แววตาถมึงทึงแข็งกระด้างของเซียวอวี้แผ่ความเย็น มองสตรีตรงหน้าด้วยความเย็นชานางสนมเจียงคุกเข่าอยู่บนเตียง สวมชุดนอนบางเฉียบไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเยือกเย็นในวสันตฤดู หรือเป็นเพราะไฟความโกรธของฮ่องเต้ทำให้คนอยากแทรกแผ่นดินหนี นางก้มหน้า ตัวสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้“หม่อมฉัน...หม่อมฉันคือนางสนมเจียงอยู่ในตำหนักหวงกุ้ยเฟย หม่อมฉันเคยถวายบังคมฝ่าบาท...”นางฝืนพูดให้จบประโยค ลำคอทั้งแห้งและฝืดเคืองหน้าตาเซียวอวี้หล่อเหลา เย็นชาเขาเย็นยะเยือกจนทำให้คนกลัว ราวกับอสูรจากขุมนรกแม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะเรียบนิ่งอย่างมาก“ฮองเฮาล่ะ” เขาซักถามอีกครั้งอากาศรอบข้างเบาบางลงเรื่อย ๆ นางสนมเจียงปะทะกับความตกใจสุดขีดนั้นแทบจะหายใจไม่ออก“กราบทูลฝ่าบาท ฮองเฮาให้หม่อมฉันมา...ปรนนิบัติเพคะ”หลิวซื่อเหลียงได้ยินเสียงผิดปกติเมื่อครู่ จึงวิ่งเข้ามาดูโดยไม่รอมีดำรัสสั่งได้ยินคำพูดของนางสนมเจียงพอดี ตกตะลึงจนตาค้างอะไรกัน? ! !คนที่ปรนนิบัติคืนนี้ไม่ใช่ฮองเฮา?ฮองเฮาต้องการจะทำอะไร แสร้งปล่อยเพื่อจับหรือกระไร?ในสถานการณ์ตอนนี้ นางสนมเจียงเองก็ประหลาดใจมากเช่นกันนางไม่คิดเลยว่าตนเองจะได
ฮ่องเต้เสด็จมาที่ตำหนักหย่งเหออย่างกะทันหัน เหลียนซวงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก“ฝ่าบาทเสด็จมาทำอันใดกัน?”สีหน้าที่ซุนหมัวมัวมองนางราวกับเห็นคนต่างเผ่า“เจ้าไม่ทราบจริง ๆ หรือ? ตอนกลางวันฮองเฮาเราพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อที่จะรับความโปรดปราน ตกกลางคืนกลับให้นางสนมเจียงไปปรนนิบัติแทนฮองเฮา นี่ไม่ใช่แสดงอย่างชัดเจนว่ากำลังปั่นหัวฮ่องเต้อยู่รึ“ฮ่องเต้เป็นถึงจักพรรดิ! จะทนเรื่องเช่นนี้ไหวได้อย่างไรกัน!”“ฮองเฮา ท่านรีบเปลี่ยนอาภรณ์เถิด ชะตาชีวิตของพวกหม่อมฉันอยู่ในฝ่ามือของท่านนะเพคะ!”เฟิ่งจิ่วเหยียน: ?“เปิ่นกงได้กล่าวเมื่อใดว่าจะปรนนิบัติ!”นางเสียสติไปแล้วกระมัง!ซุนหมัวมัวเองก็สับสนงงงวยหรือว่านางคิดผิดไป?ทว่าไม่ใช่นางคนเดียวที่คิดเช่นนี้!อย่างไรเสียในวังนี้ ใคร ๆ ก็ต้องแย่งชิงความโปรดปรานเพื่อตัวเองทั้งนั้น จะให้โอกาสคนอื่นมาแย่งปรนนิบัติได้อย่างไรกัน สมองทึบหรือกระไร?เรื่องราวพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ซุนหมัวมัวคนเดียวที่คิดต่างค่ำคืนดึกดื่น พวกนางสนมที่นอนไม่หลับอยู่แล้ว หลังจากได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักจื้อเฉิน ต่างพากันตะลึงงัน“อะไรกัน? คนที่ปรนนิบัติไม
