ณ ตำหนักหลิงเซียว หวงกุ้ยเฟยกำลังเจ็บปวดทรมาณเพราะอาการปวดหัวภายในตำหนัก หมอหลวงกำลังฝังเข็มคลายอาการให้นางบนเก้าอี้พระที่นั่งทำจากไม้จันทร์แดงนอกตำหนัก มีจักรพรรดิผู้ทรงอำนาจ นั่งขมวดคิ้วอยู่บนนั้น“คนที่ส่งไปตำหนักหย่งเหอล่ะ!”สิ้นคำพูดเพียงเสี้ยววิ ข้าหลวงผู้นั้นก็พรวดพราดเข้ามาอย่างลุ้มลุกคลุกคลาน“ฝ่าบาท! ฮองเฮาทรงตรัสว่า ยานั้นเหลืออยู่ไม่มาก ไม่สามารถให้ได้…”ดวงตาของเซียวอวี้ทอแววคมกริบ ราวใบมีด ให้ความรู้สึกเหมือนความตายมารออยู่ข้างหลัง“ไปเรียกฮองเฮามา!”เมื่อจักรพรรดิพิโรธ ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าชักช้าไม่นานหลังจากนั้น ข้าหลวงและขันทีที่ถูกส่งไปครั้งที่สองก็กลับมาขันทีคุกเข้าบนพื้นทูลรายงานอย่างกระอึกกระอัก“ฝ่าบาท พระนาง…ทรงพักผ่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เพล้ง!เซียวอวี้สะบัดชายเสื้อ ปัดแก้วชาบนโต๊ะแตกกระจายเขาผุดตัวลุกขึ้น กล่าวด้วยเสียงเยือกเย็น“เตรียมขบวนรถม้าไปที่ตำหนักหย่งเหอ”ส่วนด้านในตำหนัก หวงกุ้ยเฟยเจ็บปวดแทบเป็นแทบตาย พร่ำร้องเรียกหา “ฝ่าบาท” ไม่หยุดก่อนที่ฮ่องเต้จะเสด็จก็กลับเข้ามาในตำหนัก แล้วปลอบโยนนาง“สนมรักอดทนไว้นะ เราจะกลับมาในอีกไม่ช้า”ฮ่อง
ณ ตำหนักฉือหนิงไทเฮาดูใจดีมีเมตตา ทว่าทุกคำที่เอื้อนเอ่ยออกมากลับมีแบบแผนเป็นขั้นเป็นตอน“ฮองเฮา ตอนนี้เจ้าถือครองตราประทับทองอยู่ในมือ ไม่ว่าจะจัดการเรื่องอันใดในวังหลัง ก็คงสะดวกยิ่งขึ้น“อาทิเช่นรายชื่อของนางสนมอุ่นเตียง คงถึงเวลาจัดการให้เป็นระบบระเบียบแล้ว“กลุ่มที่เพิ่งเข้ามาใหม่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่เหล่านางสนมที่เข้าวังมาเนิ่นนานแล้วคงมิอาจรีรอได้อีกต่อไป“โดยเฉพาะ ‘คนเก่า ๆ’ เฉกเช่นเสียนเฟยและหนิงเฟย อย่าได้ปล่อยให้พวกนางเหน็บหนาวหัวใจเชียว“หากเจ้าทำให้ฝ่าบาทมอบความเมตตาแก่ทุกคนอย่างทั่วถึง นางสนมเหล่านั้นจักเคารพเจ้าเป็นแน่ และจะเชื่อฟังเจ้าแต่เพียงผู้เดียว“เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็จะสามารถควบคุมวังหลังได้ง่ายกว่าเดิม…”เฟิ่งจิ่วเหยียนผงกหัวตอบรับ“เสด็จแม่พูดถูกเพคะ“คราที่หม่อมฉันยังอยู่ในจวน ก็ได้ฟังท่านแม่พร่ำสอนอยู่บ่อยครั้ง หากภายในเรือนสงบสุข ประมุขย่อมจัดการเรื่องภายนอกได้อย่างสบายใจ นี่คือหลักการเป็นภรรยา”ไทเฮาพยักหน้าอย่างปลื้มใจ“ในเมื่อฮองเฮาทราบถึงหลักการนี้ ข้าก็สบายใจ”เมื่อออกมาจากตำหนักฉือหนิง เหลียนซวงก็รีบกล่าวเตือนเฟิ่งจิ่วเหยียน“พระนาง ไทเฮ
