เพราะมัวแต่ไล่ตามเขา จางเหวินชิงจึงไม่เห็นคุณค่า คงถึงเวลาที่เธอจะต้องกลับมารักตัวเองแล้วสินะ
ดูเพิ่มเติมบรรยากาศเศร้าสร้อย และเสียงร้องไห้ที่เปล่งออกมาราวกับว่าคนร้องกำลังจะขาดใจนั้น สร้างความหดหู่ให้กับผู้คนที่พบเจอเป็นอย่างมาก
ก็แน่ล่ะเป็นใครก็ต้องร้องไห้แทบขาดใจทั้งนั้น ถ้าหากว่าได้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปพร้อมกันถึงสองคน ‘นภา’ หญิงสาววัยสามสิบปียืนมองขึ้นไปบนเมรุเผาศพด้วยสายตาที่ฝ้าฟางเพราะว่าน้ำตามันเอ่อล้นออกมา ซึ่งในนั้นมีร่างที่ไร้วิญญาณของสามีและลูกชายวัยสี่ขวบของเธอนอนแน่นิ่งอยู่ และตอนนี้เปลวไปสีเหลืองส้มกำลังลามเลียและเริ่มเผาไหม้ร่างกายของคนทั้งสองให้มอดไหม้ไป และสุดท้ายก็คงจะเหลือเพียงเถ้ากระดูกเพียงเท่านั้น “ฮือ ๆๆๆ” นภาร้องไห้ออกมาเสียงดังจนพี่เจนเพื่อนข้างบ้านต้องเข้าไปกอดปลอบ “ทำใจเถอะนะ ทั้งสองคนทำบุญมาแค่นี้” “แล้วหนูจะอยู่ยังไงล่ะคะพี่เจน ? ทั้งชีวิตนี้ก็มีแค่เขาสองคนเท่านั้น” นภาพูดออกมาพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น เธอเป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และได้มาพบรักกับผู้เป็นสามี เธอกับสามีได้แต่งงานและมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน ซึ่งลูกชายของเธอก็เพิ่งจะฉลองวันเกิดครบสี่ขวบไปเมื่อเดือนที่แล้ว ดูเหมือนว่าชีวิตของนภาก็มีความสุขดี สามีของเธอก็รักและเอาใจใส่เธอดี ลูกชายของเธอก็น่ารัก กำลังจ้ำม่ำและฉลาดเฉลียว แต่ทว่าความสุขมักจะอยู่กับเราได้ไม่นาน เพราะเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนนั้น สามีของนภาได้พาลูกชายไปหัดปั่นจักรยานที่ถนนหน้าบ้าน โชคร้ายมีคนเมาแล้วขับ ขับรถพุ่งชนสามีและลูกชายของเธอจนเสียชีวิตคาที่ ในตอนนั้นเธอที่ทำกับข้าวอยู่ในครัวได้ยินเสียงดังสนั่น จึงได้รีบวิ่งออกมาดู และพอเห็นร่างของลูกชายและสามี ก็แทบล้มทั้งยืน “ต้องอยู่ได้สิ” พี่เจนพูดพูดปลอบนภา แล้วก็ประคองพาร่างบอบบางให้เข้าไปในศาลาเพื่อฟังพระสวด พี่เจนเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดคำไหนเหมือนกัน ถ้าอยู่ในสถานการณ์เหมือนเช่นนี้ เธอเองก็คงจะสติแตกเช่นเดียวกัน หลังจากงานศพของสามีและลูกชายผ่านพ้นไป นภาก็ยังทำใจไม่ได้ เธอเอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้าน ไม่ยอมออกไปทำงาน ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน “นภา ๆ !” เสียงพี่เจนมาตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้าน นภาที่นอนซมอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ ในมือกอดรูปถ่ายของสามีและลูกเอาไว้ วางรูปถ่ายลงบนโต๊ะ แล้วจึงได้ลุกขึ้นและเดินโซเซออกไปหาคนที่มาตะโกนเรียก “นภา พี่มาชวนไปกินข้าว” “ไม่เป็นไรพี่ นภาไม่หิว” พี่เจนเป็นห่วงเพราะเห็นว่าตั้งแต่เสร็จจากงานศพของสามีและลูกของนภา เธอก็ไม่ยอมออกจากบ้านเลย “ไปเถอะนะ วันนี้แม่พี่เขาทำขนมจีนน้ำยา แกบอกให้มาชวน” พี่เจนไม่ฟังคำปฏิเสธของนภา แต่ว่าได้คว้าแขนของเธอและลากจูงออกมาจากบ้าน แล้วก็พาเธอเดินตรงไปที่บ้านของตัวเอง ร่างบอบบางไม่อยากไปแต่ก็สู้แรงของพี่เจนไม่ได้ จึงจำต้องยอมเดินเข้าไปในบ้านหลังข้าง ๆ “นั่งตรงนี้ เดี๋ยวพี่ไปเอาขนมจีนน้ำยามาให้กิน” พี่เจนบอกให้เธอนั่งลงที่โต๊ะม้าหินอ่อนที่อยู่หน้าบ้าน ก่อนที่ตัวเองจะเดินหายเข้าไปในห้องครัว นภามองไปที่บ้านของตัวเองซึ่งอยู่ติดกันกับบ้านของพี่เจน ความทรงจำเกี่ยวกับลูกชายและสามีก็กลับมาอีกครั้ง “แม่จ๋า หนูรักแม่จังเลย” “แม่ก็รักหนูจ้ะ” เด็กน้อยเดินเข้ามากอดแม่ แล้วก็จุ๊บแก้มซ้ายขวาข้างละที “นั่นแน่ จุ๊บแต่แม่เหรอ ?” เสียงของผู้เป็นพ่อพูดออกมา เด็กน้อยจึงผละออกจากอ้อมกอดของแม่ กระโดดเข้าไปในอ้อมกอดของพ่อแทน ร่างสูงนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าของเด็กน้อย เด็กน้อยจึงคว้าคอของพ่อเอาไว้ แล้วก็จูบแก้มซ้ายขวาของพ่อข้างละที เพราะกลัวว่าพ่อจะน้อยใจ นภาเดินเข้าไปกอดสองพ่อลูกเอาไว้ในอ้อมแขน แล้วทั้งสามคนก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน “ได้แล้วจ้า ขนมจีนน้ำยาสุดอร่อย” พี่เจนถือจานขนมจีนมาวางไว้ตรงหน้าของนภา กลิ่นของน้ำยาปลาทู ลอยมาแตะจมูกของเธอทันที “น่าทานจัง” พึมพำออกมา แต่ว่าก็ยังไม่ยอมหยิบช้อนกับส้อม “น่าทานก็ทานซะหน่อยสิ อร่อยมากเลยนะแม่พี่ทำสุดฝีมือเลย เพราะแกรู้ว่านภาชอบ” พี่เจนคะยั้นคะยอ นภาจึงหยิบช้อนกับส้อมขึ้นมา ตักขนมจีนน้ำยาเข้าปากไปหนึ่งคำ แต่พอปลายลิ้นสัมผัสกับรสชาดของมัน เธอก็ร้องไห้ออกมา “ฮือ ๆๆๆ” พี่เจนรีบเข้าไปกอดปลอบใจ ร่างบอบบางนั้นร้องไห้จนไหล่ไหวสะท้าน ‘ไม่น่าเลยกรู’ พี่เจนคิดในใจ เพราะลืมนึกไปว่าขนมจีนน้ำยาแบบนี้นอกจากนภาจะชอบทานแล้ว สามีของนภาก็ชอบทานด้วย นี่เธอไปสะกิดต่อมความทรงจำของคนสูญเสียอีกแล้ว นภาฝืนทานขนมจีนจานนั้นไปได้สองสามคำเธอก็อิ่ม และขอตัวกลับ ในเมื่อรั้งไว้ไม่ได้พี่เจนจึงเดินไปส่งเธอที่บ้าน “มีอะไรก็เรียกนะ หรือโทรก็ได้” พี่เจนบอกกำชับกับนภาก่อนที่จะเดินกลับบ้านของตัวเอง ในใจก็นึกเป็นห่วงเพราะกลัวว่านภาจะคิดสั้น นภากลับมานอนซมที่โซฟาตัวเดิมแล้วก็กอดรูปถ่ายของสามีและลูกเอาไว้เช่นเดิม น้ำตาไหลลงมาข้างแก้ม เธอนอนร้องไห้แบบนั้นอยู่นานจนผล็อยหลับไป นภาตื่นขึ้นมาในตอนกลางดึก ภายในบ้านมืดสนิท เพราะว่าก่อนที่เธอจะหลับไป เธอไม่ได้เปิดไฟ อาการปวดหัวแล่นเข้าเล่นงานเธอทันที คงจะมาจากการที่เธอร้องไห้อย่างหนักนั่นเอง นภาจึงลุกขึ้นเปิดไฟ เดินตรงไปที่ตู้ยาสามัญประจำบ้านเพื่อหายาแก้ปวดมาทาน “แม่จ๋า แม่คิดถึงหนูมั้ย ?” เสียงเล็ก ๆ แว่วมาจากที่ไกลแสนไกล นภามองซ้ายมองขวา แล้วก็พึมพำออกมาเบา ๆ “คิดถึงสิ แม่คิดถึงหนูมาก” พลางควานหากระปุกยาแก้ปวดในตู้ยาไปด้วย ในตอนนี้เธอปวดหัวมากจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ แล้วในที่สุดเธอก็เจอกระปุกยาแก้ปวด “นภากินให้หมดเลยนะ จะได้หายทรมาน” เสียงห้าวทุ้มกระซิบที่ข้างหูของเธอ นภาจำได้ดีว่าเสียงนี้เป็นเสียงของสามีของเธอนั่นเอง “ได้จ้ะพี่” เธอพึมพำตอบเสียงนั้นไป แล้วก็เปิดฝากระปุกยา เทยาเม็ดสีขาวลงมาเต็มอุ้งมือ ก่อนที่จะนำมันเข้าไปในปากทั้งหมด เดินเข้าไปในครัวเปิดตู้เย็นและดื่มน้ำในขวด นภาเดินกลับไปที่โซฟา และล้มตัวลงนอน คว้ารูปถ่ายของสามีกับลูกชายมากอดเอาไว้เช่นเดิม แล้วเธอก็ค่อย ๆ ผล็อยหลับไปอีกครั้งหนึ่งเดือนต่อมา จางเหวินชิงกับหลินเสี่ยวเหยาได้มาเที่ยวที่ต่างประเทศด้วยกันลำพังสองคน ทั้งสองคนตกลงกันว่าจะลองให้โอกาสกันและกันดู แล้วก็ลองศึกษาดูนิสัยใจคอกันใหม่ด้วย ซึ่งคุณย่าทวดและจางจ้าวเหวินต่างก็เห็นดีเห็นงามด้วยกับทั้งคู่โดยก่อนที่หนุ่มสาวทั้งสองจะเดินทางมาต่างประเทศ คุณย่าทวดก็ได้กำชับหนักแน่นว่าให้หลินเสี่ยวเหยารีบมีน้องของจางจ้าวเหวินเร็ว ๆ และพอบอกเรื่องนี้กับเจ้าตุ้ยนุ้ย เด็กน้อยก็เฝ้ารอคอยน้องชายกับน้องสาวอยู่ตลอดเวลา"เหวินชิง คุณดูนั่นสิ"หลินเสี่ยวเหยาชี้ชวนให้จางเหวินชิงดูกุหลาบแดงช่อใหญ่ ที่วางขายอยู่ตรงริมฟุตบาท เขามองดูเธอด้วยสายตารักใคร่ เพราะเธอทั้งสดใสน่ารักและก็ไม่ใช่คนเอาแต่ใจอย่างที่ผ่านมาเลย "อยากได้เหรอ ?"เสียงห้าวทุ้มเอ่ยถามเธออย่างอ่อนโยน พร้อมกับจูงมือเธอพาเดินไปที่กุหลาบสีแดงช่อนั้น "อืม..ก็มันทั้งสวยแล้วก็หอมด้วย"เธอตอบเขาพลางก้มลงมองกุหลาบช่อนั้นใกล้ ๆ จางเหวินชิงจึงถามราคาจากคนขายแล้วก็จ่ายเงิน เมื่อเสร็จเรียบร้อยเขาก็ส่งกุหลาบแดงช่อนั้นให้เธอ หลินเสี่ยวเหยารับมันมาถือเอาไว้แนบอก ก้มลงดอมดมกลิ่นหอมของมัน"ขอบคุณมากค่ะ"เธอกล่าวขอบคุณเขาออกมาด้วย
ในตอนเช้าหลินเสี่ยวเหยางัวเงียตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตอนนี้เธออยู่ในอ้อมกอดของจางเหวินชิง จึงรีบขยับตัวเพื่อจะออกจากอ้อมแขนของเขา "จะรีบลุกไปไหน ยังเช้าอยู่เลย ?"แต่ว่าจางเหวินชิงกลับไม่ยอมปล่อย เขากลับกอดกระชับอ้อมแขนแกร่งรัดตัวเธอให้แน่นขึ้น "คุณ..ปล่อยนะ"เธอบอกเขาเสียงห้วน สายตามองหาร่างอ้วนกลมของลูกชาย ก็พบว่าจางจ้าวเหวินนอนอยู่ที่พื้นข้างเตียง"เมื่อก่อนคุณรังเกียจฉันอย่างกับอะไรไม่ใช่หรือไง ?"จบประโยคของเธอ จางเหวินชิงจึงได้คลายอ้อมแขนออก สายตามีแวววูบไหวอยู่ในนั้น แต่หลินเสี่ยวเหยาไม่ได้สนใจท่าทางของเขา ปีนลงจากเตียงและไปปลุกลูกชายให้ไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียนจางเหวินชิงจึงได้ลุกขึ้น เขากลับไปทำธุระส่วนตัวที่ห้องนอนของตัวเอง และไปนั่งรอสองแม่ลูกที่โต๊ะทานข้าว"วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอ ?"คุณย่าเอ่ยถาม เพราะเห็นว่าวันนี้เขาใส่ชุดลำลอง เสื้อยืดสีเทาแขนยาวแล้วก็กางเกงสแล็คสีกรมท่า ไม่ใช่ชุดสูทสำหรับไปทำงาน"ผมจะไปร่วมกิจกรรมที่โรงเรียนของจ้าวเหวินครับ""คุณย่าไปด้วยไหมครับ ?"จางจ้าวเหวินเดินเข้ามาพร้อมแม่ ทันได้ยินที่คุณย่าคุยกับพ่อ เขาจึงชวนท่านไปด้วย "ไม่ล่ะ หนูไปกับคุณพ่อค
"ฉันคุยกับคุณย่าแล้ว ท่านไม่มีปัญหาค่ะ รอแค่เราสองคนพร้อมเท่านั้น ท่านเคารพการตัดสินใจของเรา"คำพูดของหลินเสี่ยวเหยาสะท้อนกลับไปกลับมาในโสตประสาทของจางเหวินชิง จู่ ๆ เขาก็ไม่อยากหย่ากับเธอขึ้นมา ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองเลยจะว่าไปแล้วที่หลินเสี่ยวเหยามีนิสัยที่ไม่ดีหลายอย่าง ทั้งตามหึงหวง เหวี่ยงวีนผู้หญิงทุกคนที่เข้าใกล้เขา ความผิดส่วนหนึ่งก็เกิดจากตัวเขาเอง เขาไม่เคยให้เกียรติเธอในฐานะภรรยา เย็นชาและไม่เคยพูดดีกับเธอเลยสักครั้ง แถมยังท้ทเธอหย่าเกือบทุกวัน จนเธอต้องสร้างเรื่องเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา แต่พอมาวันนี้เธอหยุดทำแบบนั้นและเป็นคนเอ่ยปากเรื่องหย่าขึ้นมาเองเขากลับรู้สึกเจ็บจางเหวินชิงยกมือขึ้นมาก่ายหน้าผาก อยากจะข่มตาให้นอนหลับ แต่มันก็หลับไม่ลง เขาเลื่อนมือลงไปลูบตรงสะบักเอวของตัวเองเบา ๆ'ไตของเธอข้างหนึ่งอยู่กับเขา'หลินเสี่ยวเหยาคงรักเขามากจริง ๆ แม้แต่อวัยวะในร่างกายยังยอมเสียสละให้เขาได้ นี่เขาตามืดบอดมองไม่เห็นความรักของเธอได้ยังไงกัน แต่กับกู่เยี่ยนถิงเขากลับหลงเชื่อและงมงาย คิดว่าเธอรักเขาจริง ๆ แต่แท้จริงแล้วเธอวางแผนทุกอย่างเพื่อใช้เขาเป็นสะพานไปสู่ความต้
หลังจากเรื่องของกู่เยี่ยนถิงผ่านไป ถึงแม้ว่าความจริงทุกอย่างจะเปิดเผยแล้วก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลินเสี่ยวเหยาและจางเหวินชิงก็ไม่ได้ดีขึ้นจากแต่ก่อนเลยหลินเสี่ยวเหยาโกรธที่จางเหวินชิงไม่ยอมจัดการตอนที่รู้ว่ากู่เยี่ยนถิงปองร้ายจางจ้าวเหวิน ส่วนตัวจางเหวินชิงนั้นเขาก็รู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุทำให้เรื่องราวไม่ดีต่าง ๆ เกิดขึ้นมา รวมทั้งเรื่องที่ความจริงแล้ว คนที่มอบไตให้เขาก็คือหลินเสี่ยวเหยาไม่ใช่กู่เยี่ยนถิงด้วยจางเหวินชิงกินนอนที่บริษัทเป็นส่วนใหญ่ เขาแทบไม่ได้กลับไปที่คฤหาสน์เลย แม้แต่คุณย่าเองที่เมื่อก่อนจะเป็นเดือดเป็นร้อนทุกครั้งที่เขาไม่ยอมกลับบ้าน มักจะคอยโทรตามขอร้องกึ่งบังคับให้เขากลับ แต่ตอนนี้ท่านกลับไม่ทำแบบนั้นเลย"พ่อคร้าบบ"วันนี้เป็นวันเสาร์ จางจ้าวเหวินไม่ได้ไปโรงเรียน เขาจึงมาหาจางเหวินชิงที่บริษัท เนื่องจากว่าพ่อไม่กลับบ้านนานนับเดือนแล้ว เจ้าตุ้ยนุ้ยคิดถึงพ่อมาก จึงขอให้แม่พาเขามา "จ้าวเหวิน มาได้ยังไง ?"ร่างอ้วนกลมของจางจ้าวเหวินวิ่งเข้าไปหาพ่อที่ห้องทำงาน จางเหวินชิงก้าวยาว ๆ ไปหาลูกชาย แล้วก็ย่อตัวลงอุ้มเจ้าตุ้ยนุ้ยขึ้นมา เขากอดคอพ่อเอาไว้แล้ว
ราว ๆ ห้าโมงเย็นจางเหวินชิงก็กลับมาถึงคฤหาสน์ เขารีบเดินเข้าไปในห้องรับแขก เพราะเกาถานแจ้งว่า กู่เยี่ยนถิงอยู่ที่นั่น"เยี่ยนถิง คุณมาทำไม ?"เขาถามเธอออกไปด้วยความโมโห แล้วก็กระชากแขนเธอให้ลุกขึ้น"ก็คุณไม่ยอมไปหาฉัน พอฉันไปหาคุณที่บริษัทคุณก็ไล่ฉันกลับ ฉันอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น คุณโกรธฉันเรื่องอะไร ?"กู่เยี่ยนถิงถามเขาเสียงเครือ น้ำตาเริ่มรื้นขึ้นมาคลอหน่วย "เยี่ยนถิง เพราะอะไรคุณรู้ดีที่สุด"จางเหวินชิงบอกกับเธอเสียงเย็นชา กู่เยี่ยนถิงชะงักไป อย่าบอกนะว่าเขารู้อะไรมา แต่ว่าเธอก็ยังคงบีบน้ำตาและถามเขาออกมาเสียงสั่น ดูช่างน่าสงสาร"รู้อะไรคะ ?""เลิกเสแสร้งเถอะ ผมรู้เรื่องหมดแล้วทั้งเรื่องที่คุณวางยาจ้าวเหวินเพื่อจะโยนความผิดให้เสี่ยวเหยา แล้วก็ที่คุณวางยาเดวิด เพราะว่าคุณเป็นคนสั่งให้เขามาจับตัวเสี่ยวเหยา คุณย่าและจ้าวเหวิน"เขาพูดเสียงดังชัดถ้อยชัดคำ ย้ำชัด ๆ ให้ผู้หญิงตรงหน้าได้ยิน แต่ว่ากู่เยี่ยนถิงกลับปฏิเสธ"ไม่จริงค่ะ ฉันไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น แม้แต่มดสักตัวฉันยังไม่เคยฆ่า แล้วฉันจะวางยาเดวิดกับลูกชายคุณได้ยังไง !?""คุณหยุดพูด และกลับไปเสียเถอะแล้วก็อย่ามายุ่งกับผมอีก ผมไม่
"เหวินชิงคะ"กู่เยี่ยนถิงมาดักรอพบเขาที่บริษัท แต่ว่ารปภ. ไม่ยอมให้เธอเข้าไปเพราะจางเหวินชิงสั่งเอาไว้ เธอไม่มีข้ออ้างแล้วด้วยเพราะงานถ่ายแบบที่เธอเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับจางกรุ๊ปนั้นถ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอเอ่ยเรียกเขาเสียงหวานทันทีที่เขาก้าวลงมาจากรถ กู่เยี่ยนถิงมารอเขาที่ลานจอดรถตั้งแต่เช้าแล้ว เพราะว่าจางเหวินชิงไม่ยอมไปหาเธอเลยตั้งแต่วันที่เกิดเหตุการณ์ลักพาตัวคนในครอบครัวเขา พอเธอโทรหาและถาม เขาก็บอกว่างานยุ่ง"เยี่ยนถิง มาทำไม ?"น้ำเสียงเย็นชาที่เอ่ยออกมานั้น กู่เยี่ยนถิงแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เขาไม่เคยพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงแบบนี้มาก่อน แม้จะโกรธแต่ก็ต้องระงับเอาไว้ เอ่ยบอกเขาเสียงอ่อนหวาน"ฉันคิดถึงคุณ"พูดจบก็เดินเข้าไปใกล้เพื่อจะเกาะแขนเขา แต่จางเหวินชิงสะบัดแขนออก"กลับไปเถอะเยี่ยนถิง แล้วก็ไม่ต้องมาให้ผมเห็นหน้าอีก""อะไรกันคะเหวินชิง ทำไมพูดแบบนี้ คุณโกรธเรื่องอะไร ?"เธอรีบถามเขาเสียงแผ่ว น้ำตารื้นขึ้นมาทันที สบตากับเขาใบหน้าแดงก่ำ ราวกับเจ็บปวดนักหนา ถ้าหากว่าเป็นเมื่อก่อน จางเหวินชิงจะรีบกอดและเอ่ยปลอบใจเธอทันที แต่ว่าวันนี้มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น"คุณกลับไปเถอะ"เขาพูดเพ
เมื่อทำอาหารเสร็จ หลินเสี่ยวเหยาก็บอกให้เกาถานกับเจียวหนิงตั้งโต๊ะ ส่วนเธอนั้นเดินไปหาลูกชายกับคุณย่าที่ห้องนั่งเล่น"คุณย่า จ้าวเหวินทานข้าวค่ะ"คุณย่ากับเจ้าตุ้ยนุ้ยที่กำลังช่วยกันระบายสีรูปช้างอยู่ก็หยุดมือ และเดินตามหลินเสี่ยวเหยาไปที่ห้องอาหาร ระหว่างที่ทุกคนจะลงมือทานข้าวนั้น จางเหวินชิงก็เดินเข้ามา"เหวินชิง ย่านึกว่าแกตายไปแล้วเสียอีก"คุณย่าเอ่ยประชดหลานชาย เพราะว่าตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ท่านมาพักที่นี่จางเหวินชิงไม่ได้กลับมาบ้านเลย "โธ่คุณย่าครับผมงานยุ่ง""งานยุ่ง หรือแกมัวแต่ยุ่งกับแม่ดารานั่นกันแน่"คุณย่าก็ยังไม่ยอมหยุดประชดประชันหลานชายตัวดี จางเหวินชิงเงียบไม่ยอมพูดอะไรต่อ ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน นั่งลงข้าง ๆ ลูกชาย เกาถานจึงเอาชามมาเพิ่มและตักข้าวให้เขาคุณย่ายังคงมองหน้าหลานชายตาขวาง หลินเสี่ยวเหยาจึงสะกิดให้จางจ้าวเหวินตักกับข้าวใส่จานให้ท่าน เพื่อให้ท่านคลายความโมโห"คุณย่าครับทานนี่ดูหน่อย ต้มยำกุ้งเป็นอาหารไทย แม่หนูทำอร่อยมาก"เจ้าตุ้ยนุ้ยตักกุ้งตัวพอเหมาะใส่ไปในชามข้าวของคุณย่า ท่านหันมายิ้มให้เขาและเอ่ยชมไม่ขาดปาก"จ้าวเหวินของย่า กตัญญูจริง ๆ
"แม่คร้าบบ !"เจ้าตุ้ยนุ้ยวิ่งมาหาแม่ที่กำลังยืนทำกับข้าวอยู่ในครัวด้วยความดีใจ หลังจากเหตุการณ์ลักพาตัวผ่านพ้นไปได้หนึ่งสัปดาห์ ทุกคนก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ และคุณย่าก็มาอยู่ที่คฤหาสน์กับพวกเธอแบบถาวรวันนี้หลินเสี่ยวเหยาไม่ได้ไปรับจางจ้าวเหวินที่โรงเรียน เพราะเธอรู้สึกเวียนหัวจึงให้คุณย่าไปรับเขาแทน เมื่อมาถึงบ้านเจ้าตุ้ยนุ้ยจึงวิ่งเข้ามาหาแม่ด้วยความคิดถึงจางจ้าวเหวินวิ่งเข้าไปกอดเอวแม่ทางด้านหลังเต็มแรง ด้วยน้ำหนักตัวของเจ้าตุ้ยนุ้ยทำให้เกิดแรงกระแทกใส่ตรงบั้นเอวของหลินเสี่ยวเหยา เธอเจ็บแปล๊บขึ้นมาทันที"จ้าวเหวิน เบา ๆ หน่อยครับ แม่ปวดหลัง"เธอกัดฟันข่มความเจ็บปวดแล้วก็เอี้ยวตัวไปบอกลูกชาย อาการปวดหลังของเธอจะมีขึ้นหากมีอะไรมากระแทกตรงบริเวณบั้นเอวแรง ๆ"หนูขอโทษครับ แม่หายปวดหรือยัง เดี๋ยวหนูเป่าให้"เจ้าตุ้ยนุ้ยเอ่ยขอโทษออกมา และถามแม่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แล้วเขาก็เป่าฟู่ ๆ ไปตรงบริเวณบั้นเอวของผู้เป็นแม่สองสามที หลินเสี่ยวเหยาซาบซึ้งใจในความห่วงใยของลูกชายที่มีต่อเธอ น้ำตารื้นขึ้นมา ลูกชายของเธอช่างน่ารักจริง ๆ"หายแล้วจ้ะ หนูไปนั่งรอแม่กับคุณย่าก่อนนะ""ครับแม่"จางจ้าวเหวินจ
หลินเสี่ยวเหยามองไปที่มือของตัวเอง ก็พบว่ามือใหญ่ของจางเหวินชิงกุมมือของเธอเอาไว้ เขาเองก็เหมือนจะรู้ว่าเธอมอง แต่ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และไม่ยอมปล่อยมือเธอเธอจึงปล่อยเลยตามเลย อยากจับก็จับไปขืนเธอพูดอะไรออกมาเดี๋ยวเขาก็หาว่าเธอเรียกร้องความสนใจอีก จางเหวินชิงลอบยิ้มอย่างพอใจ ใบหน้าเย็นชานั้นดูหล่อเหลาขึ้นมาหลายส่วน หลินเสี่ยวเหยามองเขาตาค้างไป เพราะถึงยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคือผู้ชายที่เธอรักมาก และเธอก็ไม่คิดจะรักใครได้อีก ถึงแม้ว่าจะหย่ากับเขาก็ตาม ถึงวันนั้นเธอก็ไม่คิดจะเริ่มต้นใหม่กับใครแม้ว่าในตอนนี้คนที่อยู่ในร่างนี้จะเป็นนภา แต่ว่าความรู้สึกนึกคิด ความชอบและความรักก็ยังคงเป็นของหลินเสี่ยวเหยาคนเดิม "แล้วคุณรู้ได้ไงว่า พวกเราถูกจับตัวไปที่นั่น ?"เธอเอ่ยถามเขาออกมาแก้เขิน จางเหวินชิงจึงได้เริ่มเล่าเรื่องราวให้เธอฟังในขณะที่จางเหวินชิงกำลังนั่งทำงานอยู่ และเริ่มรู้สึกไม่พอใจกู่เยี่ยนถิงมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าเธอไม่ได้อยู่เงียบ ๆ ตามที่เธอพูด แต่กลับมาคอยก่อกวนและยั่วยวนเขา จนเขาเกือบจะให้ รปภ. มาโยนตัวเธอออกนอกห้องทำงานนั้น ม่อหนานก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา"ท่านประธานครับ เ
ความคิดเห็น