เป็นเขาได้อย่างไรกัน!เฟิ่งจิ่วเหยียนสีหน้าสงสัย เหงื่อออกตามมือเล็กน้อยคนที่อยู่ตรงหน้า หน้าตาเหมือนกับบุรุษที่นางเคยประลองมือในวันนั้นทุกกระเบียดนิ้ว!ไม่สิ พูดให้ถูกต้องก็คือพวกเขาคือคนเดียวกันต่างหาก!ใบหน้าหล่อเหลาเช่นเดียวกัน แววตาลึกลับ และยังมีรังสีอาฆาตที่คมคาย...หลังจากที่ประลองมือครั้งแรก นางคิดเองเออเองว่าเขาเป็นองครักษ์ในวังความจริงแล้ว เขาเป็นถึงฮ่องเต้เซียวอวี้!ทว่า จักรพรรดิที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี คิดไม่ถึงเลยว่าศิลปะการต่อสู้จะเก่งกาจขนาดนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนจำเซียวอวี้ได้ ทว่าเซียวอวี้กลับไม่รู้ คนตรงหน้าผู้นี้เป็นนักฆ่าสาวที่เขาเคยประลองมือมาแล้วสองครั้ง“ฮองเฮาจะจ้องเราไปตลอดเลยหรือกระไร” เซียวอวี้พูดอย่างไม่เป็นมิตรเฟิ่งจิ่วเหยียนตั้งสติทันที หลุบสายตาลง“โปรดอภัยที่หม่อมฉันเสียมารยาท”ภายนอกของนางดูสงบนิ่งเป็นปกติ ความจริงแล้วในใจยังคงมีความประหลาดใจอยู่นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวอวี้ได้มองหน้านางในระยะใกล้เช่นนี้ครั้งก่อนที่เห็นนาง คือตอนที่นางควบม้าไปช่วยไทเฮา เขายืนอยู่ที่สูง มองจากไกล ๆ ...ทันใดนั้น นิ้วเรียวยาวของเซียวอวี้อันเย็นยะเยือกเชิดค
เฟิ่งจิ่วเหยียนที่ถูกบีบคออยู่ สีหน้าเริ่มซีดเซียว“เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่จดหมายตระกูลกล่าวถึง...”“จดหมายตระกูล?” เซียวอวี้ไม่เชื่ออย่างแน่นอนเขาสั่งให้นางนำสิ่งที่เรียกว่าจดหมายตระกูลฉบับนั้นออกมาซุนหมัวมัวที่อยู่ด้านนอกตกตะลึงตาค้างมีจดหมายตระกูลที่ใดกัน?พอหันกลับไป...คุณพระ นางเสียขวัญ!เด็กเหลียนซวงนี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?และในมือของนางถืออะไรอยู่?เหลียนซวงไม่สนใจซุนหมัวมัวที่ยืนแข็งเป็นหิน ตาลีตาเหลือกเดินเข้าในตำหนัก“ฝ่าบาท นี่เป็นจดหมายที่นายท่านส่งมาวันนี้”เซียวอวี้ปล่อยมือ เปิดดูด้วยตนเองนี่เป็นจดหมายที่บิดาเขียนให้ลูกสาว——“ลูกเวยเฉียง จดหมายของเจ้าก่อนหน้านี้ ภายใต้ความรับผิดชอบของฮองเฮา จะห่วงใยเหล่านางสนมราวกับเป็นพี่น้อง ทำให้พ่อรู้สึกสบายใจ ได้สืบทราบเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวงข้อง หวังว่าจะช่วยเหลือเจ้าได้...”เนื้อหาหลังจากนี้ไม่เพียงแต่พูดถึงนางสนมเจียงเท่านั้น ยังกล่าวถึงนางสนมคนอื่นอีกด้วยทว่าใจความสำคัญของจดหมายคือ ช่วงเวลาที่พวกนางเข้าวัง ความสัมพันธ์ของบิดามารดาในครอบครัว รวมถึงสิ่งที่ชื่นชอบทว่าอ่านจดหมายฉบับนี้ รู้สึกได้ถึงคว
เฟิ่งจิ่วเหยียนค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา สายตาเรียบเฉย ราวกับเป็นน้ำนิ่งที่ไม่มีคลื่นเลยแม้แต่น้อย“ฝ่าบาท ก่อนหน้านี้หม่อมฉันพูดจาอวดดี ทำให้ฝ่าบาททรงกริ้ว ทบทวความผิดของตนเองมาตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่คู่ควรที่จะปรนนิบัติพระองค์จริง ๆ เพคะ”ดวงตาของเซียวอวี้เย็นชาและล้ำลึก แอบซ่อนไปด้วยความอันตราย“ฮองเฮาก็รู้ตัวเองดีนี่”“เคลื่อนขบวน ไปตำหนักหลิงเซียว” ......หลังจากฮ่องเต้เสด็จกลับ เหลียนซวงดูเหมือนกับทั้งร่างแตกสลาย ตัวอ่อนยวบเท้ามุมโต๊ะเอาไว้“พระนาง บ่าวตกใจแย่แล้วเพคะ...”เมื่อเห็นว่าไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย เหลียนซวงกล่าวเตือนอย่างเป็นห่วง“พระนาง ฝ่าบาทไม่ได้ทรงโปรดปรานนางสนมเจียง ท่านอยากให้นางทำลายความเป็นสนมคนโปรดเพียงผู้เดียวของหวงกุ้ยเฟย ก็จัดว่าล้มเหลว”“ไม่เพียงแค่นี้ ท่านยังทำให้ฝ่าบาทไม่ทรงพอพระทัย ทั้งยังเกิดความบาดหมางกับหวงกุ้ยเฟย และนางสนมเจียงอีก สถานการณ์ของพวกเราจะไม่ยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิมหรือเพคะ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่คิดว่าล้มเหลวนางกล่าวอย่างสุขุม“นางสนมเจียงกับหวงกุ้ยเฟยสนิทกันมาก จะต้องได้รับผลประโยชน์เพราะอยู่ใกล้ชิดกัน หากฝ่าบาททรงมีใจให้กับนาง คงจะทรงโป
นางสนมเจียงทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ รีบเช็ดน้ำตาหันหน้ามองออกไปเมื่อเห็นฉากบังลมสีทองนั้น นางลืมความเจ็บปวดที่แผลไปหมดแล้วสาวใช้ที่อยู่ข้างกายคาดเดา“พระนาง ได้ข่าวว่าหลังจากที่ฝ่าบาทเสด็จออกจากตำหนักหย่งเหอ ก็ไปที่ตำหนักหลิงเซียว จะต้องเป็นเพราะหวงกุ้ยเฟยกล่าวชื่นชมกับฝ่าบาท ถึงได้ตกรางวัลมา ท่านจะต้องซาบซึ้งให้มาก ๆ นะเจ้าคะ!”นางสนมเจียงพยักหน้าแรง ๆ“ถูกต้อง อย่างไรเสียพี่หญิงหวงกุ้ยเฟยก็ปฏิบัติต่อข้าด้วยความจริงใจ ไม่เหมือนกับฮองเฮานั่น!”เมื่อเอ่ยถึงฮองเฮา ความเคียดแค้นของนางก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้งความแค้นครั้งนี้ นางจะต้องเอาคืน!……ตำหนักจื้อเฉินภายในตำหนักใหญ่ที่เงียบสงัดกลางดึกฟึ่บ——มือข้างหนึ่งปัดผ้าม่านออกจากด้านใน แฝงไปด้วยความกระวนกระวายใจแสงจันทร์ที่เล็ดลอดเข้ามา สาดส่องมาที่ด้านในมุ้ง เซียวอวี้นั่งอยู่ตรงนั้น เสื้อคลุมที่เปิดออกกว้าง เผยให้เห็นแผ่นอกที่แข็งแกร่งมือข้างหนึ่งของเขาประคองหน้าผากเอาไว้ นวดหว่างคิ้วด้วยความวุ่นวายใจนอนไม่หลับเอาแต่คิดถึงบทสนทนาตอนที่อยู่ตำหนักหย่งเหอซ้ำไปซ้ำมาไม่ถูกต้อง!ตอนนั้นเขาอยากจะลงโทษสาวใช้ของฮองเฮา เ
หวงกุ้ยเฟยคิดว่าตนเองหูฝาดไปแล้วฝ่าบาทจะทรงเสด็จไปที่ตำหนักของนางสนมเจียงได้อย่างไรกัน?จ้าวเฉียนพูดต่อ“เรื่องจริงแท้แน่นอนเจ้าค่ะ หลิวกงกงมาส่งข่าว บอกให้ท่านไม่ต้องรอแล้วเจ้าค่ะ ฝ่าบาทจะเสวยกระยาหารเย็นที่ตำหนักของนางสนมเจียงเจ้าค่ะ”หวงกุ้ยเฟยรู้สึกไม่สบายใจ ขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่เมื่อครุ่นคิด ถึงแม้ว่าจะเสวยพระกระยาหารเย็นด้วยกัน ฝ่าบาทก็ไม่มีทางโปรดปรานนางสนมเจียง ไม่มีทางอย่างเด็ดขาด...