Share

บทที่ 8

Author: อี้ซัวเยียนอวี่
เฟิ่งจิ่วเหยียนดูไม่เหมือนพระมเหสีที่ถูกพระสวามีทอดทิ้งอย่างเย็นชาแม้แต่น้อย นางสวมชุดอย่างฮองเฮา แลดูสูงศักดิ์ดั่งพญาหงส์ที่เดินดิน

นัยน์ตาที่เยือกเย็นคู่หนึ่ง ม่านตาสีอ่อนเผยให้เห็นถึงความสูงศักดิ์ที่มิอาจเอื้อมราวกับหยก

ผิวพรรณของนางหาได้ซีดขาวอมโรคเหมือนดังที่สตรีในเมืองหลวงนิยมกันไม่ แต่เป็นผิวที่อิ่มเอิบและเปล่งปลั่งดังกลีบกุหลาบ

รูปลักษณ์งดงามแฝงด้วยความสูงศักดิ์น่าเกรงขาม งามล้ำดั่งเทพธิดาในวังจันทรา

เหล่าผู้คนในวังหลังล้วนคุ้นเคยกับการเห็นสนมนางในที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับหรงเฟยดี พอวันนี้ได้พบกับความงามพิลาสล้ำของฮองเฮาก็ตาลุกวาวราวกับจะเปล่งแสงได้

ไม่เสียทีที่เป็นหญิงงามผู้มีชื่อเสียงโดดเด่นในเมืองหลวง รูปโฉมงดงามล่มเมืองเช่นนี้ หาใช่ปุถุชนคนธรรมดาจะเทียบเคียงได้

ตั้งแต่เฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าสู่ยุทธภพเพียงลำพัง นางก็ใช้ชีวิตแปลงโฉมหน้ามาโดยตลอด

สำหรับนางแล้วหน้าตาที่งดงามคือภาระ โดยเฉพาะในค่ายทหาร

อาจารย์หญิงมักบอกว่าใบหน้างามนี้ของนางช่างเสียเปล่ายิ่งนัก วัน ๆ ล้วนแต่ถูกนางใช้อย่างส่งเดช

เหลียนซวงที่เดินติดตามอยู่ด้านหลังฮองเฮาก็พลันรู้สึกมีหน้ามีตาไปด้วย

เมื่อเดินจนถึงเบื้องหน้าไทเฮา เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ย่อกายคำนับตามธรรมเนียม

“หม่อมฉันขอคารวะเสด็จแม่เพคะ”

ไทเฮาประทับอยู่บนพระที่นั่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเมตตา

“ฮองเฮาไม่ต้องมากพิธีไป นั่งเถิด”

จากนั้นไทเฮาก็ตรัสถึงฮ่องเต้ และออกปากปลอบนาง

“ฝ่าบาททรงยุ่งอยู่กับราชกิจ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะละเลยบางเรื่องไปบ้าง”

“ฮองเฮา เจ้าอย่าได้คิดมากไปเลย”

เฟิ่งจิ่วเหยียนตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ “เพคะ”

เมื่อสนทนากับนางได้ครู่หนึ่ง ไทเฮาทรงพบว่าฮองเฮาองค์นี้ทำสีหน้าไร้อารมณ์ตลอดเวลา ราวกับว่าใบหน้านี้ถูกแช่แข็งเอาไว้ ยิ้มแย้มไม่เป็นแต่กำเนิดอย่างไรอย่างนั้น

ก่อนหน้านี้ยามพบนางที่งานฉลองพระชนมพรรษา ออกจะรู้จักทำตัวให้คนชื่นชอบไม่ใช่หรือ?

เฟิ่งจิ่วเหยียนนางเป็นคนที่ไม่ค่อยยิ้มจริง ๆ

ยามเยาว์วัยอาจารย์หญิงมักจะหยอกเย้าให้นางหัวเราะ แต่นางกลับรู้สึกว่าน่าเบื่อ

ต่อมาเมื่ออยู่ในค่ายทหารนางมีฐานะเป็นแม่ทัพน้อยจึงต้องสร้างความน่าเกรงขาม อีกทั้งเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนมาเข้าใกล้จนค้นพบว่านางเป็นสตรี ด้วยเหตุนี้นางจึงติดนิสัยทำหน้านิ่ง หาไม่แล้วคงไม่อาจออกคำสั่งควบคุมกองทัพได้

“ฮองเฮา มีเรื่องใดรบกวนใจเจ้าหรือ?” ไทเฮาทรงตรัสถามโดยตรง

เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้ามองไทเฮา ตอบอย่างราบเรียบว่า

“ไม่มีเพคะ”

หลังจากนั้นก็ไม่พูดคำใดต่ออีกเลย

ไทเฮาริมฝีปากกระตุก

ไร้อารมณ์เช่นนี้ มิน่าเล่าฝ่าบาทถึงไม่โปรด แม้ไทเฮาอย่างนางเองก็หมดแรงจะสนใจเช่นกัน

ถึงอย่างไรเสียเหล่าสนมนางในที่พบเจออยู่ทุกวันคืน แต่ละคนล้วนยิ้มหวานราวน้ำผึ้ง ช่างจำนรรจายิ่ง

เหมือนฮองเฮาองค์นี้เสียที่ไหน ถามคำตอบคำ หาไม่ก็เงียบเป็นเป่าสาก

“ดอกไม้ในอุทยานหลวงออกดอกไม่น้อยเลย ฮองเฮา เจ้าไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าเถิด”

“เพคะ”

ไทเฮาทรงเข้าใจว่าหากออกมาด้านนอกแล้ว ฮองเฮาคงจะพูดมากขึ้นซักหน่อย

นึกไม่ถึงเลยว่ายังคงเงียบเป็นเป่าสากเช่นเดิม

ช่างไร้หนทางเยียวยาราวกับโคลนที่แปะบนผนังไม่อยู่อย่างไรอย่างนั้น

เมื่อเดินไปเดินมาเดินจนแทบจะทะลุออกจากอุทยานหลวงไปยังสนามม้าหลวงที่อยู่ติดกันอยู่แล้ว ไทเฮาก็ทรงถอดใจ อ้างว่าจะกลับตำหนักฉือหนิง

แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีม้าตัวหนึ่งพลันวิ่งห้อตะบึงออกมาจากที่ใดไม่ทราบ พุ่งทะยานเข้ามาทางพวกนางอย่างคลุ้มคลั่ง

