ร่างในชุดเครื่องรำแปลกประหลาดตรงหน้ายังคงร่ายรำอย่างเชื่องช้า แช่มช้อย เอียงร่างกายท่อนบนจนเอวแทบขนานกับพื้น ค่อยๆวาดเท้าหันกลับมาที่ฉันช้า ๆ
ทั้งที่กำลังขวัญผวากับภาพตรงหน้า เสียงหัวใจเต้นเร็วแรงเหมือนกระโดดจากในอกมาอยู่ในแก้วหูแต่ฉันกลับควบคุมตัวเองไม่ได้ เท้าทั้งสองค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ใบหน้าที่กำลังจ้องมองกลับมาเป็นใบหน้าของเจี๊ยบแท้ๆ แต่นั่นเหมือนไม่ใช่ เป็นความขัดแย้งที่แปลกประหลาด
ร่างนั้นแสยะยิ้มให้ ริมฝีปากแดงฉ่ำวาดยาวไปบนแก้ม ฟันสีดำเรียงกันเป็นแถว ดวงตาดำกลมโตเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นจนเต็มจอตา ทว่าไม่มีแววตาเมื่อกระทบแสง มืดดำสนิทราวกับหลุมลึกมืดมิด
ขาฉันสั่นจนขยับไม่ได้อีกต่อไป แม้แต่บังคับให้ตัวเองหลับตา สวดมนต์ หรือห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาเพราะความกลัวก็ทำไม่ได้ อยากจะหันหลังวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด หรืออย่างน้อยก็เรียกให้คนช่วย แต่ก็ทำไม่ได้สักนิด!
ร่างตรงหน้ายังคงแสดงแสนยานุภาพอย่างเต็มที่ราวกำลังสนุกสนานกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเตะเท้าที่คลุมด้วยชุดยาวกรุยกรายลากพื้นไปด้านข้าง คล้ายท่าร่ายรำของนางระบำพม่า คอสะบัดเอียงไปมาตามจังหวะดนตรี งดงามอ่อนช้อยอย่างยิ่ง แต่ก็น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งเช่นกัน
ดวงตาของฉันยังถูกตรึงนิ่งอยู่กับการแสดงสุดหลอนตรงหน้า ตอนนี้ร่างนั้นเริ่มขยับริมฝีปากคล้ายกำลังร้องเพลงด้วยท่วงทำนองเยือกเย็น เสียงทุ้มต่ำก้องสะท้อนไปมาเหมือนอยู่ในถ้ำ เมโลดี้คล้ายบทสวดโบราณ แต่น้ำเสียงที่ราวกับพ่นพรูออกมานั้นทำให้ฉันรู้ว่ามันน่าจะไม่ใช่แค่บทสวด แต่มันคือท่วงทำนองฝ่ายต่ำคล้ายคำสาปหรือเวทมนตร์ที่เอาไว้ใช้ทำร้ายคนอื่น
ร่างนั้นร่ายรำแอ่นอกเอียงเอวสลับไปมาเหมือนถอดกระดูกได้ ค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ ช่วงจังหวะหนึ่งในท่าร่ายรำนั้น เธอหันหลังแอ่นตัวจนศีรษะโค้งลงมาต่ำกว่าระดับเอว ใบหน้านั้นยิ้มร่าขณะยื่นมือมาทางฉัน
ปากสีแดงฉ่ำดั่งเลือดขยับอีกครั้งก่อนแสยะยิ้มสยอง “มาสิ เข้ามาทางนี้ มาหากู” เสียงเรียกดังคำสั่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ฉันพ่ายต่ออำนาจนั้น เท้าก้าวเข้าไปใกล้อีก น้ำตาไหลพราก...อีกไม่ถึงเมตร ปลายนิ้วของร่างนั้นก็จะเอื้อมมาถึง แม้ปลายเท้าของเธอยังคงเคลื่อนไหวร่ายรำต่อเนื่องอยู่ในอาณาเขตยันต์สี่ทิศ
จู่ๆฉันก็รู้สึกร้อนวาบที่ลำคอขึ้นมาและรู้สึกคล้ายถูกสาดน้ำ ก่อนสะดุ้งเฮือกและกรีดร้องสุดเสียงเมื่อเห็นภาพร่างที่กำลังแอ่นตัวห้อยศีรษะตรงหน้ามีรอยเหมือนถูกตัดขาดที่ลำคอ เลือดสีแดงคล้ำไหลพรั่งพรูลงมาเคลือบปิดดวงตาสีดำ กลิ่นเหม็นร้ายกาจคละคลุ้งโชยมา ก่อนที่ฉันจะหมดสติไป
ฉันได้สติฟื้นขึ้นมาที่โรงพยาบาล มีพ่อแม่และเจี๊ยบยืนข้างๆ เจี๊ยบเล่าว่า เธอเห็นว่าฉันหายไปนานเลยลงมาตาม ก่อนจะเห็นฉันเดินตัวแข็งดวงตาเลื่อนลอยเข้าไปในห้องนั้น เรียกเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกตัว ไม่ยอมหัน เธอจึงวิ่งไปตามครูมาช่วย
ทั้งครูและนักเรียนพากันกรูลงมาและได้เห็นฉันกำลังร่ายรำด้วยท่าประหลาดที่ไม่มีใครเคยเห็น ครูวิ่งไปเปิดไฟก่อนจะคว้าสร้อยพระจากคอตัวเองมาคล้องคอฉัน แล้วฉันก็หมดสติไป ครูจึงพาฉันมาส่งที่โรงพยาบาลและแจ้งให้พ่อแม่นักเรียนทุกคนมารับลูกกลับบ้านโดยด่วน
หลังเหตุการณ์นั้น ฉันได้รับทราบจากเพื่อนๆที่พากันไปช่วยสืบจากผู้ใหญ่ ได้ความมาว่าเมื่อสามสิบปีที่แล้ว เคยมีนางรำของโรงเรียนคนหนึ่ง มักมีอาการแปลกๆเวลาที่ไปรำในห้องนั้น คือจู่ ๆ ก็ยืนนิ่ง ตาแข็ง และสุดท้ายก็จะเดินไปหยุดอยู่ตรงมุมที่ล้อมสายสิญจน์แล้วนั่งลง ก่อนจะพูดและแสดงท่าทางด้วยกิริยาอาการเหมือนคนละคน ก่อนจะลุกขึ้นมาร่ายรำด้วยท่าทางประหลาด
ว่ากันว่า นั่นเป็นท่ารำในพิธีท้องถิ่นแบบโบราณ ที่ต้องรำพร้อมดาบ ซึ่งก็หมายความว่ามีวิญญาณที่มาสิงร่างเธอ ร้องขอเครื่องรำและดาบจริง แต่ในที่สุดแล้วก็ลงเอยด้วยการที่ร่างทรงนางรำเอาดาบเชือดคอตัวเองจนเสียชีวิตอยู่บริเวณนั้น
นั่นเป็นที่มาของวงล้อมสายสิญจน์และยันต์ที่ห้อยสี่ทิศตามความเชื่อ เพราะนี่ไม่ใช่แค่ดวงวิญญาณทั่วไป แต่เป็นวิญญาณร้ายที่เป็นอันตรายกับมนุษย์ ทำบุญกรวดน้ำอย่างไรก็ไม่สามารถส่งบุญไปถึงมันได้ และวันใดใครดวงตกโชคร้ายก็อาจจะเจอมันเข้า ตราบใดที่ยังมีอาณาเขตพิเศษนั้น มันจะออกมาทำร้ายใครไม่ได้
ที่ต้องเปิดประตูและหน้าต่างไว้เสมอ เพราะต้องถ่ายเทพลังงานด้านมืดของมันออกไปตามความเชื่อ ยิ่งแสงแดดส่องจ้ามากเท่าไหร่ก็จะยิ่งทำลายพลังมันได้ดีขึ้น แต่ช่วงนี้เหมือนอากาศอึมครึมมาหลายวัน มันคงสะสมพลังได้มากพอที่จะสามารถปรากฏร่างได้อีกครั้ง และฉันเองก็ดันมาเจอแจ็กพ็อตพอดี
“เกือบไปแล้ว” เจี๊ยบพูดพลางสะอื้นเมื่อได้ยินฉันเล่าเรื่องทั้งหมด “น่ากลัวเกินไปแล้ว ดีนะที่แกไม่ได้แตะมือมัน ไม่รู้ว่ามันจะทำอะไรแกบ้าง แกเหมือนคนตายเลยรู้ไหม หน้าซีด ตัวเย็น ลืมตาค้าง ปากเขียว ทุกคนรู้กันหมดว่าเป็นอะไร แต่ก็ต้องเชื่อหมอที่บอกว่าแกน่าจะมีอาการเครียดจนชัก ต่อไปนี้แกไม่ต้องมานั่งเฝ้าเราแล้วนะ ไม่เอาอีกแล้ว ”
ฉันเองก็คงไม่กล้ามาแล้วล่ะ อย่าว่าแต่กลางคืนเลย กลางวันก็คงไม่กล้ามาเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ยังห่วงเพื่อนอยู่ดี
“แล้วแกล่ะเจี๊ยบ จะกลับกับใคร ?”
“เราก็คงจะบอกครูว่าต่อไปนี้ขอซ้อมแค่ตอนที่ยังไม่มืด ถ้าไม่ได้ก็คงไม่เป็นมันแล้วนางรำ หลอนขนาดนี้ ใครมันจะไปกล้าเสี่ยง”.
เมื่อสมัยที่ผมยังเป็นนักเรียนเรื่องที่ยากเย็นที่สุดในชีวิตไม่ใช่เรื่องเรียน ผมไม่มีปัญหากับการเรียน ไม่มีปัญหากับสมุดพก พ่อแม่ยิ้มได้ทุกครั้งเวลาเห็นเกรด ในช่องความประพฤติคุณครูก็มักจะเขียนว่าสุภาพเรียบร้อยเงียบขรึมไม่ค่อยพูด นั่นคงเป็นทั้งหมดเท่าที่ครูเห็นสิ่งที่ครูไม่เห็นนั่นต่างหากที่เป็นปัญหา...ตั้งแต่ผมเรียนประถมมาจนถึงม.2 ผมมีปัญหาเรื่องเพื่อนมาตลอด ด้วยบุคลิกที่ชอบเก็บตัวไม่พูดไม่จาของผม แถมไม่สู้คนทำให้ผมคงดูน่ากลั่นแกล้งในสายตาของพวกเด็กหลังห้อง ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันอะไรกันนักหนา ทั้งๆที่ผมไม่พยายามจะไปยุ่งกับใครอยู่แล้วตอนเรียนประถมการแกล้งกันของเด็กๆก็ยังเบาๆ แต่พอเข้ามัธยมการแกล้งเริ่มมีความซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้น ทั้งกลั่นแกล้งกันตรงๆทางร่างกาย เช่น ขัดขา หรือกลั่นแกล้งทางอ้อม เช่น เขียนเก้าอี้นักเรียน ทำลายข้าวของเอากระเป๋านักเรียนหรือรองเท้าของผมไปซ่อน กระทั่งเอากรรไกรมาแกล้งตัดผมผมด้านหลังตอนที่ผมไม่รู้ตัวนอกจากนี้ยังมีการกลั่นแกล้งทางจิตใจ เช่นการล้อเลียน การปล่อยข่าวลือปลอมทั้งในเพจของโรงเรียน และในกรุ๊ปไลน์ของห้อง ทำให้เวลาผมเข้ามาในห้องเรียนมักจะเห็นสายตาของเพื่อน
ที่โรงเรียนของฉันในหอประชุม มีเวทีใหญ่ ระบบเสียงคุณภาพเยี่ยมและมีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับนักแสดงด้านหลังเวทีทั้งด้านซ้ายและขวา ด้านละหลายห้อง อลังการกว่าโรงเรียนอื่นๆที่ฉันเคยเห็นพื้นเวทีเป็นไม้ปาเกต์ เคลือบแว็กซ์ ขัดจนเงา สะอาดสะอ้านดูหรูหรา ผ้าม่านที่เป็นฉากหลังมีให้เลือกหลายสี แม่บ้านทำความสะอาดให้ใหม่เอี่ยมอ่องเสมอที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะโรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงด้านการแสดงของนักเรียนเป็นอย่างมาก นักเรียนในละแวกใกล้เคียงหรือแม้แต่จากที่ห่างไกลที่ชอบในทางศิลปะการแสดงไม่ว่าจะเป็นนาฏศิลป์ร้องและเต้นและ ที่สำคัญที่สุดคือละครเวที ต่างก็หมายมั่นปั้นมือที่จะเข้ามาเรียนที่นี่เป็นอย่างมาก ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่โรงเรียนเก่า ฉันเป็นนักแสดงตัวหลักของโรงเรียนมาตั้งแต่ชั้นประถม แต่พ่อแม่และคุณครูที่มองเห็นแววการแสดงของฉันฉายชัดขึ้นเรื่อยๆรู้สึกเสียดาย เพราะที่โรงเรียนเก่านั้นไม่มีบุคลากรสอน หลักสูตรการเรียนการสอนก็ไม่เอื้ออำนวยให้นักเรียนได้พัฒนาในด้านนี้เลยฉันมาสอบเข้าที่โรงเรียนใหม่แห่งนี้ และผ่านฉลุยตั้งแต่ครั้งแรกหลังการสัมภาษณ์ คุณครูหลายคนยืนขึ้นปรบมือเมื่อฉันแสดงทดส
วันรุ่งขึ้นเป็นวันแสดงจริงฉันตื่นเต้นมากกว่าเดิมแต่ก็วุ่นวายอยู่กับการเตรียมตัว ซ้อมบทท่องบทรอบสุดท้ายก่อนที่จะไปเข้าแสดงในรอบค่ำ ตลอดทั้งวันฉันมองหาพี่สาวคนสวยคนนั้นแต่กลับไม่เห็นเธอเลย จะถามหากับคนอื่นก็ไม่รู้จะถามว่าอะไรเพราะไม่รู้ว่าพี่เขาชื่ออะไร ยังนึกเสียดายว่าวันนี้คงไม่ได้คุยกันแล้ว ทั้งๆที่นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่ามีเพื่อนจริงๆในโรงเรียนแห่งนี้เมื่อละครดำเนินไปถึงกลางเรื่องกำลังจะถึงตอนสำคัญคือตอนที่เมรีวิ่งตามพระรถเสน บุกป่า ลงทะเล ฝ่ากองไฟ แต่ติดทะเลกรดที่พระรถเสนเสกขึ้นมา จึงต้องนั่งร้องไห้คร่ำครวญจนหัวใจแตกสลาย ตรอมใจตายอยู่อีกฝั่งฉันเครียดและกังวลมาก วิ่งลงเวทีลงไป เข้าไปในห้องแต่งตัวที่ไม่มีใครอยู่เลยฉันมองไปรอบห้องแล้วก็ใจชื้นขึ้นทันทีเมื่อเห็นรุ่นพี่คนที่เจอเมื่อวานยืนรออยู่ตรงราวเสื้อผ้า รุ่นพี่รีบช่วยฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าออกและแต่งหน้าให้อย่างรวดเร็ว“ทำดีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ให้เท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ ไม่ว่าเราจะพูดยังไงเขาก็ยังจะไปอยู่ดี ต่อให้เขารู้ว่าเราอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขาเขาก็ยังจะไปอยู่ดี” รุ่นพี่แต่งหน้าให้พลางพูดทั้งที่น้ำตาร่วงเผาะ“พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ?”