นางจะกระวนกระวายใจไปเอง เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้ และจะทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้แต่ละตำหนักได้ข่าวว่าฝ่าบาทเสด็จไปหานางสนมเจียง ทุกคนก็พากันตื่นตะลึงหนิงเฟยโมโหมาก นางขว้างชามใบหนึ่งทันที“นางสนมเจียงเพิ่งจะเข้าวังได้นานขนาดไหน? นางมีสิทธิ์อะไรถึงได้รับความโปรดปรานก่อนข้ากัน!!”สาวใช้กล่าวเตือนอย่างระวัง“พระนาง ฝ่าบาทแค่เพียงเสด็จไปที่ตำหนักของนางสนมเจียง ได้ข่าวว่าบิดาของนางสนมเจียงได้สร้างความดีความชอบในการศึก บางทีฝ่าบาทอาจจะแค่แสดงความเมตตาก็เท่านั้นเจ้าค่ะ”หนิงเฟยขมวดคิ้วทันที“เจ้าว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ที่ท่านป้าจะกล่าวไม่ผิด? ฮองเฮาแอบช่วยเหลือนางสนมเจียงอยู่เ
กลางดึก ตำหนักจื้อเฉินฟิ้ว——ลูกธนูแหลมคมดอกหนึ่งยิงเข้าใส่ที่ขอบประตูของตำหนักชั่วพริบตาเดียว บรรดาองครักษ์ก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน“มีนักฆ่า!”ด้านในตำหนักเซียวอวี้สวมชุดนอนผ้าไหมเพียงตัวเดียว ผมสีดำแผ่สยายราวกับน้ำตก ขับให้ใบหน้าที่หล่อเหลามีเสน่ห์ของเขาให้โดดเด่นขึ้น“มีเรื่องอะไร”มือทั้งสองข้างของหลิวซื่อเหลียงถือลูกธนูดอกนั้น หัวธนูมีกระดาษแผ่นหนึ่ง เดินมาที่ด้านหน้ามุ้งอย่างระวัง“ฝ่าบาท นักฆ่าทิ้งของสิ่งนี้เอาไว้พ่ะย่ะค่ะ!”เซียวอวี้ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากด้านในมุ้ง นิ้วเรียวยาวแข็งแรงภายใต้แสงเทียน เขาเห็นตัวหนังสือบนจดหมายอย่างชัดเจน‘ยามไห้คืนพรุ่งนี้ ที่ตำหนักหวาชิง จะถอนพิษให้ฝ่าบาท’รูม่านตาของเซียวอวี้หดเล็กลงทันทีจากนั้นก็ขยำกระดาษแผ่นนั้นจนแหลกคามือ“ไม่คิดเลยว่านางยังจะกล้ามาอีก”ดูท่าจะรู้ตัวตนของเขาแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะส่งจดหมายมาที่ตำหนักจื้อเฉินตรง ๆหลิวซื่อเหลียงไม่รู้สาเหตุเขาคือใคร?หรือว่าฝ่าบาทจะทรงรู้จักนักฆ่าคนนั้น?......ตอนกลางคืนของวันถัดไปตำหนักหวาชิงบรรดาองครักษ์ลับล้อมวังเย็นเอาไว้หลายชั้น กำลังรอให้นักฆ่าปรากฏตัวทันทีที
หนานฉี เมืองหลวงหลิวอิ๋งยังคงมิได้ข่าวคราวของราชทูตคนอื่น ๆ ในใจยิ่งกระวนกระวายในช่วงหลายวันที่ผ่านมานางวนเวียนไปที่จวนรุ่ยอ๋อง เพื่อสอบถามความคืบหน้าทว่า บัดนี้ก็ยังมิได้รับข่าวคราวใด ๆภายในโรงพักแรมเจิ้งจีเห็นมารดากลับมา คำพูดแรกมิใช่แสดงความห่วงใย แต่เป็นการเร่งรัด“ท่านแม่ ฝ่าบาทเสด็จกลับวังแล้ว เมื่อใดพวกเราถึงจะได้เข้าวัง?”สีหน้าหลิวอิ๋งอยู่ในอาการเหม่อลอยเจิ้งจีถามอีก: “ท่านป้ายังมิได้ตอบจดหมายพวกเรา และส่งสาส์นตราตั้งฉบับใหม่มาให้อีกหรือเจ้าคะ? ท่านแม่?”หลิวอิ๋งเรียกสติกลับมา พลันกุมมือบุตรสาวไว้แน่น“ท่านป้าของเจ้ามิมีทางเมินเฉยพวกเรา ถึงอย่างไรข้าก็เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของนาง! พวกเราจะเข้าวังไปพบฝ่าบาทได้เลยโดยตรง!”เดิมคิดว่ารุ่ยอ๋องมีความสามารถที่จะตามหาราชทูตได้ มิคาดคิดว่า เขาที่ดูเหมือนเป็นคนเข้าหาได้ง่าย ที่จริงแล้วกลับรับปากนางแบบขอไปทีตลอดสองแม่ลูกจึงมุ่งหน้าไปยังพระราชวังเพื่อขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ภายในวังเซียวอวี้เพิ่งกลับเข้าวัง ขณะกำลังตรวจดูสาส์นกราบทูลในห้องทรงพระอักษร องครักษ์ก็เข้ามารายงาน---หลิวอิ๋งคนที่อ้างว่าเป็นราชทูตแคว้นซีหนี่ว์มาขอเข้าเฝ
หลังจากท่านผู้เฒ่าหลินรู้สถานะของเฟิ่งจิ่วเหยียน เดิมทีก็คิดจะสานสัมพันธ์เป็นเครือญาติกับนางทว่านางกลับบอกว่า มิใช่เครือญาติแท้ ๆ หรือ?ใครมิใช่เครือญาติแท้ ๆ กันเล่า?เฟิ่งจิ่วเหยียนถามด้วยสีหน้าเย็นชา “บุตรสาวคนที่สองของตระกูลหลิว เมื่อคลอดออกมาก็มอบให้พวกเจ้าดูแลใช่หรือไม่?”ท่านผู้เฒ่าหลินสีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและงุนงง นึกไม่ถึงว่า สิ่งที่นางต้องการจะถาม กลับเป็นเรื่องราวในตอนนั้น...เขาก้มศีรษะลง กลัวว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนจะเห็นสีหน้าของตน“พ่ะย่ะค่ะ! ตอนนั้น น้องสาวของข้าน้อยคลอดบุตรสาวคนเล็ก ก็มอบให้พวกเราดูแลเลย“ฮองเฮา เรื่องนี้ยังจะมีอะไรให้น่าพูดถึงอีก?”เฟิ่งจิ่วเหยียนยังคงถือเครื่องมือทรมานนั้นอยู่ในมือ สายตาดูเยือกเย็นไร้ความปรานี“เจ้ายืนยันได้หรือไม่ว่า เด็กที่มอบให้กับมือพวกเจ้าในตอนนั้น เพิ่งจะคลอดมาได้ไม่นาน?”ท่านผู้เฒ่าหลินตอบด้วยความมั่นอกมั่นใจ“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ! เด็กคนนั้นคลอดออกมาได้ไม่กี่วัน ก็ถูกพวกเรานำมาดูแลแล้ว...”“โกหก” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูเย็นชา นางเงยหน้าขึ้นมองท่านผู้เฒ่าหลิน “หากข้าเดาไม่ผิด เด็กคนนั้น ตอนที่มาถึงมือพวกเจ้า น่าจ
ภายในคุกที่ว่าการท่านผู้เฒ่าหลินในวัยชรา ยืนพิงอยู่มุมกำแพงด้วยอาการตัวสั่นเทาเขามองไปยังเจ้าหน้าที่เหล่านั้นโดยฝืนทำเป็นสงบนิ่ง“พวกเจ้า พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาจับข้า ข้าไม่มีความผิด...”เอ่ยยังมิทันจบ เจ้าหน้าที่ก็ถอยแยกเป็นสองฝั่ง เพื่อเปิดช่องทางตรงกลางหลังจากนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนก็เข้ามาจากด้านนอก เส้นผมนางถูกรวบยกสูง ดวงตาทั้งคู่ดูองอาจน่ายำเกรง“ทุกคนออกไปก่อน”ตามคำสั่งของนาง บรรดาเจ้าหน้าที่ก็ออกไปอย่างรู้งาน อู๋ไป๋ปิดประตูห้องขัง และคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องขังภายในห้องขังท่านผู้เฒ่าหลินมิรู้จักเฟิ่งจิ่วเหยียน ในตอนแรกคิดว่านางเป็นขุนนาง ทว่าพอได้ยินเสียงนางเป็นสตรี ก็มิแน่ใจแล้วว่านางเป็นใคร“เจ้าเป็นใคร?” ท่านผู้เฒ่าหลินมองนางตาไม่กะพริบ ไม่มีท่าทีอ่อนข้อสายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูเยือกเย็นและหมางเมิน ราวกับดวงดาวระยิบในค่ำคืนเหน็บหนาว ทำเอาผู้คนสั่นสะท้านนางมองท่านผู้เฒ่าหลิน พลางแสร้งทำเป็นหยิบเครื่องมือทรมานที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาโดยมิได้ตั้งใจแค่การกระทำนี้ ก็ทำให้ท่านผู้เฒ่าหลินตกใจกลัวจนลำคอแห้งผาก ดวงตาเบิกกว้าง ยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว“ข้า ข้ามิเคยทำเรื่องช
ไม่นานรุ่ยอ๋องก็จัดหาหญิงสาวให้กับหร่วนฝูอวี้ได้แล้ว เป็นสาวใช้ภายในจวนเขายืนอยู่นอกห้อง ยืนอยู่นานก็มิยอมไปหนึ่งชั่วยามต่อมา ด้านในก็เรียกขอน้ำสาวใช้ผลักประตูเดินออกมารุ่ยอ๋องรีบหันไปมองนาง เห็นเพียงนางถืออ่างเลือดออกมา“พระชายาเป็นอย่างไรบ้าง?” เขาถามด้วยท่าทีใส่ใจการถอนพิษกู่เสน่ห์ มิใช่แค่ต้องมีสัมพันธ์กับใครสักคนเท่านั้นหรือ?เหตุใดจึงมีเลือดออกมามากมายเพียงนี้?สาวใช้ตอบด้วยอาการตัวสั่นเทา“พระชายาเลือดออกมาก บ่าวคอยช่วยพระชายาเปลี่ยนอาภรณ์ และชำระร่างกายเจ้าค่ะ”สีหน้าของรุ่ยอ๋องเปลี่ยนไปเล็กน้อยดูแล้วสาวใช้ผู้นี้ ไม่เหมือน...“แค่ช่วยพระชายาชำระร่างกาย?” เขาถามด้วยความไม่แน่ใจสาวใช้พยักหน้าซ้ำ ๆ“เจ้าค่ะ”รุ่ยอ๋องรู้สึกงุนงง มิรู้ว่าหร่วนฝูอวี้ทำสิ่งใดลงไปหรือว่า เขาเข้าใจเจตนาของนางผิดไป นางขอให้เขาหาหญิงสาวให้นาง มิใช่เพื่อจะถอนพิษกู่เสน่ห์หรอกหรือ?ในระหว่างที่ครุ่นคิด เขาก็พุ่งตรงเข้าไปในห้องทันทีทว่าเห็นหร่วนฝูอวี้นั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำ ภายในห้องคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า หร่วนฝูอวี้พลันลืมตาขึ้นนางจ้องมองไปทางรุ่ยอ๋อง ดว
ฉึก---ตามเข็มที่หร่วนฝูอวี้แทงลงไป กู่เสน่ห์ในร่างกายของรุ่ยอ๋องก็แตกระเบิด แปรเปลี่ยนเป็นกองเลือดในเวลานี้ รุ่ยอ๋องรู้สึกเพียงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงโจมตีเข้ามา จากนั้นตามมาด้วยความรู้สึกโล่งสบายราวกับปล่อยวางของหนักกู่เสน่ห์ หายไปแล้วเขาผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ มิคาดคิดว่า กู่เสน่ห์ที่ทรมานเขามาหลายเดือนนั้น จะกำจัดได้อย่างราบรื่นเช่นนี้...ในชั่วขณะนั้น หร่วนฝูอวี้ในสภาพราวกับใบไม้แห้งที่อยู่ตรงหน้าเขา ทั้งตัวคนกลับเอนมาทางด้านหน้า และล้มลงในอ้อมอกเขารุ่ยอ๋องรีบประคองนางไว้ทันที โดยมิรู้สาเหตุ“เจ้าเป็นอะไร?”เมื่อครู่นางก็ยังดี ๆ อยู่มิใช่หรือ?เมื่อก้มลงมอง สีหน้านางซีดขาวไร้เลือดฝาด ส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดรุ่ยอ๋องรับรู้ได้ทันทีว่า นี่อาจจะเป็นผลที่ย้อนกลับมาทำร้ายของกู่เสน่ห์!หากต้องการจะฝังกู่เสน่ห์ให้กับคนอื่น ตนเองก็ต้องฝังกู่เสน่ห์ตัวแม่ไว้ด้วยเช่นกันตอนนี้กู่เสน่ห์ตัวลูกในร่างกายของเขาตายไปแล้ว หร่วนฝูอวี้ย่อมต้องทรมานเป็นธรรมดาทว่าเขามิมีความรู้ด้านนี้มากนัก มิรู้ว่าอาการของนางร้ายแรงเพียงใด เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตหรือไม่รุ่ยอ๋องจึงตัดสินใจเด็ดข
