Share

บทที่ 10

ดูเหมือนว่ารุ่ยอ๋องจะเพิ่งออกมาจากตำหนักฉือหนิง เขาก้าวเดินมาข้างหน้าแล้วคารวะเฟิ่งจิ่วเหยียน

“น้องชายขอคารวะพี่สะใภ้”

การที่เขาเรียกนางเป็นพี่สะใภ้ไม่ใช่ฮองเฮา แสดงให้เห็นว่าเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฮ่องเต้

เหลียนซวงที่ชำเลืองมองรุ่ยอ๋องตกอยู่ในภวังค์

รุ่ยอ๋องช่างรูปงามเสียจริง! หน้าตาสะอาดสะอ้าน บุคลิกมารยาทงามสง่า ลักษณะเช่นนี้ดีกว่าฮ่องเต้ทรราชที่เอาแต่ฆ่าคนตั้งมาก

หากผู้ที่คุณหนูแต่งด้วยคือ...

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เหลียนซวงก็รีบหยุดความคิดที่ไร้สาระนี้ทันที

กฎระเบียบในวังเคร่งครัดยิ่งนัก ไม่อาจเทียบกับในค่ายทหารที่สามารถพูดคุยกับบุรุษอย่างไรก็ได้

เมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังจะจากไป รุ่ยอ๋องพลันเอ่ยปากแสดงความเป็นห่วงออกมา

“การประหารเมื่อวานนี้พี่สะใภ้ได้รับความตระหนกหรือไม่? ”

เฟิ่งจิ่วเหยียนที่จดจ่ออยู่กับความคิดตอบกลับอย่างกลัวพิกุลจะร่วงว่า “ไม่”

“เมื่อวานยามที่พี่สะใภ้ปราบพยศม้าตัวนั้น ข้าบังเอิญเห็นเข้าพอดี ท่านฝีมือดียิ่ง ที่จริงแล้วฝ่าบาททรงโปรดสตรีที่มีทักษะการขี่ม้า พี่สะใภ้เริ่มต้นจากเรื่องนี้ดู บางทีอาจจะได้รับความโปรดปราน”

น้ำเสียงของรุ่ยอ๋องอ่อนโยนนุ่มนวลราวกับเป็นมิตรสหายของนาง

ความประทับใจที่เฟิ่งจิ่วเหยียนมีต่อเขานับว่าไม่เลวเลย เมื่อเห็นเขาที่สวมชุดขาวทั้งร่าง ความทรงจำที่เก่าจนฝุ่นจับก็วนเวียนอยู่ในหัวของนาง ความรักความทุกข์ทรมานผสมผสานปะปนไม่อาจแยกได้

“ขอบใจเจ้ามาก”

แต่นางไม่ต้องการ

ที่นางเรียนขี่ม้ายิงธนู ไม่ใช่เพื่อเอาอกเอาใจบุรุษ

ณ ตำหนักฉือหนิง

ไทเฮากำลังอบรมสั่งสอนเฟิ่งจิ่วเหยียน

“เจ้ามีฐานะเป็นถึงฮองเฮา ต้องดูแลจัดการเหล่าสตรีในวังหลังให้ดี ตั้งแต่สนมชั้นเฟยทั้งสี่ไปจนถึงเหล่านางกำนัลและขันที

“นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ควบคุมและตักเตือน

“อย่างเช่นเรื่องที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานหวงกุ้ยเฟยแต่เพียงผู้เดียว เจ้าเป็นฮองเฮาก็ต้องคอยโน้มน้าวฝ่าบาท ให้ฝนตกทั่วฟ้า เช่นนี้จึงจะรักษาสมดุลของทุกฝ่ายเอาไว้ได้

“อย่าได้ดูถูกวังหลังไป เบื้องหลังสนมนางในเหล่านั้น ล้วนมีข้าหลวงรับราชการอยู่วังหน้า...”

ดูเผิน ๆ เฟิ่งจิ่วเหยียนเหมือนจะตั้งใจฟัง แต่ที่จริงแล้วจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแม้แต่น้อย

เข้าวังมาสองวันแล้ว นางไม่ได้ลืมความแค้นที่ต้องชำระ

คืนนี้นางตัดสินใจที่จะไปตรวจสอบที่ตำหนักหลิงเซียวซักหน่อย

ณ ตำหนักหลิงเซียว ในเวลาเดียวกัน

ห้องภูษาหลวงส่งเสื้อผ้าอาภรณ์ใหม่มา ผ้าแพรต่วนวาววับส่องประกาย

สาวใช้กล่าวอย่างประจบประแจง

“พระสนม ฝ่าบาทช่างโปรดปรานรักใคร่ท่านเหลือเกินเพคะ ผ้าไหมฝูกวง[1]ที่แคว้นปา[2]ส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการ ล้วนแต่พระราชทานเป็นรางวัลให้ท่านทั้งหมด หากคืนนี้พระสนมสวมอาภรณ์เหล่านี้ไปร่วมบรรทมจะต้องทำให้ฝ่าบาทไม่อาจละสายตาได้เป็นแน่เพคะ!”

รอยยิ้มของหวงกุ้ยเฟยนั้นเป็นความงามที่ทำให้ผู้คนลุ่มหลงมัวเมา

แต่ทันใดนั้นเองรอยยิ้มของนางก็เลือนหาย นางจ้องตรงไปยังลายปักรูปดอกหลิงหลานบนอาภรณ์ตัวนั้น ใบหน้าแสดงความกรุ่นโกรธ

“นี่ปักลายอะไรกัน!”

“พระสนมโปรดระงับโทสะ...”

“โบยแปดสิบที ขับไล่ออกจากวัง” หวงกุ้ยเฟยพูดด้วยเสียงแผ่วเบา รวมทั้งโยนอาภรณ์ตัวนั้นทิ้งโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง

แม้แต่เหล่าสาวใช้เองยังรู้สึกว่านี่ช่างโหดร้ายเหลือเกิน โบยแปดสิบที ย่อมเป็นการเอาชีวิตแล้ว

เพียงแค่วันเดียวช่างปักในห้องภูษาหลวงก็ตายไปสิบสามคน ผู้คนในวังล้วนหวาดผวา กลัวว่าจะไปทำให้หวงกุ้ยเฟยไม่พอใจเข้า

ยามค่ำ ฝ่าบาทเสด็จมาที่ตำหนักหลิงเซียว ในตำหนักมีเสียงอ่อนหวานดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ฝ่าบาทเพคะ ลายปักนั้นช่างน่าเกลียดเกินไปแล้ว หม่อมฉันจะสวมออกไปข้างนอกได้อย่างไรกัน ฝ่าบาทเองก็รู้สึกว่าหม่อมฉันทำผิดอย่างงั้นหรือเพคะ?”

ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานนางอย่างไร้ขอบเขต “ไม่ผิด สมควรฆ่าทิ้ง”

ทันใดนั้นเองเขาก็มองขึ้นไปบนขื่อของเรือน ชุดคลุมยาวสะบัดไหว อาวุธลับที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อชิ้นหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนหลังคา

อาวุธลับพุ่งทะลุแผ่นกระเบื้อง เห็นเงาร่างสีดำเคลื่อนไหวอยู่บนหลังคา

ยามนี้เองเหล่าองครักษ์เพิ่งจะรู้ตัวว่าตำหนักหลิงเซียวมีนักฆ่าลอบเข้ามา แต่ละคนต่างชักดาบออกจากฝักเตรียมที่จะสังหารนักฆ่า

พวกเขาบุกขึ้นไปบนหลังคา เกือบจะล้อมนักฆ่าเอาไว้ได้แล้ว แต่คาดไม่ถึงว่านักฆ่าผู้นั้นจะมีฝีมือขนาดนี้ เพียงชั่วพริบตาก็หายตัวไปท่ามกลางหมอกควัน

เหล่าองครักษ์ไม่เคยพบเจอสถานการณ์ที่แปลกประหลาดขนาดนี้มาก่อน จึงได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก

ที่จริงแล้วนี่เป็นเพียงการวัดกันที่ความเร็วเท่านั้น

วิชาตัวเบาของเฟิ่งจิ่วเหยียน แม้แต่อาจารย์ของนางยังเคยชมว่านางเป็นอัจฉริยะยากที่จะพานพบ

คืนนี้นางลอบเข้าตำหนักหลิงเซียวสำเร็จ ทั้งยังหลบองครักษ์พวกนั้นและกลไกลับได้ กลับไม่อาจซ่อนตัวจากฮ่องเต้ทรราชนั่นได้

ดูเหมือนกำลังภายในของฮ่องเต้ทรราชนั่นจะลึกล้ำเป็นอย่างมาก จึงสามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของนาง

เป็นนางที่ประเมินศัตรูต่ำไป

นางเกือบจะออกจากตำหนักหลิวเซียวอยู่แล้ว ทันใดนั้นด้านหน้าพลันมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นบดบังทางหนีของนาง

คนผู้นั้นสยายผมสีดำขลับ ชุดคลุมดำด้านหน้าแง้มออกเล็กน้อย คอเสื้อเผยให้เห็นถึงลูกกระเดือกและเส้นเอ็นที่ขยายลงไปใต้อาภรณ์ ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายที่มืดมนและโหดเหี้ยม

เขาไม่ได้พกอาวุธใดติดตัวมา จึงอาศัยฝ่ามือต่างกระสวยพุ่งเข้าโจมตีไปที่นาง

เฟิ่งจิ่วเหยียนตระหนักได้ว่าคนผู้นี้แข็งแกร่งมาก

แต่นางเองก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน นางสวมชุดพรางตัวท่าทางคล่องแคล่วปราดเปรียว หลบหลีกจากการโจมตีของเขามาได้และยังตีลังกาข้ามมาข้างหลังเขาประหนึ่งปลากระโดดเข้าประตูมังกรอีกด้วย[3]

ขณะเดียวกันนางก็ยิงลูกธนูสั้นในแขนเสื้อออกไป...

เซียวอวี้หน้าตาเคร่งขรึม

นักฆ่าคนนี้ แข็งแกร่งมาก

แค่เรื่องความเร็วก็เหนือกว่าเขาแล้ว

แต่...ไม่ได้หมายความว่าไม่มีจุดอ่อน

เขาเอียงตัวหลบลูกธนูสั้น แล้วออกฝ่ามือไปที่บั้นเอวของนาง

เฟิ่งจิ่วเหยียนโงนเงนไปข้างหน้า นางรีบหยัดเท้าลงบนพื้นแล้วหันกายกลับมาอย่างรวดเร็ว

ผมของนางสยายออกมากลางอากาศ ตวัดเป็นเส้นโค้งที่งดงาม

ดวงตาทั้งสองข้างของเซียวอวี้หรี่ลงเล็กน้อย

สตรีงั้นหรือ

เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้ว

บั้นเอวของนางมีแผลเก่าอยู่

นึกไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะมองออก ทั้งยังโจมตีมาที่แผลเก่านั้นของนาง

เขาเป็นใครกันแน่!

องครักษ์ลับข้างกายของฮ่องเต้ทรราชงั้นหรือ!

เหล่าองครักษ์ต่างมารวมตัวกันจากทุกสารทิศ

เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่อาจสู้ต่อไปได้ จึงปล่อยระเบิดควันออกมาอีกครั้ง แล้วใช้ความเร็วอันน่าเหลือเชื่อหลบหนีจากไป

แต่ทว่าเซียวอวี้มีพลังการมองเห็นที่แข็งแกร่ง สามารถมองตามเงาร่างที่เคลื่อนย้ายไปอย่างรวดเร็วได้ทัน

ณ ตำหนักหย่งเหอ

พอเฟิ่งจิ่วเหยียนกลับมาเหลียนซวงก็ปรี่เข้ามาปรนนิบัตินางเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนำชุดพรางตัวที่ถอดออกมาไปเก็บซ่อนทันที

“ฮองเฮา ท่านไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่!”

“ข้าไม่เป็นไร” เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วแน่น

ฝ่ามือเมื่อครู่ของบุรุษผู้นั้นทำให้แผลเก่าของนางกำเริบแล้ว

เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้น้ำร้อนอาบน้ำ เหลียนซวงที่เพิ่งจะก้าวออกจากตำหนักมองเห็นคนผู้หนึ่ง

เขาก้าวเดินออกมาจากเงามืด รูปลักษณ์งามสง่า สวมเสื้อคลุมมังกรอันเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสถานะสูงสุดเหนือผู้ใด สวมกวานหยกม่วงรวบผมเอาไว้ ทุกย่างก้าวที่ย่ำเดินมั่นคงและน่าเกรงขาม

ดูเหมือนเขาจะเป็นฮ่องเต้

เหลียนซวงที่พบฮ่องเต้เป็นครั้งแรกตกตะลึงนิ่งอึ้งอยู่กับที่

นึกไม่ถึงเลยว่าฮ่องเต้ทรราชจะหน้าตาหล่อเหลางามสง่าเช่นนี้ รูปงามล่อลวงวิญญาณราวกับปีศาจในหนังสือภาพก็ไม่ปาน

ทว่ากลับน่ากลัว...ราวกับยมฑูตที่มาคร่าชีวิต!

“บ่าวคารวะฝ่าบาทเพคะ!”

เซียวอวี้ย่างก้าวตรงเข้าไปในตำหนัก

เมื่อครู่นักฆ่าผู้นั้นหายตัวไปในตำหนักหย่งเหอ

บั้นเอวของนางได้รับบาดเจ็บ แค่ตรวจดูก็รู้แล้ว

ระหว่างที่เฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังแช่ตัวอยู่ในอ่างอาบน้ำ พลันมีบุรุษบุกเข้ามา

นางหันหลังให้กับเขาแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท โปรดประทานอภัยที่หม่อมฉันไม่อาจลุกขึ้นคารวะได้”

เซียวอวี้สายตาคมปลาบ

ดึกถึงเพียงนี้แล้ว เพิ่งจะอาบน้ำ?

“ฮองเฮา ลุกขึ้นมาซะ”

เฟิ่งจิ่วเหยียนกุมมือแน่น

ฮ่องเต้ทรราชสงสัยนางหรือ

“ฮองเฮา เจ้าไม่ได้ยินหรือไร!” บุรุษผู้น่าเกรงขามเดินเข้ามาใกล้

เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำ บนร่างไม่ได้สวมอะไรซักชิ้น

นางสัมผัสได้ถึงสายตาโหดร้ายเย็นชาของเขาที่จ้องมองมายังแผ่นหลังของนาง

ราวกับมีลูกธนูอันแหลมคมทะลุผ่านร่างของนาง

หากนางลุกขึ้นตามที่ฮ่องเต้ทรราชกล่าว เช่นนั้นร่องรอยฝ่ามือที่บั้นเอวของนางจะต้องถูกพบเป็นแน่

ยามนี้สายตาของเซียวอวี้ยิ่งเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ

ดูจากมุมนี้แล้วฮองเฮากับนักฆ่าผู้นั้นออกจะเหมือนกันอยู่บ้าง...

ทันใดนั้นเขาก็ก้าวไปด้านหน้าก้าวใหญ่ จับไหล่ของเฟิ่งจิ่วเหยียนแล้วใช้แรงดึงนางขึ้นมาจากน้ำ

ซ่า...

----------------------------------------------

[1] ผ้าไหมล้ำค่าในสมัยจีนโบราณ มีคุณสมบัติกันน้ำ

[2] ดินแดนของชนเผ่าปาในสมัยโบราณเรียกว่าแคว้นปาโดยพื้นที่นี้ปัจจุบันอยู่บริเวณเขตปกครองตนเองเอินซี ในมณฑลหูเป่ย

[3] สำนวนที่หมายถึงประสบความสำเร็จ หรือได้เลื่อนตำแหน่งในหน้าที่การงาน

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status