ที่โรงเก็บอุปกรณ์เกษตรหลังโรงเรียนของเรามีต้นฉำฉาใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ด้านหลังใหญ่ขนาดสี่คนโอบได้กิ่งก้านของมันแผ่ขยายกว้างใหญ่ใต้ต้นมีใบฉำฉาที่ร่วงหล่นทับถมเต็มพื้นจนนุ่มเหมือนพรมเพราะไม่เคยมีใครไปกวาดที่นั่นแหละที่พวกนักเรียนลือกันว่าต้นฉำฉาต้นนั้นมีผีและผีก็ดุเสียด้วย
ที่เล่าๆ ต่อกันมาว่ากันว่าเคยมีนักการภารโรงชอบไปนอนหลับใต้ต้นไม้ต้นนั้น แต่ต้นฉำฉาอายุมากกิ่งเปราะกิ่งไม้เลยหักลงมาทับพอดี ภารโรงคงหลับสนิทเลยไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตายไปทั้งๆ ที่หลับอยู่อย่างนั้นเอง หลังจากนั้นบางคนบอกว่าช่วงบ่ายๆมักจะเห็นคนไปนอนหลับอยู่ใต้ต้นฉำฉา บางทีก็เห็นหลับอยู่บนกิ่งไม้สูงๆที่คนปกติไม่น่าขึ้นไปได้ เรื่องเล่าพวกนี้เพิ่มความน่าเชื่อถือเข้าไปอีก เมื่อเช้าวันหนึ่งครูประกาศออกไมโครโฟนว่าห้ามนักเรียนทุกคนเข้าไปในบริเวณนั้นเด็ดขาด นอกจากจะมีคำสั่งจากครู ไม่อย่างนั้นจะถูกลงโทษตัดคะแนนความประพฤติ
พวกเรานักเรียนก็เลยเดากันว่าน่าจะเพราะเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่แหละที่มีน้อง ป.5 หลายคนพากันเข้าไปเล่นที่ใต้ต้นฉำฉาต้นนั้น เล่นกอบใบไม้มาโปรยเป็นหิมะตกบ้าง นอนเล่นสโนวแองเจิ้ลบ้างสักพักใหญ่ๆก็พากันหวีดร้องโวยวายว่าผีหลอก แล้วก็พากันวิ่งหนีกระเจิงออกมา พอคนอื่นๆวิ่งตามมาดูถามว่าร้องอะไรก็ไม่ตอบ เอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น พูดว่าผีๆๆจ นครูต้องโทรตามผู้ปกครองของแต่ละคนมาพากลับบ้าน
ก็เลยลือกันว่าเจอผีภารโรงเข้าไปนี่แหละ แต่เหตุผลที่ครูประกาศห้ามเข้าไปแถวนั้นก็คือต้นฉำฉาแก่มากแล้ว กิ่งมันเปราะกลัวนักเรียนจะได้รับอันตราย แต่ไม่ยักกะพูดถึงเด็ก ป.5 ที่อยู่ๆก็พากันหยุดเรียนไปเฉยๆซะงั้น
เรื่องผีต้นฉำฉานี่จะว่าไปแล้ว พวกเรานักเรียนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีใครอยากเข้าไปยุ่งอยู่แล้วละ แต่ก็มีบางครั้งที่ครูเกษตรจะใช้คนที่ดวงซวยให้ถือกุญแจพากันเดินไปหยิบเสียมหรือจอบมาใช้ในวิชาเกษตร ทั้งๆที่มันอยู่ในโซนต้องห้ามครูวิชาเกษตร แกเป็นคนไม่ค่อยแคร์ระเบียบโรงเรียนอะไรเท่าไหร่ขนาดกินเหล้ามาสอนก็ยังเคย
