ร่างในชุดเครื่องรำแปลกประหลาดตรงหน้ายังคงร่ายรำอย่างเชื่องช้า แช่มช้อย เอียงร่างกายท่อนบนจนเอวแทบขนานกับพื้น ค่อยๆวาดเท้าหันกลับมาที่ฉันช้า ๆ
ทั้งที่กำลังขวัญผวากับภาพตรงหน้า เสียงหัวใจเต้นเร็วแรงเหมือนกระโดดจากในอกมาอยู่ในแก้วหูแต่ฉันกลับควบคุมตัวเองไม่ได้ เท้าทั้งสองค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ใบหน้าที่กำลังจ้องมองกลับมาเป็นใบหน้าของเจี๊ยบแท้ๆ แต่นั่นเหมือนไม่ใช่ เป็นความขัดแย้งที่แปลกประหลาด
ร่างนั้นแสยะยิ้มให้ ริมฝีปากแดงฉ่ำวาดยาวไปบนแก้ม ฟันสีดำเรียงกันเป็นแถว ดวงตาดำกลมโตเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นจนเต็มจอตา ทว่าไม่มีแววตาเมื่อกระทบแสง มืดดำสนิทราวกับหลุมลึกมืดมิด
ขาฉันสั่นจนขยับไม่ได้อีกต่อไป แม้แต่บังคับให้ตัวเองหลับตา สวดมนต์ หรือห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาเพราะความกลัวก็ทำไม่ได้ อยากจะหันหลังวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด หรืออย่างน้อยก็เรียกให้คนช่วย แต่ก็ทำไม่ได้สักนิด!
ร่างตรงหน้ายังคงแสดงแสนยานุภาพอย่างเต็มที่ราวกำลังสนุกสนานกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเตะเท้าที่คลุมด้วยชุดยาวกรุยกรายลากพื้นไปด้านข้าง คล้ายท่าร่ายรำของนางระบำพม่า คอสะบัดเอียงไปมาตามจังหวะดนตรี งดงามอ่อนช้อยอย่างยิ่ง แต่ก็น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งเช่นกัน
ดวงตาของฉันยังถูกตรึงนิ่งอยู่กับการแสดงสุดหลอนตรงหน้า ตอนนี้ร่างนั้นเริ่มขยับริมฝีปากคล้ายกำลังร้องเพลงด้วยท่วงทำนองเยือกเย็น เสียงทุ้มต่ำก้องสะท้อนไปมาเหมือนอยู่ในถ้ำ เมโลดี้คล้ายบทสวดโบราณ แต่น้ำเสียงที่ราวกับพ่นพรูออกมานั้นทำให้ฉันรู้ว่ามันน่าจะไม่ใช่แค่บทสวด แต่มันคือท่วงทำนองฝ่ายต่ำคล้ายคำสาปหรือเวทมนตร์ที่เอาไว้ใช้ทำร้ายคนอื่น
ร่างนั้นร่ายรำแอ่นอกเอียงเอวสลับไปมาเหมือนถอดกระดูกได้ ค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ ช่วงจังหวะหนึ่งในท่าร่ายรำนั้น เธอหันหลังแอ่นตัวจนศีรษะโค้งลงมาต่ำกว่าระดับเอว ใบหน้านั้นยิ้มร่าขณะยื่นมือมาทางฉัน
ปากสีแดงฉ่ำดั่งเลือดขยับอีกครั้งก่อนแสยะยิ้มสยอง “มาสิ เข้ามาทางนี้ มาหากู” เสียงเรียกดังคำสั่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ฉันพ่ายต่ออำนาจนั้น เท้าก้าวเข้าไปใกล้อีก น้ำตาไหลพราก...อีกไม่ถึงเมตร ปลายนิ้วของร่างนั้นก็จะเอื้อมมาถึง แม้ปลายเท้าของเธอยังคงเคลื่อนไหวร่ายรำต่อเนื่องอยู่ในอาณาเขตยันต์สี่ทิศ
