กลับถึงห้องหอ หัวหน้าหมัวมัวที่ตอนแรกก้มหน้าก้มตาท่าทางเข้มงวดก็สั่งให้คนเตรียมน้ำมาปรนนิบัติฮองเฮาอาบน้ำนางเบียดเหลียนซวงออก เข้ามายิ้มกว้างให้เฟิ่งจิ่วเหยียน“ฮองเฮา หลายปีมานี้ นอกจากหวงกุ้ยเฟยแล้ว ฝ่าบาทยังไม่เคยโปรดปรานสนมคนอื่นมาก่อนเลยนะเพคะ ท่านนับเป็นคนแรก!”เหลียนซวงยืนอยู่ข้าง ๆ รู้สึกไม่ใคร่พอใจหมัวมัวผู้นี้ตอนแรกยังไม่เห็นว่านางจะปรนนิบัติด้วยความกระตือรือร้นปานนี้ ช่างเป็นพวกประจบผู้มีอำนาจเหยียบย่ำคนฐานะต่ำกว่าโดยแท้ในวังหลวงแห่งนี้ ฐานะของสตรีล้วนพึ่งพาความโปรดปรานของฮ่องเต้ดังคาด มิฉะนั้น ต่อให้สูงส่งเป็นฮองเฮาก็ยังถูกเมินเฉยไม่ได้รับการเหลียวแลหัวหน้าหมัวมัวพูดอะไรไปมากมาย เฟิ่งจิ่วเหยียนล้วนไม่ตอบนางสั่งความอย่างเย็นชา “ออกไปให้หมด ให้เหลียนซวงปรนนิบัติในตำหนักคนเดียวก็พอ”……หลังจากในตำหนักเงียบลงแล้ว เหลียนซวงก็ถามอย่างกังวลใจ“ฮองเฮา ฝ่าบาทเสด็จมาย่อมเป็นเรื่องดี“แต่ท่านทำเช่นนี้ จะมิเป็นการขัดแย้งกับหวงกุ้ยเฟยหรือเพคะ?“นายหญิงบอกให้พวกเราอยู่ในวังหลวงอย่างเงียบ ๆ อย่าสร้างศัตรู โดยเฉพาะหวงกุ้ยเฟย...”“ท่านแม่ก็สอนเวยเฉียงเช่นนี้หรือ” เฟิ่งจิ่ว
เมื่อเหลียนซวงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็รีบเข้าไปในตำหนัก“ฮองเฮา เกิดอะไรขึ้นเพคะ...”เหลียนซวงพูดยังไม่ทันจบ ก็มีเสียงสายหนึ่งดังออกมาจากม่านอักษรมงคล [1] “ไสหัวไป”เป็นเสียงของบุรุษ!เหลียนซวงตระหนักว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว คิดจะตะโกนเรียกคนเข้ามาทันใดนั้นขันทีคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาขวางนางไว้อย่างรีบร้อน เสียงที่พยายามกดความโกรธเกรี้ยวเอาไว้กล่าวว่า“ไม่รู้จักเบิกตาดูซะบ้าง! นั่นคือฮ่องเต้!”เหลียนซวงตกตะลึงจนพูดไม่ออกฝ่ะ ฝ่ะ ฝ่า...ฝ่าบาท? ฮ่องเต้ทรราชผู้ฆ่าคนโดยไม่กระพริบตาผู้นั้น?มืดค่ำถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดอยู่ ๆ พระองค์ถึงเสด็จมาเล่า!!ภายในม่านฝ่ามือใหญ่ของบุรุษกดไหล่ข้างหนึ่งของเฟิ่งจิ่วเหยียนเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งจับข้อมือข้างที่นางถือกริช โน้มร่างอยู่เหนือนาง ราวกับสิงโตที่กำลังโถมเข้าหาเหยื่อเดิมเฟิ่งจิ่วเหยียนสามารถลองสลัดให้หลุดได้ แต่เมื่อรู้สถานะของอีกฝ่ายนางจึงไม่ได้ลงมือในความมืดมิด นางไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดแต่รังสีฆ่าฟันบนร่างของเขาเข้มข้นยิ่ง“ฮองเฮา ไม่อธิบายซักหน่อยหรือ?”น้ำเสียงทุ้มอันราบเรียบของบุรุษทำให้คนรู้สึกกลัวเกรงหากเป็นสต
คืนนี้ถูกลิขิตไว้แล้วว่านางต้องถูกเอาเปรียบซักครั้ง เฟิ่งจิ่วเหยียนคาดการณ์เรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วที่จริงเมื่อเทียบกับโดนฮ่องเต้ทรราชนี่พรากคืนแรกไป ให้ทำเองยังนับว่าดีกว่ามากนักอย่างน้อยก็ไม่ต้องทนถูกคนกดไว้ข้างล่างเฟิ่งจิ่วเหยียนฉีกผ้าจากชายกระโปรงออกมาชิ้นหนึ่ง นำมาปูรองไว้เป็นผ้าพรหมจรรย์[1]หลังจากนั้นก็ใช้มือหนึ่งถลกกระโปรงขึ้นมา อีกข้างพลิกมือจับกริชนั้นถึงแม้นางตัดสินใจแล้วว่าจะทำ แต่ร่างกายยังคงต่อต้านโดยสัญชาตญาณนางปลอบใจตัวเอง คิดเสียว่าโดนแทงหนึ่งทีแล้วกันตั้งแต่เล็กจนโตนางบาดเจ็บมาน้อยหรือไร?จากนั้นนางก็เริ่มออกแรง...เพียงชั่วพริบตานั้นเองพละกำลังสายหนึ่งพุ่งเข้ามาจับข้อมือนางเอาไว้แน่นเฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเซียวอวี้แย่งกริชในมือนางไปอีกครั้ง ครั้งนี้น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยือกยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก“ช่างเป็นสตรีที่โง่เสียจริง”เคร้ง!กริชถูกโยนออกไปนอกม่านเตียงอักษรมงคล“เจ้าจะบริสุทธิ์หรือไม่ เราไม่แยแสแม้แต่น้อย”“ในเมื่อเจ้ากล้าแลกทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเป็นฮองเฮาให้ได้ เช่นนั้นก็อย่าแกล้งโง่ไปเลย”“ดังเช่นที่เจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าเราอยู่ที่ตำหนักห
เฟิ่งจิ่วเหยียนดูไม่เหมือนพระมเหสีที่ถูกพระสวามีทอดทิ้งอย่างเย็นชาแม้แต่น้อย นางสวมชุดอย่างฮองเฮา แลดูสูงศักดิ์ดั่งพญาหงส์ที่เดินดินนัยน์ตาที่เยือกเย็นคู่หนึ่ง ม่านตาสีอ่อนเผยให้เห็นถึงความสูงศักดิ์ที่มิอาจเอื้อมราวกับหยกผิวพรรณของนางหาได้ซีดขาวอมโรคเหมือนดังที่สตรีในเมืองหลวงนิยมกันไม่ แต่เป็นผิวที่อิ่มเอิบและเปล่งปลั่งดังกลีบกุหลาบรูปลักษณ์งดงามแฝงด้วยความสูงศักดิ์น่าเกรงขาม งามล้ำดั่งเทพธิดาในวังจันทราเหล่าผู้คนในวังหลังล้วนคุ้นเคยกับการเห็นสนมนางในที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับหรงเฟยดี พอวันนี้ได้พบกับความงามพิลาสล้ำของฮองเฮาก็ตาลุกวาวราวกับจะเปล่งแสงได้ไม่เสียทีที่เป็นหญิงงามผู้มีชื่อเสียงโดดเด่นในเมืองหลวง รูปโฉมงดงามล่มเมืองเช่นนี้ หาใช่ปุถุชนคนธรรมดาจะเทียบเคียงได้ตั้งแต่เฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าสู่ยุทธภพเพียงลำพัง นางก็ใช้ชีวิตแปลงโฉมหน้ามาโดยตลอดสำหรับนางแล้วหน้าตาที่งดงามคือภาระ โดยเฉพาะในค่ายทหารอาจารย์หญิงมักบอกว่าใบหน้างามนี้ของนางช่างเสียเปล่ายิ่งนัก วัน ๆ ล้วนแต่ถูกนางใช้อย่างส่งเดชเหลียนซวงที่เดินติดตามอยู่ด้านหลังฮองเฮาก็พลันรู้สึกมีหน้ามีตาไปด้วยเมื่อเดินจนถึง
รุ่ยอ๋องไม่อาจทำใจได้จึงเอ่ยปากโน้มน้าว“ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ ออกจะโหดร้ายต่อฮองเฮาไปซักหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ”ทว่าเซียวอวี้กลับสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปเรียบร้อยแล้ว ทิ้งไว้เพียงภาพแผ่นหลังอันน่าเกรงขามที่ยากจะต่อกรได้สายลมพัดโชยโบกสะบัดเสื้อของบุรุษผู้นี้ เขาย่างก้าวเดินลงบันได สายตาทอดมองไปไกลโพ้น กวาดตามองทัศนียภาพของอุทยานหลวงและสนามม้าหลวงไว้ในสายตา รวมทั้งภาพของสตรีที่ขี่ม้าอยู่เมื่อครู่นี้ด้วยภาพเงาร่างของหญิงสาวที่ขี่ม้าในความทรงจำ ก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนี้......เพราะได้รับความตื่นตระหนก ไทเฮาจึงเสด็จกลับตำหนักฉือหนิงก่อนเฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็กลับตำหนักหย่งเหอของตนตามกฎระเบียบแล้วฮองเฮายังต้องรับการคารวะจากเหล่าสนมนางในแต่สนมนางในที่มาถึงก่อนแล้วกลับมีเพียงน้อยนิด ส่วนใหญ่หากไม่อ้างว่าป่วย ก็อ้างว่ายุ่งกับภารกิจในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็ไม่มีใจจะมานั่งเสแสร้งรับหน้าพวกนาง จึงส่งพวกนางไม่กี่คนที่มาให้กลับไปเสียผ่านไปไม่นานก็มีคนมาถ่ายทอดคำพูดของฮ่องเต้“ฮองเฮา ฝ่าบาทได้ทรงทราบถึงคุณงามความดีที่เมื่อเช้าพระองค์ได้ทรงช่วยไทเฮาเอาไว้แล้ว ทรงพระราชทานหยกสมปรารถนาให้คู่หนึ่
ดูเหมือนว่ารุ่ยอ๋องจะเพิ่งออกมาจากตำหนักฉือหนิง เขาก้าวเดินมาข้างหน้าแล้วคารวะเฟิ่งจิ่วเหยียน“น้องชายขอคารวะพี่สะใภ้”การที่เขาเรียกนางเป็นพี่สะใภ้ไม่ใช่ฮองเฮา แสดงให้เห็นว่าเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฮ่องเต้เหลียนซวงที่ชำเลืองมองรุ่ยอ๋องตกอยู่ในภวังค์รุ่ยอ๋องช่างรูปงามเสียจริง! หน้าตาสะอาดสะอ้าน บุคลิกมารยาทงามสง่า ลักษณะเช่นนี้ดีกว่าฮ่องเต้ทรราชที่เอาแต่ฆ่าคนตั้งมากหากผู้ที่คุณหนูแต่งด้วยคือ...เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เหลียนซวงก็รีบหยุดความคิดที่ไร้สาระนี้ทันทีกฎระเบียบในวังเคร่งครัดยิ่งนัก ไม่อาจเทียบกับในค่ายทหารที่สามารถพูดคุยกับบุรุษอย่างไรก็ได้เมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังจะจากไป รุ่ยอ๋องพลันเอ่ยปากแสดงความเป็นห่วงออกมา“การประหารเมื่อวานนี้พี่สะใภ้ได้รับความตระหนกหรือไม่? ”เฟิ่งจิ่วเหยียนที่จดจ่ออยู่กับความคิดตอบกลับอย่างกลัวพิกุลจะร่วงว่า “ไม่”“เมื่อวานยามที่พี่สะใภ้ปราบพยศม้าตัวนั้น ข้าบังเอิญเห็นเข้าพอดี ท่านฝีมือดียิ่ง ที่จริงแล้วฝ่าบาททรงโปรดสตรีที่มีทักษะการขี่ม้า พี่สะใภ้เริ่มต้นจากเรื่องนี้ดู บางทีอาจจะได้รับความโปรดปราน”น้ำเสียงของรุ่ยอ๋องอ่อนโยนนุ่มนวลราวก
น้ำกระเซ็นตามจังหวะคนที่ถูกยกขึ้น จนเกิดเป็นคลื่นกระเพื่อมไหวเฟิ่งจิ่วเหยียนใช้มือทั้งสองข้างปิดร่างกายส่วนหน้าไว้ทันทีทว่าด้านหลังของนาง กลับเปิดเปลือยไปทั้งกายร่างกายไม่ได้อ้อนแอ้นเกินเหตุ สายตาของเซียวอวี้ทอดมองไปยังบริเวณบั้นเอวของเฟิ่งจิ่วเหยียนบั้นเอวของนางไม่มีรอยช้ำใด ๆ จากฝ่ามือซ้ำยังเกลี้ยงเกลา และแน่นกระชับคิ้วคมของเซียวอวี้มุ่นเข้าหากัน ม่านตาทอแววเยือกเย็นไม่เลือนหายฝ่ามือของเฟิ่งจิ่วเหยียนร้อนผ่าว บริเวณหน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นมาเต็มเมื่อครู่เพราะความฉุกละหุก นางจึงใช้ลมปราณสลายเลือดคลั่งแต่เนื่องจากเป็นระยะเวลาสั้น ๆ จึงเสียพลังภายในไปไม่น้อยในตอนนี้นางจึงอ่อนแรงแต่ฮองเต้ทรราชไม่ล้มเลิกความสงสัยที่มีง่าย ๆวินาทีต่อมา เขาก็รวบเอวของนางด้วยฝ่ามืออันใหญ่ นิ้วโป้งทาบลงตรงบั้นเอวของนาง แล้วออกแรงกด...“อื้อ!” เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกเจ็บแปล๊บถึงขั้วกระดูก จึงส่งเสียงอื้ออึงในลำคอออกมาอย่างอดไม่ได้ต่อมานางก็ไม่กล้าแสดงอาการอะไรออกมา เพียงอดกลั้นไว้ชายหนุ่มด้านหลังเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบ“บาดเจ็บที่เอวหรือ?” นางส่ายหน้า “เปล่า เหตุใ
ณ ห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้กำลังตรวจตราราชสารอยู่พลันหยุดชะงัก นัยน์ตาทอแววเยือกเย็น“นางอยากได้ตราประทับทอง?”ขันทีผู้มากราบทูลพลันสะอึก“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท พระนางเสด็จมาขอเข้าเฝ้าอยู่นอกตำหนัก เพื่อตราประทับทอง”แต่ว่าตราประทับทองอยู่กับหวงกุ้ยเฟยเช่นนี้ไม่เท่ากับว่าฮองเฮาตั้งใจจะหาเรื่องหรอกหรือ!เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นมาตามหน้าผากของขันที เพราะกลัวว่าตนเองจะถูกฝ่าบาทบันดาลโทสะใส่บนม่านกั้นหลังบัลลังก์มังกร สะท้อนเกิดเป็นร่างเงาใบหน้าของเซียวอวี้เลือนราง ดวงตาคู่เรียวยาวดุจเหยี่ยว ทอแววคมกริบอันตราย“ไปบอกนาง หากยังไม่เจียมตัวเช่นนี้ต่อไป เราจะปลดนางลงจากฮองเฮาเสีย”“บ่าวน้อมรับคำบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”……บริเวณนอกห้องทรงพระอักษรสายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเรียบนิ่ง ไม่โกรธไม่ยินดี ราวกับละทางโลกไปแล้วยามที่ขันทีตรงหน้าบอกกล่าวคำตรัสของฮ่องเต้เสร็จ จึงโน้มน้าวนางเสริม “ฮองเฮา เชิญท่านกลับไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ“หวงกุ้ยเฟยเป็นผู้ใช้ตราประทับทองมาโดยตลอด ฝ่าบาทมิอาจยึดคืนกลับมาจากนางได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ“นอกเสียจากว่าหวงกุ้ยเฟยไม่ต้องการมันแล้ว”เหลียนซวงได้ยินถ้อยคำนี้ พลันโมโหโทโสแ
ระยะทางของคุกเทียนเหลานั้นอยู่ใกล้กับพระราชวังเป็นอย่างมากหากเกิดเหตุการณ์นักโทษแหกคุกเมื่อใดนั้น ทางราชวังก็สามารถเข้าจัดการและควบคุมได้ในทันทีในยามนี้ บริเวณพื้นที่เปิดโล่งของคุกเทียนเหลานั้น เฉียวม่อกำลังถูกคุ้มกันโดยกองทัพอินทรีเหิน นางอาศัยการต่อสู้ของพวกเขาเพื่อให้เหลือหนทางสีเลือดให้กับตนเอง นับตั้งแต่แหกคุกจนมาถึงที่ตรงนี้ได้นั้น นางได้จะทะลวงเกราะป้องกันด่านที่สามแล้วด้านหน้าคือด่านสุดท้ายของการหลบหนีในครานี้ขอเพียงแค่นางสามารถทะลวงออกไปจนถึงประตูหลักได้เมื่อใดนั้น นางก็จะสามารถหลบหนีออกไปได้สำเร็จเหล่าเจ้าหน้าที่ในราชสำนักมีมากมายนัก ในมือพลันถือโล่ถือหอกเอาไว้ แปลงขบวนเป็นกำแพงมนุษย์เพื่อต้านทานการโจมตีของเหล่ากองทัพอินทรีเหินในขณะเดียวกัน รอบด้านทั้งสี่พลันถูกโอบล้อมไปด้วยกำแพงสูงและหอคอยปราการ ด้านบนกำแพงมีพลธนูยืนรออยู่นับไม่ถ้วน พวกเขาง้างคันธนูจนสุดสาย พร้อมทั้งลูกธนูนับหมื่นที่พุ่งลงมาในทันทีเหล่ากองทัพอินทรีเหินที่มากกว่าสองร้อยนายนั้น พวกเขาใช้ร่างของตนเองคุ้มกันเฉียวม่อเอาไว้ด้วยวิชาระฆังทองคุ้มกาย ฝ่าการโจมตีออกไปด้วยความยากลำบากพวกเขาที่เคยผ่านสน
เมื่อฮูหยินเฟิ่งต้องมาเผชิญหน้ากับฝ่าบาทเป็นครั้งแรกเช่นนี้ ทำเอานางรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งถึงแม้เซียวอวี้จักอนุญาตให้นางนั่งลงก็ตาม ทว่า นางคล้ายกับตนเองนั่งอยู่เบาะที่มีเข็มก็ไม่ปานแม้แต่ชาที่ข้ารับใช้รินให้นั้น นางก็ยังมิกล้าแตะต้องเมื่อเห็นฮูหยินเฟิ่งมีท่าทีตื่นเต้นเช่นนี้ เซียวอวี้จึงเอ่ยขึ้นมาว่า“มิต้องตระหนกถึงเพียงนั้น เราเพียงแค่อยากจะถามอะไรบางอย่างเท่านั้น หลังจากที่ฮองเฮาเกิดออกมาแล้วถูกส่งไปยังตระกูลเมิ่งนั้น เรื่องของนางพวกเจ้ารู้มากเท่าใดกัน”เมื่อเซียวอวี้เอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้นมา ทำเอาฮูหยินเฟิ่งยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้นไปอีกนางพลันลุกขึ้นพร้อมเอ่ยปฏิเสธออกมาในทันที“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันมิทราบว่าผู้ใดเอ่ยเรื่องราวไร้สาระเช่นนี้ขึ้นมา ทว่า ฮองเฮาได้รับการเลี้ยงดูอยู่ภายในตระกูลเฟิ่งมาโดยตลอดเพคะ หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลเมิ่งไม่!”แววตาของเซียวอวี้พลันมืดครึ้มลงเมื่อเห็นปฏิกิริยาของฮูหยินเฟิ่งเป็นเช่นนี้แล้ว เกรงว่าถามไปคงมิได้คำตอบอะไรกลับมาเท่าใดนักหากเค้นถามต่อไป เกรงว่าจักให้นางเป็นลมไปได้เซียวอวี้จึงออกคำสั่งเสียงเข้มมาว่า“ส่งตัวฮูหยินเฟ
ในห้องทรงพระอักษรหลิวซื่อเหลียงนำยาทาแผลน้ำร้อนลวกมาวางบนโต๊ะแล้วเขาหูตาว่องไว แค่เห็นฮองเฮาอยู่ด้านในด้วย ไม่ต้องรอได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ก็ถอยพรวดพราดออกไปแล้วเซียวอวี้นั่งลงตรงนั้นและวางมือไว้บนโต๊ะเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่ตรงข้ามกับเขา เริ่มจากพับแขนเสื้อของเขาขึ้นมาก่อน ถึงมองเห็นตำแหน่งทั้งหมดที่ถูกน้ำร้อนลวกตอนอยู่ที่ค่ายทหารนางก็ทำแผลใส่ยาอยู่เป็นประจำ ท่าทางจึงดูคล่องแคล่วแค่ผ่านไปชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น นางก็เงยหน้าขึ้น“เสร็จแล้วเพคะ”เซียวอวี้: รวดเร็วเพียงนี้เชียวหรือ?เมื่อเห็นนางจะลุกขึ้น เขาพลันมองไปทางสาส์นกราบทูลที่วางกองอยู่บนโต๊ะ“ไปหยิบสาส์นกราบทูลมา เราจะพูดแล้วเจ้าก็เขียน”เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกแปลกใจ “ฝ่าบาท วังหลังไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับราชกิจเพคะ”ยิ่งไปกว่านั้นจักให้นางเขียนแทนด้วยซ้ำ สีหน้าของเซียวอวี้ดูเรียบเฉย “ทั้งหมดเป็นสาส์นกราบทูลที่ไม่มีแก่นสาร ไม่ได้สลักสำคัญอะไร”สาส์นกราบทูลในแต่ละวันที่เป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ มีน้อยมากส่วนใหญ่เป็นเรื่องไร้แก่นสารที่ไม่มีผลใด ๆ เดิมทีเฟิ่งจิ่วเหยียนคิดว่าเขาพูดเกินจริง ทว่าหลังจากพลิกดูตามคำขอของเขา ถึ
บนเตียงนั้นมีพื้นที่คับแคบ เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีที่ให้ถอยหนีเซียวอวี้จับเอวของนางไว้ เพื่อให้นางอยู่ในพื้นที่จำกัดนางหันศีรษะหลบหลีกการจูบของเขา ก็ยิ่งทำให้เขาไม่เหลือความอดทนทันใดนั้นเขาจับคางของนางไว้ และมองเข้าไปในดวงตาของนางด้วยสายตาเยือกเย็น “หลบอะไร? หือ?”แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่งไม่หวั่นไหว มือสองข้างกำหมัดไว้แน่นเซียวอวี้เริ่มโมโห เขาพลันก้มศีรษะลงประกบริมฝีปากของนาง ไม่เหลือพื้นที่ว่างให้นางหายใจผ่านไปไม่นาน การหายใจของเขาเริ่มหอบถี่ ฝ่ามือใหญ่เคลื่อนมาทางด้านหน้าตัวนางแค่ดึงเบา ๆ สายรัดเอวก็หลุดออกฝ่ามือร้อนผ่าวของเขาวางทับอยู่บนหน้าท้องที่กระชับและแบนราบของนาง โดยมีอาภรณ์กั้นอยู่หลายชั้นริมฝีปากบางของเขาเคลื่อนมาข้างใบหูของนาง เหมือนจูบเหมือนขบกัด ทั้งอมติ่งหู พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า“มีองค์ชายให้กับเรา...”คำพูดนี้หาใช่จะหารือกับนาง แต่เป็นคำสั่งที่แข็งกร้าวเซียวอวี้เริ่มเกิดอารมณ์เคลิบเคลิ้ม เขาดึงอาภรณ์ของนางอย่างขาดสติเฟิ่งจิ่วเหยียนเอียงศีรษะ และหันหน้าไปทางผ้าม่านข้างเตียงแววตาของนางเฉยชาและคิ้วขมวดแน่น“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เต็มใจจะร
ราชทูตของเป่ยเยี่ยนพยายามขู่เข็ญ ตลอดทั้งวันจะเฝ้ารออยู่แต่ในกรมศัสตราวุธพวกเขาค้นพบคลังสมบัติห้องหนึ่ง ทว่ากลับถูกห้ามไม่ให้เข้าไปด้านใน หัวหน้าราชทูตสงเหยียนจึงไม่พอใจอย่างมาก“ฮ่องเต้ฉีทรงรับปากแล้วว่า จะให้พวกข้าเยี่ยมชมปืนหอกไฟนั่น พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรมาขัดขวาง!”หัวหน้ากรมศัสตราวุธเดินมาขออภัยด้วยตนเอง“ท่านราชทูต ปืนหอกไฟนั้นยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ โปรดรออีกสักสองสามวัน”สงเหยียนมองออกว่าพวกเขามีเจตนาจะถ่วงเวลา ทว่าหนานฉีก็ยอมอ่อนข้อให้แล้ว หากเป่ยเยี่ยนบีบบังคับมากเกินไป เกรงว่าผลที่ได้จะตรงข้ามกับที่คาดหวังถึงอย่างไรก็แค่รอเพิ่มอีกสองสามวัน เขามีเวลาเหลือเฟือ ก่อนจะกลับ สงเหยียนเอ่ยประโยคหนึ่งที่มีความหมายเป็นนัย ๆ ว่า “ไม่ว่าจะหลบหน้าอย่างไรก็ไม่มีทางหลบพ้นได้”หลังเขาจากไป คนในกรมศัสตราวุธต่างพากันเหงื่อตกเย็นวาบเป่ยเยี่ยนข่มเหงมากเกินไปแล้ว!ในเวลากลางคืนภายในตำหนักหย่งเหอเซียวอวี้ทานอาหารมื้อค่ำร่วมกับเฟิ่งจิ่วเหยียน เขาพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในกลางวัน น้ำเสียงฟังดูอ่อนโยน“เมิ่งเฉียวม่อทำความผิดไว้มาก ถึงแม้ครั้งนี้นางจะสร้างความดีความชอบ เราก็จะไม่
องค์หญิงใหญ่จะทรงรู้ได้อย่างไร นางดูถูกฮองเฮา ทว่าพิมพ์เขียวของปืนหอกไฟนั้นก็เป็นเฟิ่งจิ่วเหยียนที่วาดขึ้นมานางมั่นใจว่าเฉียวม่อสามารถแก้ไขได้ คาดไม่ถึงว่าเฉียวม่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องเริ่มลงมืออย่างไรก่อนหน้านี้เฉียวม่อแค่คิดจะคว้าโอกาสนี้เพื่อออกจากคุกเทียนเหลาตอนนี้นางเกิดลังเลขึ้นแล้วโดยเฉพาะได้ยินฮ่องเต้ทรงตรัสว่า: “สิ่งที่เราต้องการคือไร้ข้อผิดพลาด มิเช่นนั้นเจ้าจะถูกเพิ่มโทษขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง”แววตาของเซียวอวี้ดูเย็นชา ไม่ยอมให้โอกาสำหรับต่อรองเฉียวม่อจึงกระวนกระวายใจหากคิดแค่อยากจะลองดูเท่านั้นคงไม่สำเร็จแน่องค์หญิงใหญ่รู้สึกร้อนใจ“ฝ่าบาท เมิ่งเฉียวม่อต้อง...”ก่อนที่คำว่า “ทำได้” จะหลุดออกมา ก็ได้ยินเฉียวม่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“หม่อมฉัน...ทำไม่ได้”องค์หญิงใหญ่ตกใจอย่างมากเมิ่งเฉียวม่อพูดสิ่งใด?!เหตุใดถึงทำไม่ได้? ก็แค่เพิ่มกลไกบางอย่างลงในพิมพ์เขียวเดิมเท่านั้น สำหรับแม่ทัพน้อยเมิ่งผู้องอาจคงไม่ยากกระมัง!แผ่นหลังของเฉียวม่อเต็มไปด้วยเหงื่อนางไม่สามารถถูกเพิ่มโทษขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่มั่นใจเต็มร้อยเพคะ”แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยี
ราชทูตสงเหยียนเตรียมตัวมาอย่างดี เขาเอ่ยอธิบาย“ฮ่องเต้ฉี ฮ่องเต้เราส่งราชทูตนำของขวัญวันเกิดมาถวายให้ท่านโดยเฉพาะ แต่น่าเสียดายระหว่างทางเจอกับนักฆ่าจนได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงต้องเสียเวลาอยู่หลายวัน“กระหม่อมมาถึงช้าไป ท่านคงไม่ถือสากระมัง?”เหตุผลนี้ฟังดูไม่ขึ้นเลย เห็นกันอยู่ว่าเจตนามาถึงช้า เพราะจะรอให้ปืนหอกไฟสร้างเสร็จก่อน ค่อยเข้ามาแทรกแซง!ชาวเป่ยเยี่ยนช่างอดทนเสียจริงเหล่าขุนนางหนานฉีรู้สึกผิดอย่างมากหากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่แรก กลุ่มคนในกรมศัสตราวุธคงจะไม่รีบร้อนถึงเพียงนี้ถ่วงเวลาเขาไปสักหนึ่งปีหรือครึ่งปีก็คงดี!เซียวอวี้เย้ยหยัน“ราชทูตช่างมีหูตาเฉียบไวยิ่งนัก”สงเหยียนดูเหมือนเคารพนอบน้อม“ฮ่องเต้ฉีทรงชมเกินไปแล้ว!”จากนั้นเขาก็เปลี่ยนมาที่หัวข้อสำคัญ “ฮ่องเต้ฉี กระหม่อมจะเข้าชมปืนหอกไฟได้เมื่อใดพ่ะย่ะค่ะ? หนานฉีเป็นแคว้นใหญ่ คิดว่าคงมีจิตใจกว้างขวางดั่งมหาสมุทร ไม่เหมือนกับแคว้นเล็กอย่างตงเว่ย”เหล่าขุนนางในที่นั้นต่างกระวนกระวายใจทุกคนรู้ดีว่า “มังกรไฟ” ที่แคว้นตงเว่ยสร้างขึ้นมานั้น ตกเป็นเป้าสายตาของมหาอำนาจอย่างเป่ยเยี่ยน และทำเช่นเดียวกันคืออ้างว่าข