พอใครโดนใช้ให้ไปขนจอบเสียมก็เลยต้องชวนแกมบังคับแกมขอร้องเพื่อนให้พากันเดินไปด้วยเป็นโขยงใหญ่ รีบไปรีบหยิบรีบออก ห้ามใครพูดคุยอะไรทั้งนั้น ได้ยินเสียงหรือเห็นอะไรก็ห้ามทักด้วยบางคนเข้าไปนี่เดินย่องแทบจะกลั้นหายใจกันเลยทีเดียว เหมือนกลัวว่าถ้าเสียงดังแล้วจะไปทำให้ใครตื่นเข้า ต้นฉำฉาต้นนี้เวลาลมพัดทีกิ่งไม้ใบไม้ก็ชอบส่งเสียงออดแอดแปลกๆเสียด้วย ทำเอาคนที่กลัวอยู่แล้วสะดุ้งใจฝ่อมากเข้าไปอีก
วันหนึ่งห้องเราโดนใช้ไปเอาจอบเสียมก็เลยพากันยกโขยงไปเช่นเคย แต่คราวนี้ไม่ได้ยินแค่เสียงออดแอดแต่ได้ยินเสียงเหมือนเด็กผู้หญิงร้องไห้มาจากด้านหลังตรงต้นฉำฉาพอดี
พวกเราได้ยินกันหมดแต่ด้วยความกลัวก็เลยรีบเดินจ้ำกันออกมา ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงหวีดร้องแต่พอออกมาแล้ว ใครคนหนึ่งก็พูดว่านั่นอาจจะเป็นคนก็ได้อาจจะเป็นเด็กกำลังต้องการความช่วยเหลือเราเลยไปบอกครูเกษตร แต่ครูเกษตรไม่สนใจพวกเราเลย ตัดสินใจพากันเดินกลับไปที่นั่นเองโดยส่งคนใจกล้าที่สุดสามคนเดินอ้อมโรงเก็บของ เข้าไปที่โคนต้นฉำฉา พวกเราเห็นสามคนนั้นทำท่าเหมือนคุยอะไรกับใครสักคนอยู่แต่สักพักก็ร้องลั่นแล้ววิ่งหนีออกมา ทำให้พวกที่รออยู่ห่างๆพลอยวิ่งหนีเตลิดออกมาด้วย
เพื่อนสามคนนั้นบอกว่าเห็นเด็กผู้หญิงนั่งร้องไห้อยู่ เลยเดินเข้าไปถาม แต่อยู่ดีๆเด็กนั่นก็มองหน้าแล้วลุกวิ่งหายเข้าไปในต้นฉำฉาเฉยเลย ก็เลยวิ่งหนีกันออกมาเนี่ยแหละ
หลังจากนั้นเรื่องผีเด็กผู้หญิงก็กระจายไปทั่วประกอบกับน้อง ป.5 ที่ขาดเรียนไปก่อนหน้าพากันทยอยกลับมาเรียนพร้อมข่าวลือที่ว่าเด็กกลุ่มนี้ที่ไปเล่นกันวันนั้น คุ้ยกองใบไม้ไปมาแล้วไปเจอเอาโครงกระดูกมือคนโผล่ออกมาจากพื้นใต้กองใบไม้ เด็กบางคนยังพูดว่าตอนที่นอนกลิ้งไปมาเล่นกันรู้สึกเหมือนมีคนเพิ่มมาจากไหนไม่รู้อีกคนคนนึงไปกลิ้งทับร่างร่างหนึ่ง เหมือนเด็กตัวเท่าๆกันแต่เย็นชืด อีกคนบอกว่ารู้สึกเหมือนเหยียบโดนผมคนผมพันขา เลยพากันสติแตกวิ่งหนีออกมา
จากนั้นโรงเรียนเลยมีข่าวลือหนักว่ามีเด็กถูกฆ่าตายฝังอยู่ที่นั่นพอข่าวลือหนาหูออกไปถึงผู้ปกครอง ก็เริ่มมีการขุดคุ้ยเรื่องจนรู้ว่าเคยมีเด็กหายในพื้นที่นี้ แต่หลายปีมาแล้ว เลยมีการเรียกร้องกันให้ลองค้นหาดูที่บริเวณโคนต้นฉำฉาแล้ว ในที่สุดโคนต้นฉำฉาก็ถูกกวาดจนเรียบและมีการขุดรอบๆบริเวณ แต่ก็ไม่พบอะไรจนทุกคนเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
วันต่อมาพายุกระหน่ำรุนแรงทั้งตำบล พัดต้นไม้ใหญ่หลายต้นล้มลงรวมทั้งต้นฉำฉาที่หักทั้งลำเหลือแค่ส่วนโคนนิดหน่อย แต่นั่นก็ทำให้พวกเราได้คำตอบว่าผีต้นฉำฉามาจากไหนเพราะโพรงตรงกลางของต้นปรากฏศพเด็กแห้งกรังติดอยู่ในนั้น คาดว่าคนร้ายคงปีนขึ้นไปแล้วหย่อนลงมาซ่อนจากรูด้านบน