เมื่อหนึ่งอาทิตย์ที่แล้ว ฉันกับเพื่อชื่อหมูพากันไปเที่ยวไปหาเพื่อนชื่อปาโก๋ที่ไปฝึกสอนวิชาภาษาอังกฤษอยู่ในโรงเรียนต่างจังหวัด มันพักอยู่บ้านพักในโรงเรียนเพื่อความสะดวก ไม่ต้องกังวลอะไรมากเพราะเป็นผู้ชาย บ้านที่ปาโก๋พักเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูงหลังเล็กๆ มีห้องนอนห้องหนึ่งกับโถงกว้างๆพอนั่งๆนอนๆได้ ถือว่าไม่คับแคบจนเกินไปมีห้องน้ำแยกอยู่ด้านล่างของตัวบ้านที่เทปูนไว้โล่งๆและวางแคร่ไว้ตัวหนึ่ง น่าจะสร้างมานานมากหลายสิบปี แต่สภาพยังแข็งแรงดีอยู่และโดยรอบก็สะอาดสะอ้านดี เพราะก่อนเข้าอยู่ปาโก๋มันเข้ามาขัดและปัดกวาดเช็ดถูเรียบร้อย มีหลอดไฟให้แสงสว่างสองดวงคือข้างล่างกับข้างบน ปาโก๋จัดให้ฉันกับหมูนอนพักในห้องนอน ส่วนตัวมันออกมากางมุ้งนอนที่ด้านนอก “มีอะไรเรียกได้ตลอดนะ ห้องน้ำห้องท่าก็รีบเข้าให้เรียบร้อยก่อนนอน ดึกๆจะได้ไม่ต้องลงมา” ปาโก๋ว่า “เออน่ะ หนาวขนาดนี้ใครมันจะอยากออกมา” หมูตอบ “ไม่ใช่เรื่องหนาวอย่างเดียวหรอก” ปาโก๋พูดต่อ “ผีดุด้วย!” ยังพูดไม่ทันจบ หมูก็ขว้างหมอนใส่หน้ามันทันที “ไอ้เพื่อนเฮงซวย!”เรารู้กันดีว่าหมูกลัวผี
สมัยผมอยู่ ป. 5 ครูที่โรงเรียนมีทั้งหมดไม่ถึงสิบคน ทุกคนอาศัยอยู่ที่บ้านพักครูด้านหลังโรงเรียน ซึ่งนอกจากเป็นที่พักแล้ว ยังสร้างติดทางสัญจรเข้าออกโรงเรียนของพวกเด็กๆที่เดินทางมาจากทิศทางนั้นด้วย ดังนั้นครูโรงเรียนผมจึงเรียกว่าหาความเป็นส่วนตัวไม่ได้ทั้งตอนเช้าและตอนเย็น เด็กจะเดินคุยกันเสียงดังเซ็งแซ่ บางทีพวกที่อยู่เล่นเตะบอลกับเพื่อนจนถึงค่ำๆ มีปัญหาหกล้มวิ่งชนบาดเจ็บกันก็จะวิ่งมาหาครูที่บ้านพักครู ต้องทำแผลส่งหมอกันวุ่นวายไปอีกแล้วแต่กรณี คงจะต้องรอจนถึงช่วงปิดเทอมนี่แหละครับ ที่บ้านพักครูพอจะมีความเงียบสงบบ้าง ครูบางคนก็จะหาวันลาพักร้อนไปเที่ยวกัน แต่ครูบางคนก็พักร้อนอยู่บ้านตัวเองในช่วงที่ไม่ต้องเตรียมงานอะไร บ้านครูแอ๊ดเป็นที่หมายตาของกลุ่มพวกผมอันประกอบด้วยผม ไอ้จี๊ด ไอ้ต่อง ตั้งแต่ช่วงสอบปลายภาค วันที่มาฟังผลสอบเราก็มาแอบดูกันอีกรอบ เพราะที่ข้างบ้านครูแอ๊ดมีต้นมะม่วงอกร่องต้นใหญ่มากอยู่ต้นหนึ่ง สูงเป็นสิบเมตร ใบดกหนาให้ร่มเงาครึ้มสบาย แต่ใครเขาจะไปสนใจใบกันล่ะครับ ลูกมะม่วงอวบปลั่งที่ออกดกเป็นพุ่มเป็นพวงห้อยระย้าเต็มต้นนั่นต่างหาก บางลูกดิบ บางลูกห่ามแล
ไตตั้นเข้าโรงเรียนตอนอายุ 3 ขวบ โดยเริ่มเรียนชั้นอนุบาลหนึ่ง ตอนนั้นก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่สมาชิกในครอบครัวต้องพากันขนหัวลุกและหวาดระแวงสติแทบแตกเริ่มแรกเข้าโรงเรียน พ่อแม่ก็วางใจว่าเตรียมตัวให้ลูกมาค่อนข้างดีมีการพามาดูโรงเรียนก่อน พามาเล่นกับเพื่อน เข้าค่ายฤดูร้อนทำกิจกรรมเล่นเกมกับทางโรงเรียน ซื้อชุดนักเรียนเครื่องเรียนทุกอย่าง ซ้อมใส่อยู่บ้าน คอยบอกน้องไตตั้นว่าเดี๋ยวไปโรงเรียนก้จะได้ไปเรียนไปเล่นกับเพื่อนสนุกๆบ่ายๆพ่อแม่ก็ไปรับ ซึ่งไตตั้นก็ดูกระตือรือร้นดี ยังช่วยพ่อแม่เลือกข้าวของใช้ส่วนตัวที่จะเอามาโรงเรียนจัดใส่กระเป๋าไว้เรียบร้อยแต่พอวันแรกที่เริ่มเข้าเรียนเท่านั้นแหละก็มีเรื่อง!แม่ของไตตั้นพาน้องเดินเข้าไปที่ห้องเรียนอนุบาล 1/3 ที่มีสัญลักษณ์เป็นรูปลูกไก่ติดอยู่เหนือประตูห้อง ห้องนี้ไตตั้นเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก เพราะเมื่อตอนช่วงซัมเมอร์ครูมักจะพาทำกิจกรรมอยู่แต่ในสนามและที่โรงพละศึกษา ไม่เคยพาขึ้นตึกเรียนมาก่อนน้องไตตั้นจูงมือคุณแม่เดินร้องเพลงไปกระโดดเล่นไปท่ามกลางเสียงร้องไห้ระงมของเด็กคนอื่นอีกหลายคนที่งอแงจะกลับบ้าน หรือไม่ยอมให้แม่กลับบ้าน เพราะไม่ได้เตรียมความพร้อมม
แม่ไตตั้นตัดสินใจอยู่เฝ้าลูกที่โรงเรียนทั้งวันในวันแรก ช่วงเช้าราบรื่นดี น้องไตตั้นสามารถเล่นและทำกิจกรรมกับเพื่อนๆได้ตามปกติ ดูสนุกสนานร่าเริงมีชีวิตชีวาดี ขนาดว่าเพื่อนบางคนยังร้องไห้งอแงไม่หยุด ไตตั้นก็ยังช่วยปลอบจนเพื่อนหยุดร้องและทำกิจกรรมต่างๆกับเพื่อนคนอื่นต่อไปได้ ช่วงพักกลางวัน แม่ไตตั้นยังเดินมาดูลูกกินข้าวกับเพื่อนๆ ดูเหมือนเด็กชายเข้ากับที่นี่ได้ดีกว่าที่คิด กินข้าวหมดจานจนต้องขอเพิ่ม ครูหันมายิ้มให้แม่ไตตั้นที่มองดูอยู่ไกลๆ แม่ไตตั้นยิ้มตอบ สบายใจและคิดว่าวันนี้ทั้งวันคงไม่มีอะไรแล้ว ก่อนเข้าเรียนบ่าย แม่ไตตั้นแอบมาคุยกับลูก “เป็นไงบ้างไตตั้น ชอบที่นี่ไหม ?” ไตตั้นยิ้มละไม “ชอบครับ ครูใจดีทุกคนเลย ครูเสื้อเหลืองเล่นกลเก่ง” แม่ไตตั้นขมวดคิ้ว “เหรอลูก...” ตั้งแต่เข้ามานั่งเฝ้าลูก เธอก็เห็นครูอยู่สองคน คือครูประจำชั้นกับครูผู้ช่วย ยังไม่เห็นครูใส่เสื้อสีเหลืองที่ไหนสักคน แต่ก็ยังพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าลูกอาจจะจำผิดก็ได้ จนกระทั่งถึงเวลานอนบ่าย แม่ไตตั้นที่นั่งเฝ้าอยู่ด้วยความเครียดมาตั้งแต่เช้าก็เพลียมาก บวกกับสบ
ฉันไม่เคยอายที่มาจากบ้านยากจน และไม่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชควาสนาของตัวเองที่ไม่ได้อยู่สุขสบายเหมือนพวกลูกคนมีเงิน ฉันช่วยพ่อแม่ทำงาน ขายขนม รับจ้างนิดๆหน่อยๆ มาตั้งแต่เล็กๆไม่เคยรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อยหรือเป็นภาระ กลับรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ทำตัวเป็นประโยชน์ให้กับครอบครัว พ่อแม่ของฉันรักและดูแลฉันเป็นอย่างดี ท่านสอนเสมอว่า หากเรามั่นใจว่าเราคิดดี ทำดี จิตใจสะอาดสุจริต เราก็ไม่ต้องไปกลัวสายตาหรือคำครหานินทาของใครทั้งนั้น ชีวิตเราอยู่ที่การกระทำของเรา ไม่ได้อยู่ที่ขี้ปากของคนอื่น...ซึ่งก็จริงดังที่เขาว่า เด็กๆอยู่กับความยากจนได้ดีกว่าความเกลียดชัง ถึงลำบากกายแต่ถ้าหัวใจได้รับความรักเต็มเปี่ยม อย่างไรก็มีแต่ความสุข นอกจากช่วยงานพ่อแม่ที่ร้านและที่บ้านเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายแล้วหากมีโอกาสที่ครูอาจารย์จะเรียกใช้งานเล็กน้อยแลกเงินห้าบาทสิบบาท อย่างเช่น ล้างจาน ซื้อของ วิ่งไปหยิบของที่ตึกไกลๆ ขัดรองเท้า ฉันจึงทำทุกอย่างโดยไม่แคร์สายตาใคร ดังนั้นเมื่อได้รู้ว่าครูบรรณารักษ์ต้องการคนช่วยดูแลทำความสะอาดห้องสมุดทุกวันในตอนเช้าและหลังเลิกเรียน โดยจะได้ค่าตอบแท
ต้นไผ่มันไม่เชื่อผมเลยทุกคืนกลางดึก ผมเห็นร่างตะคุ่มๆยืนอยู่ที่ระเบียง ทำท่าชะโงกมองอะไรสักอย่าง ก่อนจะเสียหลักพลัดตกลงไปข้างล่าง ในหูได้ยินทั้งเสียงตกกระแทกพื้นดังพลั่ก เสียงหักร้าวของกระดูก และเสียงร้องครางอือในลำคอ แต่เมื่อผมตามไปดูก็ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ“มึงหลอนไปเองแล้วโก้ กูบอกแล้วว่าให้นอนพักเสียบ้าง อ่านหนังสือเตรียมสอบถึงเช้าทุกวันแบบนี้ สมองอ๊องหมดแล้ว” มันว่าทั้งที่ตายังไม่ละออกจากเกมในโทรศัพท์มือถือ “เชื่อกู นอนบ้าง เล่นเกมบ้าง กินเหล้าบ้างก็ดี”ผมรำคาญและหงุดหงิดเสมอเมื่อมันพูดเหมือนไม่เคยใส่ใจปัญหาของผมเลย“ผี ห้องนี้แม่งต้องมีผี กูจะลองหาดู ในข่าวเก่าๆอาจจะมี”ผมลองเข้ากูเกิ้ล เซิร์ชหาข่าวด้วยชื่อตึกและคำว่าเสียชีวิต หาอยู่พักใหญ่จนพบข่าวหนึ่ง เป็นข่าวเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่ตกจากระเบียงตึกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อราวปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา แต่เมื่อคลิกจะเข้าไปอ่านรายละเอียดกลับเข้าไม่ได้ “เนตเป็นเหี้ยไรวะ!” ผมบ่นอย่างหงุดหงิด “ต้นไผ่ มึงใช้ 4G ป่ะ กูยืมแป๊บดิ ไวไฟแม่งไม่มีสัญญาณ” ไอ้ต้นไผ่ชำเลืองตามามองผมแวบหนึ่ง “มึงเชื่อกู เลิกค้นเรื่องนี้เถอะรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์”“
ครั้งแรกที่ฉันเข้ามาในห้องแลปภาษาเมื่อตอน ม. 1 ฉันตื่นตาตื่นใจมากกับคอกสี่เหลี่ยมเล็กๆที่กั้นด้วยพาทิชั่น มีกระจกบางๆใสๆ ในคอกมีหูฟังแบบครอบวางอยู่ช่องละอันในห้องแลปนั้นเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นเฉียบ ครูที่สอนภาษาอังกฤษเดินมาหน้าห้อง บอกให้นักเรียนทุกคนเข้าประจำที่โต๊ะเพื่อเตรียมฟังเสียงจากหูฟังในบทเรียนที่ครูกำลังจะสอน“เราจะเรียนที่นี่กันสัปดาห์ละครั้ง เพราะต้องเวียนใช้ในทุกระดับชั้น เพราะฉะนั้นเวลาเดินมาเรียนหัวหน้าห้องต้องคอยดูแลเพื่อนให้มาตรงเวลา ห้ามสาย ห้ามขาด ห้ามแวบไปที่อื่น ไม่งั้นถ้าเวลาน้อยเกินไปจะฟังไม่จบบท...เอาละ วันนี้เริ่มกันเลย นักเรียนใส่หูฟังได้ค่ะ”ทุกคนนั่งกันที่โต๊ะซึ่งมีตัวเลขระบุไว้ตามเลขที่ ฉันเลขที่ 15 ก็ได้นั่งโต๊ะตัวที่ 15 หูฟังของโต๊ะนี้ดูเหมือนจะอันใหญ่กว่าเพื่อนและมีฟองน้ำนุ่มหนา หุ้มด้วยหนังนิ่มอย่างดีเพื่อนที่นั่งโต๊ะข้างๆชะโงกมาดู “โห...หูฟังเริด ขอแลกได้ปะ ?”ฉันหันไปยิ้มให้ไม่ทันได้ตอบอะไรครูก็เริ่มพูดต่อ“เอ้า...กดเปิดที่ปุ่มสีแดงตรงมุมโต๊ะด้านซ้าย...มีไฟขึ้นไหม โต๊ะไหนไม่ติดบ้าง...โอเค ติดทุกโต๊ะนะ ปรับเสียงเบาหรือดังได้ที่ปุ่มข้างๆหูฟังด้านขวา.
เมื่อโรงเรียนเริ่มเปิดเทอม สีสันและชีวิตชีวาของโรงเรียนก็กลับมาเบ่งบานเต็มที่ เสียงของเด็ก ๆ เล่นกันสนุกสนาน เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ เสียงร้องตะโกน เสียงผู้ปกครองที่พยายามหาวิธีแกะลูกออกจากแขนขาตัวเองมาส่งให้ครู ฉันเองแม้จะเรียนเกี่ยวกับการศึกษามาและเคยฝึกสอนมาแล้ว แต่ก็ไม่เคยรับมือกับเด็ก ๆ อนุบาลที่ไม่เคยมาโรงเรียนมาก่อน แม้ที่นี่จะมีครูห้องละสองคน และมีครูพี่เลี้ยงคอยช่วยดูแลเด็กอีกคน แต่การจะพยายามทั้งปลอบ ทั้งดูแล ทั้งต้อนเด็ก ๆ ให้ยอมอยู่ในห้องเรียนอย่างสงบนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากอาทิตย์แรกทั้งอาทิตย์จึงหมดไปกับการพยายามทำให้เด็ก ๆ ที่เพิ่งห่างบ้านห่างครอบครัวเป็นครั้งแรก ยอมรับอ้อมกอดของครูและโรงเรียน ยังไม่ต้องพูดถึงการเรียนหรือสอนอะไรทั้งนั้น ฉันแอบดีใจที่เห็นเด็กหญิงดวงตาสดใสคนนั้นมาเรียนที่ห้องของเราด้วย แต่เมื่อถึงเวลาเช็กชื่อ กลับมองหาเธอไม่เจอ ฉันเล่าเรื่องเด็กหญิงคนนั้นให้ครูพี่เลี้ยงที่กำลังง่วนกับการป้อนข้าวและเช็ดปากให้กับเด็กสองคน ครูพี่เลี้ยงพูดเพียงว่าฉันอาจจะเข้าใจผิดไปเอง เด็กคนนั้นอาจะเรียนห้องอื่น อนุบาลเรามีตั้งหลายห้อง หรือไม่เด็กอาจจะเข้าห้อง
นับเป็นโชคดีของฉัน ที่พอเรียนจบก็มีตำแหน่งงานว่างที่โรงเรียนเก่าที่เคยเรียนเมื่อตอนมัธยม ตอนที่ฉันบอกแม่ว่าจะกลับไปเป็นครูสอนที่โรงเรียนเก่า และจะได้กลับไปอยู่บ้านกับแม่ แม่ดีใจมาก เร่งเตรียมห้องเตรียมข้าวของรอฉันกลับ แม่บอกว่า ตั้งแต่วันที่ฉันเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ ก็นึกว่าจะไปตั้งหน้าทำงานในกรุงเทพฯ เหมือนพวกพี่ ๆ เสียแล้วที่จริงแล้วฉันก็เคยคิด คิดว่าอยากจะไปไกล ๆ จากบ้านเก่า โรงเรียนเก่า ลบความทรงจำเก่า ๆ ออกไปแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ หลังจากที่เลิกกับแฟนคนแรกที่นี่เมื่อตอน ม. 5ใคร ๆ ก็บอกว่ารักวัยรุ่น ก็ต้องเรียนรู้ เจ็บบ้างอกหักบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ทำให้เราได้รู้จักเติบโต มีภูมิต้านทานความเจ็บ ความผิดหวังความเศร้าที่จะทยอยเข้ามาเรื่อย ๆ เมื่อเราเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ ฉันก็รับฟังและพยายามจะคิดอย่างนั้น แต่ตลอดเวลาหกปีที่ผ่านมา ความเจ็บช้ำที่เกิดจากแฟนคนแรกยังคงเป็นบาดแผลร้าวลึกจนไม่อยากเอ่ยถึงคนเรียนจบใหม่อย่างฉันในสาขาการศึกษา หางานยากยิ่งกว่าอะไร นั่นเองที่ฉันบอกว่าฉันโชคดีที่จู่ ๆ ก็ได้งานง่ายดาย เป็นงานประจำใกล้บ้าน ไม่ต้องเสียค่าที่พัก แถมได้อยู่กับแม่ โชคดียิ่งกว่านั้น ความหลังท
17. มาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนกลางดึก เมื่อได้ยินเสียงพี่พรพูดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว และยังมีเสียงหัวเราะคิกคักเหมือนเสียงเด็ก ๆ พอลืมตามองก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นร่างเล็ก ๆ นับสิบเป็นร่างเงาจาง ๆ แต่พอมีเค้าว่าเป็นเด็กเล็ก นั่ง นอน คลาน เดินไปมาอยู่รอบตัวพี่พรที่กำลังกางหนังสือนิทานอ่านด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ละร่างนั้นไม่ได้มาในสภาพน่าเวทนาอย่างคนถูกไฟไหม้ แต่มาในร่างอย่างเด็กน้อยไร้เดียงสาตามวัยก่อนที่พวกเขาจะตาย จึงทำให้แม้สถานการณ์ตอนนี้จะฟังดูน่าขนลุกเพียงใด แต่ฉันกลับรู้สึกสงสารระคนหลอน ตอนที่พี่พรถามว่ากลัวผีไหม ใครจะไปนึกว่าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย พี่พรเปิดหนังสือนิทานอ่านออกเสียงจากความทรงจำเพราะในห้องตอนนั้นมืด มีเพียงแสงสว่างรำไรจากแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างเท่านั้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรัก ความเมตตาและอ่อนโยน พี่พรตอนนี้ดูมีความสุขไม่ต่างจากตอนที่แกอยู่ท่ามกลางเด็ก ๆ ที่มีชีวิต ฉันนอนนิ่งตัวแข็ง ไม่กระดุกกระดิก ถึงจะน่ารักอย่างไรก็ผีทั้งนั้น สักพักหนึ่งก็รู้สึกเย็น ๆ ที่ข้อเท้า เหมือนมีมือเย็นเฉียบมาจับ
ฉันกับพี่พรรู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เราอยู่ค่ายอาสาเดียวกันทุกปี ค่ายของเราส่วนใหญ่จะอาสาไปสอนหนังสือเด็ก ๆ ในชนบทห่างไกล หลายแห่งมีครูอยู่คนเดียว ต้องสอนทุกระดับชั้นทุกวิชา โรงเรียนแบบที่แบกรับภาระหนักที่สุดคือโรงเรียนประเภทที่เป็นโรงเรียนประจำ เพราะต้องดูแลเรื่องที่อยู่อาศัย อาหารการกิน รวมถึงความปลอดภัยของเด็ก ๆ ด้วย หลายพื้นที่เช่นกันที่ครูคนเดียวรับหน้าที่นั้นทั้งหมด เป็นทั้งครู ทั้งพ่อและแม่ในคนเดียวกัน นี่ยังไม่รวมการที่ต้องเป็นคนคอยจัดหาเงินทุนเพื่อมาดูแลเด็ก ๆ และคอยประสานกับทางส่วนกลางในเรื่องเอกสารการเรียนต่าง ๆ อีก ในสมัยนั้นพวกเราเองก็ทำอะไรได้ไม่มาก แต่ละครั้งเราก็จะพากันขนสื่อการเรียนการสอนเท่าที่จัดหามาได้ รวมถึงหนังสือเรียน หนังสืออื่น ๆ เอาไปสร้างห้องสมุดหรือมุมหนังสือให้เด็ก ๆ ขอรับบริจาคพวกอุปกรณ์การเรียน เครื่องเขียน สมุดดินสอ หรือบางครั้งโชคดีก็ได้อุปกรณ์กีฬาบ้าง พวกเราเป็นครูชั่วคราวที่เด็ก ๆ มักจะรัก เพราะมีอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ ไปสอนไปเล่าให้ฟัง บางครั้งแม้ค่ายจะจบลงในเวลาเพียงครึ่งเดือน แต่วันที่พวกเราจะ