ภายในคุกเทียนเหลาเฉียวม่อถูกคุมขังทันทีโดยไม่มีโอกาสแก้ตัวต่อหน้าธารกำนัลชุดแม่ทัพที่ดูองอาจน่าเกรงขามแต่เดิมถูกถอดออก และเปลี่ยนเป็นชุดนักโทษสีขาวหม่นแทนแววตาของนางแฝงด้วยความไม่ยินยอม เมื่อนางเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียน สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนเป็นหมองคล้ำเมื่อไม่มีผู้คนอยู่โดยรอบ เฉียวม่อจึงเอ่ยถามออกมาตามตรง“ศิษย์พี่ ท่านไม่นึกถึงความผูกพันในอดีตสักนิดเลยหรือ!“เห็นข้ามีจุดจบในสภาพเช่นนี้ ท่านมีความสุขใช่หรือไม่!“ท่านใช้วิธีใดกันแน่ นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาททรงไม่ติดใจเอาความเรื่องที่ท่านหลอกลวงเบื้องสูง!”ทันใดนั้น เฉียวม่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางมองเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยสายตาเหยียดหยาม พร้อมกับเย้ยหยัน“ข้ารู้แล้ว ท่านคงพยายามใช้ท่าทางยั่วยวนตอนอยู่บนเตียง ปรนนิบัติฮ่องเต้จนสบายพระทัยเป็นแน่!“ใช่แล้ว สตรีในวังหลังก็ไม่ต่างจากโสเภณีในหอนางโลม! “เพื่อชื่อเสียงลาภยศจึงขายเรือนร่างของตนเอง“ถึงแม้จะไม่ใช่บุรุษที่ชื่นชอบก็รื่นรมย์กับเรือนกายของเขาได้!“ศิษย์พี่ ข้านึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าท่านจะเหยียบย่ำตนเองเช่นนี้“ตอนที่ท่านนอบน้อมเอาอกเอาใจฝ่าบาท ท่านเคยนึกถึงพี่ใหญ่ต้วนบ้างหรือไม่
องค์หญิงใหญ่ไม่อาจยอมรับการกระทำหลอกลวงเบื้องสูงของเฟิ่งจิ่วเหยียนได้ นี่ถือเป็นการลบหลู่ทั้งราชวงศ์!สายตาของเซียวอวี้ทอดมองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยท่าทีแน่วแน่“หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยให้ผู้คนทั่วหล้ารับรู้ นั่นถึงจะเสื่อมเสียชื่อเสียงของราชวงศ์“อีกอย่างนางก็เป็นบุตรสาวของตระกูลเฟิ่งเช่นกัน จึงไม่ถือว่าขัดขืนพระประสงค์ของฮ่องเต้องค์ก่อน”องค์หญิงใหญ่รู้สึกแปลกใจ“ฝ่าบาท ท่าน...ท่านคิดจะไม่สืบสวนใช่หรือไม่?”นี่ก็ไร้สาระสิ้นดี!สิ่งที่ตระกูลเฟิ่งทำผิดเป็นโทษร้ายแรงหลอกลวงเบื้องสูง!การเลือกฮองเฮาถือเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ตระกูลเฟิ่งเหตุใดจึงกล้าเปลี่ยนตัวเจ้าสาว!สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจที่สุดคือ นึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะปล่อยวางเรื่องนี้อย่างง่ายดาย“ฝ่าบาท ข้าไม่เห็นด้วย! “องค์หญิงใหญ่ยืนกรานหนักแน่นกว่านางจะพบหลักฐานว่าฮองเฮาอภิเษกสมรสแทนนั้นไม่ง่ายเลย จะให้ปล่อยผ่านไปได้อย่างไรนางไม่ชอบฮองเฮาผู้นี้อย่างมาก ทั้งใส่ร้ายแม่ทัพน้อยเมิ่ง ล่อลวงฮ่องเต้ และยังละโมบในทรัพย์สินสตรีเช่นนี้มีแต่จะทำร้ายฮ่องเต้เท่านั้น!เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สนใจว่าองค์หญิงใหญ่จะมีเจตนาร้ายต่อนางหรือไ