จู่ๆฉันก็รู้สึกร้อนวาบที่ลำคอขึ้นมาและรู้สึกคล้ายถูกสาดน้ำ ก่อนสะดุ้งเฮือกและกรีดร้องสุดเสียงเมื่อเห็นภาพร่างที่กำลังแอ่นตัวห้อยศีรษะตรงหน้ามีรอยเหมือนถูกตัดขาดที่ลำคอ เลือดสีแดงคล้ำไหลพรั่งพรูลงมาเคลือบปิดดวงตาสีดำ กลิ่นเหม็นร้ายกาจคละคลุ้งโชยมา ก่อนที่ฉันจะหมดสติไป
ฉันได้สติฟื้นขึ้นมาที่โรงพยาบาล มีพ่อแม่และเจี๊ยบยืนข้างๆ เจี๊ยบเล่าว่า เธอเห็นว่าฉันหายไปนานเลยลงมาตาม ก่อนจะเห็นฉันเดินตัวแข็งดวงตาเลื่อนลอยเข้าไปในห้องนั้น เรียกเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกตัว ไม่ยอมหัน เธอจึงวิ่งไปตามครูมาช่วย
ทั้งครูและนักเรียนพากันกรูลงมาและได้เห็นฉันกำลังร่ายรำด้วยท่าประหลาดที่ไม่มีใครเคยเห็น ครูวิ่งไปเปิดไฟก่อนจะคว้าสร้อยพระจากคอตัวเองมาคล้องคอฉัน แล้วฉันก็หมดสติไป ครูจึงพาฉันมาส่งที่โรงพยาบาลและแจ้งให้พ่อแม่นักเรียนทุกคนมารับลูกกลับบ้านโดยด่วน
หลังเหตุการณ์นั้น ฉันได้รับทราบจากเพื่อนๆที่พากันไปช่วยสืบจากผู้ใหญ่ ได้ความมาว่าเมื่อสามสิบปีที่แล้ว เคยมีนางรำของโรงเรียนคนหนึ่ง มักมีอาการแปลกๆเวลาที่ไปรำในห้องนั้น คือจู่ ๆ ก็ยืนนิ่ง ตาแข็ง และสุดท้ายก็จะเดินไปหยุดอยู่ตรงมุมที่ล้อมสายสิญจน์แล้วนั่งลง ก่อนจะพูดและแสดงท่าทางด้วยกิริยาอาการเหมือนคนละคน ก่อนจะลุกขึ้นมาร่ายรำด้วยท่าทางประหลาด
ว่ากันว่า นั่นเป็นท่ารำในพิธีท้องถิ่นแบบโบราณ ที่ต้องรำพร้อมดาบ ซึ่งก็หมายความว่ามีวิญญาณที่มาสิงร่างเธอ ร้องขอเครื่องรำและดาบจริง แต่ในที่สุดแล้วก็ลงเอยด้วยการที่ร่างทรงนางรำเอาดาบเชือดคอตัวเองจนเสียชีวิตอยู่บริเวณนั้น
นั่นเป็นที่มาของวงล้อมสายสิญจน์และยันต์ที่ห้อยสี่ทิศตามความเชื่อ เพราะนี่ไม่ใช่แค่ดวงวิญญาณทั่วไป แต่เป็นวิญญาณร้ายที่เป็นอันตรายกับมนุษย์ ทำบุญกรวดน้ำอย่างไรก็ไม่สามารถส่งบุญไปถึงมันได้ และวันใดใครดวงตกโชคร้ายก็อาจจะเจอมันเข้า ตราบใดที่ยังมีอาณาเขตพิเศษนั้น มันจะออกมาทำร้ายใครไม่ได้
ที่ต้องเปิดประตูและหน้าต่างไว้เสมอ เพราะต้องถ่ายเทพลังงานด้านมืดของมันออกไปตามความเชื่อ ยิ่งแสงแดดส่องจ้ามากเท่าไหร่ก็จะยิ่งทำลายพลังมันได้ดีขึ้น แต่ช่วงนี้เหมือนอากาศอึมครึมมาหลายวัน มันคงสะสมพลังได้มากพอที่จะสามารถปรากฏร่างได้อีกครั้ง และฉันเองก็ดันมาเจอแจ็กพ็อตพอดี
“เกือบไปแล้ว” เจี๊ยบพูดพลางสะอื้นเมื่อได้ยินฉันเล่าเรื่องทั้งหมด “น่ากลัวเกินไปแล้ว ดีนะที่แกไม่ได้แตะมือมัน ไม่รู้ว่ามันจะทำอะไรแกบ้าง แกเหมือนคนตายเลยรู้ไหม หน้าซีด ตัวเย็น ลืมตาค้าง ปากเขียว ทุกคนรู้กันหมดว่าเป็นอะไร แต่ก็ต้องเชื่อหมอที่บอกว่าแกน่าจะมีอาการเครียดจนชัก ต่อไปนี้แกไม่ต้องมานั่งเฝ้าเราแล้วนะ ไม่เอาอีกแล้ว ”
ฉันเองก็คงไม่กล้ามาแล้วล่ะ อย่าว่าแต่กลางคืนเลย กลางวันก็คงไม่กล้ามาเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ยังห่วงเพื่อนอยู่ดี
“แล้วแกล่ะเจี๊ยบ จะกลับกับใคร ?”
“เราก็คงจะบอกครูว่าต่อไปนี้ขอซ้อมแค่ตอนที่ยังไม่มืด ถ้าไม่ได้ก็คงไม่เป็นมันแล้วนางรำ หลอนขนาดนี้ ใครมันจะไปกล้าเสี่ยง”.
หมิงช่วยเราด้วย…เสียงนั่นดังขึ้นพร้อมกับเสียงเดินลากเท้าผ่านมาทางด้านหน้าห้อง มันดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฉันพยายามถดตัวให้เล็กที่สุด หลบอยู่ใต้โต๊ะนักเรียนด้านหลังห้อง ภาวนาอย่าให้มันรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่เรื่องผ่านมานานแล้วเรื่องมันผ่านมาตั้งนานหลายปีแล้วมันจบไปแล้ว...นี่มันไม่จริง นี่มันแค่ฝันร้าย ฉันพยายามบอกตัวเองอย่างนี้ ในขณะที่เสียงลากเท้ามาหยุดอยู่ที่ประตูปัง ปัง ปัง! เสียงทุบประตูดังลั่นหมิงช่วยเราด้วย...เสียงนั้นดังขึ้นอีก พร้อมสะอึกสะอื้นดังกึกก้องไปทั่วระเบียงทางเดิน ประตูซึ่งปิดล็อกกลอนไว้ถูกเขย่าชนกลอนใกล้จะหล่นลงมาทุกทีฉันไม่ควรเลยแท้ๆ มีคนรับคำเชิญของครูและเพื่อนๆให้กลับมาที่นี่อีก ที่นี่มันควรจะเป็นสุสานปิดตายที่ลบเลือนออกไปจากความทรงจำแล้ว แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเมื่อ 20 ปีที่แล้วฉันกับแจนเคยเป็นเพื่อนกัน ใครๆก็คิดว่าเราเป็นเพื่อนที่สนิทสนมรักใคร่กันดีไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด เหมือนคนตัวติดกัน มีเพียงฉันและแจนเท่านั้นที่รู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเราเป็นเหมือนไม้ยืนต้นกับกาฝาก แจนเป็นฝ่ายที่เกาะเกี่ยวพึ่งพิงฉันอยู่ตลอดเวลา คอยเฝ้ารอให้ฉันเปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว
เมื่อสมัยเรียนผมกับหมง เพื่อนที่เป็นรูมเมท พักอยู่ที่หอในด้วยกัน รูมเมทของผมชอบฟังรายการวิทยุเล่าเรื่องผีเอามากๆ แต่ตัวผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ บางทีรำคาญด้วยซ้ำ เพราะอยากอ่านการ์ตูนหรือฟังรายการวิทยุอื่นๆบ้าง “มึงก็ใส่หูฟังฟังของมึงไปไม่ได้เหรอวะ” ผมบอกมันในคืนหนึ่งด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเพราะง่วงมาก อยากนอน แต่ต้องสะดุ้งตื่นกับเสียงประกอบรายการหลอนๆที่มันฟังอยู่ เสียงหัวเราะบ้าง เสียงกรี๊ดบ้าง หมงหันมามองหน้าทำท่าเกรงใจ “เออๆ แป๊บเดียว ใกล้จบละ มึงก็รู้ว่ากูกลัวผี ฟังคนเดียวไม่มีเพื่อนแชร์ เดี๋ยวกูกลัวขึ้นมาแล้วไม่มีคนช่วยกลัว มันว้าเหว่” “ว้าเหว่บ้านเตี่ยมึงเหรอ” ผมพูดไปหัวเราะไป ไม่ค่อยเข้าใจคนแบบนี้เท่าไหร่ กลัวแต่ก็ดันชอบ “มึงไม่กลัวผีเหรอ ?” หมงถามผมบ้าง “น่ากลัวนะมึง ในม.เรา เขาว่ากันว่า ตรงตึกเก่าคณะวิทย์ฯ น่ะผีดุ ใครเดินผ่าน หรือขับมอเตอร์ไซค์วนผ่าน เป็นได้เจอดีทุกราย” มันยังเล่าต่ออีกว่า พวกที่บอกว่าเจอดี ส่วนใหญ่มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จะเห็นเหมือนมีคนใส่ชุดนักศึกษา เป็นผู้หญิงผมสั้น กระโปรงพลีท รองเท้า
ที่โรงเก็บอุปกรณ์เกษตรหลังโรงเรียนของเรามีต้นฉำฉาใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ด้านหลังใหญ่ขนาดสี่คนโอบได้กิ่งก้านของมันแผ่ขยายกว้างใหญ่ใต้ต้นมีใบฉำฉาที่ร่วงหล่นทับถมเต็มพื้นจนนุ่มเหมือนพรมเพราะไม่เคยมีใครไปกวาดที่นั่นแหละที่พวกนักเรียนลือกันว่าต้นฉำฉาต้นนั้นมีผีและผีก็ดุเสียด้วย ที่เล่าๆ ต่อกันมาว่ากันว่าเคยมีนักการภารโรงชอบไปนอนหลับใต้ต้นไม้ต้นนั้น แต่ต้นฉำฉาอายุมากกิ่งเปราะกิ่งไม้เลยหักลงมาทับพอดี ภารโรงคงหลับสนิทเลยไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตายไปทั้งๆ ที่หลับอยู่อย่างนั้นเอง หลังจากนั้นบางคนบอกว่าช่วงบ่ายๆมักจะเห็นคนไปนอนหลับอยู่ใต้ต้นฉำฉา บางทีก็เห็นหลับอยู่บนกิ่งไม้สูงๆที่คนปกติไม่น่าขึ้นไปได้ เรื่องเล่าพวกนี้เพิ่มความน่าเชื่อถือเข้าไปอีก เมื่อเช้าวันหนึ่งครูประกาศออกไมโครโฟนว่าห้ามนักเรียนทุกคนเข้าไปในบริเวณนั้นเด็ดขาด นอกจากจะมีคำสั่งจากครู ไม่อย่างนั้นจะถูกลงโทษตัดคะแนนความประพฤติ พวกเรานักเรียนก็เลยเดากันว่าน่าจะเพราะเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่แหละที่มีน้อง ป.5 หลายคนพากันเข้าไปเล่นที่ใต้ต้นฉำฉาต้นนั้น เล่นกอบใบไม้มาโปรยเป็นหิมะตกบ้าง นอนเล่นสโนวแองเจิ้ลบ้างสักพั
โรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนเก่าแก่ประจำจังหวัด มีพื้นที่กว้างกว่า 40 ไร่ นอกจากจะใช้เป็นสถานศึกษาแล้ว คนในจังหวัดยังมักจะมาใช้สถานที่เพื่อจัดกิจกรรมต่างๆอย่าง เช่น งานแต่งงาน งานเกษียณอายุราชการ และอื่นๆนอกจากสถานที่ที่มีความโอ่โถงสวยงามแล้ว คนทั่วไปต่างรู้กันดีอีกอย่างว่า โรงเรียนของเรามีบริการวงดนตรีไทยเดิม และคณะนาฏศิลป์ไทย