ใครที่เคยอ่านหรือฟังเรื่องผีกันเป็นประจำคงคุ้นเคยกับผีที่มีฉายาลงท้ายว่าแดง โดยมีที่มาจากเลือดที่สาดลงบนสิ่งของสีขาว อย่างเช่น ผีเสื้อแดง ผีชุดแดง ผีโบแดง และเรื่องนี้ของผมก็เหมือนกัน ตัวแดงมาอีกแล้วแต่ไม่หรอก คราวนี้ไม่เหมือนตัวอื่นๆ เพราะผีตัวนี้ใช้กระเป๋าสีแดงจริงๆตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นคนมีชีวิตอยู่ มันเป็นเพื่อนผมเองครับ...เพื่อนคนนี้ชื่อจิ๊บ อยู่ ม. 2/2 เรียนห้องเดียวกับผม เมื่อเทอมที่แล้วมันยังนั่งข้างผมอยู่เลย เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ สูงประมาณ145 เซนติเมตร เตี้ยสุดในห้องผิวขาวเหมือนไข่ปลอก หน้าหมวยตาตี่ จัดฟันอยู่แต่ยิ้มสวยไว้ผมหน้าม้า รวบผมหางม้า ร่าเริงตลอด มองดูเวลาวิ่งแล้วมีท่าทางดุ๊กดิ๊กๆเหมือนตุ๊กตาจนเพื่อนๆชอบเรียกมันว่าไอ้จิ๊บหมากระเป๋าเวลานั่งกับผมก็ชอบแกล้งชอบอำจนบางทีผมโกรธ แต่ก็โกรธได้ไม่นานหรอกเพราะมันน่ารัก เวลามีงานโรงเรียนจิ๊บมันไม่ค่อยได้รับเลือกไปแสดงอะไรกับเขาเพราะตัวเล็ก มีก็แต่กิจกรรมการเป็นเชียร์ลีดเดอร์ที่พี่ๆม.ปลายเห็นแล้วชอบ เพราะมันเล่นยิมนาสติกเก่ง ทรงตัวดี เวลามีท่าต่อตัว ให้มันขึ้นอยู่บนยอดก็สบายๆ โยนรับได้ง่ายเพราะตัวเบาหวิวไม่
ฉันไม่เคยอายที่มาจากบ้านยากจน และไม่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชควาสนาของตัวเองที่ไม่ได้อยู่สุขสบายเหมือนพวกลูกคนมีเงิน ฉันช่วยพ่อแม่ทำงาน ขายขนม รับจ้างนิดๆหน่อยๆ มาตั้งแต่เล็กๆไม่เคยรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อยหรือเป็นภาระ กลับรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ทำตัวเป็นประโยชน์ให้กับครอบครัว พ่อแม่ของฉันรักและดูแลฉันเป็นอย่างดี ท่านสอนเสมอว่า หากเรามั่นใจว่าเราคิดดี ทำดี จิตใจสะอาดสุจริต เราก็ไม่ต้องไปกลัวสายตาหรือคำครหานินทาของใครทั้งนั้น ชีวิตเราอยู่ที่การกระทำของเรา ไม่ได้อยู่ที่ขี้ปากของคนอื่น...ซึ่งก็จริงดังที่เขาว่า เด็กๆอยู่กับความยากจนได้ดีกว่าความเกลียดชัง ถึงลำบากกายแต่ถ้าหัวใจได้รับความรักเต็มเปี่ยม อย่างไรก็มีแต่ความสุข นอกจากช่วยงานพ่อแม่ที่ร้านและที่บ้านเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายแล้วหากมีโอกาสที่ครูอาจารย์จะเรียกใช้งานเล็กน้อยแลกเงินห้าบาทสิบบาท อย่างเช่น ล้างจาน ซื้อของ วิ่งไปหยิบของที่ตึกไกลๆ ขัดรองเท้า ฉันจึงทำทุกอย่างโดยไม่แคร์สายตาใคร ดังนั้นเมื่อได้รู้ว่าครูบรรณารักษ์ต้องการคนช่วยดูแลทำความสะอาดห้องสมุดทุกวันในตอนเช้าและหลังเลิกเรียน โดยจะได้ค่าตอบแท
แม่ไตตั้นตัดสินใจอยู่เฝ้าลูกที่โรงเรียนทั้งวันในวันแรก ช่วงเช้าราบรื่นดี น้องไตตั้นสามารถเล่นและทำกิจกรรมกับเพื่อนๆได้ตามปกติ ดูสนุกสนานร่าเริงมีชีวิตชีวาดี ขนาดว่าเพื่อนบางคนยังร้องไห้งอแงไม่หยุด ไตตั้นก็ยังช่วยปลอบจนเพื่อนหยุดร้องและทำกิจกรรมต่างๆกับเพื่อนคนอื่นต่อไปได้ ช่วงพักกลางวัน แม่ไตตั้นยังเดินมาดูลูกกินข้าวกับเพื่อนๆ ดูเหมือนเด็กชายเข้ากับที่นี่ได้ดีกว่าที่คิด กินข้าวหมดจานจนต้องขอเพิ่ม ครูหันมายิ้มให้แม่ไตตั้นที่มองดูอยู่ไกลๆ แม่ไตตั้นยิ้มตอบ สบายใจและคิดว่าวันนี้ทั้งวันคงไม่มีอะไรแล้ว ก่อนเข้าเรียนบ่าย แม่ไตตั้นแอบมาคุยกับลูก “เป็นไงบ้างไตตั้น ชอบที่นี่ไหม ?” ไตตั้นยิ้มละไม “ชอบครับ ครูใจดีทุกคนเลย ครูเสื้อเหลืองเล่นกลเก่ง” แม่ไตตั้นขมวดคิ้ว “เหรอลูก...” ตั้งแต่เข้ามานั่งเฝ้าลูก เธอก็เห็นครูอยู่สองคน คือครูประจำชั้นกับครูผู้ช่วย ยังไม่เห็นครูใส่เสื้อสีเหลืองที่ไหนสักคน แต่ก็ยังพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าลูกอาจจะจำผิดก็ได้ จนกระทั่งถึงเวลานอนบ่าย แม่ไตตั้นที่นั่งเฝ้าอยู่ด้วยความเครียดมาตั้งแต่เช้าก็เพลียมาก บวกกับสบ