมันเล่นยิมนาสติกเก่ง ทรงตัวดี เวลามีท่าต่อตัว ให้มันขึ้นอยู่บนยอดก็สบายๆ โยนรับได้ง่ายเพราะตัวเบาหวิวไม่
ฉันไม่เคยอายที่มาจากบ้านยากจน และไม่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชควาสนาของตัวเองที่ไม่ได้อยู่สุขสบายเหมือนพวกลูกคนมีเงิน ฉันช่วยพ่อแม่ทำงาน ขายขนม รับจ้างนิดๆหน่อยๆ มาตั้งแต่เล็กๆไม่เคยรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อยหรือเป็นภาระ กลับรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ทำตัวเป็นประโยชน์ให้กับครอบครัว พ่อแม่ของฉันรักและดูแลฉันเป็นอย่างดี ท่านสอนเสมอว่า หากเรามั่นใจว่าเราคิดดี ทำดี จิตใจสะอาดสุจริต เราก็ไม่ต้องไปกลัวสายตาหรือคำครหานินทาของใครทั้งนั้น ชีวิตเราอยู่ที่การกระทำของเรา ไม่ได้อยู่ที่ขี้ปากของคนอื่น...ซึ่งก็จริงดังที่เขาว่า เด็กๆอยู่กับความยากจนได้ดีกว่าความเกลียดชัง ถึงลำบากกายแต่ถ้าหัวใจได้รับความรักเต็มเปี่ยม อย่างไรก็มีแต่ความสุข นอกจากช่วยงานพ่อแม่ที่ร้านและที่บ้านเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายแล้วหากมีโอกาสที่ครูอาจารย์จะเรียกใช้งานเล็กน้อยแลกเงินห้าบาทสิบบาท อย่างเช่น ล้างจาน ซื้อของ วิ่งไปหยิบของที่ตึกไกลๆ ขัดรองเท้า ฉันจึงทำทุกอย่างโดยไม่แคร์สายตาใคร ดังนั้นเมื่อได้รู้ว่าครูบรรณารักษ์ต้องการคนช่วยดูแลทำความสะอาดห้องสมุดทุกวันในตอนเช้าและหลังเลิกเรียน โดยจะได้ค่าตอบแท
แม่ไตตั้นตัดสินใจอยู่เฝ้าลูกที่โรงเรียนทั้งวันในวันแรก ช่วงเช้าราบรื่นดี น้องไตตั้นสามารถเล่นและทำกิจกรรมกับเพื่อนๆได้ตามปกติ ดูสนุกสนานร่าเริงมีชีวิตชีวาดี ขนาดว่าเพื่อนบางคนยังร้องไห้งอแงไม่หยุด ไตตั้นก็ยังช่วยปลอบจนเพื่อนหยุดร้องและทำกิจกรรมต่างๆกับเพื่อนคนอื่นต่อไปได้ ช่วงพักกลางวัน แม่ไตตั้นยังเดินมาดูลูกกินข้าวกับเพื่อนๆ ดูเหมือนเด็กชายเข้ากับที่นี่ได้ดีกว่าที่คิด กินข้าวหมดจานจนต้องขอเพิ่ม ครูหันมายิ้มให้แม่ไตตั้นที่มองดูอยู่ไกลๆ แม่ไตตั้นยิ้มตอบ สบายใจและคิดว่าวันนี้ทั้งวันคงไม่มีอะไรแล้ว ก่อนเข้าเรียนบ่าย แม่ไตตั้นแอบมาคุยกับลูก “เป็นไงบ้างไตตั้น ชอบที่นี่ไหม ?” ไตตั้นยิ้มละไม “ชอบครับ ครูใจดีทุกคนเลย ครูเสื้อเหลืองเล่นกลเก่ง” แม่ไตตั้นขมวดคิ้ว “เหรอลูก...” ตั้งแต่เข้ามานั่งเฝ้าลูก เธอก็เห็นครูอยู่สองคน คือครูประจำชั้นกับครูผู้ช่วย ยังไม่เห็นครูใส่เสื้อสีเหลืองที่ไหนสักคน แต่ก็ยังพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าลูกอาจจะจำผิดก็ได้ จนกระทั่งถึงเวลานอนบ่าย แม่ไตตั้นที่นั่งเฝ้าอยู่ด้วยความเครียดมาตั้งแต่เช้าก็เพลียมาก บวกกับสบ