ไทเฮาถามข้าหลวงที่มาทูลรายงาน “ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น? ไฉนอยู่ดี ๆ ถึงทะเลาะกันขึ้นมาล่ะ? ใครเป็นคนเริ่ม?”ข้าหลวงผู้นั้นตอบกลับ“พระสนมทั้งหลาย…พวกนาง พวกนางไม่พอใจหนิงเฟย เริ่มแรกเพียงทะเลาะกันด้วยฝีปากเท่านั้น ทว่าต่อมาก็เริ่มลงไม้ลงมือ หนิงเฟยถูกล้อมไว้หลายคน ไร้เรี่ยวแรงเอาคืน…” “เป็นเช่นนี้หรือ!” เมื่อครู่ไทเฮายังนิ่งดูดาย แต่พอได้ยินว่าหลานสาวของตนเสียเปรียบ พลันกังวลขึ้นมาทันที“ฮองเฮาล่ะ! หรือว่าฮองเฮาแค่ดูเฉย ๆ!”……ตำหนักหย่งเหอหนิงเฟยผู้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ไหนเลยจะเคยถูกกระทำเช่นนี้ตั้งแต่ที่เข้าวังมา ฝ่าบาทไม่เคยเอ็นดูเมตตานาง ปล่อยให้คนที่เคยงดงามในวัยเยาว์เช่นนางกลายเป็นสตรีทึนทึกตอนนี้ไม่ว่าผู้ใดต่างก็กล้าเหยียบย่ำนาง ว่านางไม่คู่ควรกับตำแหน่ง ดีแต่พึ่งพาบารมีผู้เป็นป้านางจึงทนไม่ไหวเป็นธรรมดาส่วนใครเป็นคนลงไม้ลงมือ นางไม่รู้จริง ๆรู้แค่ว่าจู่ ๆ ก็มีเสียงคนกรีดร้อง จากนั้นก็มีคนมาล้อมนางไว้โดยพลันบ้างดึงผมนาง บ้างกระชากอาภรณ์ของนาง ถึงขั้นมีคนถุยน้ำลายใส่นางด้วยซ้ำ!!!หนิงเฟยจึงแทบเสียสติเมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นภาพนี้ สีหน้าพลันเคร่งขรึมตอนที
ห้องมืดใต้ดินที่คับแคบ ได้เจอกันเพราะโลกกลมหากเจ้าไม่ตายก็ข้าตายตาคิ้วคมของชายหนุ่ม แววตาแคบลง รัศมีสังหารนั้น อันตรายอย่างยิ่งเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้สวมชุดดำ ไม่ได้คลุมหน้าหากไม่มั่นใจว่าจะสามารถฆ่าเขาได้ในคราวเดียว ก็นิ่งไว้ รอจังหวะบุกโจมตี ไม่เช่นนั้นหากถูกเปิดเผยความจริงว่านางมีวรยุทธ ก็จะถูกเปิดเผยสถานะนักฆ่ายิ่งไปกว่านั้น นางไม่เหมือนกับฮ่องเต้ทรราช ไม่มีความชอบเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์คนคนนี้แค่ทำตามคำสั่ง ไม่ใช่คนชั่วช้าอำมหิตหัวสมองของนางครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว หาวิธีว่าจะเอาตัวรอดออกไปยังไง“เจ้าเป็นใคร มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”สายตาเซียวอวี้เยือกเย็นที่แท้ ฮองเฮาไม่รู้ว่าเขาเป็นใครก็ใช่ พวกเขาเคยเจอกันแค่สองครั้งวันแต่งงานคืนแรก ในมุ้งไร้แสงไฟคืนวันจับตัวนักฆ่า เขาอยู่ข้างหลังนาง นางยืนอยู่ในถังอาบน้ำ หันหลังให้กับเขาตลอด ไม่ได้หันมามองดูเขาเลยนางไม่รู้ว่าจริง ๆ ว่า เขารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรแต่ในเมื่อฮองเฮารู้ความลับของเขา งั้นก็เก็บไว้ไม่ได้“รนหาที่ตาย...”เสียงของเขาค่อนข้างแหบ เหมือนเคยถูกไฟเผาเฟิ่งจิ่วเหยียนนิ่งอยู่กับที่ เตรียมพร้อมกับการต่อสู้
สายตาเฟิ่งจิ่วเหยียนเยือกเย็นนางไม่ยอมพูดอธิบายอะไรมาก...ต่อให้อยากถอนพิษวารีสวรรค์นี้ ก็ไม่สามารถทำได้เลยในทันที จะต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของผู้ถูกพิษด้วย เว้นช่วงสักพักหนึ่งทำการฝังเข็มหนึ่งครั้ง การถอนพิษในคราวเดียว ก่อนอื่นทำไม่ได้ อย่างรอง ผู้ถูกพิษก็รับไม่ไหว“บอกข้ามาก่อน คนวางยาพิษคือใคร”ข่มขู่เขา?เซียวอวี้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแฝงไปด้วยความมีอํานาจ“ถอนพิษก่อน”ทั้งสองคนต่างยืนหยัด เพียงเพราะต่างไม่เชื่อใจกันและกันชายหนุ่มพูดขึ้นมาด้วยสายตาเย็นชาว่า “ไม่ถอนพิษนี้ เจ้าก็ไม่ต้องออกไปแล้ว...”นางรู้ความลับของตนเอง เดิมเขาก็ไม่คิดที่จะเก็บนางไว้ได้ยินเช่นนี้ สายตาเฟิ่งจิ่วเหยียนเยือกเย็นชาตอบแทนคุณด้วยความเนรคุณ!ทันใดนั้น สายตาของนางมองไปบนเตียงหยกขาวแล้วก็พบว่า ดูเหมือนกลไกจะอยู่บนเตียง!หลังจากนางกดลง ข้างบนก็ปรากฏทางออกมาจริง ๆ ทันทีนั้น นางไม่รีรอ ใช้วิชาตัวเบาออกมาจากห้องลับนั่นทันที และก็ไม่คิดเรื่องที่จะถอนพิษให้กับคนคนนั้นอีกเซียวอวี้ขมวดคิ้วแน่น รีบตามนางออกมาแต่นางรวดเร็วอย่างมาก หายไปกับความมืดในพริบตาเดียวองครักษ์หลายคนเพิ่งรู้สึกตัว พร้อมร
เท่าที่เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ ก็คือในวันแต่งงาน ท่านแม่เล่าให้นางฟังพวกนั้นส่วนครั้งนี้ ไฉ่เยว่บอกให้รู้มากยิ่งกว่า“หลังจากที่คุณหนูถูกส่งตัวกลับมา ก็อาเจียนไม่หยุด”“สิ่งที่นางอาเจียนออกมา ไม่ใช่เศษอาหาร แต่เป็นอุจจาระของมนุษย์!”“พวกเขากล้าเอาสิ่งพวกนั้นให้คุณหนูกิน...”“อีกอย่าง พวกเขาไม่เพียงเหยียบย่ำร่างกายคุณหนู ยังใช้คีมเหล็กร้อนแดงเพื่อปฏิบัติต่อคุณหนูอย่างโหดร้าย...หมอบอกว่า คุณหนูไม่สามารถมีลูกได้อีกต่อไป!”ไม่สามารถมีลูก สำหรับหญิงสาวแคว้นหนานฉีคนหนึ่ง ถือเป็นความหายนะอย่างยิ่งไฉ่เยว่สะอึกสะอื้นหลายครั้ง ไม่สามารถพูดได้อย่างรู้เรื่องในที่สุด นางกุมหน้าร้องไห้อย่างเจ็บปวดเฟิ่งจิ่วเหยียนเม้นริมฝีปากเป็นเส้นตรง แววตาเฉียบคม เปล่งรัศมีสังหารออกมาภายในห้องคับแคบเต็มไปด้วยความเยือกเย็นผ่านไปเนิ่นนาน ไฉ่เยว่ค่อยสงบอารมณ์จิตใจจากนั้นก็คุกเข่าตรงหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนอีกครั้ง“บ่าวขอบังอาจถามว่า ท่าน... คิดที่จะฆ่าหวงกุ้ยเฟยเพื่อแก้แค้นใช่ไหม?”สีหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนเยือกเย็น มือกำหมัดไว้แน่นไฉ่เยว่พูดต่ออีกว่า“พระนาง ตอนที่คุณหนูยังมีสติอยู่ สั่งให้บ่าวจะต้องบอกกับ
ถึงแม้จ้าวเฉียนเรียกแทนตัวเองว่าบ่าว น้ำเสียงกลับแฝงไปด้วยความหยิ่งผยองเหมือนกับว่าเขามาเอา ฮองเฮาก็ต้องให้แต่เรียกอยู่ตั้งนาน ก็ไม่ได้ยินเสียงคนพูดตอบกลับเป็นหัวหน้าหมัวมัว ที่อยู่ไกลยิ่งกว่าออกมาสีหน้าหัวหน้าหมัวมัวเหี่ยวเฉาเจ้านายไม่เป็นที่โปรดปราน นางที่เป็นถึงหัวหน้าหมัวมัว ยังมีอิทธิพลสู้บ่าวใช้ระดับล่างของตำหนักหลิงเซียวไม่ได้เห็นจ้าวเฉียน นางถ่อมตัวอย่างต่ำต้อย“จ้าวกงกง ท่านอย่าร้อนใจ ฮองเฮาอาจจะยังไม่ตื่น บ่าวจะไปเร่งให้”จ้าวเฉียนเชิดสายตา เชิดคางสูงพร้อมพูดขึ้นมาว่า“งั้นเจ้าก็ไวหน่อย”“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ จะเข้าไปเดี๋ยวนี้”หัวหน้าหมัวมัววิ่งไปในตำหนัก เห็นฮองเฮากำลังหวีผมนางรีบเดินเข้าไปอย่างยิ้มแย้ม“พระนาง อาการปวดหัวของหวงกุ้ยเฟยกำเริบอีกแล้ว หากท่านสามารถมอบยาให้ได้ในตอนนี้ ฮ่องเต้จะต้องจดจำความดีของท่าน ท่านก็จะมีโอกาสเป็นที่โปรดปรานแล้ว”“ท่านว่า หลักการนี้ถูกต้องไหม?”เฟิ่งจิ่วเหยียนเขียนคิ้วอยู่อย่างเชื่องช้า ไม่ร้อนใจเลยสักนิด“ยา ไม่มีแล้ว”รอยยิ้มของหัวหน้าหมัวมัว หุบลงทันที“พระนาง ไม่มีแล้วจริง ๆ หรือ? ท่าน...ท่านไม่หาดูหน่อยหรือ?
ริมฝีปากเซียวอวี้บางเหมือนมีด ดวงตายับยั้งความขุ่นเคืองไว้ยาที่ฮองเฮาให้มาก่อนหน้านี้นั้นใช้ได้ดี เขาจึงให้สำนักหมอหลวงไปศึกษาวิจัย แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีผลสรุป เพราะยังขาดยาสมุนไพรที่สำคัญหลายอย่างเดิมคิดว่าฮองเฮาจะใจดี ที่แท้นางกำลังรออยู่ตรงนี้ใช้ยาบีบบังคับเขา!ทำได้ดีมาก!สีหน้าเซียวอวี้ฉายแววดุร้าย“นางยังพูดอะไรอีก”หน้าผากจ้าวเฉียนเต็มไปด้วยเหงื่อ“ฮองเฮาพูดว่า ท่านลังเลนานเท่าไหร่ หวงกุ้ยเฟยก็จะเจ็บปวดนานเท่านั้น”“หากท่านไม่รับปาก นางก็จะทำลายยานั้น ก็ไม่ยกให้กับท่าน”“ยังพูดว่า... แม้สุภาพบุรุษรับปากแล้วไม่คืนคำ แต่พระราชโองการน่าเชื่อถือกว่า ท่านเพียงรับปากอย่างเดียวไม่ได้ ต้อง...ต้องมีพระราชโองการ”มือเท้าจ้าวเฉียนอ่อนแรงหมดกัน ฮ่องเต้คงไม่ประหารเขามั้ง?ฟังจ้าวเฉียนพูดจบ สีหน้าเซียวอวี้มืดครึ้ม เหมือนเมฆดำก่อนพายุจะมาตำหนักหลิงเซียวเงียบสงัดทางด้านตำหนักหย่งเหอ บรรยากาศก็แน่นิ่งเหมือนกันสีหน้าหัวหน้าซุนหมัวมัวขาวซีดคราวนี้แย่แล้ว!ฮองเฮาหลอกลวงฮ่องเต้ว่าไม่มียาก่อน จากนั้นก็ข่มขู่ให้ฮ่องเต้โปรดปราน...นางไม่กล้าคิด ฮ่องเต้จะต้องโกรธโมโหขนาดไหน
ฉึก---ตามเข็มที่หร่วนฝูอวี้แทงลงไป กู่เสน่ห์ในร่างกายของรุ่ยอ๋องก็แตกระเบิด แปรเปลี่ยนเป็นกองเลือดในเวลานี้ รุ่ยอ๋องรู้สึกเพียงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงโจมตีเข้ามา จากนั้นตามมาด้วยความรู้สึกโล่งสบายราวกับปล่อยวางของหนักกู่เสน่ห์ หายไปแล้วเขาผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ มิคาดคิดว่า กู่เสน่ห์ที่ทรมานเขามาหลายเดือนนั้น จะกำจัดได้อย่างราบรื่นเช่นนี้...ในชั่วขณะนั้น หร่วนฝูอวี้ในสภาพราวกับใบไม้แห้งที่อยู่ตรงหน้าเขา ทั้งตัวคนกลับเอนมาทางด้านหน้า และล้มลงในอ้อมอกเขารุ่ยอ๋องรีบประคองนางไว้ทันที โดยมิรู้สาเหตุ“เจ้าเป็นอะไร?”เมื่อครู่นางก็ยังดี ๆ อยู่มิใช่หรือ?