Share

บทที่ 5

กลับถึงห้องหอ หัวหน้าหมัวมัวที่ตอนแรกก้มหน้าก้มตาท่าทางเข้มงวดก็สั่งให้คนเตรียมน้ำมาปรนนิบัติฮองเฮาอาบน้ำ

นางเบียดเหลียนซวงออก เข้ามายิ้มกว้างให้เฟิ่งจิ่วเหยียน

“ฮองเฮา หลายปีมานี้ นอกจากหวงกุ้ยเฟยแล้ว ฝ่าบาทยังไม่เคยโปรดปรานสนมคนอื่นมาก่อนเลยนะเพคะ ท่านนับเป็นคนแรก!”

เหลียนซวงยืนอยู่ข้าง ๆ รู้สึกไม่ใคร่พอใจหมัวมัวผู้นี้

ตอนแรกยังไม่เห็นว่านางจะปรนนิบัติด้วยความกระตือรือร้นปานนี้ ช่างเป็นพวกประจบผู้มีอำนาจเหยียบย่ำคนฐานะต่ำกว่าโดยแท้

ในวังหลวงแห่งนี้ ฐานะของสตรีล้วนพึ่งพาความโปรดปรานของฮ่องเต้ดังคาด มิฉะนั้น ต่อให้สูงส่งเป็นฮองเฮาก็ยังถูกเมินเฉยไม่ได้รับการเหลียวแล

หัวหน้าหมัวมัวพูดอะไรไปมากมาย เฟิ่งจิ่วเหยียนล้วนไม่ตอบ

นางสั่งความอย่างเย็นชา “ออกไปให้หมด ให้เหลียนซวงปรนนิบัติในตำหนักคนเดียวก็พอ”

……

หลังจากในตำหนักเงียบลงแล้ว เหลียนซวงก็ถามอย่างกังวลใจ

“ฮองเฮา ฝ่าบาทเสด็จมาย่อมเป็นเรื่องดี

“แต่ท่านทำเช่นนี้ จะมิเป็นการขัดแย้งกับหวงกุ้ยเฟยหรือเพคะ?

“นายหญิงบอกให้พวกเราอยู่ในวังหลวงอย่างเงียบ ๆ อย่าสร้างศัตรู โดยเฉพาะหวงกุ้ยเฟย...”

“ท่านแม่ก็สอนเวยเฉียงเช่นนี้หรือ” เฟิ่งจิ่วเหยียนพลันเอ่ยขึ้นมา น้ำเสียงเย็นชา แววตาคมปลาบ

นางไม่เห็นด้วยกับวิธีอบรมสั่งสอนเช่นนี้

เพราะสิ่งที่อาจารย์และอาจารย์หญิงสอนนางมาคือมีคุณต้องตอบแทน มีแค้นต้องชำระ ชีวิตนี้มีหนเดียวก็ต้องใช้ให้เต็มที่ จะได้ไม่นึกเสียดาย

ความจริง มารดาก็เพียงแต่อบรมสั่งสอนบุตรีตามแนวทางของตระกูลเฟิ่ง

ตระกูลเฟิ่งหวังให้บุตรีเป็นหงส์จึงอบรมอย่างเข้มงวดกวดขัน

ความสำเร็จด้านดนตรี การเดินหมาก วิชาความรู้และการวาดภาพของสตรีในตระกูลล้วนไม่แพ้คนนอก

ทั้งยังต้องรักษาคุณธรรมอันดีงาม มีชื่อเสียงอันดีงามอยู่ข้างนอก

เวยเฉียงเขียนจดหมายมาระบายความในใจมากกว่าหนึ่งครั้งว่า นางอิจฉาตนเองมากที่ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี นางไม่อยากเข้าวังไปเป็นฮองเฮา

ยามนี้มาคิดดูแล้ว หากเวยเฉียงได้เข้าวังมาเป็นฮองเฮาจริง จะทนรับการเคี่ยวกรำจากผู้คนในวังเหล่านี้ได้อย่างไร?

เหลียนซวงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในจวนตระกูลเฟิ่งที่ทราบตัวตนที่แท้จริงของเฟิ่งจิ่วเหยียน

นางมีไหวพริบยิ่งนัก ไปปิดหน้าต่างโดยไม่ต้องหยุดคิดเลยสักนิด

“ฮองเฮา! กำแพงมีหู สิ่งที่ควรลืม ท่านก็ลืมไปเถิดเพคะ อย่าพูดถึงอีกเลย”

เฟิ่งจิ่วเหยียนยังคงสงบเยือกเย็น

“พวกเขาอยู่ไกล ไม่ได้ยินหรอก”

นางเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ สามารถสัมผัสได้ถึงเสียงลมหายใจของคนอื่น

ถ้าความสามารถเล็กน้อยแค่นี้ยังไม่มี ช่วงเวลาสองปีที่ไปท่องยุทธภพก่อนจะเข้าร่วมกองทัพไม่รู้ว่าตายไปกี่ครั้งแล้ว

เฟิ่งจิ่วเหยียนมีนิสัยตรงไปตรงมา ไม่ถนัดพูดจาอ้อมค้อม

“วันนี้ที่ข้าไปตำหนักหลิงเซียว อ้างว่าไปส่งยา แท้จริงคือไปสำรวจการอารักขาของที่นั่น”

เหลียนซวงถามอย่างระมัดระวัง “การอารักขา? ฮองเฮา ท่านคิดจะทำอะไรเพคะ?”

“ข้าจะสังหารนางด้วยมือตัวเอง”

“อะไรนะ!” เหลียนซวงยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ ป้องกันไม่ให้ตนเองพลุ่งพล่านใจจนหลุดร้องเสียงดังออกมา

ฮองเฮาคิดจะลอบสังหารหวงกุ้ยเฟย!

หลังสงบสติได้แล้ว เหลียนซวงก็รีบเกลี้ยกล่อมนาง “ไม่ได้นะเพคะ ฮองเฮา แบบนั้นเสี่ยงเกินไป!”

เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าด้วยท่าทีจริงจัง

“เสี่ยงจริง ๆ นั่นแหละ สมกับที่เป็นสนมคนโปรด การอารักขาของตำหนักหลิงเซียวแน่นหนามาก สองฝั่งของชายคาทางเดินยังติดตั้งกลไกเอาไว้ ตอนนี้ยังหาจุดบอดไม่เจอ ข้าต้องไปอีกหลายรอบถึงจะหาพบ”

เหลียนซวงกลืนน้ำลายอย่างตื่นเต้น

“แต่ฮองเฮาเพคะ นายหญิงบอกว่า...”

แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนเปลี่ยนเป็นเย็นชา “คำพูดก่อนหน้านี้ของเจ้ากล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก สิ่งที่ควรลืมก็ต้องลืมไปเสีย”

เหลียนซวงคิด : ฮองเฮาของข้า บ่าวไม่ได้หมายความเช่นนั้นนะเพคะ!

เฟิ่งจิ่วเหยียนมองมาที่นาง

“ข้าไม่บังคับเจ้า ถ้าเจ้าอยากแก้แค้นให้เวยเฉียงก็มาร่วมมือกับข้า

“ถ้าเจ้ากลัว ไม่กล้าร่วมมือกับข้า ก็ทำเสมือนว่าข้าไม่เคยพูดมาก่อน แต่สิ่งที่ข้าต้องการทำ เจ้าก็ไม่อาจแพร่งพรายต่อคนอื่น ไม่อย่างนั้น ข้าจะฆ่าเจ้า”

คนข้างกายนางสามารถไม่ช่วยเหลือได้ แต่ไม่อาจเป็นตัวถ่วงนางได้

หน้าผากของเหลียนซวงมีเหงื่อผุดพราย หัวใจเต้นรัว

ต่อสู้กับตัวเองอยู่นาน ภาพใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนของเฟิ่งเวยเฉียงปรากฏขึ้นในหัว นางหลับตาลง

“ฮองเฮา คุณหนูเวยเฉียงปฏิบัติต่อบ่าวเสมือนพี่สาวน้องสาว นางถูกทำร้ายแสนสาหัสเช่นนั้น บ่าวเองก็เจ็บปวดใจเหมือนกัน ถ้าสามารถทำอะไรเพื่อนางได้ บ่าวก็ไม่เสียดายเพคะ!”

เฟิ่งจิ่วเหยียนเก็บสายตากลับมา แววตายังคงสงบดุจน้ำนิ่ง

“ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็อย่าเสียใจทีหลัง”

หลังเหลียนซวงปรับสภาพอารมณ์ได้แล้วก็มีความกังวลใหม่ผุดขึ้นมา

“ฮองเฮา คืนเข้าหอคืนนี้ ฝ่าบาทจะต้องทราบแน่ว่าท่านยังบริสุทธิ์อยู่ หลังจากนั้นหวงกุ้ยเฟยก็คงจะได้รู้เช่นกัน แล้วก็คงจะสงสัยในตัวท่าน ควรทำเช่นไรดีเพคะ?”

เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ข้อแรก ฝ่าบาทเป็นราชาของแว่นแคว้น ย่อมไม่พูดเรื่องบนแท่นบรรทมออกไปอยู่แล้ว โดยเฉพาะการพูดให้สนมคนโปรดของตัวเองฟัง มีแต่จะทำให้นางไม่พอใจเปล่า ๆ

“ข้อสอง ต่อให้ฝ่าบาทพูด กุ้ยเฟยก็ไม่มีทางเชื่อ มีแต่จะคิดว่าบุรุษรักศักดิ์ศรี ต่อให้ภรรยาไม่ใช่หญิงพรหมจารีก็จะต้องกล้ำกลืนความอัปยศนี้ลงไป หรือมิฉะนั้นก็คงจะสงสัยว่าพวกเราใช้เล่ห์กลอันใด

“ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นใด หวงกุ้ยเฟยก็ไม่มีทางสืบเรื่องนี้อย่างเอิกเกริก เพราะนั่นจะเป็นการตบหน้าฝ่าบาทอย่างเปิดเผย”

เหลียนซวงกล่าว “แต่ก่อนพิธีอภิเษกสมรส หวงกุ้ยเฟยก็...”

“ก่อนพิธีอภิเษกสมรส ข้ายังไม่ใช่ฮองเฮา หลังพิธีอภิเษกสมรส ฐานะของข้าก็เปลี่ยนไปแล้ว”

เหลียนซวงพลันเข้าใจถ่องแท้

“ถ้าแบบนี้ก็ไม่กลัวว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาแล้วเพคะ”

ทว่าพวกนางรออยู่นานมาก เห็นว่าใกล้จะถึงยามจื่อ[1]แล้ว ฮ่องเต้ก็ยังไม่เสด็จมา

เฟิ่งจิ่วเหยียนสวมชุดนอนผ้าไหมสีแดงเข้ม นั่งอยู่บนขอบเตียงในห้องหอ สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้นจนจบ

“เขาคงไม่มาแล้ว พวกเราเข้านอนกันเถอะ”

“เพคะ ฮองเฮา” เหลียนซวงรู้สึกไม่พอใจ ฮ่องเต้ไม่รักษาคำพูดนี่!

เฟิ่งจิ่วเหยียนปรับตัวตามสถานการณ์มาจนชิน จึงนอนหลับไปอย่างรวดเร็ว

ช่วงครึ่งคืนหลัง คนผู้หนึ่งพลันทับโถมลงมา ลมหายใจหนักหน่วง สัมผัสหยาบกระด้าง หมายจะปลดสายรัดเอวของนาง

นางรู้สึกตัวตื่นขึ้นทันที ชักกริชออกมาจากใต้หมอนโดยสัญชาตญาณ...

ท่ามกลางความมืด คนผู้นั้นกดข้อมือนางไว้

นางกำลังจะตอบโต้ น้ำเสียงทุ้มต่ำดุร้ายเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น

“ฮองเฮา คิดจะปลงพระชนม์สวามีงั้นรึ?”

----------------------------------------------

[1] ยามจื่อ คือ ช่วงเวลาระหว่าง 23:00-01:00 น.

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status