ที่ได้อาจารย์ดีจากกรมศิลปากรมาคัดเลือกเด็กเข้าวงและฝึกสอนอย่างเข้มข้นด้วยตัวเอง ทำให้นางรำทุกคนในวงโรงเรียน ทั้งรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณดี ยิ้มสวยหวาน พอแต่งหน้าไทย ใส่เครื่องทรงชุดไทยสวย ๆ ก็มีออร่าราวกับเทพธิดาจำแลง นอกจากนี้ทุกคนยังรำสวยงามอ่อนช้อย ได้มาตรฐาน ถึงขนาดไปประกวดระดับประเทศได้รางวัลมามากมาย ดังนั้นคณะนาฏศิลป์ของโรงเรียนจึงได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะในงานมงคลต่างๆ มีงานจ้างไปออกงานทั้งในหอประชุมโรงเรียนเอง งานในตัวจังหวัดเราเอง รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงด้วยนางรำจึงได้รับอภิสิทธิ์พิเศษเหนือกว่านักเรียนคนอื่นๆ สามารถไว้ผมยาวได้ แต่งหน้าและไว้เล็บได้ หยุดเรียนไปรับงานแสดงได้ โดยมีโรงเรียนคอยดูแลให้ทุกอย่าง ทั้งอาหารการกิน รถรับ-ส่ง ช่างแต่
ร่างในชุดเครื่องรำแปลกประหลาดตรงหน้ายังคงร่ายรำอย่างเชื่องช้า แช่มช้อย เอียงร่างกายท่อนบนจนเอวแทบขนานกับพื้น ค่อยๆวาดเท้าหันกลับมาที่ฉันช้า ๆ ทั้งที่กำลังขวัญผวากับภาพตรงหน้า เสียงหัวใจเต้นเร็วแรงเหมือนกระโดดจากในอกมาอยู่ในแก้วหูแต่ฉันกลับควบคุมตัวเองไม่ได้ เท้าทั้งสองค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าที่กำลังจ้องมองกลับมาเป็นใบหน้าของเจี๊ยบแท้ๆ แต่นั่นเหมือนไม่ใช่ เป็นความขัดแย้งที่แปลกประหลาด ร่างนั้นแสยะยิ้มให้ ริมฝีปากแดงฉ่ำวาดยาวไปบนแก้ม ฟันสีดำเรียงกันเป็นแถว ดวงตาดำกลมโตเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นจนเต็มจอตา ทว่าไม่มีแววตาเมื่อกระทบแสง มืดดำสนิทราวกับหลุมลึกมืดมิด ขาฉันสั่นจนขยับไม่ได้อีกต่อไป แม้แต่บังคับให้ตัวเองหลับตา สวดมนต์ หรือห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาเพราะความกลัวก็ทำไม่ได้ อยากจะหันหลังวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด หรืออย่างน้อยก็เรียกให้คนช่วย แต่ก็ทำไม่ได้สักนิด! ร่างตรงหน้ายังคงแสดงแสนยานุภาพอย่างเต็มที่ราวกำลังสนุกสนานกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเตะเท้าที่คลุมด้วยชุดยาวกรุยกรายลากพื้นไปด้านข้าง คล้ายท่าร่ายรำของนาง
โรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนเก่าแก่ประจำจังหวัด มีพื้นที่กว้างกว่า 40 ไร่ นอกจากจะใช้เป็นสถานศึกษาแล้ว คนในจังหวัดยังมักจะมาใช้สถานที่เพื่อจัดกิจกรรมต่างๆอย่าง เช่น งานแต่งงาน งานเกษียณอายุราชการ และอื่นๆนอกจากสถานที่ที่มีความโอ่โถงสวยงามแล้ว คนทั่วไปต่างรู้กันดีอีกอย่างว่า โรงเรียนของเรามีบริการวงดนตรีไทยเดิม และคณะนาฏศิลป์ไทย ที่ได้อาจารย์ดีจากกรมศิลปากรมาคัดเลือกเด็กเข้าวงและฝึกสอนอย่างเข้มข้นด้วยตัวเอง ทำให้นางรำทุกคนในวงโรงเรียน ทั้งรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณดี ยิ้มสวยหวาน พอแต่งหน้าไทย ใส่เครื่องทรงชุดไทยสวย ๆ ก็มีออร่าราวกับเทพธิดาจำแลง นอกจากนี้ทุกคนยังรำสวยงามอ่อนช้อย ได้มาตรฐาน ถึงขนาดไปประกวดระดับประเทศได้รางวัลมามากมาย ดังนั้นคณะนาฏศิลป์ของโรงเรียนจึงได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะในงานมงคลต่างๆ มีงานจ้างไปออกงานทั้งในหอประชุมโรงเรียนเอง งานในตัวจังหวัดเราเอง รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงด้วยนางรำจึงได้รับอภิสิทธิ์พิเศษเหนือกว่านักเรียนคนอื่นๆ สามารถไว้ผมยาวได้ แต่งหน้าและไว้เล็บได้ หยุดเรียนไปรับงานแสดงได้ โดยมีโรงเรียนคอยดูแลให้ทุกอย่าง ทั้งอาหารการกิน รถรับ-ส่ง ช่างแต่
ที่โรงเก็บอุปกรณ์เกษตรหลังโรงเรียนของเรามีต้นฉำฉาใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ด้านหลังใหญ่ขนาดสี่คนโอบได้กิ่งก้านของมันแผ่ขยายกว้างใหญ่ใต้ต้นมีใบฉำฉาที่ร่วงหล่นทับถมเต็มพื้นจนนุ่มเหมือนพรมเพราะไม่เคยมีใครไปกวาดที่นั่นแหละที่พวกนักเรียนลือกันว่าต้นฉำฉาต้นนั้นมีผีและผีก็ดุเสียด้วย ที่เล่าๆ ต่อกันมาว่ากันว่าเคยมีนักการภารโรงชอบไปนอนหลับใต้ต้นไม้ต้นนั้น แต่ต้นฉำฉาอายุมากกิ่งเปราะกิ่งไม้เลยหักลงมาทับพอดี ภารโรงคงหลับสนิทเลยไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตายไปทั้งๆ ที่หลับอยู่อย่างนั้นเอง หลังจากนั้นบางคนบอกว่าช่วงบ่ายๆมักจะเห็นคนไปนอนหลับอยู่ใต้ต้นฉำฉา บางทีก็เห็นหลับอยู่บนกิ่งไม้สูงๆที่คนปกติไม่น่าขึ้นไปได้ เรื่องเล่าพวกนี้เพิ่มความน่าเชื่อถือเข้าไปอีก เมื่อเช้าวันหนึ่งครูประกาศออกไมโครโฟนว่าห้ามนักเรียนทุกคนเข้าไปในบริเวณนั้นเด็ดขาด นอกจากจะมีคำสั่งจากครู ไม่อย่างนั้นจะถูกลงโทษตัดคะแนนความประพฤติ พวกเรานักเรียนก็เลยเดากันว่าน่าจะเพราะเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่แหละที่มีน้อง ป.5 หลายคนพากันเข้าไปเล่นที่ใต้ต้นฉำฉาต้นนั้น เล่นกอบใบไม้มาโปรยเป็นหิมะตกบ้าง นอนเล่นสโนวแองเจิ้ลบ้างสักพั
เมื่อสมัยเรียนผมกับหมง เพื่อนที่เป็นรูมเมท พักอยู่ที่หอในด้วยกัน รูมเมทของผมชอบฟังรายการวิทยุเล่าเรื่องผีเอามากๆ แต่ตัวผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ บางทีรำคาญด้วยซ้ำ เพราะอยากอ่านการ์ตูนหรือฟังรายการวิทยุอื่นๆบ้าง “มึงก็ใส่หูฟังฟังของมึงไปไม่ได้เหรอวะ” ผมบอกมันในคืนหนึ่งด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเพราะง่วงมาก อยากนอน แต่ต้องสะดุ้งตื่นกับเสียงประกอบรายการหลอนๆที่มันฟังอยู่ เสียงหัวเราะบ้าง เสียงกรี๊ดบ้าง หมงหันมามองหน้าทำท่าเกรงใจ “เออๆ แป๊บเดียว ใกล้จบละ มึงก็รู้ว่ากูกลัวผี ฟังคนเดียวไม่มีเพื่อนแชร์ เดี๋ยวกูกลัวขึ้นมาแล้วไม่มีคนช่วยกลัว มันว้าเหว่” “ว้าเหว่บ้านเตี่ยมึงเหรอ” ผมพูดไปหัวเราะไป ไม่ค่อยเข้าใจคนแบบนี้เท่าไหร่ กลัวแต่ก็ดันชอบ “มึงไม่กลัวผีเหรอ ?” หมงถามผมบ้าง “น่ากลัวนะมึง ในม.เรา เขาว่ากันว่า ตรงตึกเก่าคณะวิทย์ฯ น่ะผีดุ ใครเดินผ่าน หรือขับมอเตอร์ไซค์วนผ่าน เป็นได้เจอดีทุกราย” มันยังเล่าต่ออีกว่า พวกที่บอกว่าเจอดี ส่วนใหญ่มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จะเห็นเหมือนมีคนใส่ชุดนักศึกษา เป็นผู้หญิงผมสั้น กระโปรงพลีท รองเท้า
หมิงช่วยเราด้วย…เสียงนั่นดังขึ้นพร้อมกับเสียงเดินลากเท้าผ่านมาทางด้านหน้าห้อง มันดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฉันพยายามถดตัวให้เล็กที่สุด หลบอยู่ใต้โต๊ะนักเรียนด้านหลังห้อง ภาวนาอย่าให้มันรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่เรื่องผ่านมานานแล้วเรื่องมันผ่านมาตั้งนานหลายปีแล้วมันจบไปแล้ว...นี่มันไม่จริง นี่มันแค่ฝันร้าย ฉันพยายามบอกตัวเองอย่างนี้ ในขณะที่เสียงลากเท้ามาหยุดอยู่ที่ประตูปัง ปัง ปัง! เสียงทุบประตูดังลั่นหมิงช่วยเราด้วย...เสียงนั้นดังขึ้นอีก พร้อมสะอึกสะอื้นดังกึกก้องไปทั่วระเบียงทางเดิน ประตูซึ่งปิดล็อกกลอนไว้ถูกเขย่าชนกลอนใกล้จะหล่นลงมาทุกทีฉันไม่ควรเลยแท้ๆ มีคนรับคำเชิญของครูและเพื่อนๆให้กลับมาที่นี่อีก ที่นี่มันควรจะเป็นสุสานปิดตายที่ลบเลือนออกไปจากความทรงจำแล้ว แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเมื่อ 20 ปีที่แล้วฉันกับแจนเคยเป็นเพื่อนกัน ใครๆก็คิดว่าเราเป็นเพื่อนที่สนิทสนมรักใคร่กันดีไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด เหมือนคนตัวติดกัน มีเพียงฉันและแจนเท่านั้นที่รู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเราเป็นเหมือนไม้ยืนต้นกับกาฝาก แจนเป็นฝ่ายที่เกาะเกี่ยวพึ่งพิงฉันอยู่ตลอดเวลา คอยเฝ้ารอให้ฉันเปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว