ไทเฮาถามข้าหลวงที่มาทูลรายงาน “ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น? ไฉนอยู่ดี ๆ ถึงทะเลาะกันขึ้นมาล่ะ? ใครเป็นคนเริ่ม?”ข้าหลวงผู้นั้นตอบกลับ“พระสนมทั้งหลาย…พวกนาง พวกนางไม่พอใจหนิงเฟย เริ่มแรกเพียงทะเลาะกันด้วยฝีปากเท่านั้น ทว่าต่อมาก็เริ่มลงไม้ลงมือ หนิงเฟยถูกล้อมไว้หลายคน ไร้เรี่ยวแรงเอาคืน…” “เป็นเช่นนี้หรือ!” เมื่อครู่ไทเฮายังนิ่งดูดาย แต่พอได้ยินว่าหลานสาวของตนเสียเปรียบ พลันกังวลขึ้นมาทันที“ฮองเฮาล่ะ! หรือว่าฮองเฮาแค่ดูเฉย ๆ!”……ตำหนักหย่งเหอหนิงเฟยผู้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ไหนเลยจะเคยถูกกระทำเช่นนี้ตั้งแต่ที่เข้าวังมา ฝ่าบาทไม่เคยเอ็นดูเมตตานาง ปล่อยให้คนที่เคยงดงามในวัยเยาว์เช่นนางกลายเป็นสตรีทึนทึกตอนนี้ไม่ว่าผู้ใดต่างก็กล้าเหยียบย่ำนาง ว่านางไม่คู่ควรกับตำแหน่ง ดีแต่พึ่งพาบารมีผู้เป็นป้านางจึงทนไม่ไหวเป็นธรรมดาส่วนใครเป็นคนลงไม้ลงมือ นางไม่รู้จริง ๆรู้แค่ว่าจู่ ๆ ก็มีเสียงคนกรีดร้อง จากนั้นก็มีคนมาล้อมนางไว้โดยพลันบ้างดึงผมนาง บ้างกระชากอาภรณ์ของนาง ถึงขั้นมีคนถุยน้ำลายใส่นางด้วยซ้ำ!!!หนิงเฟยจึงแทบเสียสติเมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นภาพนี้ สีหน้าพลันเคร่งขรึมตอนที
ห้องมืดใต้ดินที่คับแคบ ได้เจอกันเพราะโลกกลมหากเจ้าไม่ตายก็ข้าตายตาคิ้วคมของชายหนุ่ม แววตาแคบลง รัศมีสังหารนั้น อันตรายอย่างยิ่งเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้สวมชุดดำ ไม่ได้คลุมหน้าหากไม่มั่นใจว่าจะสามารถฆ่าเขาได้ในคราวเดียว ก็นิ่งไว้ รอจังหวะบุกโจมตี ไม่เช่นนั้นหากถูกเปิดเผยความจริงว่านางมีวรยุทธ ก็จะถูกเปิดเผยสถานะนักฆ่ายิ่งไปกว่านั้น นางไม่เหมือนกับฮ่องเต้ทรราช ไม่มีความชอบเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์คนคนนี้แค่ทำตามคำสั่ง ไม่ใช่คนชั่วช้าอำมหิตหัวสมองของนางครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว หาวิธีว่าจะเอาตัวรอดออกไปยังไง“เจ้าเป็นใคร มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”สายตาเซียวอวี้เยือกเย็นที่แท้ ฮองเฮาไม่รู้ว่าเขาเป็นใครก็ใช่ พวกเขาเคยเจอกันแค่สองครั้งวันแต่งงานคืนแรก ในมุ้งไร้แสงไฟคืนวันจับตัวนักฆ่า เขาอยู่ข้างหลังนาง นางยืนอยู่ในถังอาบน้ำ หันหลังให้กับเขาตลอด ไม่ได้หันมามองดูเขาเลยนางไม่รู้ว่าจริง ๆ ว่า เขารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรแต่ในเมื่อฮองเฮารู้ความลับของเขา งั้นก็เก็บไว้ไม่ได้“รนหาที่ตาย...”เสียงของเขาค่อนข้างแหบ เหมือนเคยถูกไฟเผาเฟิ่งจิ่วเหยียนนิ่งอยู่กับที่ เตรียมพร้อมกับการต่อสู้
สายตาเฟิ่งจิ่วเหยียนเยือกเย็นนางไม่ยอมพูดอธิบายอะไรมาก...ต่อให้อยากถอนพิษวารีสวรรค์นี้ ก็ไม่สามารถทำได้เลยในทันที จะต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของผู้ถูกพิษด้วย เว้นช่วงสักพักหนึ่งทำการฝังเข็มหนึ่งครั้ง การถอนพิษในคราวเดียว ก่อนอื่นทำไม่ได้ อย่างรอง ผู้ถูกพิษก็รับไม่ไหว“บอกข้ามาก่อน คนวางยาพิษคือใคร”ข่มขู่เขา?เซียวอวี้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแฝงไปด้วยความมีอํานาจ“ถอนพิษก่อน”ทั้งสองคนต่างยืนหยัด เพียงเพราะต่างไม่เชื่อใจกันและกันชายหนุ่มพูดขึ้นมาด้วยสายตาเย็นชาว่า “ไม่ถอนพิษนี้ เจ้าก็ไม่ต้องออกไปแล้ว...”นางรู้ความลับของตนเอง เดิมเขาก็ไม่คิดที่จะเก็บนางไว้ได้ยินเช่นนี้ สายตาเฟิ่งจิ่วเหยียนเยือกเย็นชาตอบแทนคุณด้วยความเนรคุณ!ทันใดนั้น สายตาของนางมองไปบนเตียงหยกขาวแล้วก็พบว่า ดูเหมือนกลไกจะอยู่บนเตียง!หลังจากนางกดลง ข้างบนก็ปรากฏทางออกมาจริง ๆ ทันทีนั้น นางไม่รีรอ ใช้วิชาตัวเบาออกมาจากห้องลับนั่นทันที และก็ไม่คิดเรื่องที่จะถอนพิษให้กับคนคนนั้นอีกเซียวอวี้ขมวดคิ้วแน่น รีบตามนางออกมาแต่นางรวดเร็วอย่างมาก หายไปกับความมืดในพริบตาเดียวองครักษ์หลายคนเพิ่งรู้สึกตัว พร้อมร
เท่าที่เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ ก็คือในวันแต่งงาน ท่านแม่เล่าให้นางฟังพวกนั้นส่วนครั้งนี้ ไฉ่เยว่บอกให้รู้มากยิ่งกว่า“หลังจากที่คุณหนูถูกส่งตัวกลับมา ก็อาเจียนไม่หยุด”“สิ่งที่นางอาเจียนออกมา ไม่ใช่เศษอาหาร แต่เป็นอุจจาระของมนุษย์!”“พวกเขากล้าเอาสิ่งพวกนั้นให้คุณหนูกิน...”“อีกอย่าง พวกเขาไม่เพียงเหยียบย่ำร่างกายคุณหนู ยังใช้คีมเหล็กร้อนแดงเพื่อปฏิบัติต่อคุณหนูอย่างโหดร้าย...หมอบอกว่า คุณหนูไม่สามารถมีลูกได้อีกต่อไป!”ไม่สามารถมีลูก สำหรับหญิงสาวแคว้นหนานฉีคนหนึ่ง ถือเป็นความหายนะอย่างยิ่งไฉ่เยว่สะอึกสะอื้นหลายครั้ง ไม่สามารถพูดได้อย่างรู้เรื่องในที่สุด นางกุมหน้าร้องไห้อย่างเจ็บปวดเฟิ่งจิ่วเหยียนเม้นริมฝีปากเป็นเส้นตรง แววตาเฉียบคม เปล่งรัศมีสังหารออกมาภายในห้องคับแคบเต็มไปด้วยความเยือกเย็นผ่านไปเนิ่นนาน ไฉ่เยว่ค่อยสงบอารมณ์จิตใจจากนั้นก็คุกเข่าตรงหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนอีกครั้ง“บ่าวขอบังอาจถามว่า ท่าน... คิดที่จะฆ่าหวงกุ้ยเฟยเพื่อแก้แค้นใช่ไหม?”สีหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนเยือกเย็น มือกำหมัดไว้แน่นไฉ่เยว่พูดต่ออีกว่า“พระนาง ตอนที่คุณหนูยังมีสติอยู่ สั่งให้บ่าวจะต้องบอกกับ
ถึงแม้จ้าวเฉียนเรียกแทนตัวเองว่าบ่าว น้ำเสียงกลับแฝงไปด้วยความหยิ่งผยองเหมือนกับว่าเขามาเอา ฮองเฮาก็ต้องให้แต่เรียกอยู่ตั้งนาน ก็ไม่ได้ยินเสียงคนพูดตอบกลับเป็นหัวหน้าหมัวมัว ที่อยู่ไกลยิ่งกว่าออกมาสีหน้าหัวหน้าหมัวมัวเหี่ยวเฉาเจ้านายไม่เป็นที่โปรดปราน นางที่เป็นถึงหัวหน้าหมัวมัว ยังมีอิทธิพลสู้บ่าวใช้ระดับล่างของตำหนักหลิงเซียวไม่ได้เห็นจ้าวเฉียน นางถ่อมตัวอย่างต่ำต้อย“จ้าวกงกง ท่านอย่าร้อนใจ ฮองเฮาอาจจะยังไม่ตื่น บ่าวจะไปเร่งให้”จ้าวเฉียนเชิดสายตา เชิดคางสูงพร้อมพูดขึ้นมาว่า“งั้นเจ้าก็ไวหน่อย”“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ จะเข้าไปเดี๋ยวนี้”หัวหน้าหมัวมัววิ่งไปในตำหนัก เห็นฮองเฮากำลังหวีผมนางรีบเดินเข้าไปอย่างยิ้มแย้ม“พระนาง อาการปวดหัวของหวงกุ้ยเฟยกำเริบอีกแล้ว หากท่านสามารถมอบยาให้ได้ในตอนนี้ ฮ่องเต้จะต้องจดจำความดีของท่าน ท่านก็จะมีโอกาสเป็นที่โปรดปรานแล้ว”“ท่านว่า หลักการนี้ถูกต้องไหม?”เฟิ่งจิ่วเหยียนเขียนคิ้วอยู่อย่างเชื่องช้า ไม่ร้อนใจเลยสักนิด“ยา ไม่มีแล้ว”รอยยิ้มของหัวหน้าหมัวมัว หุบลงทันที“พระนาง ไม่มีแล้วจริง ๆ หรือ? ท่าน...ท่านไม่หาดูหน่อยหรือ?
ริมฝีปากเซียวอวี้บางเหมือนมีด ดวงตายับยั้งความขุ่นเคืองไว้ยาที่ฮองเฮาให้มาก่อนหน้านี้นั้นใช้ได้ดี เขาจึงให้สำนักหมอหลวงไปศึกษาวิจัย แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีผลสรุป เพราะยังขาดยาสมุนไพรที่สำคัญหลายอย่างเดิมคิดว่าฮองเฮาจะใจดี ที่แท้นางกำลังรออยู่ตรงนี้ใช้ยาบีบบังคับเขา!ทำได้ดีมาก!สีหน้าเซียวอวี้ฉายแววดุร้าย“นางยังพูดอะไรอีก”หน้าผากจ้าวเฉียนเต็มไปด้วยเหงื่อ“ฮองเฮาพูดว่า ท่านลังเลนานเท่าไหร่ หวงกุ้ยเฟยก็จะเจ็บปวดนานเท่านั้น”“หากท่านไม่รับปาก นางก็จะทำลายยานั้น ก็ไม่ยกให้กับท่าน”“ยังพูดว่า... แม้สุภาพบุรุษรับปากแล้วไม่คืนคำ แต่พระราชโองการน่าเชื่อถือกว่า ท่านเพียงรับปากอย่างเดียวไม่ได้ ต้อง...ต้องมีพระราชโองการ”มือเท้าจ้าวเฉียนอ่อนแรงหมดกัน ฮ่องเต้คงไม่ประหารเขามั้ง?ฟังจ้าวเฉียนพูดจบ สีหน้าเซียวอวี้มืดครึ้ม เหมือนเมฆดำก่อนพายุจะมาตำหนักหลิงเซียวเงียบสงัดทางด้านตำหนักหย่งเหอ บรรยากาศก็แน่นิ่งเหมือนกันสีหน้าหัวหน้าซุนหมัวมัวขาวซีดคราวนี้แย่แล้ว!ฮองเฮาหลอกลวงฮ่องเต้ว่าไม่มียาก่อน จากนั้นก็ข่มขู่ให้ฮ่องเต้โปรดปราน...นางไม่กล้าคิด ฮ่องเต้จะต้องโกรธโมโหขนาดไหน
หลังจากที่ฮ่องเต้ออกไปแล้ว สาวใช้ชุนเหอกังวลใจอย่างมาก“พระสนม หากฮองเฮาได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้จริง ตำแหน่งในวังของท่านไม่ใช่หนึ่งเดียวอีกต่อไปแล้ว”เพล้ง! ในมุ้งมีเสียงคับแค้นใจดังขึ้นแจกันดอกไม้ที่อยู่ตรงหัวเตียงลอยละลิ่วออกไปจากผ้าม่านมุ้งแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ สาวใช้ชุนเหอรีบเก็บเศษแก้วที่กระจายและคุกเข่ากับพื้นทันที“พระสนมเย็นพระทัยก่อนเพคะ!”หวงกุ้ยเฟยนั่งริมขอบเตียง มือข้างหนึ่งกำผ้าปูที่นอนไว้ แววตามืดทึมน่ากลัว เพ่งมองไปด้านหน้า ทำให้คนหวาดกลัว“ฮ่องเต้จะโปรดปรานนางได้อย่างไรกัน!”สตรีที่ชื่อเสียงเสื่อมเสียไปแล้ว ยังบังอาจหน้าด้านไร้ยางอายมาแย่งความโปรดปรานไปจากนาง ช่างไม่รู้จักเจียมตัว!ณ เวลานี้ สนมคนอื่นก็รวมกลุ่มกันพวกนางไม่เคยได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ จึงไม่ได้โมโหใหญ่โตเช่นหวงกุ้ยเฟยขนาดนั้น ทว่าก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไรเลย“เฮ้อ! อย่างไรก็ตามก็เป็นเพราะฮองเฮาฝีมือดี คาดไม่ถึงเลยว่าฮ่องเต้จะตกปากรับคำจริง ๆ เสียด้วย ”นางสนมเจียงที่คอยเอาอกเอาใจหวงกุ้ยเฟยแต่ไหนแต่ไรมา อดไม่ได้ที่จะประชดประชัน“ฝีมืออะไรกัน? ก็แค่ใช้หวงกุ้ยเฟยมาบีบบังคับฮ่องเต้! ลูกไม
แววตาถมึงทึงแข็งกระด้างของเซียวอวี้แผ่ความเย็น มองสตรีตรงหน้าด้วยความเย็นชานางสนมเจียงคุกเข่าอยู่บนเตียง สวมชุดนอนบางเฉียบไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเยือกเย็นในวสันตฤดู หรือเป็นเพราะไฟความโกรธของฮ่องเต้ทำให้คนอยากแทรกแผ่นดินหนี นางก้มหน้า ตัวสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้“หม่อมฉัน...หม่อมฉันคือนางสนมเจียงอยู่ในตำหนักหวงกุ้ยเฟย หม่อมฉันเคยถวายบังคมฝ่าบาท...”นางฝืนพูดให้จบประโยค ลำคอทั้งแห้งและฝืดเคืองหน้าตาเซียวอวี้หล่อเหลา เย็นชาเขาเย็นยะเยือกจนทำให้คนกลัว ราวกับอสูรจากขุมนรกแม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะเรียบนิ่งอย่างมาก“ฮองเฮาล่ะ” เขาซักถามอีกครั้งอากาศรอบข้างเบาบางลงเรื่อย ๆ นางสนมเจียงปะทะกับความตกใจสุดขีดนั้นแทบจะหายใจไม่ออก“กราบทูลฝ่าบาท ฮองเฮาให้หม่อมฉันมา...ปรนนิบัติเพคะ”หลิวซื่อเหลียงได้ยินเสียงผิดปกติเมื่อครู่ จึงวิ่งเข้ามาดูโดยไม่รอมีดำรัสสั่งได้ยินคำพูดของนางสนมเจียงพอดี ตกตะลึงจนตาค้างอะไรกัน? ! !คนที่ปรนนิบัติคืนนี้ไม่ใช่ฮองเฮา?ฮองเฮาต้องการจะทำอะไร แสร้งปล่อยเพื่อจับหรือกระไร?ในสถานการณ์ตอนนี้ นางสนมเจียงเองก็ประหลาดใจมากเช่นกันนางไม่คิดเลยว่าตนเองจะได
ดวงตาหร่วนฝูอวี้เต็มไปด้วยความรัก พูดกับเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างยิ้มหวาน“ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะเข้าวังกับเจ้า”จากนั้นก็เปลี่ยนน้ำเสียง หันไปพูดกับเซียวอวี้“ฮ่องเต้ฉี ท่านแต่งตั้งให้หม่อมฉันเป็นสนมอะไรก็ได้ หม่อมฉันก็ไม่ต้องการตำหนักใหญ่โต ได้อาศัยอยู่กับท่านพี่ของข้าก็พอ”ตาคิ้วเซียวอวี้เยือกเย็นอย่างที่สุด ฟันกรามหลังคันยิก ๆ ยัก ๆแต่งตั้งเป็นสนม?นางช่างวางแผนได้ดีสายตาที่เซียวอวี้มองนาง ราวกับมองคนตาย“เจ้าหรือ โกศกำลังดี”“ท่าน!” สายตาหร่วนฝูอวี้ปรากฏรัศมีสังหาร กลับไม่สามารถฆ่าเขาได้จริง ๆนางหันไปควงแขนเฟิ่งจิ่วเหยียน ท่าทีราวกับไม่มีใครแยกพวกเขาออกจากกันได้ พูดขึ้นมาอย่างออดอ้อน“ท่านพี่ เจ้ายังติดค้างข้าค่ำคืนแห่งวสันต์”เซียวอวี้โมโหมาก“เจ้าอยากตายหรือ!”หร่วนฝูอวี้ฟังคำพูดของเขาเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา พูดอย่างถูกต้องก็คือ ไม่สนใจกับการมีตัวตนอยู่ของเขาเลยนางพูดเตือนเฟิ่งจิ่วเหยียน“เจ้าลืมไปแล้วหรือ? ตอนที่เจ้าอยู่ชายแดนใต้ ยืมหมอผีของข้าไปคนหนึ่ง เจ้ารับปากข้า เราสองคน...อืม?”ในระหว่างที่พูด นิ้วมือหร่วนฝูอวี้เกาะบนไหล่เฟิ่งจิ่วเหยียน แสดงออกถึงความงดงามอ่อนโ
เฟิ่งจิ่วเหยียนเช่าบ้านไว้หนึ่งหลัง ขังโจรสลัดพวกนั้นไว้ข้างในพวกเขาถูกทรมานจนเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลอู๋ไป๋ชี้ไปยังตรงมุมที่หายใจรวยรินคนนั้น แล้วก็พูดกับเฉินจี๋“คนนั้นแหละ ก่อนหน้านี้เกือบหนีไป นายท่านไล่ตามกลับมาด้วยตนเอง”พวกโจรสลัดเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียน ราวกับหนูเจอแมว ตัวสั่นเทาไม่หยุดพวกเขาเคยเป็นกองโจรสลัดที่เก่งกาจ ตอนนี้กลับถูกหนุ่มคนหนึ่ง ตบตีจนแม้แต่แม่ก็จำไม่ได้แล้ว“อย่าตี... อย่าตีข้า ที่ควรพูดข้าก็ล้วนพูดหมดแล้ว...”เฉินจี๋หิ้วคนหนึ่งขึ้นมา ลากไปตรงหน้าเซียวอวี้นิ้วมือทั้งสิบของคนนั้นเปื้อนไปด้วยเลือด ดูก็รู้ว่าถูกทรมานมาก่อนเขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “มีคนให้ทองพวกเราเป็นจำนวนมาก สั่งพวกเราลงมือทำเช่นนั้น “พวกเราทำงานรับค่าจ้าง รู้เพียงว่านั่นคือเรือของตระกูลมั่งคั่ง...ไม่เช่นนั้น ต่อให้พวกเรามีความกล้าหาญคับฟ้า ก็ไม่กล้าปล้นเรือของราชวงศ์“ตอนที่เรือคว่ำ คนอื่นหนีไปหมดแล้ว ผู้หญิงคนนั้นกระโดดลงจากเรือ พวกเราเป็นคนช่วยนางขึ้นมา“นางเอาป้ายหยกของนางให้พวกเรา บอกว่ามีมูลค่ามาก ขอให้พวกเราปล่อยนางไป“นางสวยงดงามมาก เดิมพวกเราคิดอยากบังคับขืนใจ เมื่
เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ว่าในวังมีงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิด จึงนัดไว้เป็นเวลายามไฮ่สุดท้าย ก่อนยามไฮ่หนึ่งชั่วยาม เซียวอวี้ก็มาแล้วเขาแต่งตัวสวมอาภรณ์สีแดง “งดงามฉูดฉาดหรูหรา” เฟิ่งจิ่วเหยียนมองข้างหลัง ยังนึกว่าเจียงหลินโผล่มาแขกรอบข้างต่างมองดูเขานางมาถึงหอสุราก่อนเวลาครึ่งชั่วยาม คิดไม่ถึงว่าเขามาเร็วกว่า“หม่อมฉันจองห้องส่วนตัว อยู่ชั้นสอง” เซียวอวี้คว้าจับมือของนางไว้ทันที กลับถูกนางสะบัดทิ้งด้วยสัญชาตญาณยังไง เวลานี้นางแต่งกายเป็นบุรุษผู้ชายสองคนเดินจุงมือกัน ดูได้ที่ไหนมือเซียวอวี้ค้างอยู่กลางอากาศ น้อยใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกหรือนางโกรธที่ตนเองไม่ได้อยู่กับนางมาหลายวัน?เมื่อเข้าไปในห้องส่วนตัวแล้ว เซียวอวี้รวบโอบกอดคนตรงหน้าทันทีข้างนอกประตู อู๋ไป๋ปิดประตูห้องอย่างรวดเร็วเขาเงยศีรษะขึ้นมา เห็นเฉินจี๋ไม่ขยับเขยื้อน ได้แต่ยืนตัวตรง ก็ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ“ข้าว่า เจ้าปิดประตูไม่เป็นหรือ?”เฉินจี๋ : ?ภายในห้อง เฟิ่งจิ่วเหยียนผลักเซียวอวี้ ขมวดคิ้วพูดขึ้นมา“เนื้อตัวหม่อมฉันสกปรก”เซียวอวี้เพิ่งค่อยสังเกตเห็น บนอาภรณ์ของนางเปื้อนไปด้วยฝุ่น ราวกับได้มุดผ่านตร
คำพูดที่มู่หรงหลันพูดก่อนตาย รุ่ยอ๋องเล่าให้เฟิ่งจิ่วเหยียนฟัง “น่าเสียดาย นางพูดเพียงมนุษย์โอสถ ไม่พูดอะไรต่อ” ระหว่างคิ้วรุ่ยอ๋องเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเฟิ่งจิ่วเหยียนครุ่นคิด“พรรคเทียนหลงเคยเลี้ยงมนุษย์โอสถ ควรที่จะสืบต่อไป ทว่าเรื่องนี้ควรให้ฝ่าบาทตัดสินพระทัย”เมื่อพูดเสร็จ นางทำความเคารพกล่าวลารุ่ยอ๋องหันมามองเงาร่างของนางที่เดินจากไป ยังรู้สึกประหลาดใจ...แม่ทัพน้อยเมิ่งที่กล้าหาญสง่างามมีชีวิตชีวาในตอนนั้น กลับเป็นสตรี……ความผิดที่มู่หรงเหลียนรับสารภาพ พัวพันกับคดีที่ไม่เป็นธรรมมากมายเมื่อรวมกับคำสารภาพของหยางเหลียนซั่ว ดังนั้น คดีความอยุติธรรมของอดีตรัชทายาทกับตระกูลเฉินก็กระจ่างขึ้นวันรุ่งขึ้น อาชญากรรมของพรรคเทียนหลงถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ผู้กระทำผิดหลัก หยางเหลียนซั่ว ถูกเปลี่ยนให้เป็น “มนุษย์สุกร” ลากตัวไปในตลาด ให้ผู้คนมุงดูหยางเหลียนซั่วยังสามารถได้ยิน เขาเสียใจอย่างมาก ไม่สามารถฆ่าตัวตายเพื่อรักษาศักดิ์ศรีเป็นถึงผู้สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์แคว้นเฉิน ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากจัณฑาลเหล่านี้หยางเหลียนซั่วในยามนี้ ในทุกวันที่มีชีวิตอยู่ ล้วนเป็นการทรมานที่เจ็บปวด
เซียวอวี้ไม่เคยคิดมาก่อน ตนเองฟังคำสั่งเสียของอดีตฮ่องเต้ผิดไปเฟิ่งจิ่วเหยียนอธิบายอย่างใจเย็น“ในเมื่อพูดจาคลุมเครือไม่ชัดเจน ฉะนั้น ‘สื่อ’(ที่มีความหมายว่าตาย) กับ ‘ซื่อ’(ที่มีความหมายว่าสกุล) สับสนได้ง่าย”“ ‘หลิว’(ที่มีความหมายว่าเก็บไว้) เป็นพยางค์สุดท้ายที่อดีตฮ่องเต้ทรงตรัส ไม่สามารถออกเสียงชัดถ้อยเหมือนคนปกติ ด้วยการหายใจลากเสียงยาว คนอื่นได้ยิน หลิว ถูกแยกกลายเป็น ‘ลี่โฮ้ว’(ที่มีความหมายว่าตั้งเป็นฮองเฮา) ” เซียวอวี้ยังคงสงสัย“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมไม่พูดให้กระจ่างโดยตรง? พูดว่าสังหารมู่หรง ไม่ชัดเจนยิ่งกว่าหรือ”ตาคิ้วเฟิ่งจิ่วเหยียน ปกคลุมไปด้วยความเยือกเย็น“อยู่ในชายแดนเหนือ ข้าเคยได้ยินคำสั่งเสียของคนนับไม่ถ้วน ในขณะที่คนใกล้สิ้นใจ รู้ตัวเองว่ามีเวลาคับขัน จึงคำนึงถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน สำหรับอดีตฮ่องเต้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในประโยคสมบูรณ์ก็คือ มู่หรง”“หรือจะเป็นมู่หรงหลัน ตระกูลมู่หรง ทั้งเผ่าพันธุ์มู่หรง พระองค์อยากเตือนท่าน มู่หรงมีปัญหา”“ทว่าหลังจากพระองค์พูดมู่หรงสองพยางค์ ก็ยากลำบากมากแล้ว ซึ่งเห็นได้จากประโยคที่พระองค์พูดอย่างสั้น ๆ เขากังวลว่าพยางค
วังหลวง รับประทานอาหารค่ำเสร็จสิ้นเฟิ่งจิ่วเหยียนยังมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเซียวอวี้ จึงให้คนส่งอาจารย์หญิงออกจากวังไปก่อนนับจากกลับมาจนถึงตอนนี้ เซียวอวี้ยุ่งมาทั้งวันแล้ว ดังนั้นตอนนี้ เขาไม่อยากคุยเรื่องจริงจังหลังจากฮูหยินเมิ่งกลับไป เขาให้ข้าหลวงออกไป จากนั้นก็ดึงเฟิ่งจิ่วเหยียนมาสู่อ้อมอก กอดนางไว้ ราวกับเช่นนี้สามารถขจัดความเหนื่อยล้าได้“เราเหนื่อยมาเลย ดูสิ สาส์นกราบทูลพวกนั้น ช่วงบ่ายเราอ่านหมดแล้ว”กองหนาบนโต๊ะ ดูแล้วก็เหนื่อยมากจริงๆเฟิ่งจิ่วเหยียนปล่อยให้เขากอดพักหนึ่ง หลังจากนั้นก็ยังคงผลักเขาอย่างใจร้าย“พูดเรื่องจริงจัง คำให้การของหยางเหลียนซั่ว ท่านดูแล้วหรือยัง?” เซียวอวี้ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ“ที่นี่มีแค่เราสองคน ทำไมถึงห่างเหินเช่นนี้”เฟิ่งจิ่วเหยียนหลีกเลี่ยงสิ่งเล็กน้อย มุ่งเน้นปัญหาหลัก“ท่านราชครูเฉินไม่ได้กบฏ อดีตรัชทายาทก็บริสุทธิ์เช่นกัน เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นฝีมือของพรรคเทียนหลง ท่านควรพิสูจน์คืนความบริสุทธิ์ให้กับพวกเขา”เซียวอวี้พยักหน้าอย่างอารมณ์ดี“เจ้าพูดถูก ควรคืนความบริสุทธิ์”มู่หรงเหลียนก็ให้การเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นเขาเตรียมการไว้ตั้
หน้าประตูจวนตระกูลเฟิ่ง นายท่านเฟิ่งมองดูรถม้าที่กำลังเคลื่อนจากไป ในใจรู้สึกอึดอัดเป็นพิเศษ อี๋เหนียงหลินเอ่ยเตือน “นายท่าน รถม้าออกไปไกลแล้ว พวกเรากลับเข้าข้างในกันเถิด อาหารเย็นชืดหมดแล้วเจ้าค่ะ” นายท่านเฟิ่งสะบัดมือของนางออก แค่นเสียงเย็นชา ก่อนหมุนตัวเดินเข้าจวน เขาเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของจิ่วเหยียนแท้ ๆ ทว่าฝ่าบาทเชิญแต่ฮูหยินเมิ่ง มิได้เชิญเขา! หรือว่าในอนาคตจิ่วเหยียนจะสมรสในฐานะบุตรสาวของตระกูลเมิ่ง? มันน่าโมโหมากนัก! ณ พระราชวัง เซียวอวี้ได้สั่งให้คนเตรียมสำรับเย็นไว้แล้ว เพียงแต่วันนี้มีราชกิจรัดตัว จึงเกือบลืมไปเช่นกัน ฮูหยินเมิ่งเข้าวังเป็นครั้งแรก ไม่ถ่อมตัวหรือเย่อหยิ่งเกินไป อาหารเป็นเรื่องรอง จุดประสงค์หลักคือนางต้องการทูลถามฝ่าบาทว่า จัดเตรียมพิธีสมรสกับจิ่วเหยียนถึงไหนแล้ว เซียวอวี้ก็อยากถามความคิดเห็นของนางกับเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไรก็อยากเกี่ยวดองกับตระกูลเฟิ่ง ยังต้อง... เฟิ่งจิ่วเหยียนยืนขึ้น และเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ฝ่าบาทเพคะ อาจารย์กับอาจารย์หญิงเลี้ยงดูหม่อมฉันจนเติบใหญ่ ในใจขอ
ณ ลานประหาร มู่หรงหลันระเบิดเสียงหัวเราะราวกับคนสติฟั่นเฟือน นางมองดูอาทิตย์ที่ใกล้ลาลับฟ้า หลั่งน้ำตาอย่างไม่ข่มกลั้นตามกฎหมาย ถึงแม้นางจะถูกตัดสินลงโทษแล้ว ยังต้องเลือกวันประหาร และทำการประหารในยามอู่ ทว่าฮ่องเต้แทบรอไม่ไหวแม้เพียงวันเดียว เขามีเจตนาสังหารต่อนางรุนแรงนัก! มู่หรงหลันหันไปมองบิดาของตนเอง และถามอย่างโกรธเคือง “ท่านพูดสิ่งใดกับฝ่าบาท!” มู่หรงเหลียนยอมรับการลงโทษอย่างใจเย็น “พูดความจริง รวมถึงภูมิหลังของเจ้าด้วย” ทันใดนั้นหัวใจของมู่หรงหลันพลันบีบรัด เป็นเช่นนี้เอง! ฝ่าบาทรู้แล้วว่านางเป็นหลานสาวของหยางเหลียนซั่ว และเป็นสายเลือดของราชวงศ์แห่งแคว้นเฉิน ไม่น่าแปลกใจที่เขาอยากจะฆ่านาง! “ฮ่าฮ่า...ท่านพ่อ! ท่านช่างเป็น ‘ท่านพ่อที่ดี’ ของข้าจริง ๆ ! ไฉนท่านถึงทำร้ายข้าเช่นนี้เล่า! ข้าไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของท่านหรือไร? ท่านคิดจะลากข้าไปตายพร้อมท่านจริงรึ!” นางเกลียดเขานัก! หากไม่ใช่เพราะเขา ฝ่าบาทก็อาจจะไม่ใจดำต่อนางขนาดนี้! นี่คือการประหารแล่เนื้อเชียว! แววตาของมู่หรงเหลียนเฉยเมย ครั้นมองดูนาง ก็นึกถึงมารดาผู้ให้กำเน
นายท่านเฟิ่งโกรธมากจนปากเบี้ยวคิ้วตก คล้ายเป็นอัมพาตครึ่งซีก เขาตวาดใส่อี๋เหนียงหลิน “คราวหน้า หากเจ้ายังตัดสินใจโดยพลการเช่นนี้อีก ก็ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าเสีย!” อี๋เหนียงหลินทำอะไรไม่ถูก ความเพ้อเจ้อก่อนหน้านี้พลันอันตรธานไปสิ้น เดิมนางคิดว่า รอจนกว่าบุตรสาวตระกูลเฟิ่งกลับมาจากชนบท ตนเองก็จะแสดงอำนาจในฐานะ “ฮูหยิน” อย่างสง่าผ่าเผย เมื่อครู่กลับบอกนางว่า หญิงบ้านนอกคนนั้นกำลังจะได้เป็นฮองเฮา?! เฟิ่งเวยเฉียงเคยได้เป็นฮองเฮา บัดนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ยังจะได้เป็นฮองเฮาด้วย เหตุใดบุตรสาวของสกุลหลิวถึงได้เป็นฮองเฮาทุกคน! นังแพศยานั่นช่างมีวาสนาอะไรเช่นนี้! อี๋เหนียงหลินเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ได้เห็นที่ในลานกว้าง——เฟิ่งหมิงเซวียนบุตรชายของตนที่กำลังหยอกเล่นกับนกเหล่านั้น ตระกูลเฟิ่งให้กำเนิดฮองเฮาผู้มีคุณธรรม ไฉนตนเองจึงไม่สามารถให้กำเนิดบุตรสาวได้! ให้กำเนิดบุตรชายยังไม่พอ ยังไร้ประโยชน์ได้ขนาดนี้! อี๋เหนียงหลินเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง นางริษยา ทว่ายังทราบหลักการรุ่งโรจน์ผู้เดียวพลอยรุ่งเรืองทั้งหมด จึงรีบเรียกสาวใช้เข้ามาสั่งการ ให้ไปยกเลิ