หลิวอิ๋งต้องการอาศัยสถานะราชทูต เพื่อเข้าวังไปพบฮ่องเต้ทว่า ฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จออกไปภายนอก ยังมิได้เสด็จกลับวัง ข้าหลวงจึงเพียงรายงานเรื่องนี้ขึ้นไปตามลำดับขั้นภายในวังเมื่อฮองเฮาไม่อยู่ หน้าที่ในวังหลังจึงอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของหนิงเฟยนางได้ยินว่าด้านนอกประตูวังมีราชทูตมาจากแคว้นซีหนี่ว์ ต้องการจะขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ พลันรู้สึกราวกับว่าเผชิญศัตรูตัวฉกาจถึงอย่างไร นางก็แค่รับผิดชอบแต่ในวังหลัง นี่เกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญของบ้านเมือง นางมิเคยจัดการมาก่อนเช่นกัน“รีบไปเชิญรุ่ยอ๋องมาเดี๋ยวนี้!”หายากที่นางจะมีช่วงเวลาที่สงบสุขไม่กี่วัน จู่ ๆ ก็มีราชทูตมาเยือน คงมิใช่ต้องการให้นางจัดงานเลี้ยงในวัง และต้อนรับราชทูตอีกแล้วกระมัง!เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หนิงเฟยรู้สึกหงุดหงิดกระวนกระวายนางเริ่มจะคิดถึงฮองเฮาขึ้นมาแล้วเหตุการณ์ในวังแห่งนี้ ช่างเกิดขึ้นเรื่องแล้วเรื่องเล่า จนรู้สึกสับสนวุ่นวายรุ่ยอ๋องก็มิเคยได้ยินมาก่อนว่า ราชทูตจากแคว้นซีหนี่ว์จะเดินทางมาเยือนเขาพบกับหลิวอิ๋งเป็นการส่วนตัวสิ่งที่นางพูด เป็นคำพูดเพียงฝ่ายเดียวถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ทว่าก็ควรเชื่อแม้จะยังยื
เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้กลับไปยังเมืองหลวงในทันทีไม่ นางต้องการจะสืบเรื่องของซู่ยวนให้กระจ่างเซียวอวี้ยังมีราชกิจที่ต้องสะสาง สองคนจึงแยกทางกันณ เมืองหลวงหลิวอิ๋งแม่ลูกมาถึงในฐานะราชทูต คณะก็เข้าพักในโรงพักแรม ทว่ามิคาดคิดว่า วันต่อมาก็เกิดเรื่องไม่ชอบมาพากลขึ้นเช้าวันรุ่งขึ้น เจิ้งจีวิ่งเข้ามาพร้อมกับร้องตะโกน“ท่านแม่! ท่านแม่! เหตุใดคนอื่น ๆ ถึงหายไปแล้วเจ้าคะ?”สีหน้าหลิวอิ๋งเต็มไปด้วยความประหลาดใจคณะราชทูตที่มาพร้อมกับพวกนาง ยังมีขุนนางอีกหลายคนคนเหล่านั้นจะหายไปได้อย่างไร?หลิวอิ๋งวิ่งไปยังห้องที่พวกเขาพักอยู่ ตรวจดูแต่ละห้อง ทว่าว่างเปล่าไร้เงาคนนี่ช่างน่าแปลกยิ่งนัก!สีหน้าเจิ้งจีดูกังวลใจ“ท่านแม่ พวกเขาคงมิได้ถูกมองว่าเป็นสายลับ และถูกจับตัวไปแล้ว?”หลิวอิ๋งสงบสติ เอ่ยพึมพำ“เป็นไปมิได้”แคว้นซีหนี่ว์กับหนานฉีเป็นพันธมิตรกัน หนานฉีคงมิทำให้พวกนางต้องขุ่นเคืองใจหลิวอิ๋งจึงตัดสินใจในทันที “ไปแจ้งทางการ!”ณ ที่ว่าการเจ้าหน้าที่ศาลพาสองแม่ลูกมายังห้องโถงรองซึ่งแตกต่างจากห้องโถงหลักที่ใช้สอบสวนคดี ห้องโถงรองเป็นสถานที่ที่ขุนนางจัดการงานราชการ และรับรองสหาย
เฟิ่งจิ่วเหยียนตอบนายหญิงเฟิ่งด้วยท่าทีระวังคำพูด“หลิวอิ๋งต่างหากที่เป็นหลิวหนิงบุตรสาวคนโตเริ่มแรกของตระกูลหลิว “ทว่า นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้า มิได้มั่นใจเต็มร้อย”นางยึดถือตามความเชื่อเรื่องการกดดวงชะตา จึงได้คาดเดาทว่าประมุขแคว้นซีหนี่ว์กลับเชื่ออย่างสนิทใจหากเป็นเช่นนั้น ข้อสงสัยเกี่ยวกับอายุ ก็คลี่คลายได้มิยากแล้วนางมองไปที่นายหญิงเฟิ่ง สายตาแสดงออกถึงความอ่อนโยน“เจ้าถึงจะเป็นน้องสาวของเรา ตระกูลหลิวให้เจ้าเป็นตัวตายตัวแทน ให้เจ้าแทนที่ตัวตนของหลิวหนิง“ปิ่นปักผมที่หักนั้น ก็เป็นของเจ้า มันเป็นหลักฐานที่ทำให้พวกเราพี่น้องได้รู้ถึงสายสัมพันธ์”นายหญิงเฟิ่งสีหน้าดูสับสน แยกไม่ออกว่าอะไรจริง และอะไรเท็จขึ้นมาชั่วขณะเฟิ่งจิ่วเหยียนเสนอแนะ“รอหม่อมฉันกลับไปที่หนานฉี จะสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างต่อไป”ประมุขแคว้นกังวลพระทัยว่านางจักพานายหญิงเฟิ่งกลับไปด้วย สีหน้าดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีจากนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนมองไปทางมารดา “สิ่งที่ข้ารู้ ก็บอกให้ท่านรู้แล้วทั้งหมด ตอนนี้ ถึงเวลาที่ท่านต้องตัดสินใจแล้ว ท่านจะกลับไปหนานฉีกับข้า หรือจะอยู่ต่อ?”นายหญิงเฟิ่งตกอยู่ในภาวะก
นายหญิงเฟิ่งคิดอย่างไรก็ยังมิเข้าใจว่า ตนเองกลายเป็นน้องสาวของประมุขแคว้นซีหนี่ว์ได้อย่างไรเห็นกันอยู่ว่านางเป็นบุตรแท้ ๆ ของท่านพ่อท่านแม่ เรื่องนี้ เพื่อนบ้านและญาติมิตรที่บ้านเกิด ล้วนเป็นพยานได้พวกเขาต่างเห็นตอนนางคลอดเฟิ่งจิ่วเหยียนหยิบภาพเหมือนของคนตระกูลหลิวออกมา แล้ววางไว้บนโต๊ะตรงหน้ามารดา“หากดูจากภาพเหมือนแล้ว ท่านไม่เหมือนบุตรแท้ ๆ ของพวกเขาเลย”นายหญิงเฟิ่งคิ้วขมวดแน่น ในช่วงเวลาสั้น ๆ มิอาจยอมรับเรื่องเช่นนี้ได้หากนางมิใช่บุตรแท้ ๆ เหตุใดถึงถูกท่านพ่อท่านแม่รับมาเลี้ยงยังมี ปิ่นปักผมที่หักอันนั้น ก็มิใช่ของอาอิ๋งหรอกหรือ?นางรู้สึกสับสนในใจยิ่งนักในเวลานี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนเหลือบมองไปยังประมุขแคว้นซีหนี่ว์ พลางเอ่ยอย่างช้า ๆ “ข้าสืบพบว่า ตอนนั้นสามีภรรยาตระกูลหลิวให้กำเนิดบุตรสาวคนโต พร้อมกับตั้งชื่อว่าหลิวหนิง“หลิวหนิงตั้งแต่เกิด ร่างกายก็มิค่อยแข็งแรง มักจะร้องไห้งอแงในตอนกลางคืน“คนในหมู่บ้านต่างพูดว่า นางถูกวิญญาณชั่วร้ายตามรังควาน ในไม่ช้าก็จะถูกวิญญาณอาฆาตมาเอาชีวิต”นายหญิงเฟิ่งได้ยินเช่นนี้ จึงพยักหน้าเล็กน้อย“มีเรื่องเช่นนั้นจริง ท่านพ่อท่านแ