เมื่อสมัยเรียนผมกับหมง เพื่อนที่เป็นรูมเมท พักอยู่ที่หอในด้วยกัน รูมเมทของผมชอบฟังรายการวิทยุเล่าเรื่องผีเอามากๆ แต่ตัวผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ บางทีรำคาญด้วยซ้ำ เพราะอยากอ่านการ์ตูนหรือฟังรายการวิทยุอื่นๆบ้าง
“มึงก็ใส่หูฟังฟังของมึงไปไม่ได้เหรอวะ” ผมบอกมันในคืนหนึ่งด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเพราะง่วงมาก อยากนอน แต่ต้องสะดุ้งตื่นกับเสียงประกอบรายการหลอนๆที่มันฟังอยู่ เสียงหัวเราะบ้าง เสียงกรี๊ดบ้าง
หมงหันมามองหน้าทำท่าเกรงใจ “เออๆ แป๊บเดียว ใกล้จบละ มึงก็รู้ว่ากูกลัวผี ฟังคนเดียวไม่มีเพื่อนแชร์ เดี๋ยวกูกลัวขึ้นมาแล้วไม่มีคนช่วยกลัว มันว้าเหว่”
“ว้าเหว่บ้านเตี่ยมึงเหรอ” ผมพูดไปหัวเราะไป ไม่ค่อยเข้าใจคนแบบนี้เท่าไหร่ กลัวแต่ก็ดันชอบ
“มึงไม่กลัวผีเหรอ ?” หมงถามผมบ้าง “น่ากลัวนะมึง ในม.เรา เขาว่ากันว่า ตรงตึกเก่าคณะวิทย์ฯ น่ะผีดุ ใครเดินผ่าน หรือขับมอเตอร์ไซค์วนผ่าน เป็นได้เจอดีทุกราย”
มันยังเล่าต่ออีกว่า พวกที่บอกว่าเจอดี ส่วนใหญ่มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จะเห็นเหมือนมีคนใส่ชุดนักศึกษา เป็นผู้หญิงผมสั้น กระโปรงพลีท รองเท้าผ้าใบสีขาว เดินไปเดินมาอยู่ใต้ตึก บางคนบอกว่าเห็นนั่งอ่านหนังสือที่ม้าหินอ่อนหน้าตึก บางคนก็ว่าเห็นเดินริมถนน ที่เห็นว่ายืนนิ่งๆมองลงมาจากบนตึกก็มี
“มีประวัติไหมวะตายยังไง ทำไมตาย ทำไมมาอยู่ตรงนั้น ?” ผมชักสนใจ เพราะรู้ดีว่าเรื่องผีๆแบบนี้มักมีเรื่องเล่าสนุก ๆ เสมอ แต่ก็มักวนไปวนมาแบบเดิมๆ โดดตึกตาย แขวนคอตายอยู่ในตึก อะไรประมาณนี้
“พูดไม่ตรงกันนะบางคนบอกว่าเครียดจากการเรียนเลยโดดตึก บางคนบอกว่ามีปัญหาทางจิต กินยาตายหน้าตึก บางคนบอกว่าอกหักเลยแขวนคอตาย” ไอ้หมงเล่า
นั่นไง...อย่างที่คิดเลยไม่มีผิด เนื้อเรื่องก็วน ๆ เหมือนเดิม แขวนคอ โดดตึก อกหัก มันก็คงเหมือนพวกตำนานเรื่องผีในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัยทั่วๆไปนั่นแหละ
“เออ นี่ห้าทุ่มละ มึงไปกะกูหน่อยดิ กูอยากลองไปดูว่ามีจริงไหม ขี่รถมอเตอร์ไซค์วนดูไกลๆก็ได้” ไอ้หมงทำท่าทางกระตือรือร้นจนผมงง
“เฮ้ย! อะไรของมึง นี่มึงกลัวจริงหรือเปล่าเนี่ย แล้วเรื่องอะไรกูต้องไปกับมึงด้วย”
“แหม...ก็กูขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เป็น” หมงว่า “อีกอย่าง มึงก็รู้ว่ากูไม่อยากกลัวคนเดียว มันว้าเหว่”
ในที่สุด เราตกลงกันว่า ถ้าผมขี่รถพามันไปวนดูที่ตึกเก่าคืนนี้ มันสัญญาว่าจะไม่เปิดรายการผีหนึ่งอาทิตย์ เพื่อแลกกับความสงบสุขของหูผมในยามวิกาล ผมก็เลยตกปากรับคำ และไม่ลืมกำชับ “เอาหมวกกันน็อกไปด้วยนะมึง เมื่อวานไอ้ก๊อป โดนเรียกไปเสียค่าปรับคนละห้าร้อย กระเป๋าแห้งไปเลย ช่วงนี้กูยิ่งไม่มีตังอยู่”
มหาวิทยาลัยของผมเข้มงวดเรื่องวินัยจราจรมาก โดยเฉพาะเรื่องของการใส่หมวกกันน็อก ไม่ว่าจะขับรถตอนกลางวันหรือกลางคืน ต้องใส่หมวกกันน็อก ทั้งคนขับ คนซ้อน และห้ามซ้อนเกินสองคนเด็ดขาด
หลายเส้นทางในมหาวิทยาลัย และทุกสี่แยกจะมีกล้องวงจรปิด คอยสอดส่อง และมีเจ้าหน้าที่เทคนิคนั่งเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวันจะมีการเรียกผู้ที่ปฏิบัติผิดกฎจราจรเข้าไปที่ฝ่ายกิจการนักศึกษาเพื่อเสียค่าปรับ โดยมีหลักฐานภาพนิ่งและวิดีโอจากกล้องวงจรปิดมาแสดงให้ดูด้วย
คืนนั้น ผมจำได้แม่นยำว่าเดินไปหยิบหมวกกันน็อกส่งให้ไอ้หมง แล้วก็หยิบอีกใบมาสวมหัวตัวเอง ก่อนขึ้นคร่อมรถแล้วสตาร์ท พากันตรงไปทางคณะวิทย์ฯ เพื่อวนดูตึกเก่าผีดุอย่างที่ไอ้หมงต้องการ
ฝนตกเป็นละอองฝอยแต่อากาศก็ยังร้อนชื้น ผมขับรถไปถึงคณะวิทย์ฯ ไอ้หมงก็เกิดปอดขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“กลับเหอะว่ะ กูใจไม่ดี รู้สึกหวิวๆเย็นๆ เสียวสันหลังยังไงไม่รู้” ไอ้หมงว่าเสียงสั่น
“เย็นอะไรของมึง ร้อนจะตายห่า” ผมบ่น “ไปดูให้มันจบๆ ตึกเก่าของมึงอ่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวอ้างภารกิจไม่สำเร็จ มึงก็จะกลับมาเปิดรายการผีหนวกหูกูอีก”
ผมขี่รถวนผ่านไปหน้าตึกเก่า ตรงนั้นมีไฟทางติดๆดับ ๆ สร้างบรรยากาศความหลอนกลางละอองฝน ไอ้หมงกลัวจนตัวสั่นทั้งที่ยังไม่มีผีออกมาสักตัว
“กลับเหอะมึง กูไม่ไหวละ หนาวมาก เหมือนจะไม่สบายเลย”
ผมหันไปมองหน้ามัน เห็นหน้ามันซีดจนปากเขียว เลยตัดสินใจรีบวนรถกลับอย่างที่มันต้องการ
คืนนั้นไอ้หมงอาบน้ำเข้านอน กลางดึกตัวร้อนเพราะไข้ ผมหายาให้มันกินแล้วตั้งใจว่าพรุ่งนี้เช้าจะพาไปหาหมอที่ตึกคณะแพทย์ฯ
แต่พอเช้ามา เจ้าหน้าที่ตึกก็รีบเรียกไว้ก่อนเดินออกจากตึก “เอ้า กองกิจฯส่งมา ใบสั่งผิดกฎจราจรเมื่อคืนไปซ่าที่ไหนกันมาเนี่ย ?”
ผมมองหน้าไอ้หมง ต่างคนต่างงง “เฮ้ย! พวกผมออกไปแต่ใส่หมวกกันน็อกทั้งคู่นะ ไม่ได้ขับเร็วด้วย”
เจ้าหน้าที่ตึกถอนหายใจพลางเปิดเอกสารและภาพถ่ายให้ดู เอานิ้วจิ้มที่รูป “นี่ไง ภาพจากกล้องวงจรปิด เธอสองคนใส่หมวกกันน็อก แต่เพื่อนที่ซ้อนข้างหลังไม่ได้ใส่”
ผมใจหายวาบ รู้สึกเย็นเยือกถึงกระดูก เมื่อเห็นภาพใครอีกคนนั่งซ้อนท้ายไอ้หมงอยู่ท่ามกลางละอองฝนเมื่อคืน เป็นร่างคล้ายผู้หญิงผมสั้นใส่ชุดนักศึกษา
“รู้ไหม เมื่อหลายปีก่อนมีนักศึกษาใส่กระโปรงพลีทนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไม่ใส่หมวกกันน็อก กระโปรงเข้าไปเกี่ยวซี่รถโดนกระชากตกลงมาหัวฟาดพื้นตาย ที่นี่เลยเข้มงวดเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนนั้น...อ้าว แล้วนั่นเพื่อนเธอเป็นอะไร เป็นลมไปแล้ว รีบพาไปหาหมอเร็ว!”#
ที่โรงเก็บอุปกรณ์เกษตรหลังโรงเรียนของเรามีต้นฉำฉาใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ด้านหลังใหญ่ขนาดสี่คนโอบได้กิ่งก้านของมันแผ่ขยายกว้างใหญ่ใต้ต้นมีใบฉำฉาที่ร่วงหล่นทับถมเต็มพื้นจนนุ่มเหมือนพรมเพราะไม่เคยมีใครไปกวาดที่นั่นแหละที่พวกนักเรียนลือกันว่าต้นฉำฉาต้นนั้นมีผีและผีก็ดุเสียด้วย ที่เล่าๆ ต่อกันมาว่ากันว่าเคยมีนักการภารโรงชอบไปนอนหลับใต้ต้นไม้ต้นนั้น แต่ต้นฉำฉาอายุมากกิ่งเปราะกิ่งไม้เลยหักลงมาทับพอดี ภารโรงคงหลับสนิทเลยไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตายไปทั้งๆ ที่หลับอยู่อย่างนั้นเอง หลังจากนั้นบางคนบอกว่าช่วงบ่ายๆมักจะเห็นคนไปนอนหลับอยู่ใต้ต้นฉำฉา บางทีก็เห็นหลับอยู่บนกิ่งไม้สูงๆที่คนปกติไม่น่าขึ้นไปได้ เรื่องเล่าพวกนี้เพิ่มความน่าเชื่อถือเข้าไปอีก เมื่อเช้าวันหนึ่งครูประกาศออกไมโครโฟนว่าห้ามนักเรียนทุกคนเข้าไปในบริเวณนั้นเด็ดขาด นอกจากจะมีคำสั่งจากครู ไม่อย่างนั้นจะถูกลงโทษตัดคะแนนความประพฤติ พวกเรานักเรียนก็เลยเดากันว่าน่าจะเพราะเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่แหละที่มีน้อง ป.5 หลายคนพากันเข้าไปเล่นที่ใต้ต้นฉำฉาต้นนั้น เล่นกอบใบไม้มาโปรยเป็นหิมะตกบ้าง นอนเล่นสโนวแองเจิ้ลบ้างสักพั
โรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนเก่าแก่ประจำจังหวัด มีพื้นที่กว้างกว่า 40 ไร่ นอกจากจะใช้เป็นสถานศึกษาแล้ว คนในจังหวัดยังมักจะมาใช้สถานที่เพื่อจัดกิจกรรมต่างๆอย่าง เช่น งานแต่งงาน งานเกษียณอายุราชการ และอื่นๆนอกจากสถานที่ที่มีความโอ่โถงสวยงามแล้ว คนทั่วไปต่างรู้กันดีอีกอย่างว่า โรงเรียนของเรามีบริการวงดนตรีไทยเดิม และคณะนาฏศิลป์ไทย ที่ได้อาจารย์ดีจากกรมศิลปากรมาคัดเลือกเด็กเข้าวงและฝึกสอนอย่างเข้มข้นด้วยตัวเอง ทำให้นางรำทุกคนในวงโรงเรียน ทั้งรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณดี ยิ้มสวยหวาน พอแต่งหน้าไทย ใส่เครื่องทรงชุดไทยสวย ๆ ก็มีออร่าราวกับเทพธิดาจำแลง นอกจากนี้ทุกคนยังรำสวยงามอ่อนช้อย ได้มาตรฐาน ถึงขนาดไปประกวดระดับประเทศได้รางวัลมามากมาย ดังนั้นคณะนาฏศิลป์ของโรงเรียนจึงได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะในงานมงคลต่างๆ มีงานจ้างไปออกงานทั้งในหอประชุมโรงเรียนเอง งานในตัวจังหวัดเราเอง รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงด้วยนางรำจึงได้รับอภิสิทธิ์พิเศษเหนือกว่านักเรียนคนอื่นๆ สามารถไว้ผมยาวได้ แต่งหน้าและไว้เล็บได้ หยุดเรียนไปรับงานแสดงได้ โดยมีโรงเรียนคอยดูแลให้ทุกอย่าง ทั้งอาหารการกิน รถรับ-ส่ง ช่างแต่
ร่างในชุดเครื่องรำแปลกประหลาดตรงหน้ายังคงร่ายรำอย่างเชื่องช้า แช่มช้อย เอียงร่างกายท่อนบนจนเอวแทบขนานกับพื้น ค่อยๆวาดเท้าหันกลับมาที่ฉันช้า ๆ ทั้งที่กำลังขวัญผวากับภาพตรงหน้า เสียงหัวใจเต้นเร็วแรงเหมือนกระโดดจากในอกมาอยู่ในแก้วหูแต่ฉันกลับควบคุมตัวเองไม่ได้ เท้าทั้งสองค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าที่กำลังจ้องมองกลับมาเป็นใบหน้าของเจี๊ยบแท้ๆ แต่นั่นเหมือนไม่ใช่ เป็นความขัดแย้งที่แปลกประหลาด ร่างนั้นแสยะยิ้มให้ ริมฝีปากแดงฉ่ำวาดยาวไปบนแก้ม ฟันสีดำเรียงกันเป็นแถว ดวงตาดำกลมโตเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นจนเต็มจอตา ทว่าไม่มีแววตาเมื่อกระทบแสง มืดดำสนิทราวกับหลุมลึกมืดมิด ขาฉันสั่นจนขยับไม่ได้อีกต่อไป แม้แต่บังคับให้ตัวเองหลับตา สวดมนต์ หรือห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาเพราะความกลัวก็ทำไม่ได้ อยากจะหันหลังวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด หรืออย่างน้อยก็เรียกให้คนช่วย แต่ก็ทำไม่ได้สักนิด! ร่างตรงหน้ายังคงแสดงแสนยานุภาพอย่างเต็มที่ราวกำลังสนุกสนานกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเตะเท้าที่คลุมด้วยชุดยาวกรุยกรายลากพื้นไปด้านข้าง คล้ายท่าร่ายรำของนาง