หลังจากเรื่องคลี่คลายแล้วต้นฉำฉาก็ถูกถอนรากถอนโคนออกจนเกลี้ยง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีนักเรียนคนไหนกล้าเข้าไปแถวนั้นอีกเลย
โรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนเก่าแก่ประจำจังหวัด มีพื้นที่กว้างกว่า 40 ไร่ นอกจากจะใช้เป็นสถานศึกษาแล้ว คนในจังหวัดยังมักจะมาใช้สถานที่เพื่อจัดกิจกรรมต่างๆอย่าง เช่น งานแต่งงาน งานเกษียณอายุราชการ และอื่นๆนอกจากสถานที่ที่มีความโอ่โถงสวยงามแล้ว คนทั่วไปต่างรู้กันดีอีกอย่างว่า โรงเรียนของเรามีบริการวงดนตรีไทยเดิม และคณะนาฏศิลป์ไทย ที่ได้อาจารย์ดีจากกรมศิลปากรมาคัดเลือกเด็กเข้าวงและฝึกสอนอย่างเข้มข้นด้วยตัวเอง ทำให้นางรำทุกคนในวงโรงเรียน ทั้งรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณดี ยิ้มสวยหวาน พอแต่งหน้าไทย ใส่เครื่องทรงชุดไทยสวย ๆ ก็มีออร่าราวกับเทพธิดาจำแลง นอกจากนี้ทุกคนยังรำสวยงามอ่อนช้อย ได้มาตรฐาน ถึงขนาดไปประกวดระดับประเทศได้รางวัลมามากมาย ดังนั้นคณะนาฏศิลป์ของโรงเรียนจึงได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะในงานมงคลต่างๆ มีงานจ้างไปออกงานทั้งในหอประชุมโรงเรียนเอง งานในตัวจังหวัดเราเอง รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงด้วยนางรำจึงได้รับอภิสิทธิ์พิเศษเหนือกว่านักเรียนคนอื่นๆ สามารถไว้ผมยาวได้ แต่งหน้าและไว้เล็บได้ หยุดเรียนไปรับงานแสดงได้ โดยมีโรงเรียนคอยดูแลให้ทุกอย่าง ทั้งอาหารการกิน รถรับ-ส่ง ช่างแต่
ร่างในชุดเครื่องรำแปลกประหลาดตรงหน้ายังคงร่ายรำอย่างเชื่องช้า แช่มช้อย เอียงร่างกายท่อนบนจนเอวแทบขนานกับพื้น ค่อยๆวาดเท้าหันกลับมาที่ฉันช้า ๆ ทั้งที่กำลังขวัญผวากับภาพตรงหน้า เสียงหัวใจเต้นเร็วแรงเหมือนกระโดดจากในอกมาอยู่ในแก้วหูแต่ฉันกลับควบคุมตัวเองไม่ได้ เท้าทั้งสองค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าที่กำลังจ้องมองกลับมาเป็นใบหน้าของเจี๊ยบแท้ๆ แต่นั่นเหมือนไม่ใช่ เป็นความขัดแย้งที่แปลกประหลาด ร่างนั้นแสยะยิ้มให้ ริมฝีปากแดงฉ่ำวาดยาวไปบนแก้ม ฟันสีดำเรียงกันเป็นแถว ดวงตาดำกลมโตเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นจนเต็มจอตา ทว่าไม่มีแววตาเมื่อกระทบแสง มืดดำสนิทราวกับหลุมลึกมืดมิด ขาฉันสั่นจนขยับไม่ได้อีกต่อไป แม้แต่บังคับให้ตัวเองหลับตา สวดมนต์ หรือห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาเพราะความกลัวก็ทำไม่ได้ อยากจะหันหลังวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด หรืออย่างน้อยก็เรียกให้คนช่วย แต่ก็ทำไม่ได้สักนิด! ร่างตรงหน้ายังคงแสดงแสนยานุภาพอย่างเต็มที่ราวกำลังสนุกสนานกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเตะเท้าที่คลุมด้วยชุดยาวกรุยกรายลากพื้นไปด้านข้าง คล้ายท่าร่ายรำของนาง
หมิงช่วยเราด้วย…เสียงนั่นดังขึ้นพร้อมกับเสียงเดินลากเท้าผ่านมาทางด้านหน้าห้อง มันดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฉันพยายามถดตัวให้เล็กที่สุด หลบอยู่ใต้โต๊ะนักเรียนด้านหลังห้อง ภาวนาอย่าให้มันรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่เรื่องผ่านมานานแล้วเรื่องมันผ่านมาตั้งนานหลายปีแล้วมันจบไปแล้ว...นี่มันไม่จริง นี่มันแค่ฝันร้าย ฉันพยายามบอกตัวเองอย่างนี้ ในขณะที่เสียงลากเท้ามาหยุดอยู่ที่ประตูปัง ปัง ปัง! เสียงทุบประตูดังลั่นหมิงช่วยเราด้วย...เสียงนั้นดังขึ้นอีก พร้อมสะอึกสะอื้นดังกึกก้องไปทั่วระเบียงทางเดิน ประตูซึ่งปิดล็อกกลอนไว้ถูกเขย่าชนกลอนใกล้จะหล่นลงมาทุกทีฉันไม่ควรเลยแท้ๆ มีคนรับคำเชิญของครูและเพื่อนๆให้กลับมาที่นี่อีก ที่นี่มันควรจะเป็นสุสานปิดตายที่ลบเลือนออกไปจากความทรงจำแล้ว แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเมื่อ 20 ปีที่แล้วฉันกับแจนเคยเป็นเพื่อนกัน ใครๆก็คิดว่าเราเป็นเพื่อนที่สนิทสนมรักใคร่กันดีไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด เหมือนคนตัวติดกัน มีเพียงฉันและแจนเท่านั้นที่รู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเราเป็นเหมือนไม้ยืนต้นกับกาฝาก แจนเป็นฝ่ายที่เกาะเกี่ยวพึ่งพิงฉันอยู่ตลอดเวลา คอยเฝ้ารอให้ฉันเปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว
เมื่อสมัยเรียนผมกับหมง เพื่อนที่เป็นรูมเมท พักอยู่ที่หอในด้วยกัน รูมเมทของผมชอบฟังรายการวิทยุเล่าเรื่องผีเอามากๆ แต่ตัวผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ บางทีรำคาญด้วยซ้ำ เพราะอยากอ่านการ์ตูนหรือฟังรายการวิทยุอื่นๆบ้าง “มึงก็ใส่หูฟังฟังของมึงไปไม่ได้เหรอวะ” ผมบอกมันในคืนหนึ่งด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเพราะง่วงมาก อยากนอน แต่ต้องสะดุ้งตื่นกับเสียงประกอบรายการหลอนๆที่มันฟังอยู่ เสียงหัวเราะบ้าง เสียงกรี๊ดบ้าง หมงหันมามองหน้าทำท่าเกรงใจ “เออๆ แป๊บเดียว ใกล้จบละ มึงก็รู้ว่ากูกลัวผี ฟังคนเดียวไม่มีเพื่อนแชร์ เดี๋ยวกูกลัวขึ้นมาแล้วไม่มีคนช่วยกลัว มันว้าเหว่” “ว้าเหว่บ้านเตี่ยมึงเหรอ” ผมพูดไปหัวเราะไป ไม่ค่อยเข้าใจคนแบบนี้เท่าไหร่ กลัวแต่ก็ดันชอบ “มึงไม่กลัวผีเหรอ ?” หมงถามผมบ้าง “น่ากลัวนะมึง ในม.เรา เขาว่ากันว่า ตรงตึกเก่าคณะวิทย์ฯ น่ะผีดุ ใครเดินผ่าน หรือขับมอเตอร์ไซค์วนผ่าน เป็นได้เจอดีทุกราย” มันยังเล่าต่ออีกว่า พวกที่บอกว่าเจอดี ส่วนใหญ่มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จะเห็นเหมือนมีคนใส่ชุดนักศึกษา เป็นผู้หญิงผมสั้น กระโปรงพลีท รองเท้า
ร่างในชุดเครื่องรำแปลกประหลาดตรงหน้ายังคงร่ายรำอย่างเชื่องช้า แช่มช้อย เอียงร่างกายท่อนบนจนเอวแทบขนานกับพื้น ค่อยๆวาดเท้าหันกลับมาที่ฉันช้า ๆ ทั้งที่กำลังขวัญผวากับภาพตรงหน้า เสียงหัวใจเต้นเร็วแรงเหมือนกระโดดจากในอกมาอยู่ในแก้วหูแต่ฉันกลับควบคุมตัวเองไม่ได้ เท้าทั้งสองค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าที่กำลังจ้องมองกลับมาเป็นใบหน้าของเจี๊ยบแท้ๆ แต่นั่นเหมือนไม่ใช่ เป็นความขัดแย้งที่แปลกประหลาด ร่างนั้นแสยะยิ้มให้ ริมฝีปากแดงฉ่ำวาดยาวไปบนแก้ม ฟันสีดำเรียงกันเป็นแถว ดวงตาดำกลมโตเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นจนเต็มจอตา ทว่าไม่มีแววตาเมื่อกระทบแสง มืดดำสนิทราวกับหลุมลึกมืดมิด ขาฉันสั่นจนขยับไม่ได้อีกต่อไป แม้แต่บังคับให้ตัวเองหลับตา สวดมนต์ หรือห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาเพราะความกลัวก็ทำไม่ได้ อยากจะหันหลังวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด หรืออย่างน้อยก็เรียกให้คนช่วย แต่ก็ทำไม่ได้สักนิด! ร่างตรงหน้ายังคงแสดงแสนยานุภาพอย่างเต็มที่ราวกำลังสนุกสนานกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเตะเท้าที่คลุมด้วยชุดยาวกรุยกรายลากพื้นไปด้านข้าง คล้ายท่าร่ายรำของนาง
โรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนเก่าแก่ประจำจังหวัด มีพื้นที่กว้างกว่า 40 ไร่ นอกจากจะใช้เป็นสถานศึกษาแล้ว คนในจังหวัดยังมักจะมาใช้สถานที่เพื่อจัดกิจกรรมต่างๆอย่าง เช่น งานแต่งงาน งานเกษียณอายุราชการ และอื่นๆนอกจากสถานที่ที่มีความโอ่โถงสวยงามแล้ว คนทั่วไปต่างรู้กันดีอีกอย่างว่า โรงเรียนของเรามีบริการวงดนตรีไทยเดิม และคณะนาฏศิลป์ไทย ที่ได้อาจารย์ดีจากกรมศิลปากรมาคัดเลือกเด็กเข้าวงและฝึกสอนอย่างเข้มข้นด้วยตัวเอง ทำให้นางรำทุกคนในวงโรงเรียน ทั้งรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณดี ยิ้มสวยหวาน พอแต่งหน้าไทย ใส่เครื่องทรงชุดไทยสวย ๆ ก็มีออร่าราวกับเทพธิดาจำแลง นอกจากนี้ทุกคนยังรำสวยงามอ่อนช้อย ได้มาตรฐาน ถึงขนาดไปประกวดระดับประเทศได้รางวัลมามากมาย ดังนั้นคณะนาฏศิลป์ของโรงเรียนจึงได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะในงานมงคลต่างๆ มีงานจ้างไปออกงานทั้งในหอประชุมโรงเรียนเอง งานในตัวจังหวัดเราเอง รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงด้วยนางรำจึงได้รับอภิสิทธิ์พิเศษเหนือกว่านักเรียนคนอื่นๆ สามารถไว้ผมยาวได้ แต่งหน้าและไว้เล็บได้ หยุดเรียนไปรับงานแสดงได้ โดยมีโรงเรียนคอยดูแลให้ทุกอย่าง ทั้งอาหารการกิน รถรับ-ส่ง ช่างแต่
ที่โรงเก็บอุปกรณ์เกษตรหลังโรงเรียนของเรามีต้นฉำฉาใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ด้านหลังใหญ่ขนาดสี่คนโอบได้กิ่งก้านของมันแผ่ขยายกว้างใหญ่ใต้ต้นมีใบฉำฉาที่ร่วงหล่นทับถมเต็มพื้นจนนุ่มเหมือนพรมเพราะไม่เคยมีใครไปกวาดที่นั่นแหละที่พวกนักเรียนลือกันว่าต้นฉำฉาต้นนั้นมีผีและผีก็ดุเสียด้วย ที่เล่าๆ ต่อกันมาว่ากันว่าเคยมีนักการภารโรงชอบไปนอนหลับใต้ต้นไม้ต้นนั้น แต่ต้นฉำฉาอายุมากกิ่งเปราะกิ่งไม้เลยหักลงมาทับพอดี ภารโรงคงหลับสนิทเลยไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตายไปทั้งๆ ที่หลับอยู่อย่างนั้นเอง หลังจากนั้นบางคนบอกว่าช่วงบ่ายๆมักจะเห็นคนไปนอนหลับอยู่ใต้ต้นฉำฉา บางทีก็เห็นหลับอยู่บนกิ่งไม้สูงๆที่คนปกติไม่น่าขึ้นไปได้ เรื่องเล่าพวกนี้เพิ่มความน่าเชื่อถือเข้าไปอีก เมื่อเช้าวันหนึ่งครูประกาศออกไมโครโฟนว่าห้ามนักเรียนทุกคนเข้าไปในบริเวณนั้นเด็ดขาด นอกจากจะมีคำสั่งจากครู ไม่อย่างนั้นจะถูกลงโทษตัดคะแนนความประพฤติ พวกเรานักเรียนก็เลยเดากันว่าน่าจะเพราะเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่แหละที่มีน้อง ป.5 หลายคนพากันเข้าไปเล่นที่ใต้ต้นฉำฉาต้นนั้น เล่นกอบใบไม้มาโปรยเป็นหิมะตกบ้าง นอนเล่นสโนวแองเจิ้ลบ้างสักพั
เมื่อสมัยเรียนผมกับหมง เพื่อนที่เป็นรูมเมท พักอยู่ที่หอในด้วยกัน รูมเมทของผมชอบฟังรายการวิทยุเล่าเรื่องผีเอามากๆ แต่ตัวผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ บางทีรำคาญด้วยซ้ำ เพราะอยากอ่านการ์ตูนหรือฟังรายการวิทยุอื่นๆบ้าง “มึงก็ใส่หูฟังฟังของมึงไปไม่ได้เหรอวะ” ผมบอกมันในคืนหนึ่งด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเพราะง่วงมาก อยากนอน แต่ต้องสะดุ้งตื่นกับเสียงประกอบรายการหลอนๆที่มันฟังอยู่ เสียงหัวเราะบ้าง เสียงกรี๊ดบ้าง หมงหันมามองหน้าทำท่าเกรงใจ “เออๆ แป๊บเดียว ใกล้จบละ มึงก็รู้ว่ากูกลัวผี ฟังคนเดียวไม่มีเพื่อนแชร์ เดี๋ยวกูกลัวขึ้นมาแล้วไม่มีคนช่วยกลัว มันว้าเหว่” “ว้าเหว่บ้านเตี่ยมึงเหรอ” ผมพูดไปหัวเราะไป ไม่ค่อยเข้าใจคนแบบนี้เท่าไหร่ กลัวแต่ก็ดันชอบ “มึงไม่กลัวผีเหรอ ?” หมงถามผมบ้าง “น่ากลัวนะมึง ในม.เรา เขาว่ากันว่า ตรงตึกเก่าคณะวิทย์ฯ น่ะผีดุ ใครเดินผ่าน หรือขับมอเตอร์ไซค์วนผ่าน เป็นได้เจอดีทุกราย” มันยังเล่าต่ออีกว่า พวกที่บอกว่าเจอดี ส่วนใหญ่มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จะเห็นเหมือนมีคนใส่ชุดนักศึกษา เป็นผู้หญิงผมสั้น กระโปรงพลีท รองเท้า
หมิงช่วยเราด้วย…เสียงนั่นดังขึ้นพร้อมกับเสียงเดินลากเท้าผ่านมาทางด้านหน้าห้อง มันดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฉันพยายามถดตัวให้เล็กที่สุด หลบอยู่ใต้โต๊ะนักเรียนด้านหลังห้อง ภาวนาอย่าให้มันรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่เรื่องผ่านมานานแล้วเรื่องมันผ่านมาตั้งนานหลายปีแล้วมันจบไปแล้ว...นี่มันไม่จริง นี่มันแค่ฝันร้าย ฉันพยายามบอกตัวเองอย่างนี้ ในขณะที่เสียงลากเท้ามาหยุดอยู่ที่ประตูปัง ปัง ปัง! เสียงทุบประตูดังลั่นหมิงช่วยเราด้วย...เสียงนั้นดังขึ้นอีก พร้อมสะอึกสะอื้นดังกึกก้องไปทั่วระเบียงทางเดิน ประตูซึ่งปิดล็อกกลอนไว้ถูกเขย่าชนกลอนใกล้จะหล่นลงมาทุกทีฉันไม่ควรเลยแท้ๆ มีคนรับคำเชิญของครูและเพื่อนๆให้กลับมาที่นี่อีก ที่นี่มันควรจะเป็นสุสานปิดตายที่ลบเลือนออกไปจากความทรงจำแล้ว แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเมื่อ 20 ปีที่แล้วฉันกับแจนเคยเป็นเพื่อนกัน ใครๆก็คิดว่าเราเป็นเพื่อนที่สนิทสนมรักใคร่กันดีไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด เหมือนคนตัวติดกัน มีเพียงฉันและแจนเท่านั้นที่รู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเราเป็นเหมือนไม้ยืนต้นกับกาฝาก แจนเป็นฝ่ายที่เกาะเกี่ยวพึ่งพิงฉันอยู่ตลอดเวลา คอยเฝ้ารอให้ฉันเปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว