วันรุ่งขึ้นเป็นวันแสดงจริงฉันตื่นเต้นมากกว่าเดิมแต่ก็วุ่นวายอยู่กับการเตรียมตัว ซ้อมบทท่องบทรอบสุดท้ายก่อนที่จะไปเข้าแสดงในรอบค่ำ ตลอดทั้งวันฉันมองหาพี่สาวคนสวยคนนั้นแต่กลับไม่เห็นเธอเลย จะถามหากับคนอื่นก็ไม่รู้จะถามว่าอะไรเพราะไม่รู้ว่าพี่เขาชื่ออะไร ยังนึกเสียดายว่าวันนี้คงไม่ได้คุยกันแล้ว ทั้งๆที่นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่ามีเพื่อนจริงๆในโรงเรียนแห่งนี้
เมื่อละครดำเนินไปถึงกลางเรื่องกำลังจะถึงตอนสำคัญคือตอนที่เมรีวิ่งตามพระรถเสน บุกป่า ลงทะเล ฝ่ากองไฟ แต่ติดทะเลกรดที่พระรถเสนเสกขึ้นมา จึงต้องนั่งร้องไห้คร่ำครวญจนหัวใจแตกสลาย ตรอมใจตายอยู่อีกฝั่ง
ฉันเครียดและกังวลมาก วิ่งลงเวทีลงไป เข้าไปในห้องแต่งตัวที่ไม่มีใครอยู่เลย
ฉันมองไปรอบห้องแล้วก็ใจชื้นขึ้นทันทีเมื่อเห็นรุ่นพี่คนที่เจอเมื่อวานยืนรออยู่ตรงราวเสื้อผ้า รุ่นพี่รีบช่วยฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าออกและแต่งหน้าให้อย่างรวดเร็ว
“ทำดีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ให้เท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ ไม่ว่าเราจะพูดยังไงเขาก็ยังจะไปอยู่ดี ต่อให้เขารู้ว่าเราอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขาเขาก็ยังจะไปอยู่ดี” รุ่นพี่แต่งหน้าให้พลางพูดทั้งที่น้ำตาร่วงเผาะ
“พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ?” ฉันใจคอไม่ดีชอบกล
รุ่นพี่คนสวยส่ายหน้า “จำไว้นะอย่าไปเชื่อใจใครง่ายๆ ผู้ชายสันดานมันเหมือนกันหมด สวยแค่ไหนดีเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ”
ฉันฟังแล้วก็งงๆแต่ก็ต้องรีบวิ่งออกไปกลางเวทีเพื่อแสดงต่อ
ตอนนั้นเองที่ความน่าขนลุกจริงๆได้เกิดขึ้น!
บนเวทีกลายเป็นเวทีร้างไม่มีใครอยู่ คนดูที่นั่งอยู่เต็มหอประชุมเมื่อครู่กลับอันตรธานหายไปสิ้นเหลือแต่เก้าอี้ว่าง มองไปรอบตัวพบแต่เวทีเก่าคร่ำสกปรกราวกับเป็นโลกอื่น
“ถ้าไม่มา ป่านจะฆ่าตัวตายนะ!” จู่ๆเสียงหญิงสาวก็ดังก้องขึ้นไปทั่วหอประชุม
“ใครน่ะ! ใครพูด ?” ฉันตะโกนถาม
ไม่มีเสียงตอบกลับได้ยินแต่เสียงร้องไห้โฮของหญิงสาวดังก้องกังวานไปทั่ว
คราวนี้ฉันกลัวจริงๆแล้ว...นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ยฉันยืนตัวสั่นอยู่กลางเวทีละครที่ไม่มีใครเลยสักคน ก่อนที่จู่ ๆ แสงสปอร์ตไลท์สว่างจ้าจะเข้ากระทบดวงตาและเสียงฮือฮาดังกึกก้องขึ้น
เหมือนฉันกลับมาอยู่บนเวทีที่กำลังแสดงอีกครั้งแต่คราวนี้สีหน้าของคนดูในหอประชุมพากันตกใจ ทำท่ากลัวอย่างเห็นได้ชัดบางคนถึงกับกรีดร้องออกมา
นักแสดงที่อยู่ร่วมด้วยกันบนเวทีก็ตื่นตะลึงไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้ฉัน
ทำไม...นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
เหมือนเวลาผ่านไปยาวนานกว่าพิธีกรจะประกาศยุติการแสดงชั่วคราวและรูดม่านปิดลงแล้วแจ้งให้ผู้ชมรอสักครู่
คุณครูวิ่งมาจูงมือฉันลงไปที่ห้องแต่งตัว “เล่ามาซิว่าทำไมสภาพเธอถึงเป็นแบบนี้ ?”
ในขณะที่ยังงงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันหันไปเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกแล้วก็ต้องตกใจจนหวีดร้องขึ้นมาอีกคน
เสื้อผ้าชุดเมรีที่ฉันใส่กลายเป็นเสื้อผ้าเก่าคร่ำคร่าขาดรุ่งริ่ง มีกลิ่นเหม็นสาบรุนแรง นั่นยังไม่น่าหวาดผวาเท่าใบหน้าของฉันที่ถูกตกแต่งให้เขียวคล้ำ ริมฝีปากดำสนิทเบ้าตาลึกโบ๋ มีเส้นเลือดเป็นสายขึ้นทั่วใบหน้าราวกับซากศพ
“ฉากเมื่อกี้ตอนวิ่งเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าเธอวิ่งเลี้ยวเข้าไปทางห้องซ้ายหรือขวา ?” นักแสดงหญิงคนหนึ่งถามขึ้นหน้าเธอยังคงซีดเผือดเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ในห้อง
ฉันพูดตะกุกตะกักด้วยความหวาดกลัว “ห้องซ้ายค่ะมีรุ่นพี่คนสวยคนนึงช่วยฉันใส่ชุดแล้วก็แต่งหน้าให้พี่คนนั้นผมยาว ตาโตๆตัวสูงประมาณนี้ค่ะ”
ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นก็พากันหน้าซีดเผือดครูคนหนึ่งทำท่าเหมือนจะเป็นลมแต่ครูผู้กำกับและเจ้าหน้าที่กำกับเวทีก็รีบเข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์ รีบแต่งหน้าให้ฉันใหม่แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
“เล่นต่อไหวไหมอีกฉากเดียวจะจบแล้ว” คุณครูถาม “ถือว่าช่วยโรงเรียนหน่อยนะคนดูเขากำลังรอ”
ถึงแม้จะยังหวาดผวากับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่หายแต่ด้วยสปิริตนักแสดงฉันจึงรวบรวมกำลังใจกลับไปแสดงต่อจนจบ
...เสียงปรบมือของคนดูในตอนจบดังกึกก้องห้องประชุม แม้จะช่วยให้ชื่นใจแต่ก็ไม่ได้ทำให้หายใจสั่น
ฉันได้รู้ต่อมาว่าพี่สายป่านอดีตนางเอกที่ควรจะได้รับเล่นบทนี้ รักกับรุ่นพี่ชายคนหนึ่งที่แสดงเป็นพระเอกทั้งคู่คบหากันอย่างเปิดเผยในโรงเรียน ก่อนจะมีปัญหากันและนัดกันมาเคลียร์ที่ห้องแต่งตัวหลังเวทีแห่งนี้แต่ในคืนนั้นพี่ผู้ชายไม่ยอมมา
กว่าทุกคนจะมาพบที่สายป่านอีกทีเธอก็แขวนคอตายอยู่ในห้องแต่งตัวฝั่งซ้ายไปแล้ว!
ห้องนั้นจึงถูกปิดตาย และมีไว้เพื่อเก็บเสื้อผ้าชุดแสดงเก่าๆและของประกอบฉากที่ไม่ค่อยได้ใช้ ด้านนอกยังล็อกแม่กุญแจไว้อย่างแน่นหนาด้วยจึงไม่มีใครเข้าใจว่าฉันเข้าไปในห้องนั้นได้ยังไง
หลังจากนั้น ฉันยังรักการแสดงและแสดงละครที่เวทีนั้นอยู่เรื่อยๆ รู้สึกเศร้าใจมากกว่ากลัวเมื่อได้รู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่สายป่าน
ฉันเลือกที่จะไม่บอกใครว่ายังคงเห็นพี่สายป่านเดินวนเวียนอยู่ในห้องแต่งตัวนักแสดง บางครั้งเธอก็ปรากฏตัวอยู่บนเวทีแสดงบทบาทนางเอกอยู่กับอากาศว่างเปล่า และเรามักยิ้มเศร้า ๆ ให้กันเสมอ.
เมื่อหนึ่งอาทิตย์ที่แล้ว ฉันกับเพื่อชื่อหมูพากันไปเที่ยวไปหาเพื่อนชื่อปาโก๋ที่ไปฝึกสอนวิชาภาษาอังกฤษอยู่ในโรงเรียนต่างจังหวัด มันพักอยู่บ้านพักในโรงเรียนเพื่อความสะดวก ไม่ต้องกังวลอะไรมากเพราะเป็นผู้ชาย บ้านที่ปาโก๋พักเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูงหลังเล็กๆ มีห้องนอนห้องหนึ่งกับโถงกว้างๆพอนั่งๆนอนๆได้ ถือว่าไม่คับแคบจนเกินไปมีห้องน้ำแยกอยู่ด้านล่างของตัวบ้านที่เทปูนไว้โล่งๆและวางแคร่ไว้ตัวหนึ่ง น่าจะสร้างมานานมากหลายสิบปี แต่สภาพยังแข็งแรงดีอยู่และโดยรอบก็สะอาดสะอ้านดี เพราะก่อนเข้าอยู่ปาโก๋มันเข้ามาขัดและปัดกวาดเช็ดถูเรียบร้อย มีหลอดไฟให้แสงสว่างสองดวงคือข้างล่างกับข้างบน ปาโก๋จัดให้ฉันกับหมูนอนพักในห้องนอน ส่วนตัวมันออกมากางมุ้งนอนที่ด้านนอก “มีอะไรเรียกได้ตลอดนะ ห้องน้ำห้องท่าก็รีบเข้าให้เรียบร้อยก่อนนอน ดึกๆจะได้ไม่ต้องลงมา” ปาโก๋ว่า “เออน่ะ หนาวขนาดนี้ใครมันจะอยากออกมา” หมูตอบ “ไม่ใช่เรื่องหนาวอย่างเดียวหรอก” ปาโก๋พูดต่อ “ผีดุด้วย!” ยังพูดไม่ทันจบ หมูก็ขว้างหมอนใส่หน้ามันทันที “ไอ้เพื่อนเฮงซวย!”เรารู้กันดีว่าหมูกลัวผี
สมัยผมอยู่ ป. 5 ครูที่โรงเรียนมีทั้งหมดไม่ถึงสิบคน ทุกคนอาศัยอยู่ที่บ้านพักครูด้านหลังโรงเรียน ซึ่งนอกจากเป็นที่พักแล้ว ยังสร้างติดทางสัญจรเข้าออกโรงเรียนของพวกเด็กๆที่เดินทางมาจากทิศทางนั้นด้วย ดังนั้นครูโรงเรียนผมจึงเรียกว่าหาความเป็นส่วนตัวไม่ได้ทั้งตอนเช้าและตอนเย็น เด็กจะเดินคุยกันเสียงดังเซ็งแซ่ บางทีพวกที่อยู่เล่นเตะบอลกับเพื่อนจนถึงค่ำๆ มีปัญหาหกล้มวิ่งชนบาดเจ็บกันก็จะวิ่งมาหาครูที่บ้านพักครู ต้องทำแผลส่งหมอกันวุ่นวายไปอีกแล้วแต่กรณี คงจะต้องรอจนถึงช่วงปิดเทอมนี่แหละครับ ที่บ้านพักครูพอจะมีความเงียบสงบบ้าง ครูบางคนก็จะหาวันลาพักร้อนไปเที่ยวกัน แต่ครูบางคนก็พักร้อนอยู่บ้านตัวเองในช่วงที่ไม่ต้องเตรียมงานอะไร บ้านครูแอ๊ดเป็นที่หมายตาของกลุ่มพวกผมอันประกอบด้วยผม ไอ้จี๊ด ไอ้ต่อง ตั้งแต่ช่วงสอบปลายภาค วันที่มาฟังผลสอบเราก็มาแอบดูกันอีกรอบ เพราะที่ข้างบ้านครูแอ๊ดมีต้นมะม่วงอกร่องต้นใหญ่มากอยู่ต้นหนึ่ง สูงเป็นสิบเมตร ใบดกหนาให้ร่มเงาครึ้มสบาย แต่ใครเขาจะไปสนใจใบกันล่ะครับ ลูกมะม่วงอวบปลั่งที่ออกดกเป็นพุ่มเป็นพวงห้อยระย้าเต็มต้นนั่นต่างหาก บางลูกดิบ บางลูกห่ามแล
ไตตั้นเข้าโรงเรียนตอนอายุ 3 ขวบ โดยเริ่มเรียนชั้นอนุบาลหนึ่ง ตอนนั้นก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่สมาชิกในครอบครัวต้องพากันขนหัวลุกและหวาดระแวงสติแทบแตกเริ่มแรกเข้าโรงเรียน พ่อแม่ก็วางใจว่าเตรียมตัวให้ลูกมาค่อนข้างดีมีการพามาดูโรงเรียนก่อน พามาเล่นกับเพื่อน เข้าค่ายฤดูร้อนทำกิจกรรมเล่นเกมกับทางโรงเรียน ซื้อชุดนักเรียนเครื่องเรียนทุกอย่าง ซ้อมใส่อยู่บ้าน คอยบอกน้องไตตั้นว่าเดี๋ยวไปโรงเรียนก้จะได้ไปเรียนไปเล่นกับเพื่อนสนุกๆบ่ายๆพ่อแม่ก็ไปรับ ซึ่งไตตั้นก็ดูกระตือรือร้นดี ยังช่วยพ่อแม่เลือกข้าวของใช้ส่วนตัวที่จะเอามาโรงเรียนจัดใส่กระเป๋าไว้เรียบร้อยแต่พอวันแรกที่เริ่มเข้าเรียนเท่านั้นแหละก็มีเรื่อง!แม่ของไตตั้นพาน้องเดินเข้าไปที่ห้องเรียนอนุบาล 1/3 ที่มีสัญลักษณ์เป็นรูปลูกไก่ติดอยู่เหนือประตูห้อง ห้องนี้ไตตั้นเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก เพราะเมื่อตอนช่วงซัมเมอร์ครูมักจะพาทำกิจกรรมอยู่แต่ในสนามและที่โรงพละศึกษา ไม่เคยพาขึ้นตึกเรียนมาก่อนน้องไตตั้นจูงมือคุณแม่เดินร้องเพลงไปกระโดดเล่นไปท่ามกลางเสียงร้องไห้ระงมของเด็กคนอื่นอีกหลายคนที่งอแงจะกลับบ้าน หรือไม่ยอมให้แม่กลับบ้าน เพราะไม่ได้เตรียมความพร้อมม
แม่ไตตั้นตัดสินใจอยู่เฝ้าลูกที่โรงเรียนทั้งวันในวันแรก ช่วงเช้าราบรื่นดี น้องไตตั้นสามารถเล่นและทำกิจกรรมกับเพื่อนๆได้ตามปกติ ดูสนุกสนานร่าเริงมีชีวิตชีวาดี ขนาดว่าเพื่อนบางคนยังร้องไห้งอแงไม่หยุด ไตตั้นก็ยังช่วยปลอบจนเพื่อนหยุดร้องและทำกิจกรรมต่างๆกับเพื่อนคนอื่นต่อไปได้ ช่วงพักกลางวัน แม่ไตตั้นยังเดินมาดูลูกกินข้าวกับเพื่อนๆ ดูเหมือนเด็กชายเข้ากับที่นี่ได้ดีกว่าที่คิด กินข้าวหมดจานจนต้องขอเพิ่ม ครูหันมายิ้มให้แม่ไตตั้นที่มองดูอยู่ไกลๆ แม่ไตตั้นยิ้มตอบ สบายใจและคิดว่าวันนี้ทั้งวันคงไม่มีอะไรแล้ว ก่อนเข้าเรียนบ่าย แม่ไตตั้นแอบมาคุยกับลูก “เป็นไงบ้างไตตั้น ชอบที่นี่ไหม ?” ไตตั้นยิ้มละไม “ชอบครับ ครูใจดีทุกคนเลย ครูเสื้อเหลืองเล่นกลเก่ง” แม่ไตตั้นขมวดคิ้ว “เหรอลูก...” ตั้งแต่เข้ามานั่งเฝ้าลูก เธอก็เห็นครูอยู่สองคน คือครูประจำชั้นกับครูผู้ช่วย ยังไม่เห็นครูใส่เสื้อสีเหลืองที่ไหนสักคน แต่ก็ยังพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าลูกอาจจะจำผิดก็ได้ จนกระทั่งถึงเวลานอนบ่าย แม่ไตตั้นที่นั่งเฝ้าอยู่ด้วยความเครียดมาตั้งแต่เช้าก็เพลียมาก บวกกับสบ
ฉันไม่เคยอายที่มาจากบ้านยากจน และไม่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชควาสนาของตัวเองที่ไม่ได้อยู่สุขสบายเหมือนพวกลูกคนมีเงิน ฉันช่วยพ่อแม่ทำงาน ขายขนม รับจ้างนิดๆหน่อยๆ มาตั้งแต่เล็กๆไม่เคยรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อยหรือเป็นภาระ กลับรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ทำตัวเป็นประโยชน์ให้กับครอบครัว พ่อแม่ของฉันรักและดูแลฉันเป็นอย่างดี ท่านสอนเสมอว่า หากเรามั่นใจว่าเราคิดดี ทำดี จิตใจสะอาดสุจริต เราก็ไม่ต้องไปกลัวสายตาหรือคำครหานินทาของใครทั้งนั้น ชีวิตเราอยู่ที่การกระทำของเรา ไม่ได้อยู่ที่ขี้ปากของคนอื่น...ซึ่งก็จริงดังที่เขาว่า เด็กๆอยู่กับความยากจนได้ดีกว่าความเกลียดชัง ถึงลำบากกายแต่ถ้าหัวใจได้รับความรักเต็มเปี่ยม อย่างไรก็มีแต่ความสุข นอกจากช่วยงานพ่อแม่ที่ร้านและที่บ้านเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายแล้วหากมีโอกาสที่ครูอาจารย์จะเรียกใช้งานเล็กน้อยแลกเงินห้าบาทสิบบาท อย่างเช่น ล้างจาน ซื้อของ วิ่งไปหยิบของที่ตึกไกลๆ ขัดรองเท้า ฉันจึงทำทุกอย่างโดยไม่แคร์สายตาใคร ดังนั้นเมื่อได้รู้ว่าครูบรรณารักษ์ต้องการคนช่วยดูแลทำความสะอาดห้องสมุดทุกวันในตอนเช้าและหลังเลิกเรียน โดยจะได้ค่าตอบแท
ใครที่เคยอ่านหรือฟังเรื่องผีกันเป็นประจำคงคุ้นเคยกับผีที่มีฉายาลงท้ายว่าแดง โดยมีที่มาจากเลือดที่สาดลงบนสิ่งของสีขาว อย่างเช่น ผีเสื้อแดง ผีชุดแดง ผีโบแดง และเรื่องนี้ของผมก็เหมือนกัน ตัวแดงมาอีกแล้วแต่ไม่หรอก คราวนี้ไม่เหมือนตัวอื่นๆ เพราะผีตัวนี้ใช้กระเป๋าสีแดงจริงๆตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นคนมีชีวิตอยู่ มันเป็นเพื่อนผมเองครับ...เพื่อนคนนี้ชื่อจิ๊บ อยู่ ม. 2/2 เรียนห้องเดียวกับผม เมื่อเทอมที่แล้วมันยังนั่งข้างผมอยู่เลย เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ สูงประมาณ145 เซนติเมตร เตี้ยสุดในห้องผิวขาวเหมือนไข่ปลอก หน้าหมวยตาตี่ จัดฟันอยู่แต่ยิ้มสวยไว้ผมหน้าม้า รวบผมหางม้า ร่าเริงตลอด มองดูเวลาวิ่งแล้วมีท่าทางดุ๊กดิ๊กๆเหมือนตุ๊กตาจนเพื่อนๆชอบเรียกมันว่าไอ้จิ๊บหมากระเป๋าเวลานั่งกับผมก็ชอบแกล้งชอบอำจนบางทีผมโกรธ แต่ก็โกรธได้ไม่นานหรอกเพราะมันน่ารัก เวลามีงานโรงเรียนจิ๊บมันไม่ค่อยได้รับเลือกไปแสดงอะไรกับเขาเพราะตัวเล็ก มีก็แต่กิจกรรมการเป็นเชียร์ลีดเดอร์ที่พี่ๆม.ปลายเห็นแล้วชอบ เพราะมันเล่นยิมนาสติกเก่ง ทรงตัวดี เวลามีท่าต่อตัว ให้มันขึ้นอยู่บนยอดก็สบายๆ โยนรับได้ง่ายเพราะตัวเบาหวิวไม่
ฉันกับพี่พรรู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เราอยู่ค่ายอาสาเดียวกันทุกปี ค่ายของเราส่วนใหญ่จะอาสาไปสอนหนังสือเด็ก ๆ ในชนบทห่างไกล หลายแห่งมีครูอยู่คนเดียว ต้องสอนทุกระดับชั้นทุกวิชา โรงเรียนแบบที่แบกรับภาระหนักที่สุดคือโรงเรียนประเภทที่เป็นโรงเรียนประจำ เพราะต้องดูแลเรื่องที่อยู่อาศัย อาหารการกิน รวมถึงความปลอดภัยของเด็ก ๆ ด้วย หลายพื้นที่เช่นกันที่ครูคนเดียวรับหน้าที่นั้นทั้งหมด เป็นทั้งครู ทั้งพ่อและแม่ในคนเดียวกัน นี่ยังไม่รวมการที่ต้องเป็นคนคอยจัดหาเงินทุนเพื่อมาดูแลเด็ก ๆ และคอยประสานกับทางส่วนกลางในเรื่องเอกสารการเรียนต่าง ๆ อีก ในสมัยนั้นพวกเราเองก็ทำอะไรได้ไม่มาก แต่ละครั้งเราก็จะพากันขนสื่อการเรียนการสอนเท่าที่จัดหามาได้ รวมถึงหนังสือเรียน หนังสืออื่น ๆ เอาไปสร้างห้องสมุดหรือมุมหนังสือให้เด็ก ๆ ขอรับบริจาคพวกอุปกรณ์การเรียน เครื่องเขียน สมุดดินสอ หรือบางครั้งโชคดีก็ได้อุปกรณ์กีฬาบ้าง พวกเราเป็นครูชั่วคราวที่เด็ก ๆ มักจะรัก เพราะมีอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ ไปสอนไปเล่าให้ฟัง บางครั้งแม้ค่ายจะจบลงในเวลาเพียงครึ่งเดือน แต่วันที่พวกเราจะ
17. มาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนกลางดึก เมื่อได้ยินเสียงพี่พรพูดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว และยังมีเสียงหัวเราะคิกคักเหมือนเสียงเด็ก ๆ พอลืมตามองก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นร่างเล็ก ๆ นับสิบเป็นร่างเงาจาง ๆ แต่พอมีเค้าว่าเป็นเด็กเล็ก นั่ง นอน คลาน เดินไปมาอยู่รอบตัวพี่พรที่กำลังกางหนังสือนิทานอ่านด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ละร่างนั้นไม่ได้มาในสภาพน่าเวทนาอย่างคนถูกไฟไหม้ แต่มาในร่างอย่างเด็กน้อยไร้เดียงสาตามวัยก่อนที่พวกเขาจะตาย จึงทำให้แม้สถานการณ์ตอนนี้จะฟังดูน่าขนลุกเพียงใด แต่ฉันกลับรู้สึกสงสารระคนหลอน ตอนที่พี่พรถามว่ากลัวผีไหม ใครจะไปนึกว่าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย พี่พรเปิดหนังสือนิทานอ่านออกเสียงจากความทรงจำเพราะในห้องตอนนั้นมืด มีเพียงแสงสว่างรำไรจากแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างเท่านั้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรัก ความเมตตาและอ่อนโยน พี่พรตอนนี้ดูมีความสุขไม่ต่างจากตอนที่แกอยู่ท่ามกลางเด็ก ๆ ที่มีชีวิต ฉันนอนนิ่งตัวแข็ง ไม่กระดุกกระดิก ถึงจะน่ารักอย่างไรก็ผีทั้งนั้น สักพักหนึ่งก็รู้สึกเย็น ๆ ที่ข้อเท้า เหมือนมีมือเย็นเฉียบมาจับ
ต้นไผ่มันไม่เชื่อผมเลยทุกคืนกลางดึก ผมเห็นร่างตะคุ่มๆยืนอยู่ที่ระเบียง ทำท่าชะโงกมองอะไรสักอย่าง ก่อนจะเสียหลักพลัดตกลงไปข้างล่าง ในหูได้ยินทั้งเสียงตกกระแทกพื้นดังพลั่ก เสียงหักร้าวของกระดูก และเสียงร้องครางอือในลำคอ แต่เมื่อผมตามไปดูก็ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ“มึงหลอนไปเองแล้วโก้ กูบอกแล้วว่าให้นอนพักเสียบ้าง อ่านหนังสือเตรียมสอบถึงเช้าทุกวันแบบนี้ สมองอ๊องหมดแล้ว” มันว่าทั้งที่ตายังไม่ละออกจากเกมในโทรศัพท์มือถือ “เชื่อกู นอนบ้าง เล่นเกมบ้าง กินเหล้าบ้างก็ดี”ผมรำคาญและหงุดหงิดเสมอเมื่อมันพูดเหมือนไม่เคยใส่ใจปัญหาของผมเลย“ผี ห้องนี้แม่งต้องมีผี กูจะลองหาดู ในข่าวเก่าๆอาจจะมี”ผมลองเข้ากูเกิ้ล เซิร์ชหาข่าวด้วยชื่อตึกและคำว่าเสียชีวิต หาอยู่พักใหญ่จนพบข่าวหนึ่ง เป็นข่าวเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่ตกจากระเบียงตึกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อราวปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา แต่เมื่อคลิกจะเข้าไปอ่านรายละเอียดกลับเข้าไม่ได้ “เนตเป็นเหี้ยไรวะ!” ผมบ่นอย่างหงุดหงิด “ต้นไผ่ มึงใช้ 4G ป่ะ กูยืมแป๊บดิ ไวไฟแม่งไม่มีสัญญาณ” ไอ้ต้นไผ่ชำเลืองตามามองผมแวบหนึ่ง “มึงเชื่อกู เลิกค้นเรื่องนี้เถอะรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์”“
ครั้งแรกที่ฉันเข้ามาในห้องแลปภาษาเมื่อตอน ม. 1 ฉันตื่นตาตื่นใจมากกับคอกสี่เหลี่ยมเล็กๆที่กั้นด้วยพาทิชั่น มีกระจกบางๆใสๆ ในคอกมีหูฟังแบบครอบวางอยู่ช่องละอันในห้องแลปนั้นเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นเฉียบ ครูที่สอนภาษาอังกฤษเดินมาหน้าห้อง บอกให้นักเรียนทุกคนเข้าประจำที่โต๊ะเพื่อเตรียมฟังเสียงจากหูฟังในบทเรียนที่ครูกำลังจะสอน“เราจะเรียนที่นี่กันสัปดาห์ละครั้ง เพราะต้องเวียนใช้ในทุกระดับชั้น เพราะฉะนั้นเวลาเดินมาเรียนหัวหน้าห้องต้องคอยดูแลเพื่อนให้มาตรงเวลา ห้ามสาย ห้ามขาด ห้ามแวบไปที่อื่น ไม่งั้นถ้าเวลาน้อยเกินไปจะฟังไม่จบบท...เอาละ วันนี้เริ่มกันเลย นักเรียนใส่หูฟังได้ค่ะ”ทุกคนนั่งกันที่โต๊ะซึ่งมีตัวเลขระบุไว้ตามเลขที่ ฉันเลขที่ 15 ก็ได้นั่งโต๊ะตัวที่ 15 หูฟังของโต๊ะนี้ดูเหมือนจะอันใหญ่กว่าเพื่อนและมีฟองน้ำนุ่มหนา หุ้มด้วยหนังนิ่มอย่างดีเพื่อนที่นั่งโต๊ะข้างๆชะโงกมาดู “โห...หูฟังเริด ขอแลกได้ปะ ?”ฉันหันไปยิ้มให้ไม่ทันได้ตอบอะไรครูก็เริ่มพูดต่อ“เอ้า...กดเปิดที่ปุ่มสีแดงตรงมุมโต๊ะด้านซ้าย...มีไฟขึ้นไหม โต๊ะไหนไม่ติดบ้าง...โอเค ติดทุกโต๊ะนะ ปรับเสียงเบาหรือดังได้ที่ปุ่มข้างๆหูฟังด้านขวา.
เมื่อโรงเรียนเริ่มเปิดเทอม สีสันและชีวิตชีวาของโรงเรียนก็กลับมาเบ่งบานเต็มที่ เสียงของเด็ก ๆ เล่นกันสนุกสนาน เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ เสียงร้องตะโกน เสียงผู้ปกครองที่พยายามหาวิธีแกะลูกออกจากแขนขาตัวเองมาส่งให้ครู ฉันเองแม้จะเรียนเกี่ยวกับการศึกษามาและเคยฝึกสอนมาแล้ว แต่ก็ไม่เคยรับมือกับเด็ก ๆ อนุบาลที่ไม่เคยมาโรงเรียนมาก่อน แม้ที่นี่จะมีครูห้องละสองคน และมีครูพี่เลี้ยงคอยช่วยดูแลเด็กอีกคน แต่การจะพยายามทั้งปลอบ ทั้งดูแล ทั้งต้อนเด็ก ๆ ให้ยอมอยู่ในห้องเรียนอย่างสงบนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากอาทิตย์แรกทั้งอาทิตย์จึงหมดไปกับการพยายามทำให้เด็ก ๆ ที่เพิ่งห่างบ้านห่างครอบครัวเป็นครั้งแรก ยอมรับอ้อมกอดของครูและโรงเรียน ยังไม่ต้องพูดถึงการเรียนหรือสอนอะไรทั้งนั้น ฉันแอบดีใจที่เห็นเด็กหญิงดวงตาสดใสคนนั้นมาเรียนที่ห้องของเราด้วย แต่เมื่อถึงเวลาเช็กชื่อ กลับมองหาเธอไม่เจอ ฉันเล่าเรื่องเด็กหญิงคนนั้นให้ครูพี่เลี้ยงที่กำลังง่วนกับการป้อนข้าวและเช็ดปากให้กับเด็กสองคน ครูพี่เลี้ยงพูดเพียงว่าฉันอาจจะเข้าใจผิดไปเอง เด็กคนนั้นอาจะเรียนห้องอื่น อนุบาลเรามีตั้งหลายห้อง หรือไม่เด็กอาจจะเข้าห้อง
นับเป็นโชคดีของฉัน ที่พอเรียนจบก็มีตำแหน่งงานว่างที่โรงเรียนเก่าที่เคยเรียนเมื่อตอนมัธยม ตอนที่ฉันบอกแม่ว่าจะกลับไปเป็นครูสอนที่โรงเรียนเก่า และจะได้กลับไปอยู่บ้านกับแม่ แม่ดีใจมาก เร่งเตรียมห้องเตรียมข้าวของรอฉันกลับ แม่บอกว่า ตั้งแต่วันที่ฉันเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ ก็นึกว่าจะไปตั้งหน้าทำงานในกรุงเทพฯ เหมือนพวกพี่ ๆ เสียแล้วที่จริงแล้วฉันก็เคยคิด คิดว่าอยากจะไปไกล ๆ จากบ้านเก่า โรงเรียนเก่า ลบความทรงจำเก่า ๆ ออกไปแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ หลังจากที่เลิกกับแฟนคนแรกที่นี่เมื่อตอน ม. 5ใคร ๆ ก็บอกว่ารักวัยรุ่น ก็ต้องเรียนรู้ เจ็บบ้างอกหักบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ทำให้เราได้รู้จักเติบโต มีภูมิต้านทานความเจ็บ ความผิดหวังความเศร้าที่จะทยอยเข้ามาเรื่อย ๆ เมื่อเราเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ ฉันก็รับฟังและพยายามจะคิดอย่างนั้น แต่ตลอดเวลาหกปีที่ผ่านมา ความเจ็บช้ำที่เกิดจากแฟนคนแรกยังคงเป็นบาดแผลร้าวลึกจนไม่อยากเอ่ยถึงคนเรียนจบใหม่อย่างฉันในสาขาการศึกษา หางานยากยิ่งกว่าอะไร นั่นเองที่ฉันบอกว่าฉันโชคดีที่จู่ ๆ ก็ได้งานง่ายดาย เป็นงานประจำใกล้บ้าน ไม่ต้องเสียค่าที่พัก แถมได้อยู่กับแม่ โชคดียิ่งกว่านั้น ความหลังท
17. มาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนกลางดึก เมื่อได้ยินเสียงพี่พรพูดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว และยังมีเสียงหัวเราะคิกคักเหมือนเสียงเด็ก ๆ พอลืมตามองก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นร่างเล็ก ๆ นับสิบเป็นร่างเงาจาง ๆ แต่พอมีเค้าว่าเป็นเด็กเล็ก นั่ง นอน คลาน เดินไปมาอยู่รอบตัวพี่พรที่กำลังกางหนังสือนิทานอ่านด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ละร่างนั้นไม่ได้มาในสภาพน่าเวทนาอย่างคนถูกไฟไหม้ แต่มาในร่างอย่างเด็กน้อยไร้เดียงสาตามวัยก่อนที่พวกเขาจะตาย จึงทำให้แม้สถานการณ์ตอนนี้จะฟังดูน่าขนลุกเพียงใด แต่ฉันกลับรู้สึกสงสารระคนหลอน ตอนที่พี่พรถามว่ากลัวผีไหม ใครจะไปนึกว่าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย พี่พรเปิดหนังสือนิทานอ่านออกเสียงจากความทรงจำเพราะในห้องตอนนั้นมืด มีเพียงแสงสว่างรำไรจากแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างเท่านั้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรัก ความเมตตาและอ่อนโยน พี่พรตอนนี้ดูมีความสุขไม่ต่างจากตอนที่แกอยู่ท่ามกลางเด็ก ๆ ที่มีชีวิต ฉันนอนนิ่งตัวแข็ง ไม่กระดุกกระดิก ถึงจะน่ารักอย่างไรก็ผีทั้งนั้น สักพักหนึ่งก็รู้สึกเย็น ๆ ที่ข้อเท้า เหมือนมีมือเย็นเฉียบมาจับ
ฉันกับพี่พรรู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เราอยู่ค่ายอาสาเดียวกันทุกปี ค่ายของเราส่วนใหญ่จะอาสาไปสอนหนังสือเด็ก ๆ ในชนบทห่างไกล หลายแห่งมีครูอยู่คนเดียว ต้องสอนทุกระดับชั้นทุกวิชา โรงเรียนแบบที่แบกรับภาระหนักที่สุดคือโรงเรียนประเภทที่เป็นโรงเรียนประจำ เพราะต้องดูแลเรื่องที่อยู่อาศัย อาหารการกิน รวมถึงความปลอดภัยของเด็ก ๆ ด้วย หลายพื้นที่เช่นกันที่ครูคนเดียวรับหน้าที่นั้นทั้งหมด เป็นทั้งครู ทั้งพ่อและแม่ในคนเดียวกัน นี่ยังไม่รวมการที่ต้องเป็นคนคอยจัดหาเงินทุนเพื่อมาดูแลเด็ก ๆ และคอยประสานกับทางส่วนกลางในเรื่องเอกสารการเรียนต่าง ๆ อีก ในสมัยนั้นพวกเราเองก็ทำอะไรได้ไม่มาก แต่ละครั้งเราก็จะพากันขนสื่อการเรียนการสอนเท่าที่จัดหามาได้ รวมถึงหนังสือเรียน หนังสืออื่น ๆ เอาไปสร้างห้องสมุดหรือมุมหนังสือให้เด็ก ๆ ขอรับบริจาคพวกอุปกรณ์การเรียน เครื่องเขียน สมุดดินสอ หรือบางครั้งโชคดีก็ได้อุปกรณ์กีฬาบ้าง พวกเราเป็นครูชั่วคราวที่เด็ก ๆ มักจะรัก เพราะมีอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ ไปสอนไปเล่าให้ฟัง บางครั้งแม้ค่ายจะจบลงในเวลาเพียงครึ่งเดือน แต่วันที่พวกเราจะ
ใครที่เคยอ่านหรือฟังเรื่องผีกันเป็นประจำคงคุ้นเคยกับผีที่มีฉายาลงท้ายว่าแดง โดยมีที่มาจากเลือดที่สาดลงบนสิ่งของสีขาว อย่างเช่น ผีเสื้อแดง ผีชุดแดง ผีโบแดง และเรื่องนี้ของผมก็เหมือนกัน ตัวแดงมาอีกแล้วแต่ไม่หรอก คราวนี้ไม่เหมือนตัวอื่นๆ เพราะผีตัวนี้ใช้กระเป๋าสีแดงจริงๆตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นคนมีชีวิตอยู่ มันเป็นเพื่อนผมเองครับ...เพื่อนคนนี้ชื่อจิ๊บ อยู่ ม. 2/2 เรียนห้องเดียวกับผม เมื่อเทอมที่แล้วมันยังนั่งข้างผมอยู่เลย เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ สูงประมาณ145 เซนติเมตร เตี้ยสุดในห้องผิวขาวเหมือนไข่ปลอก หน้าหมวยตาตี่ จัดฟันอยู่แต่ยิ้มสวยไว้ผมหน้าม้า รวบผมหางม้า ร่าเริงตลอด มองดูเวลาวิ่งแล้วมีท่าทางดุ๊กดิ๊กๆเหมือนตุ๊กตาจนเพื่อนๆชอบเรียกมันว่าไอ้จิ๊บหมากระเป๋าเวลานั่งกับผมก็ชอบแกล้งชอบอำจนบางทีผมโกรธ แต่ก็โกรธได้ไม่นานหรอกเพราะมันน่ารัก เวลามีงานโรงเรียนจิ๊บมันไม่ค่อยได้รับเลือกไปแสดงอะไรกับเขาเพราะตัวเล็ก มีก็แต่กิจกรรมการเป็นเชียร์ลีดเดอร์ที่พี่ๆม.ปลายเห็นแล้วชอบ เพราะมันเล่นยิมนาสติกเก่ง ทรงตัวดี เวลามีท่าต่อตัว ให้มันขึ้นอยู่บนยอดก็สบายๆ โยนรับได้ง่ายเพราะตัวเบาหวิวไม่
ฉันไม่เคยอายที่มาจากบ้านยากจน และไม่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชควาสนาของตัวเองที่ไม่ได้อยู่สุขสบายเหมือนพวกลูกคนมีเงิน ฉันช่วยพ่อแม่ทำงาน ขายขนม รับจ้างนิดๆหน่อยๆ มาตั้งแต่เล็กๆไม่เคยรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อยหรือเป็นภาระ กลับรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ทำตัวเป็นประโยชน์ให้กับครอบครัว พ่อแม่ของฉันรักและดูแลฉันเป็นอย่างดี ท่านสอนเสมอว่า หากเรามั่นใจว่าเราคิดดี ทำดี จิตใจสะอาดสุจริต เราก็ไม่ต้องไปกลัวสายตาหรือคำครหานินทาของใครทั้งนั้น ชีวิตเราอยู่ที่การกระทำของเรา ไม่ได้อยู่ที่ขี้ปากของคนอื่น...ซึ่งก็จริงดังที่เขาว่า เด็กๆอยู่กับความยากจนได้ดีกว่าความเกลียดชัง ถึงลำบากกายแต่ถ้าหัวใจได้รับความรักเต็มเปี่ยม อย่างไรก็มีแต่ความสุข นอกจากช่วยงานพ่อแม่ที่ร้านและที่บ้านเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายแล้วหากมีโอกาสที่ครูอาจารย์จะเรียกใช้งานเล็กน้อยแลกเงินห้าบาทสิบบาท อย่างเช่น ล้างจาน ซื้อของ วิ่งไปหยิบของที่ตึกไกลๆ ขัดรองเท้า ฉันจึงทำทุกอย่างโดยไม่แคร์สายตาใคร ดังนั้นเมื่อได้รู้ว่าครูบรรณารักษ์ต้องการคนช่วยดูแลทำความสะอาดห้องสมุดทุกวันในตอนเช้าและหลังเลิกเรียน โดยจะได้ค่าตอบแท
แม่ไตตั้นตัดสินใจอยู่เฝ้าลูกที่โรงเรียนทั้งวันในวันแรก ช่วงเช้าราบรื่นดี น้องไตตั้นสามารถเล่นและทำกิจกรรมกับเพื่อนๆได้ตามปกติ ดูสนุกสนานร่าเริงมีชีวิตชีวาดี ขนาดว่าเพื่อนบางคนยังร้องไห้งอแงไม่หยุด ไตตั้นก็ยังช่วยปลอบจนเพื่อนหยุดร้องและทำกิจกรรมต่างๆกับเพื่อนคนอื่นต่อไปได้ ช่วงพักกลางวัน แม่ไตตั้นยังเดินมาดูลูกกินข้าวกับเพื่อนๆ ดูเหมือนเด็กชายเข้ากับที่นี่ได้ดีกว่าที่คิด กินข้าวหมดจานจนต้องขอเพิ่ม ครูหันมายิ้มให้แม่ไตตั้นที่มองดูอยู่ไกลๆ แม่ไตตั้นยิ้มตอบ สบายใจและคิดว่าวันนี้ทั้งวันคงไม่มีอะไรแล้ว ก่อนเข้าเรียนบ่าย แม่ไตตั้นแอบมาคุยกับลูก “เป็นไงบ้างไตตั้น ชอบที่นี่ไหม ?” ไตตั้นยิ้มละไม “ชอบครับ ครูใจดีทุกคนเลย ครูเสื้อเหลืองเล่นกลเก่ง” แม่ไตตั้นขมวดคิ้ว “เหรอลูก...” ตั้งแต่เข้ามานั่งเฝ้าลูก เธอก็เห็นครูอยู่สองคน คือครูประจำชั้นกับครูผู้ช่วย ยังไม่เห็นครูใส่เสื้อสีเหลืองที่ไหนสักคน แต่ก็ยังพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าลูกอาจจะจำผิดก็ได้ จนกระทั่งถึงเวลานอนบ่าย แม่ไตตั้นที่นั่งเฝ้าอยู่ด้วยความเครียดมาตั้งแต่เช้าก็เพลียมาก บวกกับสบ