สมัยผมอยู่ ป. 5 ครูที่โรงเรียนมีทั้งหมดไม่ถึงสิบคน ทุกคนอาศัยอยู่ที่บ้านพักครูด้านหลังโรงเรียน ซึ่งนอกจากเป็นที่พักแล้ว ยังสร้างติดทางสัญจรเข้าออกโรงเรียนของพวกเด็กๆที่เดินทางมาจากทิศทางนั้นด้วย ดังนั้นครูโรงเรียนผมจึงเรียกว่าหาความเป็นส่วนตัวไม่ได้ทั้งตอนเช้าและตอนเย็น เด็กจะเดินคุยกันเสียงดังเซ็งแซ่ บางทีพวกที่อยู่เล่นเตะบอลกับเพื่อนจนถึงค่ำๆ มีปัญหาหกล้มวิ่งชนบาดเจ็บกันก็จะวิ่งมาหาครูที่บ้านพักครู ต้องทำแผลส่งหมอกันวุ่นวายไปอีกแล้วแต่กรณี
คงจะต้องรอจนถึงช่วงปิดเทอมนี่แหละครับ ที่บ้านพักครูพอจะมีความเงียบสงบบ้าง ครูบางคนก็จะหาวันลาพักร้อนไปเที่ยวกัน แต่ครูบางคนก็พักร้อนอยู่บ้านตัวเองในช่วงที่ไม่ต้องเตรียมงานอะไร
บ้านครูแอ๊ดเป็นที่หมายตาของกลุ่มพวกผมอันประกอบด้วยผม ไอ้จี๊ด ไอ้ต่อง ตั้งแต่ช่วงสอบปลายภาค วันที่มาฟังผลสอบเราก็มาแอบดูกันอีกรอบ เพราะที่ข้างบ้านครูแอ๊ดมีต้นมะม่วงอกร่องต้นใหญ่มากอยู่ต้นหนึ่ง สูงเป็นสิบเมตร ใบดกหนาให้ร่มเงาครึ้มสบาย แต่ใครเขาจะไปสนใจใบกันล่ะครับ ลูกมะม่วงอวบปลั่งที่ออกดกเป็นพุ่มเป็นพวงห้อยระย้าเต็มต้นนั่นต่างหาก บางลูกดิบ บางลูกห่ามแล้ว บ่มอีกสักหน่อยน่าจะหวานหอม เราคุยกันพลางชี้ชวนจับจองกันสนุกสนานจนน้ำลายแทบไหล
กระนั้นการจะได้กินมะม่วงบ้านครูแอ๊ดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะเขาว่ากันว่าเมียครูแอ๊ดดุและหวงมะม่วงต้นนี้มาก ขนาดที่ไม่ยอมให้เด็กคนไหนเข้าใกล้ เคยจับเด็กที่แอบมาปีนขึ้นได้หลายครั้งก็ฟาดเอาเสียจนน่องลาย เข็ดขยาดไปตามๆกัน ไม่รู้ว่าจะอะไรกันนักหนา ทั้งที่ลูกก็ออกดกขนาดนี้
พวกผมสามคนวางแผนและนัดหมายกันว่า ช่วงปิดเทอมนี่แหละ ค่อยหาเรื่องมาเล่นกันที่โรงเรียน แล้วเฝ้าดูเอาว่าช่วงไหนครูแอ๊ดกับเมียไม่อยู่บ้าน ก็จะพากันขึ้นมะม่วงบ้านแกแล้วเอากลับไปสักคนละสองสามโล กินดิบจิ้มกะปิก็หวานคอ กินห่ามก็เปรี้ยวๆมันๆ บ่มหน่อยสุกหวาน ยังไงก็อร่อยแน่นอน
จนถึงวันนั้น พวกเราเห็นครูแอ๊ดกับเมียขนกระเป๋าเดินทางสองใบขึ้นรถแล้วขับออกจากบ้าน พอครูพ้นโรงเรียนก็พากันร้องไชโยดังลั่น วิ่งไปหยิบไม้ตะกร้อ คุน้ำ แล้วก็ผ้ารองคอยรับมะม่วงมาประจำการ
เริ่มจากลูกที่อวบอ้วนและตะกร้อสอยถึง เราจัดการกระตุกลงมาได้สองสามพวง แต่ก็ไม่ค่อยได้อย่างใจ เพราะลงมาแล้วเขียวดิบกว่าที่ตาเห็น
“อยากได้ห่ามๆบ้างว่ะ เผื่อเอามาบ่มด้วย” ไอ้จี๊ดว่าแล้วขึ้นต้นมะม่วงเป็นคนแรก “พวกมึงคอยบอกกูด้วยว่าเห็นอยู่ทางไหน”
ไอ้จี๊ดขึ้นไปแล้วจัดการเด็ดลูกห่ามที่หมายตาลงมาให้เรารับได้สามลูก แล้วก็ไม่เห็นลูกอื่นอีก เราตะโกนบอกทางกันคอแห้ง แต่มันก็ไม่ได้อย่างใจ แล้วจู่ๆมันก็สะดุ้งเกือบหงายหลังตกลงมา ทำท่าเหมือนคุยอะไรกับใคร แต่เนื่องจากระยะที่สูงและใบดกหนามากเป็นพิเศษ ผมเลยมองไม่เห็น
สักพักมันปีนกลับลงมาบ่นเรื่องมดแดงที่ระดมกัดจนแสบยิบไปทั้งตัว “แม่ง...บนนั้นตรงเกือบยอด มีเด็กผู้หญิงอีกคนนั่งแทะมะม่วงสุกอยู่ว่ะ ไม่รู้ขึ้นไปตอนไหน โผนกิ่งนั้น โจนกิ่งนี้คล่องยังกะลิง”
ผมมองตามแล้วไม่เห็น แต่ก็นึกอยากจะเห็นเลยอาสาขึ้นไปเด็ดมะม่วงต่อ ระหว่างทางเห็นลูกห่ามๆสวยๆก็แวะเด็ดแล้วตะโกนให้พวกมันรับอีกสองลูก จนกระทั่งหางตาเห็นอะไรแวบๆข้างบน
มีเด็กผู้หญิงอยู่บนต้นไม้จริงๆด้วย อายุน่าจะเท่าๆพวกเราแต่คล่องและปราดเปรียวมาก โผนกิ่งต่อกิ่งอย่างสนุกสนาน
“มาขึ้นมะม่วงเหรอ โยนให้เพื่อนเรารับก็ได้นะ อยู่ข้างล่างโน่น” ผมว่า
เด็กหญิงยิ้มปากกว้างเห็นฟันเรียงยาว ผมใจหายวาบ
หน้าเธอดูแล้วมันดูแห้งๆแปลกๆ ตากระด้างเหมือนไม่มีแวว ผมก็กระเซิง ตัวผอมแลดูเหมือนซากอะไรบางอย่างมากกว่าคนจริงๆเธอชี้ลูกมะม่วงสุกลูกหนึ่งแล้วโผไปทางนั้น
ทันใดนั้นเอง เท้าของเธอเกาะพลาด พลัดร่วงแล้ววืดลงมาใกล้ตัวผม ผมผวาตกใจรีบพุ่งไปจะคว้าตัว แต่ก็ทำให้มือที่ยึดกิ่งอยู่ลื่นหลุดไปด้วย
ผมร่วงจากความสูงราวห้าเมตร ระหว่างทางกระแทกกิ่งไม้ทำให้ชะลอความเร็วลงบ้าง ได้ยินเสียงเพื่อนสองคนร้องลั่น และโชคดีที่มันเอาผ้ารองหัวไว้ได้ทัน ผมจึงหักแค่แขน ไม่ใช่คอด้วย
บุญเก่ายังพอมี ครูแอ๊ดกับเมียลืมกระเป๋าสตางค์แล้วขับรถกลับมาพอดี เลยได้พาผมไปส่งโรงพยาบาลพร้อมบทสวดด่าระหว่างทางยาวเหยียด
หลังจากเรื่องนั้นวันนั้นแล้ว พวกเราจึงเข้าใจว่ามองเมียครูแอ๊ดผิดไปมาก แกไม่ได้คิดว่าจะหวงมะม่วงเอาไว้กินเองหรอก แต่มันมีเรื่องราวก่อนพวกเราเกิดที่แกเล่าไม่ได้ และกลัวว่าจะเกิดซ้ำรอยอีกต่างหาก
หลังเปิดเทอมมะม่วงอกร่องบ้านครูแอ๊ดออกเต็มต้น สุกเหลืองส่งกลิ่นหอมทะลุเปลือกไปทั่วบริเวณ ครูแอ๊ดกับเมียช่วยกันเก็บมะม่วง เอามาให้เป็นอาหารกลางวันของนักเรียนได้อิ่มอร่อยกันถ้วนหน้า บางส่วนแกแยกไว้กินกับข้าวเหนียวมูล ทำใส่บาตรเลี้ยงพระ ที่เหลือขายเอาเงินไปไว้ช่วยเหลือค่าเสื้อผ้าเด็กนักเรียนที่บ้านยากจนได้อีก
ส่วนผมกับไอ้จี๊ด ไอ้ต่อง พวกเรานัดกันกลับมาทุกปีหลังจากเรียนจบไปแล้ว เพื่อช่วยครูแอ๊ดกับเมียทำข้าวเหนียวมะม่วงขายช่วยน้องๆ และทำบุญให้ยายตัวแสบผู้น่าสงสารที่เราเคยโลดโผนโจนทะยานอยู่บนยอดมะม่วงร่วมกันด้วย
ขอให้ไปสู่สุคตินะ ชาติหน้าเกิดมาขอให้อยู่ในครอบครัวที่มีกิน ไม่ต้องมาอดอยากขโมยเขากินแบบนี้อีก...ผมอธิษฐานเช่นนั้นขณะที่มองไปยังต้นมะม่วง ยิ้มให้กับเงาดำตะคุ่มคล้ายร่างเด็กหญิงตัวเล็กน่ารักแสนซนคนหนึ่งที่กำลังจ้องมองกลับมาเช่นกัน
ไตตั้นเข้าโรงเรียนตอนอายุ 3 ขวบ โดยเริ่มเรียนชั้นอนุบาลหนึ่ง ตอนนั้นก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่สมาชิกในครอบครัวต้องพากันขนหัวลุกและหวาดระแวงสติแทบแตกเริ่มแรกเข้าโรงเรียน พ่อแม่ก็วางใจว่าเตรียมตัวให้ลูกมาค่อนข้างดีมีการพามาดูโรงเรียนก่อน พามาเล่นกับเพื่อน เข้าค่ายฤดูร้อนทำกิจกรรมเล่นเกมกับทางโรงเรียน ซื้อชุดนักเรียนเครื่องเรียนทุกอย่าง ซ้อมใส่อยู่บ้าน คอยบอกน้องไตตั้นว่าเดี๋ยวไปโรงเรียนก้จะได้ไปเรียนไปเล่นกับเพื่อนสนุกๆบ่ายๆพ่อแม่ก็ไปรับ ซึ่งไตตั้นก็ดูกระตือรือร้นดี ยังช่วยพ่อแม่เลือกข้าวของใช้ส่วนตัวที่จะเอามาโรงเรียนจัดใส่กระเป๋าไว้เรียบร้อยแต่พอวันแรกที่เริ่มเข้าเรียนเท่านั้นแหละก็มีเรื่อง!แม่ของไตตั้นพาน้องเดินเข้าไปที่ห้องเรียนอนุบาล 1/3 ที่มีสัญลักษณ์เป็นรูปลูกไก่ติดอยู่เหนือประตูห้อง ห้องนี้ไตตั้นเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก เพราะเมื่อตอนช่วงซัมเมอร์ครูมักจะพาทำกิจกรรมอยู่แต่ในสนามและที่โรงพละศึกษา ไม่เคยพาขึ้นตึกเรียนมาก่อนน้องไตตั้นจูงมือคุณแม่เดินร้องเพลงไปกระโดดเล่นไปท่ามกลางเสียงร้องไห้ระงมของเด็กคนอื่นอีกหลายคนที่งอแงจะกลับบ้าน หรือไม่ยอมให้แม่กลับบ้าน เพราะไม่ได้เตรียมความพร้อมม