เหล่าองครักษ์รีบกรูกันเข้ามาด้านหน้ารวมตัวกันเป็นกำแพงมนุษย์เพื่อปกป้องไทเฮาเอาไว้ แต่ก็ถูกชนจนกระจัดกระจายในทันที

ไทเฮาใช้ชีวิตอย่างชนชั้นสูงถูกดูแลและปกป้องอย่างดีมาโดยตลอด จะเคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร

ที่น่ากลัวก็คือ ดูเหมือนม้าตัวนี้จะเพ่งเล็งมาที่ไทเฮา จ้องแต่จะวิ่งมาที่นาง ด้วยความหวาดกลัวอย่างรุนแรงไทเฮาตัวแข็งไม่อาจขยับตัวแม้แต่น้อย ดวงตาเบิกกว้าง ริมฝีปากซีดขาว

“คุ้มกัน! รีบคุ้มกันเร็ว!” กุ้ยหมัวมัวตะโกนอย่างรีบร้อน

ดวงตามองไปยังไทเฮาที่กำลังจะสิ้นพระชนม์ใต้กีบเท้าม้า ทันใดนั้นเองก็มีเงาคนผู้หนึ่งผ่านวาบไปอย่างเร็วรี่

ท่ามกลางความสับสนอลหม่าน ไทเฮาเพียงสัมผัสได้ว่ามีพลังที่แข็งแกร่งโอบเอวของนาง พานางถอยออกไปอยู่อีกฝั่ง

หลังจากยืนได้อย่างมั่นคง นางก็เหลือบตาขึ้นมอง กลับพบว่าคนที่ช่วยนางเอาไว้คือฮองเฮา!

สตรีที่ดูเรียบร้อยบอบบางอย่างฮองเฮา ที่แท้กลับมีเรี่ยวแรงมากถึงเพียงนั้น!

นอกจากนี้ยามที่อุ้มนางยังทำให้นางรู้สึกอุ่นใจยิ่งกว่าชายชาตรีเสียอีก

ไทเฮารู้สึกมึนงงอยู่บ้าง ขณะที่กำลังคิดจะพาฮองเฮาไปหลบนั้น กลับเห็นนางลอยตัวไปอยู่บนหลังม้าเสียแล้ว

ทักษะการขี่ม้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนนั้นในค่ายเป่ยต้าไม่มีใครเทียบนางได้เลย

แม้แต่ม้าที่ดุร้ายที่สุดก็ยังเชื่อฟังนางอย่างว่าง่าย

สองมือของนางดึงเชือกบังเหียน เท้าสองข้างหนีบท้องม้าเอาไว้ ในสภาวะที่ม้าสะบัดโคลงไปมาอย่างรุนแรงก็ยังสามารถรักษาสมดุลเอาไว้ได้

ฝูงชนที่เห็นนางถูกม้าคลั่งพาวิ่งไปไกลก็ขวัญหนีดีฝ่อ

“สวรรค์! ฮองเฮาตกอยู่ในอันตราย!”

ไทเฮาทรงกังวลเป็นอย่างมาก “รีบไปช่วยฮองเฮาเร็วเข้า!”

แต่เมื่อผ่านไปเพียงชั่วพริบตาก็เห็นฮองเฮาทรงควบม้ากลับมาเองแล้ว

นอกจากนี้ม้าตัวนั้นยังดูเชื่องเป็นอย่างมาก ไม่ได้วิ่งชนไปทั่วอย่างบ้าคลั่งอีกต่อไป...

หลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนดึงบังเหียนให้ม้าหยุดก็พลิกร่างลงจากม้า

เหลียนซวงรีบวิ่งขึ้นหน้าไปหา

“ฮองเฮา! ทรงเป็นอะไรหรือไม่เพคะ!”

เฟิ่งจิ่วเหยียนส่ายหน้าแล้วมองไปยังไทเฮา “เสด็จแม่อย่าได้กลัวไป มันสงบลงแล้วเพคะ”

ยามนี้เองไทเฮาทรงทอดพระเนตรไปยังฮองเฮาอีกครั้ง สายตาล้วนเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมและชื่นชอบ

“ฮองเฮา ทักษะการขี่ม้าของเจ้าเรียนจากอาจารย์ท่านใดหรือ? ข้าไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนเลย”

เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้ยินดียินร้ายไม่

“สมัยหม่อมฉันยังเยาว์วัย เคยแอบเรียนรู้ทักษะการขี่ม้าแบบผิวเผินกับท่านน้าโดยไม่ให้ท่านพ่อทราบเพคะ สามารถช่วยเสด็จแม่เอาไว้ได้ ถือว่าได้ใช้ทักษะนี้อย่างถูกต้องแล้วเพคะ”

เวลานี้เองผู้ดูแลสนามม้าหลวงก็ตามมาถึง

เหลือบเห็นฮองเฮาควบคุมม้าที่ดุร้ายเอาไว้ได้ก็ตกตะลึงและทึ่งในตัวฮองเฮาเป็นอย่างมาก

“ฮองเฮาอาจจะไม่ทรงทราบ นี่คือม้าดุร้ายจากดินแดนตะวันตก ในบรรดาม้าที่ส่งมานั้นจู่ ๆ ม้าตัวนี้ก็คลั่งขึ้นมา พวกข้าน้อยร่วมมือกันก็ยังควบคุมมันเอาไว้ไม่อยู่...”