หมิงช่วยเราด้วย…เสียงนั่นดังขึ้นพร้อมกับเสียงเดินลากเท้าผ่านมาทางด้านหน้าห้อง มันดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฉันพยายามถดตัวให้เล็กที่สุด หลบอยู่ใต้โต๊ะนักเรียนด้านหลังห้อง ภาวนาอย่าให้มันรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่เรื่องผ่านมานานแล้วเรื่องมันผ่านมาตั้งนานหลายปีแล้วมันจบไปแล้ว...นี่มันไม่จริง นี่มันแค่ฝันร้าย ฉันพยายามบอกตัวเองอย่างนี้ ในขณะที่เสียงลากเท้ามาหยุดอยู่ที่ประตูปัง ปัง ปัง! เสียงทุบประตูดังลั่นหมิงช่วยเราด้วย...เสียงนั้นดังขึ้นอีก พร้อมสะอึกสะอื้นดังกึกก้องไปทั่วระเบียงทางเดิน ประตูซึ่งปิดล็อกกลอนไว้ถูกเขย่าชนกลอนใกล้จะหล่นลงมาทุกทีฉันไม่ควรเลยแท้ๆ มีคนรับคำเชิญของครูและเพื่อนๆให้กลับมาที่นี่อีก ที่นี่มันควรจะเป็นสุสานปิดตายที่ลบเลือนออกไปจากความทรงจำแล้ว แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเมื่อ 20 ปีที่แล้วฉันกับแจนเคยเป็นเพื่อนกัน ใครๆก็คิดว่าเราเป็นเพื่อนที่สนิทสนมรักใคร่กันดีไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด เหมือนคนตัวติดกัน มีเพียงฉันและแจนเท่านั้นที่รู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเราเป็นเหมือนไม้ยืนต้นกับกาฝาก แจนเป็นฝ่ายที่เกาะเกี่ยวพึ่งพิงฉันอยู่ตลอดเวลา คอยเฝ้ารอให้ฉันเปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว
ร่างในชุดเครื่องรำแปลกประหลาดตรงหน้ายังคงร่ายรำอย่างเชื่องช้า แช่มช้อย เอียงร่างกายท่อนบนจนเอวแทบขนานกับพื้น ค่อยๆวาดเท้าหันกลับมาที่ฉันช้า ๆ ทั้งที่กำลังขวัญผวากับภาพตรงหน้า เสียงหัวใจเต้นเร็วแรงเหมือนกระโดดจากในอกมาอยู่ในแก้วหูแต่ฉันกลับควบคุมตัวเองไม่ได้ เท้าทั้งสองค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าที่กำลังจ้องมองกลับมาเป็นใบหน้าของเจี๊ยบแท้ๆ แต่นั่นเหมือนไม่ใช่ เป็นความขัดแย้งที่แปลกประหลาด ร่างนั้นแสยะยิ้มให้ ริมฝีปากแดงฉ่ำวาดยาวไปบนแก้ม ฟันสีดำเรียงกันเป็นแถว ดวงตาดำกลมโตเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นจนเต็มจอตา ทว่าไม่มีแววตาเมื่อกระทบแสง มืดดำสนิทราวกับหลุมลึกมืดมิด ขาฉันสั่นจนขยับไม่ได้อีกต่อไป แม้แต่บังคับให้ตัวเองหลับตา สวดมนต์ หรือห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาเพราะความกลัวก็ทำไม่ได้ อยากจะหันหลังวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด หรืออย่างน้อยก็เรียกให้คนช่วย แต่ก็ทำไม่ได้สักนิด! ร่างตรงหน้ายังคงแสดงแสนยานุภาพอย่างเต็มที่ราวกำลังสนุกสนานกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเตะเท้าที่คลุมด้วยชุดยาวกรุยกรายลากพื้นไปด้านข้าง คล้ายท่าร่ายรำของนาง
โรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนเก่าแก่ประจำจังหวัด มีพื้นที่กว้างกว่า 40 ไร่ นอกจากจะใช้เป็นสถานศึกษาแล้ว คนในจังหวัดยังมักจะมาใช้สถานที่เพื่อจัดกิจกรรมต่างๆอย่าง เช่น งานแต่งงาน งานเกษียณอายุราชการ และอื่นๆนอกจากสถานที่ที่มีความโอ่โถงสวยงามแล้ว คนทั่วไปต่างรู้กันดีอีกอย่างว่า โรงเรียนของเรามีบริการวงดนตรีไทยเดิม และคณะนาฏศิลป์ไทย ที่ได้อาจารย์ดีจากกรมศิลปากรมาคัดเลือกเด็กเข้าวงและฝึกสอนอย่างเข้มข้นด้วยตัวเอง ทำให้นางรำทุกคนในวงโรงเรียน ทั้งรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณดี ยิ้มสวยหวาน พอแต่งหน้าไทย ใส่เครื่องทรงชุดไทยสวย ๆ ก็มีออร่าราวกับเทพธิดาจำแลง นอกจากนี้ทุกคนยังรำสวยงามอ่อนช้อย ได้มาตรฐาน ถึงขนาดไปประกวดระดับประเทศได้รางวัลมามากมาย ดังนั้นคณะนาฏศิลป์ของโรงเรียนจึงได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะในงานมงคลต่างๆ มีงานจ้างไปออกงานทั้งในหอประชุมโรงเรียนเอง งานในตัวจังหวัดเราเอง รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงด้วยนางรำจึงได้รับอภิสิทธิ์พิเศษเหนือกว่านักเรียนคนอื่นๆ สามารถไว้ผมยาวได้ แต่งหน้าและไว้เล็บได้ หยุดเรียนไปรับงานแสดงได้ โดยมีโรงเรียนคอยดูแลให้ทุกอย่าง ทั้งอาหารการกิน รถรับ-ส่ง ช่างแต่
ที่โรงเก็บอุปกรณ์เกษตรหลังโรงเรียนของเรามีต้นฉำฉาใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ด้านหลังใหญ่ขนาดสี่คนโอบได้กิ่งก้านของมันแผ่ขยายกว้างใหญ่ใต้ต้นมีใบฉำฉาที่ร่วงหล่นทับถมเต็มพื้นจนนุ่มเหมือนพรมเพราะไม่เคยมีใครไปกวาดที่นั่นแหละที่พวกนักเรียนลือกันว่าต้นฉำฉาต้นนั้นมีผีและผีก็ดุเสียด้วย ที่เล่าๆ ต่อกันมาว่ากันว่าเคยมีนักการภารโรงชอบไปนอนหลับใต้ต้นไม้ต้นนั้น แต่ต้นฉำฉาอายุมากกิ่งเปราะกิ่งไม้เลยหักลงมาทับพอดี ภารโรงคงหลับสนิทเลยไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตายไปทั้งๆ ที่หลับอยู่อย่างนั้นเอง หลังจากนั้นบางคนบอกว่าช่วงบ่ายๆมักจะเห็นคนไปนอนหลับอยู่ใต้ต้นฉำฉา บางทีก็เห็นหลับอยู่บนกิ่งไม้สูงๆที่คนปกติไม่น่าขึ้นไปได้ เรื่องเล่าพวกนี้เพิ่มความน่าเชื่อถือเข้าไปอีก เมื่อเช้าวันหนึ่งครูประกาศออกไมโครโฟนว่าห้ามนักเรียนทุกคนเข้าไปในบริเวณนั้นเด็ดขาด นอกจากจะมีคำสั่งจากครู ไม่อย่างนั้นจะถูกลงโทษตัดคะแนนความประพฤติ พวกเรานักเรียนก็เลยเดากันว่าน่าจะเพราะเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่แหละที่มีน้อง ป.5 หลายคนพากันเข้าไปเล่นที่ใต้ต้นฉำฉาต้นนั้น เล่นกอบใบไม้มาโปรยเป็นหิมะตกบ้าง นอนเล่นสโนวแองเจิ้ลบ้างสักพั