แม่ไตตั้นตัดสินใจอยู่เฝ้าลูกที่โรงเรียนทั้งวันในวันแรก ช่วงเช้าราบรื่นดี น้องไตตั้นสามารถเล่นและทำกิจกรรมกับเพื่อนๆได้ตามปกติ ดูสนุกสนานร่าเริงมีชีวิตชีวาดี ขนาดว่าเพื่อนบางคนยังร้องไห้งอแงไม่หยุด ไตตั้นก็ยังช่วยปลอบจนเพื่อนหยุดร้องและทำกิจกรรมต่างๆกับเพื่อนคนอื่นต่อไปได้ ช่วงพักกลางวัน แม่ไตตั้นยังเดินมาดูลูกกินข้าวกับเพื่อนๆ ดูเหมือนเด็กชายเข้ากับที่นี่ได้ดีกว่าที่คิด กินข้าวหมดจานจนต้องขอเพิ่ม ครูหันมายิ้มให้แม่ไตตั้นที่มองดูอยู่ไกลๆ แม่ไตตั้นยิ้มตอบ สบายใจและคิดว่าวันนี้ทั้งวันคงไม่มีอะไรแล้ว ก่อนเข้าเรียนบ่าย แม่ไตตั้นแอบมาคุยกับลูก “เป็นไงบ้างไตตั้น ชอบที่นี่ไหม ?” ไตตั้นยิ้มละไม “ชอบครับ ครูใจดีทุกคนเลย ครูเสื้อเหลืองเล่นกลเก่ง” แม่ไตตั้นขมวดคิ้ว “เหรอลูก...” ตั้งแต่เข้ามานั่งเฝ้าลูก เธอก็เห็นครูอยู่สองคน คือครูประจำชั้นกับครูผู้ช่วย ยังไม่เห็นครูใส่เสื้อสีเหลืองที่ไหนสักคน แต่ก็ยังพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าลูกอาจจะจำผิดก็ได้ จนกระทั่งถึงเวลานอนบ่าย แม่ไตตั้นที่นั่งเฝ้าอยู่ด้วยความเครียดมาตั้งแต่เช้าก็เพลียมาก บวกกับสบ
ฉันไม่เคยอายที่มาจากบ้านยากจน และไม่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชควาสนาของตัวเองที่ไม่ได้อยู่สุขสบายเหมือนพวกลูกคนมีเงิน ฉันช่วยพ่อแม่ทำงาน ขายขนม รับจ้างนิดๆหน่อยๆ มาตั้งแต่เล็กๆไม่เคยรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อยหรือเป็นภาระ กลับรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ทำตัวเป็นประโยชน์ให้กับครอบครัว พ่อแม่ของฉันรักและดูแลฉันเป็นอย่างดี ท่านสอนเสมอว่า หากเรามั่นใจว่าเราคิดดี ทำดี จิตใจสะอาดสุจริต เราก็ไม่ต้องไปกลัวสายตาหรือคำครหานินทาของใครทั้งนั้น ชีวิตเราอยู่ที่การกระทำของเรา ไม่ได้อยู่ที่ขี้ปากของคนอื่น...ซึ่งก็จริงดังที่เขาว่า เด็กๆอยู่กับความยากจนได้ดีกว่าความเกลียดชัง ถึงลำบากกายแต่ถ้าหัวใจได้รับความรักเต็มเปี่ยม อย่างไรก็มีแต่ความสุข นอกจากช่วยงานพ่อแม่ที่ร้านและที่บ้านเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายแล้วหากมีโอกาสที่ครูอาจารย์จะเรียกใช้งานเล็กน้อยแลกเงินห้าบาทสิบบาท อย่างเช่น ล้างจาน ซื้อของ วิ่งไปหยิบของที่ตึกไกลๆ ขัดรองเท้า ฉันจึงทำทุกอย่างโดยไม่แคร์สายตาใคร ดังนั้นเมื่อได้รู้ว่าครูบรรณารักษ์ต้องการคนช่วยดูแลทำความสะอาดห้องสมุดทุกวันในตอนเช้าและหลังเลิกเรียน โดยจะได้ค่าตอบแท
ใครที่เคยอ่านหรือฟังเรื่องผีกันเป็นประจำคงคุ้นเคยกับผีที่มีฉายาลงท้ายว่าแดง โดยมีที่มาจากเลือดที่สาดลงบนสิ่งของสีขาว อย่างเช่น ผีเสื้อแดง ผีชุดแดง ผีโบแดง และเรื่องนี้ของผมก็เหมือนกัน ตัวแดงมาอีกแล้วแต่ไม่หรอก คราวนี้ไม่เหมือนตัวอื่นๆ เพราะผีตัวนี้ใช้กระเป๋าสีแดงจริงๆตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นคนมีชีวิตอยู่ มันเป็นเพื่อนผมเองครับ...เพื่อนคนนี้ชื่อจิ๊บ อยู่ ม. 2/2 เรียนห้องเดียวกับผม เมื่อเทอมที่แล้วมันยังนั่งข้างผมอยู่เลย เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ สูงประมาณ145 เซนติเมตร เตี้ยสุดในห้องผิวขาวเหมือนไข่ปลอก หน้าหมวยตาตี่ จัดฟันอยู่แต่ยิ้มสวยไว้ผมหน้าม้า รวบผมหางม้า ร่าเริงตลอด มองดูเวลาวิ่งแล้วมีท่าทางดุ๊กดิ๊กๆเหมือนตุ๊กตาจนเพื่อนๆชอบเรียกมันว่าไอ้จิ๊บหมากระเป๋าเวลานั่งกับผมก็ชอบแกล้งชอบอำจนบางทีผมโกรธ แต่ก็โกรธได้ไม่นานหรอกเพราะมันน่ารัก เวลามีงานโรงเรียนจิ๊บมันไม่ค่อยได้รับเลือกไปแสดงอะไรกับเขาเพราะตัวเล็ก มีก็แต่กิจกรรมการเป็นเชียร์ลีดเดอร์ที่พี่ๆม.ปลายเห็นแล้วชอบ เพราะมันเล่นยิมนาสติกเก่ง ทรงตัวดี เวลามีท่าต่อตัว ให้มันขึ้นอยู่บนยอดก็สบายๆ โยนรับได้ง่ายเพราะตัวเบาหวิวไม่
ฉันกับพี่พรรู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เราอยู่ค่ายอาสาเดียวกันทุกปี ค่ายของเราส่วนใหญ่จะอาสาไปสอนหนังสือเด็ก ๆ ในชนบทห่างไกล หลายแห่งมีครูอยู่คนเดียว ต้องสอนทุกระดับชั้นทุกวิชา โรงเรียนแบบที่แบกรับภาระหนักที่สุดคือโรงเรียนประเภทที่เป็นโรงเรียนประจำ เพราะต้องดูแลเรื่องที่อยู่อาศัย อาหารการกิน รวมถึงความปลอดภัยของเด็ก ๆ ด้วย หลายพื้นที่เช่นกันที่ครูคนเดียวรับหน้าที่นั้นทั้งหมด เป็นทั้งครู ทั้งพ่อและแม่ในคนเดียวกัน นี่ยังไม่รวมการที่ต้องเป็นคนคอยจัดหาเงินทุนเพื่อมาดูแลเด็ก ๆ และคอยประสานกับทางส่วนกลางในเรื่องเอกสารการเรียนต่าง ๆ อีก ในสมัยนั้นพวกเราเองก็ทำอะไรได้ไม่มาก แต่ละครั้งเราก็จะพากันขนสื่อการเรียนการสอนเท่าที่จัดหามาได้ รวมถึงหนังสือเรียน หนังสืออื่น ๆ เอาไปสร้างห้องสมุดหรือมุมหนังสือให้เด็ก ๆ ขอรับบริจาคพวกอุปกรณ์การเรียน เครื่องเขียน สมุดดินสอ หรือบางครั้งโชคดีก็ได้อุปกรณ์กีฬาบ้าง พวกเราเป็นครูชั่วคราวที่เด็ก ๆ มักจะรัก เพราะมีอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ ไปสอนไปเล่าให้ฟัง บางครั้งแม้ค่ายจะจบลงในเวลาเพียงครึ่งเดือน แต่วันที่พวกเราจะ
17. มาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนกลางดึก เมื่อได้ยินเสียงพี่พรพูดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว และยังมีเสียงหัวเราะคิกคักเหมือนเสียงเด็ก ๆ พอลืมตามองก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นร่างเล็ก ๆ นับสิบเป็นร่างเงาจาง ๆ แต่พอมีเค้าว่าเป็นเด็กเล็ก นั่ง นอน คลาน เดินไปมาอยู่รอบตัวพี่พรที่กำลังกางหนังสือนิทานอ่านด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ละร่างนั้นไม่ได้มาในสภาพน่าเวทนาอย่างคนถูกไฟไหม้ แต่มาในร่างอย่างเด็กน้อยไร้เดียงสาตามวัยก่อนที่พวกเขาจะตาย จึงทำให้แม้สถานการณ์ตอนนี้จะฟังดูน่าขนลุกเพียงใด แต่ฉันกลับรู้สึกสงสารระคนหลอน ตอนที่พี่พรถามว่ากลัวผีไหม ใครจะไปนึกว่าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย พี่พรเปิดหนังสือนิทานอ่านออกเสียงจากความทรงจำเพราะในห้องตอนนั้นมืด มีเพียงแสงสว่างรำไรจากแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างเท่านั้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรัก ความเมตตาและอ่อนโยน พี่พรตอนนี้ดูมีความสุขไม่ต่างจากตอนที่แกอยู่ท่ามกลางเด็ก ๆ ที่มีชีวิต ฉันนอนนิ่งตัวแข็ง ไม่กระดุกกระดิก ถึงจะน่ารักอย่างไรก็ผีทั้งนั้น สักพักหนึ่งก็รู้สึกเย็น ๆ ที่ข้อเท้า เหมือนมีมือเย็นเฉียบมาจับ
นับเป็นโชคดีของฉัน ที่พอเรียนจบก็มีตำแหน่งงานว่างที่โรงเรียนเก่าที่เคยเรียนเมื่อตอนมัธยม ตอนที่ฉันบอกแม่ว่าจะกลับไปเป็นครูสอนที่โรงเรียนเก่า และจะได้กลับไปอยู่บ้านกับแม่ แม่ดีใจมาก เร่งเตรียมห้องเตรียมข้าวของรอฉันกลับ แม่บอกว่า ตั้งแต่วันที่ฉันเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ ก็นึกว่าจะไปตั้งหน้าทำงานในกรุงเทพฯ เหมือนพวกพี่ ๆ เสียแล้วที่จริงแล้วฉันก็เคยคิด คิดว่าอยากจะไปไกล ๆ จากบ้านเก่า โรงเรียนเก่า ลบความทรงจำเก่า ๆ ออกไปแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ หลังจากที่เลิกกับแฟนคนแรกที่นี่เมื่อตอน ม. 5ใคร ๆ ก็บอกว่ารักวัยรุ่น ก็ต้องเรียนรู้ เจ็บบ้างอกหักบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ทำให้เราได้รู้จักเติบโต มีภูมิต้านทานความเจ็บ ความผิดหวังความเศร้าที่จะทยอยเข้ามาเรื่อย ๆ เมื่อเราเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ ฉันก็รับฟังและพยายามจะคิดอย่างนั้น แต่ตลอดเวลาหกปีที่ผ่านมา ความเจ็บช้ำที่เกิดจากแฟนคนแรกยังคงเป็นบาดแผลร้าวลึกจนไม่อยากเอ่ยถึงคนเรียนจบใหม่อย่างฉันในสาขาการศึกษา หางานยากยิ่งกว่าอะไร นั่นเองที่ฉันบอกว่าฉันโชคดีที่จู่ ๆ ก็ได้งานง่ายดาย เป็นงานประจำใกล้บ้าน ไม่ต้องเสียค่าที่พัก แถมได้อยู่กับแม่ โชคดียิ่งกว่านั้น ความหลังท
เมื่อโรงเรียนเริ่มเปิดเทอม สีสันและชีวิตชีวาของโรงเรียนก็กลับมาเบ่งบานเต็มที่ เสียงของเด็ก ๆ เล่นกันสนุกสนาน เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ เสียงร้องตะโกน เสียงผู้ปกครองที่พยายามหาวิธีแกะลูกออกจากแขนขาตัวเองมาส่งให้ครู ฉันเองแม้จะเรียนเกี่ยวกับการศึกษามาและเคยฝึกสอนมาแล้ว แต่ก็ไม่เคยรับมือกับเด็ก ๆ อนุบาลที่ไม่เคยมาโรงเรียนมาก่อน แม้ที่นี่จะมีครูห้องละสองคน และมีครูพี่เลี้ยงคอยช่วยดูแลเด็กอีกคน แต่การจะพยายามทั้งปลอบ ทั้งดูแล ทั้งต้อนเด็ก ๆ ให้ยอมอยู่ในห้องเรียนอย่างสงบนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากอาทิตย์แรกทั้งอาทิตย์จึงหมดไปกับการพยายามทำให้เด็ก ๆ ที่เพิ่งห่างบ้านห่างครอบครัวเป็นครั้งแรก ยอมรับอ้อมกอดของครูและโรงเรียน ยังไม่ต้องพูดถึงการเรียนหรือสอนอะไรทั้งนั้น ฉันแอบดีใจที่เห็นเด็กหญิงดวงตาสดใสคนนั้นมาเรียนที่ห้องของเราด้วย แต่เมื่อถึงเวลาเช็กชื่อ กลับมองหาเธอไม่เจอ ฉันเล่าเรื่องเด็กหญิงคนนั้นให้ครูพี่เลี้ยงที่กำลังง่วนกับการป้อนข้าวและเช็ดปากให้กับเด็กสองคน ครูพี่เลี้ยงพูดเพียงว่าฉันอาจจะเข้าใจผิดไปเอง เด็กคนนั้นอาจะเรียนห้องอื่น อนุบาลเรามีตั้งหลายห้อง หรือไม่เด็กอาจจะเข้าห้อง
ต้นไผ่มันไม่เชื่อผมเลยทุกคืนกลางดึก ผมเห็นร่างตะคุ่มๆยืนอยู่ที่ระเบียง ทำท่าชะโงกมองอะไรสักอย่าง ก่อนจะเสียหลักพลัดตกลงไปข้างล่าง ในหูได้ยินทั้งเสียงตกกระแทกพื้นดังพลั่ก เสียงหักร้าวของกระดูก และเสียงร้องครางอือในลำคอ แต่เมื่อผมตามไปดูก็ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ“มึงหลอนไปเองแล้วโก้ กูบอกแล้วว่าให้นอนพักเสียบ้าง อ่านหนังสือเตรียมสอบถึงเช้าทุกวันแบบนี้ สมองอ๊องหมดแล้ว” มันว่าทั้งที่ตายังไม่ละออกจากเกมในโทรศัพท์มือถือ “เชื่อกู นอนบ้าง เล่นเกมบ้าง กินเหล้าบ้างก็ดี”ผมรำคาญและหงุดหงิดเสมอเมื่อมันพูดเหมือนไม่เคยใส่ใจปัญหาของผมเลย“ผี ห้องนี้แม่งต้องมีผี กูจะลองหาดู ในข่าวเก่าๆอาจจะมี”ผมลองเข้ากูเกิ้ล เซิร์ชหาข่าวด้วยชื่อตึกและคำว่าเสียชีวิต หาอยู่พักใหญ่จนพบข่าวหนึ่ง เป็นข่าวเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่ตกจากระเบียงตึกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อราวปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา แต่เมื่อคลิกจะเข้าไปอ่านรายละเอียดกลับเข้าไม่ได้ “เนตเป็นเหี้ยไรวะ!” ผมบ่นอย่างหงุดหงิด “ต้นไผ่ มึงใช้ 4G ป่ะ กูยืมแป๊บดิ ไวไฟแม่งไม่มีสัญญาณ” ไอ้ต้นไผ่ชำเลืองตามามองผมแวบหนึ่ง “มึงเชื่อกู เลิกค้นเรื่องนี้เถอะรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์”“
ครั้งแรกที่ฉันเข้ามาในห้องแลปภาษาเมื่อตอน ม. 1 ฉันตื่นตาตื่นใจมากกับคอกสี่เหลี่ยมเล็กๆที่กั้นด้วยพาทิชั่น มีกระจกบางๆใสๆ ในคอกมีหูฟังแบบครอบวางอยู่ช่องละอันในห้องแลปนั้นเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นเฉียบ ครูที่สอนภาษาอังกฤษเดินมาหน้าห้อง บอกให้นักเรียนทุกคนเข้าประจำที่โต๊ะเพื่อเตรียมฟังเสียงจากหูฟังในบทเรียนที่ครูกำลังจะสอน“เราจะเรียนที่นี่กันสัปดาห์ละครั้ง เพราะต้องเวียนใช้ในทุกระดับชั้น เพราะฉะนั้นเวลาเดินมาเรียนหัวหน้าห้องต้องคอยดูแลเพื่อนให้มาตรงเวลา ห้ามสาย ห้ามขาด ห้ามแวบไปที่อื่น ไม่งั้นถ้าเวลาน้อยเกินไปจะฟังไม่จบบท...เอาละ วันนี้เริ่มกันเลย นักเรียนใส่หูฟังได้ค่ะ”ทุกคนนั่งกันที่โต๊ะซึ่งมีตัวเลขระบุไว้ตามเลขที่ ฉันเลขที่ 15 ก็ได้นั่งโต๊ะตัวที่ 15 หูฟังของโต๊ะนี้ดูเหมือนจะอันใหญ่กว่าเพื่อนและมีฟองน้ำนุ่มหนา หุ้มด้วยหนังนิ่มอย่างดีเพื่อนที่นั่งโต๊ะข้างๆชะโงกมาดู “โห...หูฟังเริด ขอแลกได้ปะ ?”ฉันหันไปยิ้มให้ไม่ทันได้ตอบอะไรครูก็เริ่มพูดต่อ“เอ้า...กดเปิดที่ปุ่มสีแดงตรงมุมโต๊ะด้านซ้าย...มีไฟขึ้นไหม โต๊ะไหนไม่ติดบ้าง...โอเค ติดทุกโต๊ะนะ ปรับเสียงเบาหรือดังได้ที่ปุ่มข้างๆหูฟังด้านขวา.
เมื่อโรงเรียนเริ่มเปิดเทอม สีสันและชีวิตชีวาของโรงเรียนก็กลับมาเบ่งบานเต็มที่ เสียงของเด็ก ๆ เล่นกันสนุกสนาน เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ เสียงร้องตะโกน เสียงผู้ปกครองที่พยายามหาวิธีแกะลูกออกจากแขนขาตัวเองมาส่งให้ครู ฉันเองแม้จะเรียนเกี่ยวกับการศึกษามาและเคยฝึกสอนมาแล้ว แต่ก็ไม่เคยรับมือกับเด็ก ๆ อนุบาลที่ไม่เคยมาโรงเรียนมาก่อน แม้ที่นี่จะมีครูห้องละสองคน และมีครูพี่เลี้ยงคอยช่วยดูแลเด็กอีกคน แต่การจะพยายามทั้งปลอบ ทั้งดูแล ทั้งต้อนเด็ก ๆ ให้ยอมอยู่ในห้องเรียนอย่างสงบนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากอาทิตย์แรกทั้งอาทิตย์จึงหมดไปกับการพยายามทำให้เด็ก ๆ ที่เพิ่งห่างบ้านห่างครอบครัวเป็นครั้งแรก ยอมรับอ้อมกอดของครูและโรงเรียน ยังไม่ต้องพูดถึงการเรียนหรือสอนอะไรทั้งนั้น ฉันแอบดีใจที่เห็นเด็กหญิงดวงตาสดใสคนนั้นมาเรียนที่ห้องของเราด้วย แต่เมื่อถึงเวลาเช็กชื่อ กลับมองหาเธอไม่เจอ ฉันเล่าเรื่องเด็กหญิงคนนั้นให้ครูพี่เลี้ยงที่กำลังง่วนกับการป้อนข้าวและเช็ดปากให้กับเด็กสองคน ครูพี่เลี้ยงพูดเพียงว่าฉันอาจจะเข้าใจผิดไปเอง เด็กคนนั้นอาจะเรียนห้องอื่น อนุบาลเรามีตั้งหลายห้อง หรือไม่เด็กอาจจะเข้าห้อง
นับเป็นโชคดีของฉัน ที่พอเรียนจบก็มีตำแหน่งงานว่างที่โรงเรียนเก่าที่เคยเรียนเมื่อตอนมัธยม ตอนที่ฉันบอกแม่ว่าจะกลับไปเป็นครูสอนที่โรงเรียนเก่า และจะได้กลับไปอยู่บ้านกับแม่ แม่ดีใจมาก เร่งเตรียมห้องเตรียมข้าวของรอฉันกลับ แม่บอกว่า ตั้งแต่วันที่ฉันเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ ก็นึกว่าจะไปตั้งหน้าทำงานในกรุงเทพฯ เหมือนพวกพี่ ๆ เสียแล้วที่จริงแล้วฉันก็เคยคิด คิดว่าอยากจะไปไกล ๆ จากบ้านเก่า โรงเรียนเก่า ลบความทรงจำเก่า ๆ ออกไปแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ หลังจากที่เลิกกับแฟนคนแรกที่นี่เมื่อตอน ม. 5ใคร ๆ ก็บอกว่ารักวัยรุ่น ก็ต้องเรียนรู้ เจ็บบ้างอกหักบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ทำให้เราได้รู้จักเติบโต มีภูมิต้านทานความเจ็บ ความผิดหวังความเศร้าที่จะทยอยเข้ามาเรื่อย ๆ เมื่อเราเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ ฉันก็รับฟังและพยายามจะคิดอย่างนั้น แต่ตลอดเวลาหกปีที่ผ่านมา ความเจ็บช้ำที่เกิดจากแฟนคนแรกยังคงเป็นบาดแผลร้าวลึกจนไม่อยากเอ่ยถึงคนเรียนจบใหม่อย่างฉันในสาขาการศึกษา หางานยากยิ่งกว่าอะไร นั่นเองที่ฉันบอกว่าฉันโชคดีที่จู่ ๆ ก็ได้งานง่ายดาย เป็นงานประจำใกล้บ้าน ไม่ต้องเสียค่าที่พัก แถมได้อยู่กับแม่ โชคดียิ่งกว่านั้น ความหลังท
17. มาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนกลางดึก เมื่อได้ยินเสียงพี่พรพูดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว และยังมีเสียงหัวเราะคิกคักเหมือนเสียงเด็ก ๆ พอลืมตามองก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นร่างเล็ก ๆ นับสิบเป็นร่างเงาจาง ๆ แต่พอมีเค้าว่าเป็นเด็กเล็ก นั่ง นอน คลาน เดินไปมาอยู่รอบตัวพี่พรที่กำลังกางหนังสือนิทานอ่านด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ละร่างนั้นไม่ได้มาในสภาพน่าเวทนาอย่างคนถูกไฟไหม้ แต่มาในร่างอย่างเด็กน้อยไร้เดียงสาตามวัยก่อนที่พวกเขาจะตาย จึงทำให้แม้สถานการณ์ตอนนี้จะฟังดูน่าขนลุกเพียงใด แต่ฉันกลับรู้สึกสงสารระคนหลอน ตอนที่พี่พรถามว่ากลัวผีไหม ใครจะไปนึกว่าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย พี่พรเปิดหนังสือนิทานอ่านออกเสียงจากความทรงจำเพราะในห้องตอนนั้นมืด มีเพียงแสงสว่างรำไรจากแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างเท่านั้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรัก ความเมตตาและอ่อนโยน พี่พรตอนนี้ดูมีความสุขไม่ต่างจากตอนที่แกอยู่ท่ามกลางเด็ก ๆ ที่มีชีวิต ฉันนอนนิ่งตัวแข็ง ไม่กระดุกกระดิก ถึงจะน่ารักอย่างไรก็ผีทั้งนั้น สักพักหนึ่งก็รู้สึกเย็น ๆ ที่ข้อเท้า เหมือนมีมือเย็นเฉียบมาจับ
ฉันกับพี่พรรู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เราอยู่ค่ายอาสาเดียวกันทุกปี ค่ายของเราส่วนใหญ่จะอาสาไปสอนหนังสือเด็ก ๆ ในชนบทห่างไกล หลายแห่งมีครูอยู่คนเดียว ต้องสอนทุกระดับชั้นทุกวิชา โรงเรียนแบบที่แบกรับภาระหนักที่สุดคือโรงเรียนประเภทที่เป็นโรงเรียนประจำ เพราะต้องดูแลเรื่องที่อยู่อาศัย อาหารการกิน รวมถึงความปลอดภัยของเด็ก ๆ ด้วย หลายพื้นที่เช่นกันที่ครูคนเดียวรับหน้าที่นั้นทั้งหมด เป็นทั้งครู ทั้งพ่อและแม่ในคนเดียวกัน นี่ยังไม่รวมการที่ต้องเป็นคนคอยจัดหาเงินทุนเพื่อมาดูแลเด็ก ๆ และคอยประสานกับทางส่วนกลางในเรื่องเอกสารการเรียนต่าง ๆ อีก ในสมัยนั้นพวกเราเองก็ทำอะไรได้ไม่มาก แต่ละครั้งเราก็จะพากันขนสื่อการเรียนการสอนเท่าที่จัดหามาได้ รวมถึงหนังสือเรียน หนังสืออื่น ๆ เอาไปสร้างห้องสมุดหรือมุมหนังสือให้เด็ก ๆ ขอรับบริจาคพวกอุปกรณ์การเรียน เครื่องเขียน สมุดดินสอ หรือบางครั้งโชคดีก็ได้อุปกรณ์กีฬาบ้าง พวกเราเป็นครูชั่วคราวที่เด็ก ๆ มักจะรัก เพราะมีอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ ไปสอนไปเล่าให้ฟัง บางครั้งแม้ค่ายจะจบลงในเวลาเพียงครึ่งเดือน แต่วันที่พวกเราจะ
ใครที่เคยอ่านหรือฟังเรื่องผีกันเป็นประจำคงคุ้นเคยกับผีที่มีฉายาลงท้ายว่าแดง โดยมีที่มาจากเลือดที่สาดลงบนสิ่งของสีขาว อย่างเช่น ผีเสื้อแดง ผีชุดแดง ผีโบแดง และเรื่องนี้ของผมก็เหมือนกัน ตัวแดงมาอีกแล้วแต่ไม่หรอก คราวนี้ไม่เหมือนตัวอื่นๆ เพราะผีตัวนี้ใช้กระเป๋าสีแดงจริงๆตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นคนมีชีวิตอยู่ มันเป็นเพื่อนผมเองครับ...เพื่อนคนนี้ชื่อจิ๊บ อยู่ ม. 2/2 เรียนห้องเดียวกับผม เมื่อเทอมที่แล้วมันยังนั่งข้างผมอยู่เลย เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ สูงประมาณ145 เซนติเมตร เตี้ยสุดในห้องผิวขาวเหมือนไข่ปลอก หน้าหมวยตาตี่ จัดฟันอยู่แต่ยิ้มสวยไว้ผมหน้าม้า รวบผมหางม้า ร่าเริงตลอด มองดูเวลาวิ่งแล้วมีท่าทางดุ๊กดิ๊กๆเหมือนตุ๊กตาจนเพื่อนๆชอบเรียกมันว่าไอ้จิ๊บหมากระเป๋าเวลานั่งกับผมก็ชอบแกล้งชอบอำจนบางทีผมโกรธ แต่ก็โกรธได้ไม่นานหรอกเพราะมันน่ารัก เวลามีงานโรงเรียนจิ๊บมันไม่ค่อยได้รับเลือกไปแสดงอะไรกับเขาเพราะตัวเล็ก มีก็แต่กิจกรรมการเป็นเชียร์ลีดเดอร์ที่พี่ๆม.ปลายเห็นแล้วชอบ เพราะมันเล่นยิมนาสติกเก่ง ทรงตัวดี เวลามีท่าต่อตัว ให้มันขึ้นอยู่บนยอดก็สบายๆ โยนรับได้ง่ายเพราะตัวเบาหวิวไม่
ฉันไม่เคยอายที่มาจากบ้านยากจน และไม่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชควาสนาของตัวเองที่ไม่ได้อยู่สุขสบายเหมือนพวกลูกคนมีเงิน ฉันช่วยพ่อแม่ทำงาน ขายขนม รับจ้างนิดๆหน่อยๆ มาตั้งแต่เล็กๆไม่เคยรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อยหรือเป็นภาระ กลับรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ทำตัวเป็นประโยชน์ให้กับครอบครัว พ่อแม่ของฉันรักและดูแลฉันเป็นอย่างดี ท่านสอนเสมอว่า หากเรามั่นใจว่าเราคิดดี ทำดี จิตใจสะอาดสุจริต เราก็ไม่ต้องไปกลัวสายตาหรือคำครหานินทาของใครทั้งนั้น ชีวิตเราอยู่ที่การกระทำของเรา ไม่ได้อยู่ที่ขี้ปากของคนอื่น...ซึ่งก็จริงดังที่เขาว่า เด็กๆอยู่กับความยากจนได้ดีกว่าความเกลียดชัง ถึงลำบากกายแต่ถ้าหัวใจได้รับความรักเต็มเปี่ยม อย่างไรก็มีแต่ความสุข นอกจากช่วยงานพ่อแม่ที่ร้านและที่บ้านเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายแล้วหากมีโอกาสที่ครูอาจารย์จะเรียกใช้งานเล็กน้อยแลกเงินห้าบาทสิบบาท อย่างเช่น ล้างจาน ซื้อของ วิ่งไปหยิบของที่ตึกไกลๆ ขัดรองเท้า ฉันจึงทำทุกอย่างโดยไม่แคร์สายตาใคร ดังนั้นเมื่อได้รู้ว่าครูบรรณารักษ์ต้องการคนช่วยดูแลทำความสะอาดห้องสมุดทุกวันในตอนเช้าและหลังเลิกเรียน โดยจะได้ค่าตอบแท
แม่ไตตั้นตัดสินใจอยู่เฝ้าลูกที่โรงเรียนทั้งวันในวันแรก ช่วงเช้าราบรื่นดี น้องไตตั้นสามารถเล่นและทำกิจกรรมกับเพื่อนๆได้ตามปกติ ดูสนุกสนานร่าเริงมีชีวิตชีวาดี ขนาดว่าเพื่อนบางคนยังร้องไห้งอแงไม่หยุด ไตตั้นก็ยังช่วยปลอบจนเพื่อนหยุดร้องและทำกิจกรรมต่างๆกับเพื่อนคนอื่นต่อไปได้ ช่วงพักกลางวัน แม่ไตตั้นยังเดินมาดูลูกกินข้าวกับเพื่อนๆ ดูเหมือนเด็กชายเข้ากับที่นี่ได้ดีกว่าที่คิด กินข้าวหมดจานจนต้องขอเพิ่ม ครูหันมายิ้มให้แม่ไตตั้นที่มองดูอยู่ไกลๆ แม่ไตตั้นยิ้มตอบ สบายใจและคิดว่าวันนี้ทั้งวันคงไม่มีอะไรแล้ว ก่อนเข้าเรียนบ่าย แม่ไตตั้นแอบมาคุยกับลูก “เป็นไงบ้างไตตั้น ชอบที่นี่ไหม ?” ไตตั้นยิ้มละไม “ชอบครับ ครูใจดีทุกคนเลย ครูเสื้อเหลืองเล่นกลเก่ง” แม่ไตตั้นขมวดคิ้ว “เหรอลูก...” ตั้งแต่เข้ามานั่งเฝ้าลูก เธอก็เห็นครูอยู่สองคน คือครูประจำชั้นกับครูผู้ช่วย ยังไม่เห็นครูใส่เสื้อสีเหลืองที่ไหนสักคน แต่ก็ยังพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าลูกอาจจะจำผิดก็ได้ จนกระทั่งถึงเวลานอนบ่าย แม่ไตตั้นที่นั่งเฝ้าอยู่ด้วยความเครียดมาตั้งแต่เช้าก็เพลียมาก บวกกับสบ