เฟิ่งจิ่วเหยียนนำบังเหียนม้ามอบให้ผู้ดูแล แล้วพูดกำชับอย่างจริงจังว่า

“แม่ม้าตัวนี้ตั้งท้องแล้ว เดิมก็คุ้มคลั่งได้ง่าย ทั้งยังเดินทางจากดินแดนตะวันตกมายังแคว้นหนานฉี ไม่คุ้นกับดินน้ำที่นี่ ย่อมส่งผลต่ออารมณ์ กลับไปแล้วก็อย่าได้ทุบตีด่าว่า เอาหญ้าอู่กุ้ยให้มันเยอะหน่อย ให้มันอยู่ในคอกเดี่ยว ไม่เกินสามวันห้าวันย่อมดีขึ้น ”

ผู้ดูแลเห็นนางเข้าใจเรื่องม้ามากเพียงนี้ก็ยิ่งประหลาดใจ

เฟิ่งจิ่วเหยียนลูบม้าตัวนั้นไปมา พูดพึมพำเสียงเบา

“เป็นม้าที่ดีตัวหนึ่ง น่าเสียดายนัก”

เดิมควรได้ควบทะยานโลดแล่นในทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล กลับต้องถูกขังอยู่ในสนามม้าหลวงที่คับแคบของพระราชวังแห่งแคว้นหนานฉี

ขณะเดียวกันนี้เอง ในสถานที่ที่ไม่ไกลจากกันนัก

บนหอชมวิว

บุรุษในชุดขาวยืนอยู่ที่นั่น มองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียนที่อยู่ด้านล่าง เขาแสดงออกถึงความชื่นชมอย่างตรงไปตรงมา “ฝ่าบาท ฮองเฮาทรงมีทักษะเช่นนี้ ช่างหาได้ยากยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

ด้านหลังของบุรุษส่งเสียงน่าเกรงขามที่ติดจะดูเกียจคร้านออกมาสายหนึ่ง

“ทักษะเล็กน้อยเช่นนี้ก็เข้าตาเจ้าได้หรือ”

“เจ้าม้าตัวนั้นทำให้ไทเฮาตกพระทัย ฆ่ามันซะ อีกอย่างนึง ให้ฮองเฮาเป็นผู้ดูแลการประหารมันด้วยตัวเอง”
Continue to read this book for free
Scan code to download App
Comments (6)
goodnovel comment avatar
Joom
The king is furious.
goodnovel comment avatar
Sawarost Sontijai
ขอพิมพ์หยาบหน่อยนะคะ ฮ่องเต้ผู้นี้เปรตยิ่งนัก
goodnovel comment avatar
Nout Klkl
แย่มาก ทำไมต้องฆ่ามัน
VIEW ALL COMMENTS

Related chapters

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 9

    รุ่ยอ๋องไม่อาจทำใจได้จึงเอ่ยปากโน้มน้าว“ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ ออกจะโหดร้ายต่อฮองเฮาไปซักหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ”ทว่าเซียวอวี้กลับสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปเรียบร้อยแล้ว ทิ้งไว้เพียงภาพแผ่นหลังอันน่าเกรงขามที่ยากจะต่อกรได้สายลมพัดโชยโบกสะบัดเสื้อของบุรุษผู้นี้ เขาย่างก้าวเดินลงบันได สายตาทอดมองไปไกลโพ้น กวาดตามองทัศนียภาพของอุทยานหลวงและสนามม้าหลวงไว้ในสายตา รวมทั้งภาพของสตรีที่ขี่ม้าอยู่เมื่อครู่นี้ด้วยภาพเงาร่างของหญิงสาวที่ขี่ม้าในความทรงจำ ก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนี้......เพราะได้รับความตื่นตระหนก ไทเฮาจึงเสด็จกลับตำหนักฉือหนิงก่อนเฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็กลับตำหนักหย่งเหอของตนตามกฎระเบียบแล้วฮองเฮายังต้องรับการคารวะจากเหล่าสนมนางในแต่สนมนางในที่มาถึงก่อนแล้วกลับมีเพียงน้อยนิด ส่วนใหญ่หากไม่อ้างว่าป่วย ก็อ้างว่ายุ่งกับภารกิจในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็ไม่มีใจจะมานั่งเสแสร้งรับหน้าพวกนาง จึงส่งพวกนางไม่กี่คนที่มาให้กลับไปเสียผ่านไปไม่นานก็มีคนมาถ่ายทอดคำพูดของฮ่องเต้“ฮองเฮา ฝ่าบาทได้ทรงทราบถึงคุณงามความดีที่เมื่อเช้าพระองค์ได้ทรงช่วยไทเฮาเอาไว้แล้ว ทรงพระราชทานหยกสมปรารถนาให้คู่หนึ่

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 10

    ดูเหมือนว่ารุ่ยอ๋องจะเพิ่งออกมาจากตำหนักฉือหนิง เขาก้าวเดินมาข้างหน้าแล้วคารวะเฟิ่งจิ่วเหยียน“น้องชายขอคารวะพี่สะใภ้”การที่เขาเรียกนางเป็นพี่สะใภ้ไม่ใช่ฮองเฮา แสดงให้เห็นว่าเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฮ่องเต้เหลียนซวงที่ชำเลืองมองรุ่ยอ๋องตกอยู่ในภวังค์รุ่ยอ๋องช่างรูปงามเสียจริง! หน้าตาสะอาดสะอ้าน บุคลิกมารยาทงามสง่า ลักษณะเช่นนี้ดีกว่าฮ่องเต้ทรราชที่เอาแต่ฆ่าคนตั้งมากหากผู้ที่คุณหนูแต่งด้วยคือ...เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เหลียนซวงก็รีบหยุดความคิดที่ไร้สาระนี้ทันทีกฎระเบียบในวังเคร่งครัดยิ่งนัก ไม่อาจเทียบกับในค่ายทหารที่สามารถพูดคุยกับบุรุษอย่างไรก็ได้เมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังจะจากไป รุ่ยอ๋องพลันเอ่ยปากแสดงความเป็นห่วงออกมา“การประหารเมื่อวานนี้พี่สะใภ้ได้รับความตระหนกหรือไม่? ”เฟิ่งจิ่วเหยียนที่จดจ่ออยู่กับความคิดตอบกลับอย่างกลัวพิกุลจะร่วงว่า “ไม่”“เมื่อวานยามที่พี่สะใภ้ปราบพยศม้าตัวนั้น ข้าบังเอิญเห็นเข้าพอดี ท่านฝีมือดียิ่ง ที่จริงแล้วฝ่าบาททรงโปรดสตรีที่มีทักษะการขี่ม้า พี่สะใภ้เริ่มต้นจากเรื่องนี้ดู บางทีอาจจะได้รับความโปรดปราน”น้ำเสียงของรุ่ยอ๋องอ่อนโยนนุ่มนวลราวก

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 11

    น้ำกระเซ็นตามจังหวะคนที่ถูกยกขึ้น จนเกิดเป็นคลื่นกระเพื่อมไหวเฟิ่งจิ่วเหยียนใช้มือทั้งสองข้างปิดร่างกายส่วนหน้าไว้ทันทีทว่าด้านหลังของนาง กลับเปิดเปลือยไปทั้งกายร่างกายไม่ได้อ้อนแอ้นเกินเหตุ สายตาของเซียวอวี้ทอดมองไปยังบริเวณบั้นเอวของเฟิ่งจิ่วเหยียนบั้นเอวของนางไม่มีรอยช้ำใด ๆ จากฝ่ามือซ้ำยังเกลี้ยงเกลา และแน่นกระชับคิ้วคมของเซียวอวี้มุ่นเข้าหากัน ม่านตาทอแววเยือกเย็นไม่เลือนหายฝ่ามือของเฟิ่งจิ่วเหยียนร้อนผ่าว บริเวณหน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นมาเต็มเมื่อครู่เพราะความฉุกละหุก นางจึงใช้ลมปราณสลายเลือดคลั่งแต่เนื่องจากเป็นระยะเวลาสั้น ๆ จึงเสียพลังภายในไปไม่น้อยในตอนนี้นางจึงอ่อนแรงแต่ฮองเต้ทรราชไม่ล้มเลิกความสงสัยที่มีง่าย ๆวินาทีต่อมา เขาก็รวบเอวของนางด้วยฝ่ามืออันใหญ่ นิ้วโป้งทาบลงตรงบั้นเอวของนาง แล้วออกแรงกด...“อื้อ!” เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกเจ็บแปล๊บถึงขั้วกระดูก จึงส่งเสียงอื้ออึงในลำคอออกมาอย่างอดไม่ได้ต่อมานางก็ไม่กล้าแสดงอาการอะไรออกมา เพียงอดกลั้นไว้ชายหนุ่มด้านหลังเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบ“บาดเจ็บที่เอวหรือ?” นางส่ายหน้า “เปล่า เหตุใ

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 12

    ณ ห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้กำลังตรวจตราราชสารอยู่พลันหยุดชะงัก นัยน์ตาทอแววเยือกเย็น“นางอยากได้ตราประทับทอง?”ขันทีผู้มากราบทูลพลันสะอึก“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท พระนางเสด็จมาขอเข้าเฝ้าอยู่นอกตำหนัก เพื่อตราประทับทอง”แต่ว่าตราประทับทองอยู่กับหวงกุ้ยเฟยเช่นนี้ไม่เท่ากับว่าฮองเฮาตั้งใจจะหาเรื่องหรอกหรือ!เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นมาตามหน้าผากของขันที เพราะกลัวว่าตนเองจะถูกฝ่าบาทบันดาลโทสะใส่บนม่านกั้นหลังบัลลังก์มังกร สะท้อนเกิดเป็นร่างเงาใบหน้าของเซียวอวี้เลือนราง ดวงตาคู่เรียวยาวดุจเหยี่ยว ทอแววคมกริบอันตราย“ไปบอกนาง หากยังไม่เจียมตัวเช่นนี้ต่อไป เราจะปลดนางลงจากฮองเฮาเสีย”“บ่าวน้อมรับคำบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”……บริเวณนอกห้องทรงพระอักษรสายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเรียบนิ่ง  ไม่โกรธไม่ยินดี ราวกับละทางโลกไปแล้วยามที่ขันทีตรงหน้าบอกกล่าวคำตรัสของฮ่องเต้เสร็จ จึงโน้มน้าวนางเสริม “ฮองเฮา เชิญท่านกลับไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ“หวงกุ้ยเฟยเป็นผู้ใช้ตราประทับทองมาโดยตลอด ฝ่าบาทมิอาจยึดคืนกลับมาจากนางได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ“นอกเสียจากว่าหวงกุ้ยเฟยไม่ต้องการมันแล้ว”เหลียนซวงได้ยินถ้อยคำนี้ พลันโมโหโทโสแ

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 13

    ณ ตำหนักหลิงเซียว หวงกุ้ยเฟยกำลังเจ็บปวดทรมาณเพราะอาการปวดหัวภายในตำหนัก หมอหลวงกำลังฝังเข็มคลายอาการให้นางบนเก้าอี้พระที่นั่งทำจากไม้จันทร์แดงนอกตำหนัก มีจักรพรรดิผู้ทรงอำนาจ นั่งขมวดคิ้วอยู่บนนั้น“คนที่ส่งไปตำหนักหย่งเหอล่ะ!”สิ้นคำพูดเพียงเสี้ยววิ  ข้าหลวงผู้นั้นก็พรวดพราดเข้ามาอย่างลุ้มลุกคลุกคลาน“ฝ่าบาท! ฮองเฮาทรงตรัสว่า ยานั้นเหลืออยู่ไม่มาก ไม่สามารถให้ได้…”ดวงตาของเซียวอวี้ทอแววคมกริบ ราวใบมีด ให้ความรู้สึกเหมือนความตายมารออยู่ข้างหลัง“ไปเรียกฮองเฮามา!”เมื่อจักรพรรดิพิโรธ ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าชักช้าไม่นานหลังจากนั้น ข้าหลวงและขันทีที่ถูกส่งไปครั้งที่สองก็กลับมาขันทีคุกเข้าบนพื้นทูลรายงานอย่างกระอึกกระอัก“ฝ่าบาท พระนาง…ทรงพักผ่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เพล้ง!เซียวอวี้สะบัดชายเสื้อ ปัดแก้วชาบนโต๊ะแตกกระจายเขาผุดตัวลุกขึ้น กล่าวด้วยเสียงเยือกเย็น“เตรียมขบวนรถม้าไปที่ตำหนักหย่งเหอ”ส่วนด้านในตำหนัก หวงกุ้ยเฟยเจ็บปวดแทบเป็นแทบตาย พร่ำร้องเรียกหา “ฝ่าบาท” ไม่หยุดก่อนที่ฮ่องเต้จะเสด็จก็กลับเข้ามาในตำหนัก แล้วปลอบโยนนาง“สนมรักอดทนไว้นะ เราจะกลับมาในอีกไม่ช้า”ฮ่อง

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 14

    ณ ตำหนักฉือหนิงไทเฮาดูใจดีมีเมตตา  ทว่าทุกคำที่เอื้อนเอ่ยออกมากลับมีแบบแผนเป็นขั้นเป็นตอน“ฮองเฮา ตอนนี้เจ้าถือครองตราประทับทองอยู่ในมือ ไม่ว่าจะจัดการเรื่องอันใดในวังหลัง ก็คงสะดวกยิ่งขึ้น“อาทิเช่นรายชื่อของนางสนมอุ่นเตียง คงถึงเวลาจัดการให้เป็นระบบระเบียบแล้ว“กลุ่มที่เพิ่งเข้ามาใหม่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่เหล่านางสนมที่เข้าวังมาเนิ่นนานแล้วคงมิอาจรีรอได้อีกต่อไป“โดยเฉพาะ ‘คนเก่า ๆ’ เฉกเช่นเสียนเฟยและหนิงเฟย อย่าได้ปล่อยให้พวกนางเหน็บหนาวหัวใจเชียว“หากเจ้าทำให้ฝ่าบาทมอบความเมตตาแก่ทุกคนอย่างทั่วถึง นางสนมเหล่านั้นจักเคารพเจ้าเป็นแน่ และจะเชื่อฟังเจ้าแต่เพียงผู้เดียว“เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็จะสามารถควบคุมวังหลังได้ง่ายกว่าเดิม…”เฟิ่งจิ่วเหยียนผงกหัวตอบรับ“เสด็จแม่พูดถูกเพคะ“คราที่หม่อมฉันยังอยู่ในจวน ก็ได้ฟังท่านแม่พร่ำสอนอยู่บ่อยครั้ง หากภายในเรือนสงบสุข ประมุขย่อมจัดการเรื่องภายนอกได้อย่างสบายใจ นี่คือหลักการเป็นภรรยา”ไทเฮาพยักหน้าอย่างปลื้มใจ“ในเมื่อฮองเฮาทราบถึงหลักการนี้ ข้าก็สบายใจ”เมื่อออกมาจากตำหนักฉือหนิง เหลียนซวงก็รีบกล่าวเตือนเฟิ่งจิ่วเหยียน“พระนาง ไทเฮ

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 15

    ไทเฮาถามข้าหลวงที่มาทูลรายงาน “ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น? ไฉนอยู่ดี ๆ ถึงทะเลาะกันขึ้นมาล่ะ? ใครเป็นคนเริ่ม?”ข้าหลวงผู้นั้นตอบกลับ“พระสนมทั้งหลาย…พวกนาง พวกนางไม่พอใจหนิงเฟย เริ่มแรกเพียงทะเลาะกันด้วยฝีปากเท่านั้น ทว่าต่อมาก็เริ่มลงไม้ลงมือ หนิงเฟยถูกล้อมไว้หลายคน ไร้เรี่ยวแรงเอาคืน…” “เป็นเช่นนี้หรือ!” เมื่อครู่ไทเฮายังนิ่งดูดาย แต่พอได้ยินว่าหลานสาวของตนเสียเปรียบ พลันกังวลขึ้นมาทันที“ฮองเฮาล่ะ! หรือว่าฮองเฮาแค่ดูเฉย ๆ!”……ตำหนักหย่งเหอหนิงเฟยผู้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ไหนเลยจะเคยถูกกระทำเช่นนี้ตั้งแต่ที่เข้าวังมา ฝ่าบาทไม่เคยเอ็นดูเมตตานาง ปล่อยให้คนที่เคยงดงามในวัยเยาว์เช่นนางกลายเป็นสตรีทึนทึกตอนนี้ไม่ว่าผู้ใดต่างก็กล้าเหยียบย่ำนาง ว่านางไม่คู่ควรกับตำแหน่ง ดีแต่พึ่งพาบารมีผู้เป็นป้านางจึงทนไม่ไหวเป็นธรรมดาส่วนใครเป็นคนลงไม้ลงมือ นางไม่รู้จริง ๆรู้แค่ว่าจู่ ๆ ก็มีเสียงคนกรีดร้อง จากนั้นก็มีคนมาล้อมนางไว้โดยพลันบ้างดึงผมนาง บ้างกระชากอาภรณ์ของนาง ถึงขั้นมีคนถุยน้ำลายใส่นางด้วยซ้ำ!!!หนิงเฟยจึงแทบเสียสติเมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นภาพนี้ สีหน้าพลันเคร่งขรึมตอนที

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 16

    ห้องมืดใต้ดินที่คับแคบ ได้เจอกันเพราะโลกกลมหากเจ้าไม่ตายก็ข้าตายตาคิ้วคมของชายหนุ่ม แววตาแคบลง รัศมีสังหารนั้น อันตรายอย่างยิ่งเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้สวมชุดดำ ไม่ได้คลุมหน้าหากไม่มั่นใจว่าจะสามารถฆ่าเขาได้ในคราวเดียว ก็นิ่งไว้ รอจังหวะบุกโจมตี ไม่เช่นนั้นหากถูกเปิดเผยความจริงว่านางมีวรยุทธ ก็จะถูกเปิดเผยสถานะนักฆ่ายิ่งไปกว่านั้น นางไม่เหมือนกับฮ่องเต้ทรราช ไม่มีความชอบเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์คนคนนี้แค่ทำตามคำสั่ง ไม่ใช่คนชั่วช้าอำมหิตหัวสมองของนางครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว หาวิธีว่าจะเอาตัวรอดออกไปยังไง“เจ้าเป็นใคร มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”สายตาเซียวอวี้เยือกเย็นที่แท้ ฮองเฮาไม่รู้ว่าเขาเป็นใครก็ใช่ พวกเขาเคยเจอกันแค่สองครั้งวันแต่งงานคืนแรก ในมุ้งไร้แสงไฟคืนวันจับตัวนักฆ่า เขาอยู่ข้างหลังนาง นางยืนอยู่ในถังอาบน้ำ หันหลังให้กับเขาตลอด ไม่ได้หันมามองดูเขาเลยนางไม่รู้ว่าจริง ๆ ว่า เขารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรแต่ในเมื่อฮองเฮารู้ความลับของเขา งั้นก็เก็บไว้ไม่ได้“รนหาที่ตาย...”เสียงของเขาค่อนข้างแหบ เหมือนเคยถูกไฟเผาเฟิ่งจิ่วเหยียนนิ่งอยู่กับที่ เตรียมพร้อมกับการต่อสู้

Latest chapter

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1154

    จันทร์เสี้ยวลอยลงต่ำ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูงณ พระราชวังแคว้นซีหนี่ว์ในที่ประชุมเช้า เหล่าขุนนางมองไปยังคนที่อยู่บนบัลลังก์มังกร ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย และความประหลาดใจขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยถามอย่างใจกล้า“คนที่นั่งอยู่บนนั้น เจ้าเป็นใคร! แล้วประมุขแคว้นอยู่ที่ใด!”คนที่อยู่ด้านบน ถึงแม้หน้าตาจะคล้ายกับประมุขแคว้น ทว่าส่วนท้องนูนออกมา เห็นชัดว่าเป็นลักษณะของการตั้งครรภ์ คนผู้นี้กับประมุขแคว้นเมื่อหลายวันก่อนผู้นั้น ไม่ใช่คนเดียวกันโดยสิ้นเชิงความแตกต่างที่เห็นชัดเช่นนี้ ขอเพียงไม่ใช่คนตาบอด ก็มองออกชัดเจนหลังจากมีคนหนึ่งออกหน้า คนอื่น ๆ ก็พากันเกิดความสงสัยตามมา“รีบบอกมา เจ้าเป็นใครกันแน่!”“เจ้าคนชั่วอาจหาญ กล้าสวมรอยเป็นประมุขแคว้น ยังไม่รีบลงมาอีก!”“ประมุขแคว้นเล่า? ทหารรักษาพระองค์อยู่ที่ใด รีบไปตามหาประมุขแคว้น!”ในราชสำนักเริ่มเกิดความวุ่นวายก่อนหน้านี้หูย่วนเอ๋อร์ก็ถูก “ขัง” อยู่ในคุก มิได้เข้าร่วมประชุมเช้าของวันนี้ จึงมีเพียงโอวหยางเหลียนเท่านั้นที่รู้ความจริงในที่นี้โอวหยางเหลียนยืนอยู่ตรงนั้น โดยไม่เอ่ยสิ่งใดจากนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนที่อยู่บนบัลลังก์มังกรก

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1153

    เมิ่งฉวีกับภรรยามองดูคนตรงหน้า ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแม่ทัพเมิ่งเอ่ยเตือนด้วยคำพูดดี ๆ“ต้วนเจิ้ง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของรัชทายาท ที่ประทับของฮองเฮา เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”ต้วนเจิ้งเป็นน้องชายแท้ ๆ ของต้วนไหวซวี่จิ่วเหยียนก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างดีที่สุด มอบบ้านพักที่เซียวเหยาจวีให้กับเขา ทำให้เขาไม่ต้องเร่ร่อนไร้ที่อยู่ก่อนหน้านี้เพราะหร่านชิวบังคับให้บอกตำแหน่งหลุมฝังศพของต้วนไหวซวี่ จึงจับต้วนเจิ้งไปขังไว้ เพื่อหลบหนีออกจากกรงขัง ต้วนเจิ้งจึงล้มจนขาหักผ่านการพักฟื้นกว่าสองปี ตอนนี้ขาของเขาหายเป็นปกติแล้ว สามารถยืนและเดินได้ฮูหยินเมิ่งมองออกว่า ต้วนเจิ้งผู้นี้โตแค่อายุ ความคิดไม่ได้โตตามไปด้วยเขายังปฏิบัติตนเองเหมือนเป็นเด็ก คิดจะตามติดจิ่วเหยียนตลอดเวลา มีบางคำพูด จิ่วเหยียนไม่อาจทำใจที่จะเอ่ยออกมาตรง ๆ ได้ แต่นางในฐานะอาจารย์หญิง อดรนทนไม่ไหวจริง ๆฮูหยินเมิ่งจึงตัดสินใจอาศัยโอกาสนี้ เอ่ยกับต้วนเจิ้งโดยไม่เหลือความปรานี“ความรู้สึกระหว่างพี่ชายเจ้ากับฮองเฮา กลายเป็นอดีตไปนานแล้ว ต้วนไหวซวี่กับฮองเฮาไม่มีความเกี่ยวพันกันอีก และยิ่งกับเจ้าด้วยแล้ว?“เจ้าพยาย

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1152

    หลังจากส่งเวยเฉียงกลับไปแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนยังไม่ได้กลับไปที่พระราชวังแคว้นซีหนี่ว์ทันทีนางให้ตัวแทนกลับเข้าวังไปก่อน จะอาศัยโอกาสนี้ทำให้สายลับเหล่านั้นเกิดความสับสนในเวลาเดียวกัน นอกชายแดนแคว้นซีหนี่ว์แคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งเริ่มคันไม้คันมือ อยากจะลงมือเต็มที่แม่ทัพใหญ่หลายคนกำลังหารือกันอยู่ภายในกระโจมค่ายทหาร ว่าหากมีการบุกโจมตีแคว้นซีหนี่ว์ จะฝ่าทะลวงเข้าไปตรงจุดใดเพียงแต่ ปัญหาใหญ่ที่สุดในตอนนี้ก็คือ ประมุขแคว้นของแคว้นซีหนี่ว์ในตอนนี้ แท้จริงแล้วคือฮองเฮาของหนานฉี---เฟิ่งจิ่วเหยียนหรือไม่“สายลับอยู่ไหน ยังไม่มีข่าวหรือ!” หนึ่งในแม่ทัพเอ่ยด้วยความอดทนถึงขีดสุด พร้อมถามอย่างเร่งรีบ“รายงานท่านแม่ทัพ สายลับถึงพระราชวังแคว้นซีหนี่ว์แล้ว เชื่อว่าไม่นานจะสามารถตรวจสอบตัวตนของประมุขแคว้นผู้นั้นได้อย่างชัดเจน!”ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ก็ไม่อาจคลายความหงุดหงิดในใจของแม่ทัพอีกหลายคนได้“ให้พวกเขาลงมือโดยเร็วที่สุด! เหล่าทหารตั้งค่ายอยู่ที่นี่ แต่ละวันต้องสิ้นเปลืองเสบียงและเบี้ยเลี้ยงไม่น้อย!”“ขอรับ ท่านแม่ทัพ!”ในเวลานี้ แม่ทัพคนหนึ่งของแคว้นเจิ้งเสนอความเห็น“ท่านท

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1151

    ก่อนเฟิ่งจิ่วเหยียนจะมาที่แคว้นซีหนี่ว์ ก็มีแผนปฏิบัติการอยู่แล้วแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้จัดส่งสายลับ มุ่งหน้ามายังพระราชวังแคว้นซีหนี่ว์ เพื่อสืบดูว่าประมุขแคว้นคือนางหรือไม่ยิ่งไปกว่านั้น ภายในแคว้นซีหนี่ว์ก็มีคนก่อความวุ่นวาย หมายปองตำแหน่งประมุขแคว้นครั้งนี้ประจวบเหมาะที่จะใช้แผนซ้อนแผนเฟิ่งจิ่วเหยียนจึงบอกกับซ่งหลี“พรุ่งนี้เจ้าพาเวยเฉียงกลับหนานฉี แคว้นซีหนี่ว์ทางนี้ มีข้ากับฝ่าบาท”นางเอ่ยเช่นนี้แล้ว แน่นอนว่าซ่งหลีไม่อาจขอร้องสิ่งใดได้เฟิ่งเวยเฉียงยังคงรู้สึกกังวลอยู่บ้าง“พี่หญิง ไม่ต้องการให้ข้าช่วยจริงหรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนส่งสายตายืนยันต่อนาง“หากเจ้ากับซ่งหลีกลับหนานฉีอย่างปลอดภัย ข้าจะได้ไม่ต้องกังวลอีกแล้ว”เฟิ่งเวยเฉียงพยักหน้า“ได้ ข้าจะเชื่อฟังพี่หญิง”ปากก็ตอบตกลงอย่างแน่วแน่ แต่ในใจกลับรู้สึกอ้างว้างหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางทนไม่ไหวจึงถามออกมา“พี่หญิง หากจัดการปัญหาความไม่สงบของแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งเรียบร้อยแล้ว ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ จะเป็นผู้ใดที่มารับตำแหน่ง?”นางรู้ว่า พี่หญิงจะต้องกลับไปแคว้นซีหนี่ว์อย่างแน่นอนเฟิ่งจิ่วเหยี

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1150

    นอกพระราชวัง ภายในเรือนพักแห่งหนึ่งที่แห่งนี้เฟิ่งเวยเฉียงได้พบกับพี่หญิงที่คนึงหาอยู่ทุกเวลา นางรู้สึกตื่นเต้นและดีใจ ขณะที่คิดจะเข้าไปสวมกอดอีกฝ่าย กลับเหลือบเห็นท้องที่นูนขึ้นมา“พี่หญิง นี่ท่านกำลัง?”เฟิ่งเวยเฉียงนึกถึงบางอย่าง ทว่าก็รู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน“ข้าตั้งครรภ์แล้ว”เฟิ่งเวยเฉียงอ้าปากค้างด้วยความคิดไม่ถึง “จริงหรือ?!”นี่ช่างดีเหลือเกิน!พี่น้องสองคนนั่งลง นานแล้วที่ไม่ได้เจอกัน มีคำพูดมากมายที่อยากเอ่ยในห้องข้าง ๆ กันเซียวอวี้อยู่กับซ่งหลี สีหน้าของซ่งหลีดูแตกต่างจากเมื่อครั้งก่อนมาก ใต้ตาเป็นรอยคล้ำเหมือนมี “ถุงใต้ตา” ความกลัดกลุ้มเผยออกมาให้เห็นภายนอกเซียวอวี้กลับถามราวไม่ได้สังเกตอะไร“เป็นอย่างไรบ้างกับการเป็นพระสวามี?”ซ่งหลีก้มศีรษะลงต่ำ เย้ยหยันตนเองด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย“ข้าน้อยไร้ความสามารถ ไม่อาจทำได้ดี”เซียวอวี้ขมวดคิ้วเหตุใดถึงมีสีหน้าอมทุกข์?คงไม่ใช่ว่า เฟิ่งเวยเฉียงผู้นั้นได้ใหม่แล้วลืมเก่า มีสนมชายคนโปรดแล้ว?จู่ ๆ ซ่งหลีก็นึกถึงเรื่องบางอย่าง แววตาเป็นประกายทันทีเขาลุกขึ้นยืน พร้อมปร

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1149

    เฟิ่งเวยเฉียงน้อยใจเต็มอกสองคนตรงหน้า คนหนึ่งคือมารดา อีกคนคือสวามีของนางพวกเขาล้วนไม่เชื่อใจนาง“เป็นกษัตริย์ ต้องทุ่มเทเพื่อแคว้น ปวดหัวแค่นี้จะเป็นอะไรไป?“ยามที่ท่านป้าเป็นประมุขแคว้น ได้รับบาดเจ็บนับครั้งไม่ถ้วน เกือบเสียชีวิตไปหลายครั้ง นางยังไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ เหตุใดพวกท่านต้องบอกให้ข้ายอมแพ้?“ข้ารู้ว่าท่านพี่เตรียมตัวแทนไว้แล้ว แต่ข้าอาจจะทำได้ดีกว่าตัวแทนคนนั้นก็ได้ เหตุใดต้องเสี่ยงด้วย?“พวกท่านไม่รู้เลยสักนิด ท่านพี่อยู่ไกลขนาดนั้น ก็ไม่รู้หรอก ว่าตอนนี้แคว้นซีหนี่ว์เผชิญอันตรายมากมายแค่ไหน“แคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งส่งสายลับมามากมาย ในวังล้วนถูกพวกเขาแทรกซึมเข้ามาหมดแล้ว อีกอย่างพวกเขาได้วางกำลังทหาร เพื่อรอบุกโจมตีแคว้นซีหนี่ว์ และโอกาสที่พวกเขารอคอยอยู่ ก็คือสถานะตัวตนของประมุขแคว้นอย่างข้า“เมื่อใดที่พวกเขารู้ว่าข้าคือตัวปลอม ข้าไม่ใช่ฮองเฮาแห่งแคว้นหนานฉี พวกเขาต้องเคลื่อนทัพเป็นแน่! ตัวแทนรับมือไม่ไหวหรอก!”แต่ไหนแต่ไรนางเป็นคนอ่อนโยนว่าง่าย ปกติเวลาคนอื่นพูดอะไร นางก็จะไม่โต้แย้งแต่ครั้งนี้ เพื่อตำแหน่งประมุขแคว้น นางจึงยืนกรานแน่วแน่เป็นพิเศษซ่งหลี

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1148

    เดือนห้า อากาศหนาวหมดไปเฟิ่งจิ่วเหยียนกับเซียวอวี้เริ่มเดินทางไปทางทิศตะวันออก ในชุดลำลองสบายตัว และตรวจลาดตระเวนแต่ละเมืองไปในตัวเลี่ยอู๋ซินตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังแคว้นตงซาน ช่วยจับกุมซุนโฉวที่หลบหนีไป เพื่อกำจัดกลุ่มค้ามนุษย์แบบถอนรากถอนโคลน……แคว้นซีหนี่ว์เฟิ่งเวยเฉียงได้รับจดหมายของท่านพี่ บอกว่าส่งตัวแทนมาแล้วทว่านางไม่วางใจมอบหมายราชกิจของแคว้นซีหนี่ว์ให้ตัวแทนดูแล จึงยังดำรงตำแหน่งประมุขแคว้นดั่งเดิมประการแรกกลัวว่าตัวแทนจะเปิดเผยตัวตน จนสร้างหายนะครั้งใหญ่ ประการที่สอง นางเริ่มรับมือเรื่องราวในแคว้นซีหนี่ว์ได้คล่องแล้ว ในเมื่อมีสายเลือดในราชวงศ์ซีหนี่ว์ ก็ถือเสียว่าแบกรับความรับผิดชอบ ทำอะไรเพื่อแคว้นบ้างซ่งหลีโน้มน้าวนางหลายครั้ง หวังว่านางจะกลับแคว้นหนานฉีกับตัวเอง แต่ก็ไม่กล้าพูดความจริงกับนาง——เพราะกลัวว่าอาการเดิม ๆ ของนางจะกำเริบขึ้นมาอีกครั้งวันนี้ หลังว่าราชกิจเช้าเสร็จเฟิ่งเวยเฉียงรู้สึกปวดหัวแทบร้าวนางวางฏีกาในมือลง ใช้สองมือกุมศีรษะ ลุกขึ้นอย่างเจ็บปวด“ท่านประมุข!” ซ่งหลีที่อยู่ข้าง ๆ นางเห็นเช่นนั้น ก็รีบเข้าไปประคองนางแววตาของเขาแฝงไปด้วยควา

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1147

    “คุณชายเซียว รอก่อนนะ บะหมี่ใกล้จะเสร็จแล้ว!”ขณะที่เหลียนซวงทำในสิ่งที่ชอบ กลับไม่รู้เลยว่าการที่นางทำตัวยุ่งเช่นนี้ สำหรับเซียวจั๋วมันกลับเป็นภาระทางใจไม่นาน บะหมี่ก็เสร็จเหลียนซวงยกมาวางบนโต๊ะ มองเซียวจั๋วด้วยความคาดหวังเต็มเปี่ยม“คุณชายเซียว ขอให้ท่านอายุยืน เหมือนมู่หรงจ่างจี๋…ไม่สิ ๆ ๆ! ปากข้านี่นะ คนชั่วร้ายอย่างมู่หรงจ่างจี๋ คุณชายเซียวจะเหมือนเขาได้อย่างไร”เซียวจั๋วไม่ได้กินบะหมี่ เขาเพียงถามเหลียนซวง“เจ้ามีความสุขหรือไม่?”เหลียนซวงมีสีหน้าชะงักงัน“ข้าก็ต้องดีใจ ที่คนชั่วได้รับผลกรรมแล้ว  อีกอย่าง วันนี้หมอยังบอกว่า ดวงตาของท่านเริ่มดีขึ้นแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานก็จะกลับมามองเห็นแสงสว่างอีกครั้ง…”“เหลียนซวง ระหว่างข้ากับเจ้าไม่มีทางเป็นไปได้” เซียวจั๋วเม้มปาก เขาเองก็ไม่คิด ว่าสุดท้ายต้องพูดถึงขั้นนี้เหลียนซวงนิ่งงัน จากนั้นก็ยิ้มอย่างปลง ๆ“คุณชายเซียว ข้ารู้ ท่านเป็นถึงเครือญาติของราชวงศ์ ส่วนข้า…”“ไม่เกี่ยวกับเจ้ามีสถานะเช่นไร เหลียนซวง ข้าแก่กว่าเจ้ามาก ไม่อยากให้เจ้าพลอยลำบากไปด้วย”ทันทีที่เหลียนซวงได้ยินคำพูดนี้ นัยน์ตาพลันทอประกาย“ท่านแค่ไม่อยากใ

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1146

    ร่วนฝูอวี้ชอบผู้หญิงมาโดยตลอด ถึงแม้อยู่กับบุรุษ มีเพียงนางเท่านั้นที่กล้าหยอกล้ออีกฝ่ายเท่านั้นพอตอนนี้เผชิญกับคำสารภาพของรุ่ยอ๋อง นางพลันทำตัวไม่ถูกอีกอย่างเห็น ๆ กันอยู่ว่าเขาชอบผู้ชาย…รุ่ยอ๋องเห็นนางมีปฏิกิริยาขนาดนี้ ก็รีบอธิบาย“พวกเราเคยประสบพบเจอเรื่องราวเหมือน ๆ กันมา หากใช้ชีวิตด้วยกัน มันก็ดีไม่ใช่หรือ?“หากเจ้าไป ข้าก็ต้องแต่งงานกับคนใหม่ คงไม่มีใครเหมือนเจ้า ที่ไม่ร้องขอสิ่งใดกับข้า “อีกอย่างข้ายังต้องคอยระแวงปกปิดตัวตนอีกด้วย เช่นนี้แล้ว สู้เราอยู่ด้วยกันแบบนี้ต่อไปไม่ดีกว่าหรือ”เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ หร่วนฝูอวี้ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก“ที่แท้ท่านก็หมายถึงอย่างนี้นี่เอง”นึกว่าเขาคิดไม่ซื่อกับนางจริง ๆ เสียอีก……ความผิดของมู่หรงจ่างจี๋ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน ก่อให้เกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่เหล่าประชาชนยากที่จะเชื่อ มู่หรงจ่างจี๋ผู้นั้นจะมีอายุยืนมาถึงขนาดนี้“คนผู้นี้ต้องมีวิชาอมตะเป็นแน่ แต่เพราะหวั่นเกรงฝ่าบาท จึงถูกประหาร”“คดีมนุษย์โอสถซับซ้อนซ่อนเงื่อน ก่อนหน้านี้บอกว่าผู้ร้ายตัวจริงคือมู่หรงสวี้ ตอนนี้เปิดเผยออกมาว่าเป็นมู่หรงจ่างจี๋ ครั้งนี้คงไม่ผ

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status