เมื่อก้มลงมอง สีหน้านางซีดขาวไร้เลือดฝาด ส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดรุ่ยอ๋องรับรู้ได้ทันทีว่า นี่อาจจะเป็นผลที่ย้อนกลับมาทำร้ายของกู่เสน่ห์!หากต้องการจะฝังกู่เสน่ห์ให้กับคนอื่น ตนเองก็ต้องฝังกู่เสน่ห์ตัวแม่ไว้ด้วยเช่นกันตอนนี้กู่เสน่ห์ตัวลูกในร่างกายของเขาตายไปแล้ว หร่วนฝูอวี้ย่อมต้องทรมานเป็นธรรมดาทว่าเขามิมีความรู้ด้านนี้มากนัก มิรู้ว่าอาการของนางร้ายแรงเพียงใด เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตหรือไม่รุ่ยอ๋องจึงตัดสินใจเด็ดข
หลิวอิ๋งต้องการอาศัยสถานะราชทูต เพื่อเข้าวังไปพบฮ่องเต้ทว่า ฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จออกไปภายนอก ยังมิได้เสด็จกลับวัง ข้าหลวงจึงเพียงรายงานเรื่องนี้ขึ้นไปตามลำดับขั้นภายในวังเมื่อฮองเฮาไม่อยู่ หน้าที่ในวังหลังจึงอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของหนิงเฟยนางได้ยินว่าด้านนอกประตูวังมีราชทูตมาจากแคว้นซีหนี่ว์ ต้องการจะขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ พลันรู้สึกราวกับว่าเผชิญศัตรูตัวฉกาจถึงอย่างไร นางก็แค่รับผิดชอบแต่ในวังหลัง นี่เกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญของบ้านเมือง นางมิเคยจัดการมาก่อนเช่นกัน“รีบไปเชิญรุ่ยอ๋องมาเดี๋ยวนี้!”หายากที่นางจะมีช่วงเวลาที่สงบสุขไม่กี่วัน จู่ ๆ ก็มีราชทูตมาเยือน คงมิใช่ต้องการให้นางจัดงานเลี้ยงในวัง และต้อนรับราชทูตอีกแล้วกระมัง!เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หนิงเฟยรู้สึกหงุดหงิดกระวนกระวายนางเริ่มจะคิดถึงฮองเฮาขึ้นมาแล้วเหตุการณ์ในวังแห่งนี้ ช่างเกิดขึ้นเรื่องแล้วเรื่องเล่า จนรู้สึกสับสนวุ่นวายรุ่ยอ๋องก็มิเคยได้ยินมาก่อนว่า ราชทูตจากแคว้นซีหนี่ว์จะเดินทางมาเยือนเขาพบกับหลิวอิ๋งเป็นการส่วนตัวสิ่งที่นางพูด เป็นคำพูดเพียงฝ่ายเดียวถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ทว่าก็ควรเชื่อแม้จะยังยื
เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้กลับไปยังเมืองหลวงในทันทีไม่ นางต้องการจะสืบเรื่องของซู่ยวนให้กระจ่างเซียวอวี้ยังมีราชกิจที่ต้องสะสาง สองคนจึงแยกทางกันณ เมืองหลวงหลิวอิ๋งแม่ลูกมาถึงในฐานะราชทูต คณะก็เข้าพักในโรงพักแรม ทว่ามิคาดคิดว่า วันต่อมาก็เกิดเรื่องไม่ชอบมาพากลขึ้นเช้าวันรุ่งขึ้น เจิ้งจีวิ่งเข้ามาพร้อมกับร้องตะโกน“ท่านแม่! ท่านแม่! เหตุใดคนอื่น ๆ ถึงหายไปแล้วเจ้าคะ?”สีหน้าหลิวอิ๋งเต็มไปด้วยความประหลาดใจคณะราชทูตที่มาพร้อมกับพวกนาง ยังมีขุนนางอีกหลายคนคนเหล่านั้นจะหายไปได้อย่างไร?หลิวอิ๋งวิ่งไปยังห้องที่พวกเขาพักอยู่ ตรวจดูแต่ละห้อง ทว่าว่างเปล่าไร้เงาคนนี่ช่างน่าแปลกยิ่งนัก!สีหน้าเจิ้งจีดูกังวลใจ“ท่านแม่ พวกเขาคงมิได้ถูกมองว่าเป็นสายลับ และถูกจับตัวไปแล้ว?”หลิวอิ๋งสงบสติ เอ่ยพึมพำ“เป็นไปมิได้”แคว้นซีหนี่ว์กับหนานฉีเป็นพันธมิตรกัน หนานฉีคงมิทำให้พวกนางต้องขุ่นเคืองใจหลิวอิ๋งจึงตัดสินใจในทันที “ไปแจ้งทางการ!”ณ ที่ว่าการเจ้าหน้าที่ศาลพาสองแม่ลูกมายังห้องโถงรองซึ่งแตกต่างจากห้องโถงหลักที่ใช้สอบสวนคดี ห้องโถงรองเป็นสถานที่ที่ขุนนางจัดการงานราชการ และรับรองสหาย
เฟิ่งจิ่วเหยียนตอบนายหญิงเฟิ่งด้วยท่าทีระวังคำพูด“หลิวอิ๋งต่างหากที่เป็นหลิวหนิงบุตรสาวคนโตเริ่มแรกของตระกูลหลิว “ทว่า นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้า มิได้มั่นใจเต็มร้อย”นางยึดถือตามความเชื่อเรื่องการกดดวงชะตา จึงได้คาดเดาทว่าประมุขแคว้นซีหนี่ว์กลับเชื่ออย่างสนิทใจหากเป็นเช่นนั้น ข้อสงสัยเกี่ยวกับอายุ ก็คลี่คลายได้มิยากแล้วนางมองไปที่นายหญิงเฟิ่ง สายตาแสดงออกถึงความอ่อนโยน“เจ้าถึงจะเป็นน้องสาวของเรา ตระกูลหลิวให้เจ้าเป็นตัวตายตัวแทน ให้เจ้าแทนที่ตัวตนของหลิวหนิง“ปิ่นปักผมที่หักนั้น ก็เป็นของเจ้า มันเป็นหลักฐานที่ทำให้พวกเราพี่น้องได้รู้ถึงสายสัมพันธ์”นายหญิงเฟิ่งสีหน้าดูสับสน แยกไม่ออกว่าอะไรจริง และอะไรเท็จขึ้นมาชั่วขณะเฟิ่งจิ่วเหยียนเสนอแนะ“รอหม่อมฉันกลับไปที่หนานฉี จะสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างต่อไป”ประมุขแคว้นกังวลพระทัยว่านางจักพานายหญิงเฟิ่งกลับไปด้วย สีหน้าดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีจากนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนมองไปทางมารดา “สิ่งที่ข้ารู้ ก็บอกให้ท่านรู้แล้วทั้งหมด ตอนนี้ ถึงเวลาที่ท่านต้องตัดสินใจแล้ว ท่านจะกลับไปหนานฉีกับข้า หรือจะอยู่ต่อ?”นายหญิงเฟิ่งตกอยู่ในภาวะก
นายหญิงเฟิ่งคิดอย่างไรก็ยังมิเข้าใจว่า ตนเองกลายเป็นน้องสาวของประมุขแคว้นซีหนี่ว์ได้อย่างไรเห็นกันอยู่ว่านางเป็นบุตรแท้ ๆ ของท่านพ่อท่านแม่ เรื่องนี้ เพื่อนบ้านและญาติมิตรที่บ้านเกิด ล้วนเป็นพยานได้พวกเขาต่างเห็นตอนนางคลอดเฟิ่งจิ่วเหยียนหยิบภาพเหมือนของคนตระกูลหลิวออกมา แล้ววางไว้บนโต๊ะตรงหน้ามารดา“หากดูจากภาพเหมือนแล้ว ท่านไม่เหมือนบุตรแท้ ๆ ของพวกเขาเลย”นายหญิงเฟิ่งคิ้วขมวดแน่น ในช่วงเวลาสั้น ๆ มิอาจยอมรับเรื่องเช่นนี้ได้หากนางมิใช่บุตรแท้ ๆ เหตุใดถึงถูกท่านพ่อท่านแม่รับมาเลี้ยงยังมี ปิ่นปักผมที่หักอันนั้น ก็มิใช่ของอาอิ๋งหรอกหรือ?นางรู้สึกสับสนในใจยิ่งนักในเวลานี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนเหลือบมองไปยังประมุขแคว้นซีหนี่ว์ พลางเอ่ยอย่างช้า ๆ “ข้าสืบพบว่า ตอนนั้นสามีภรรยาตระกูลหลิวให้กำเนิดบุตรสาวคนโต พร้อมกับตั้งชื่อว่าหลิวหนิง“หลิวหนิงตั้งแต่เกิด ร่างกายก็มิค่อยแข็งแรง มักจะร้องไห้งอแงในตอนกลางคืน“คนในหมู่บ้านต่างพูดว่า นางถูกวิญญาณชั่วร้ายตามรังควาน ในไม่ช้าก็จะถูกวิญญาณอาฆาตมาเอาชีวิต”นายหญิงเฟิ่งได้ยินเช่นนี้ จึงพยักหน้าเล็กน้อย“มีเรื่องเช่นนั้นจริง ท่านพ่อท่านแ
ภายในห้องบรรทมประมุขแคว้นถอดเสื้อคลุมมังกรออก เปลี่ยนใส่เสื้อคลุมเรียบง่ายเจิ้งจีเดินเข้ามา ถามอย่างสงสัย“ท่านป้า นี่ท่านกำลังจะไปที่ไหน?”ประมุขแคว้นมีสีหน้าราบเรียบ “ตรวจลาดตระเวนการประปา”เจิ้งจีเดินเข้าไปประคองแขนของประมุขแคว้นอย่างสนิทสนม แล้วออดอ้อนนาง“ท่านป้าช่างมุ่งมั่นเพื่อประชาชนจริง ๆ!“ฮ่องเต้ทั่วใต้หล้านี้ ไม่มีผู้ใดดีเท่าท่านแล้ว“ท่านป้า เมื่อครู่ข้าเห็นฮองเฮาแคว้นหนานฉี นางมาทำไมหรือ?”ประมุขแคว้นกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ พูดอย่างสงบนิ่งเป็นพิเศษ “นางติดตามฮ่องเต้ฉีใส่ชุดสามัญชนออกเยี่ยมแต่ละแคว้น จึงตั้งใจแวะเวียนมาที่แคว้นซีหนี่ว์ เพื่อเจรจาเรื่องพันธมิตรของทั้งสองแคว้น”“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้น…ฮ่องเต้ฉีเสด็จมาหรือไม่?” เจิ้งจีสนใจฮ่องเต้ฉี มากกว่าสนใจป้าของตัวเอง จนไม่สังเกตว่า ประมุขแคว้นที่อยู่ข้าง ๆ ริมฝีปากเริ่มซีดขาวอย่างมากมั่วซินหมัวมัวเดินเข้ามาอย่างเหมาะเจาะ“ท่านประมุข รถม้าเตรียมเสร็จแล้ว”ประมุขแคว้นดึงแขนตัวเองออก ก่อนจะไปก็กำชับเจิ้งจีว่า“เจ้ากับแม่ของเจ้าอยู่ในวังกันดี ๆ พรุ่งนี้เตรียมออกปฏิบัติภารกิจราชทูตที่แคว้นหนานฉี”
“ออกไปให้หมด” ประมุขแคว้นออกคำสั่งเหล่าขุนนาง จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้มั่วซินหมัวมัว พาเฟิ่งจิ่วเหยียนเข้ามาสองเค่อยามต่อมา เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มาถึงห้องบรรทมนางอยู่ในชุดสีเข้ม ใบหน้าสุขุมเยือกเย็นประมุขแคว้นซีหนี่ว์ไล่ข้าหลวงทุกคนออกไป เหลือไว้เพียงมั่วซินหมัวมัวคนเดียว“ท่านแม่ของข้าอยู่ที่ใด” เฟิ่งจิ่วเหยียนถามเข้าประเด็นทันทีประมุขแคว้นกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “นั่งลงคุยกันก่อนสิ”เฟิ่งจิ่วเหยียนยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับนางจ้องประมุขบนเตียงอย่างแน่นิ่งไม่เจอกันเพียงไม่กี่เดือน อาการป่วยของประมุขแคว้นซีหนี่ว์ยิ่งหนักขึ้นเรื่อย ๆเฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวอย่างไม่รีบร้อน“ท่านต้องการตามหาซู่ยวน หากไม่มีอะไรผิดพลาด ท่านแม่ของข้าคือ…”ประมุขแคว้นยิ้มมุมปากเบา ๆ“เจ้าก็รู้นี่ ว่าแม่ของเจ้าหน้าคล้ายหลายส่วน…แค่ก ๆ!”พูดถึงตรงนี้ จู่ ๆ นางก็เริ่มไอออกมามั่วซินหมัวมัวรีบเข้าไปช่วย ใช้ผ้าเช็ดหน้ารองรับเลือดที่ประมุขแคว้นอาเจียนออกมาประมุขแคว้นค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองเฟิ่งจิ่วเหยียน“เด็กน้อย เจ้ามานี่สิ…”เฟิ่งจิ่วเหยียนมองนาง ไม่ขยับไหวติงมั่วซินหมัวมัวเห็นเช
มั่วซินหมัวมัวเห็นนายหญิงเฟิ่งทรุดนั่งบนเก้าอี้ ท่าทางเจ็บปวดรวดร้าว ก็รีบเข้าไปประคองนางขึ้นมา“ฮูหยินเฟิ่ง ท่านเป็นอะไรไป!”หลิวอิ๋งเองก็รีบลุกขึ้น “มั่วซิน รีบไปเรียกหมอหลวงมา ไม่รู้นางเป็นอะไรไป อยู่ ๆ ก็หายใจไม่ออก”ไม่นาน หมอหลวงก็มาหลังจากฝังเข็มเสร็จ อาการของนายหญิงเฟิ่งก็ดีขึ้นเพียงแต่ แววตาของนางว่างเปล่า ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่เจิ้งจียืนอยู่ข้างมารดา ดวงตาเต็มไปด้วยแววคาดโทษนังแก่นี่ กล้าปากมากก็ลองดู!ทว่า ต่อให้ท่านป้าผู้เป็นประมุขแคว้นรู้แล้วอย่างไร? นางกับท่านแม่ต่างหากคือครอบครัวเดียวกัน แล้วนังแก่นี่เป็นใคร?ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน นายหญิงเฟิ่งก็ค่อย ๆ เอ่ยขึ้นมา“ข้าจะกลับแคว้นหนานฉี”มั่วซินหมัวมัวมีสีหน้าเรียบเฉย “รอบ่าวไปเรียนแจ้งประมุขแคว้นสักครู่”หลิวอิ๋งค่อนข้างสงสัยฉงนใจถึงขั้นส่งมั่วซินหมัวมัวตามมาที่ตำหนักข้างด้วยขนาดนี้ เหมือนประมุขแคว้นจะใส่ใจหลิวหนิงมากเกินไปแล้วทว่า ประมุขแคว้นยอมให้นายหญิงเฟิ่งกลับไปที่แคว้นหนานฉีทันที ทำลายล้างความสงสัยของหลิวอิ๋งนายหญิงเฟิ่งออกจากวังหลวง โดยมีหลิวอิ๋งมาส่งนางขณะกำลังจะแยกจากกัน หลิวอิ๋งก็แสร้
นายหญิงเฟิ่งยืนอึ้งอยู่กับที่เจิ้งจีพร่ำเพ้อถึงฝ่าบาท ทั้งยังคิดจะตั้งครรภ์ราชโอรส!เช่นนั้นก็ไม่แปลกใจ ที่จิ่วเหยียนจะไล่พวกนางออกไป“อาอิ๋ง เรื่องนี้ เจ้ารู้หรือไม่?” ความรู้สึกผิดบนใบหน้าของนายหญิงเฟิ่งเลือนหายไป แปรเปลี่ยนเป็นซักถามหลิวอิ๋งไม่ปฏิเสธ“ท่านพี่ พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน เด็กที่เจิ้งจีคลอดออกมา ก็คือหลานของฮองเฮา แทนที่จะเสียเปรียบให้นางสนมคนอื่น มิสู้…”“อาอิ๋ง เจ้าเลอะเลือนหรือไร!” นายหญิงเฟิ่งตำหนิอย่างเด็ดขาดไม่คิดเลยว่าอาอิ๋งจะมีความคิดเช่นนี้นายหญิงเฟิ่งตำหนิพวกนางต่อ“พวกเจ้า เหตุใดพวกเจ้าถึงได้คิดเยี่ยงนี้! จิ่วเหยียนลูกของข้า ไม่ชอบให้มีอะไรขัดหูขัดตา พวกเจ้าคิดจะให้ท่าฝ่าบาทต่อหน้าต่อตานางเช่นนี้ แล้วจะไม่ให้นางโกรธได้อย่างไร?”เจิ้งจีเลิกเสแสร้ง แสยะยิ้มออกมา“ให้ท่าอะไร? ลูกสาวของท่านไม่มีน้ำยาเอง ยังมีหน้าอยากครอบครองฝ่าบาทอีก! ต่อให้ไม่มีข้า ไม่ช้าก็เร็วฝ่าบาทก็ต้องให้ความโปรดปรานแก่สตรีคนอื่นอยู่ดี ถึงเวลานั้น พวกท่านสองแม่ลูกต้องร้องไห้แน่!”หลิวอิ๋งเองก็ห้ามปรามด้วยน้ำเสียงไพเราะ“ท่านพี่ แม้นข้าจะเป็นคนของแคว้นซีหนี่ว์ แต่พวกเราก็เป็