เมื่อสมัยเรียนผมกับหมง เพื่อนที่เป็นรูมเมท พักอยู่ที่หอในด้วยกัน รูมเมทของผมชอบฟังรายการวิทยุเล่าเรื่องผีเอามากๆ แต่ตัวผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ บางทีรำคาญด้วยซ้ำ เพราะอยากอ่านการ์ตูนหรือฟังรายการวิทยุอื่นๆบ้าง “มึงก็ใส่หูฟังฟังของมึงไปไม่ได้เหรอวะ” ผมบอกมันในคืนหนึ่งด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเพราะง่วงมาก อยากนอน แต่ต้องสะดุ้งตื่นกับเสียงประกอบรายการหลอนๆที่มันฟังอยู่ เสียงหัวเราะบ้าง เสียงกรี๊ดบ้าง หมงหันมามองหน้าทำท่าเกรงใจ “เออๆ แป๊บเดียว ใกล้จบละ มึงก็รู้ว่ากูกลัวผี ฟังคนเดียวไม่มีเพื่อนแชร์ เดี๋ยวกูกลัวขึ้นมาแล้วไม่มีคนช่วยกลัว มันว้าเหว่” “ว้าเหว่บ้านเตี่ยมึงเหรอ” ผมพูดไปหัวเราะไป ไม่ค่อยเข้าใจคนแบบนี้เท่าไหร่ กลัวแต่ก็ดันชอบ “มึงไม่กลัวผีเหรอ ?” หมงถามผมบ้าง “น่ากลัวนะมึง ในม.เรา เขาว่ากันว่า ตรงตึกเก่าคณะวิทย์ฯ น่ะผีดุ ใครเดินผ่าน หรือขับมอเตอร์ไซค์วนผ่าน เป็นได้เจอดีทุกราย” มันยังเล่าต่ออีกว่า พวกที่บอกว่าเจอดี ส่วนใหญ่มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จะเห็นเหมือนมีคนใส่ชุดนักศึกษา เป็นผู้หญิงผมสั้น กระโปรงพลีท รองเท้า
หมิงช่วยเราด้วย…เสียงนั่นดังขึ้นพร้อมกับเสียงเดินลากเท้าผ่านมาทางด้านหน้าห้อง มันดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฉันพยายามถดตัวให้เล็กที่สุด หลบอยู่ใต้โต๊ะนักเรียนด้านหลังห้อง ภาวนาอย่าให้มันรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่เรื่องผ่านมานานแล้วเรื่องมันผ่านมาตั้งนานหลายปีแล้วมันจบไปแล้ว...นี่มันไม่จริง นี่มันแค่ฝันร้าย ฉันพยายามบอกตัวเองอย่างนี้ ในขณะที่เสียงลากเท้ามาหยุดอยู่ที่ประตูปัง ปัง ปัง! เสียงทุบประตูดังลั่นหมิงช่วยเราด้วย...เสียงนั้นดังขึ้นอีก พร้อมสะอึกสะอื้นดังกึกก้องไปทั่วระเบียงทางเดิน ประตูซึ่งปิดล็อกกลอนไว้ถูกเขย่าชนกลอนใกล้จะหล่นลงมาทุกทีฉันไม่ควรเลยแท้ๆ มีคนรับคำเชิญของครูและเพื่อนๆให้กลับมาที่นี่อีก ที่นี่มันควรจะเป็นสุสานปิดตายที่ลบเลือนออกไปจากความทรงจำแล้ว แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเมื่อ 20 ปีที่แล้วฉันกับแจนเคยเป็นเพื่อนกัน ใครๆก็คิดว่าเราเป็นเพื่อนที่สนิทสนมรักใคร่กันดีไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด เหมือนคนตัวติดกัน มีเพียงฉันและแจนเท่านั้นที่รู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเราเป็นเหมือนไม้ยืนต้นกับกาฝาก แจนเป็นฝ่ายที่เกาะเกี่ยวพึ่งพิงฉันอยู่ตลอดเวลา คอยเฝ้ารอให้ฉันเปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว