ฉันเดินออกจากห้องเรียนด้วยหัวใจที่เต้นระรัว เสียงฝีเท้าของครูพีทยังคงก้องอยู่ในหู ราวกับว่าทุกก้าวที่เขาเดินออกจากห้องนั้นฝากอะไรบางอย่างไว้ในใจฉัน ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน มันทั้งตื่นเต้นและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน ฉันพยายามสลัดความรู้สึกนี้ออกไป แต่ก็พบว่ามันติดแน่นอยู่ในหัวใจฉันเหมือนฝันร้ายที่ฉันไม่อาจหลีกหนีได้
ฉันเดินไปตามทางเดินของโรงเรียนที่เงียบสงบเพราะยังเป็นช่วงพักกลางวัน นักเรียนส่วนใหญ่ยังคงอยู่ที่ห้องอาหาร ฉันพยายามทำตัวให้ปกติ แต่ภายในใจกลับว้าวุ่นจนฉันรู้สึกว่าใครๆ ก็คงมองออกว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับฉัน
ในที่สุดฉันก็กลับมาถึงห้องเรียนและนั่งลงที่โต๊ะของฉัน ฉันหยิบหนังสือเรียนขึ้นมาเปิดอ่าน หวังว่าจะสามารถตั้งสมาธิได้ แต่ความคิดของฉันกลับพุ่งตรงไปยังครูพีทอีกครั้ง ความอบอุ่นจากการสัมผัสมือของเขายังคงติดอยู่ในความทรงจำ และฉันไม่อาจลบมันออกไปได้
‘ทำไมฉันถึงรู้สึกแบบนี้?’ ฉันถามตัวเองในใจ แต่ไม่มีคำตอบใดที่สามารถตอบสนองความสงสัยของฉันได้ ฉันรู้ดีว่าครูและนักเรียนไม่ควรมีความสัมพันธ์เกินเลย แต่ทุกครั้งที่ฉันนึกถึงครูพีท ความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้นกลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ฉันพยายามจะสนใจเนื้อหาที่กำลังเรียนในช่วงบ่าย แต่ก็พบว่ามันยากเหลือเกิน ทุกครั้งที่ครูพีทมองมาที่ฉัน ฉันรู้สึกเหมือนถูกสะกดให้หยุดหายใจ สายตาของเขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตกอยู่ในกับดักที่ฉันเองเป็นคนสร้างขึ้น
เมื่อเลิกเรียนในวันนั้น ฉันตัดสินใจว่าจะต้องออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง ฉันเดินออกไปที่สวนหลังโรงเรียน ซึ่งเป็นที่ที่ฉันมักจะมานั่งคิดอะไรเงียบๆ ตั้งแต่วันแรกที่ฉันมาถึงที่นี่
ฉันนั่งลงบนม้านั่งไม้ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ลมเย็นพัดผ่านใบไม้ ทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย แต่ความว้าวุ่นใจยังคงอยู่ในใจฉัน ฉันปิดตาลงและพยายามหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์
"ลิลลี่" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ฉันสะดุ้ง ฉันหันไปมองและพบว่าครูพีทกำลังยืนอยู่ตรงนั้น เขามองฉันด้วยสายตาที่ฉันไม่อาจอ่านได้ แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกทั้งหวาดกลัวและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน
"คะ...ครูพีท" ฉันตอบกลับด้วยเสียงที่สั่นเล็กน้อย ฉันไม่แน่ใจว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ แต่ฉันก็ไม่อาจละสายตาจากเขาได้
"ฉันเห็นเธอมาที่นี่บ่อยๆ ดูเหมือนเธอจะชอบที่นี่นะ" ครูพีทพูดขณะที่เดินเข้ามาใกล้ ฉันรู้สึกได้ถึงความร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายเมื่อเขายืนอยู่ใกล้ๆ
"ค่ะ... ที่นี่เงียบดี หนูชอบมานั่งคิดอะไรเงียบๆ ที่นี่" ฉันตอบกลับพยายามไม่ให้เสียงของฉันสั่นอีกครั้ง
ครูพีทนั่งลงข้างๆ ฉัน บรรยากาศรอบตัวเรากลับรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ราวกับว่าลมเย็นที่พัดผ่านมาตลอดเวลาหายไปหมดสิ้น ฉันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายของเขาที่อยู่ใกล้แค่นี้
"เธอดูเป็นเด็กที่มีอะไรในใจเยอะนะ" ครูพีทพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล สายตาของเขามองตรงไปที่ฉัน ราวกับว่าเขากำลังพยายามอ่านความคิดของฉัน
"ค่ะ... หนูแค่... หนูแค่คิดถึงเรื่องหลายๆ อย่าง" ฉันพยายามหาคำตอบที่ไม่ทำให้เขาสงสัยในความรู้สึกของฉัน
"บางครั้งการได้พูดออกมาก็ช่วยได้มากนะ ลิลลี่" ครูพีทพูดพลางยิ้มให้ฉัน รอยยิ้มนั้นทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่น แต่ก็ทำให้หัวใจฉันเต้นเร็วขึ้นด้วย
ฉันลังเลอยู่นานก่อนจะตัดสินใจพูด "หนูแค่รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับที่นี่... ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงต้องมาที่นี่ ทั้งที่รู้ว่ามันยากแค่ไหน"
ครูพีทยังคงมองฉันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ "ไม่มีใครเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกับอะไรหรอก ลิลลี่ มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ที่เราเผชิญ ถ้าเธอพยายามและไม่ยอมแพ้ เธอก็จะพบว่าตัวเองสามารถทำสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะทำได้"
ฉันมองเขา รู้สึกถึงความจริงในคำพูดของเขา แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกว้าวุ่นในใจที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่ฉันอยู่ใกล้เขา "ขอบคุณค่ะ... ครู หนูจะพยายาม"
"ฉันเชื่อว่าเธอทำได้" เขาพูดพร้อมกับยิ้มให้ฉันอีกครั้ง จากนั้นเขาก็เอื้อมมือมาวางบนไหล่ของฉันเบาๆ "ถ้าเธอรู้สึกว่าอะไรยากเกินไป อย่าลังเลที่จะมาคุยกับฉันได้เสมอ"
การสัมผัสนั้นทำให้หัวใจฉันเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง ฉันรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ราวกับว่าการสัมผัสนั้นได้จุดไฟบางอย่างในใจฉัน
ฉันพยักหน้ารับเบาๆ ไม่กล้าพูดอะไรต่อ เพราะกลัวว่าความรู้สึกในใจจะเผยออกมาผ่านน้ำเสียงที่สั่นไหวของฉัน
ครูพีทลุกขึ้นและยิ้มให้ฉันอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป ฉันมองตามหลังเขาไปจนเขาหายลับไปจากสายตา แต่หัวใจของฉันยังคงเต้นแรง และความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้นยังคงคุกรุ่นในใจฉัน
เมื่อกลับไปที่ห้องพักของฉัน ฉันนั่งลงบนเตียงและพยายามหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ แต่ทุกครั้งที่ฉันหลับตา ภาพของครูพีทก็กลับมาอีกครั้ง การสัมผัสที่ไหล่ของฉันยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำ
‘ฉันจะทำยังไงดี?’ ฉันถามตัวเองในใจ ความรู้สึกนี้มันยากที่จะอธิบาย ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรรู้สึกแบบนี้ แต่ทุกครั้งที่ฉันอยู่ใกล้ครูพีท หัวใจของฉันกลับทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาเป็นคนพิเศษ
เวลาผ่านไป ฉันพยายามทำใจและเริ่มทำการบ้านที่ได้รับมา แต่สมาธิของฉันก็หลุดลอยไปทุกครั้งที่นึกถึงครูพีท ฉันไม่สามารถหยุดคิดถึงเขาได้ มันเหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันพยายามทำกลายเป็นเรื่องไร้ความหมายไปเมื่อเทียบกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจฉัน
วันต่อมา ฉันกลับมาที่ห้องเรียนตามปกติ แต่วันนี้ความรู้สึกที่ว้าวุ่นยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อฉันเดินเข้ามาในห้องและเห็นครูพีทอยู่ที่โต๊ะครู เขากำลังตรวจเอกสารบางอย่าง แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นและสบตากับฉัน ฉันรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน
ฉันพยายามทำตัวให้ปกติและนั่งลงที่โต๊ะของฉัน แต่สายตาของครูพีทยังคงติดอยู่ในหัวของฉัน รอยยิ้มอ่อนโยนของเขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าหาเขาอีกครั้ง
ในช่วงเวลานั้น ฉันรู้สึกว่าฉันไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้อีกต่อไป ฉันรู้ว่าฉันควรจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้ฉันรู้สึกแบบนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าฉันไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย
ในชั่วโมงเรียน ครูพีทดูเงียบขรึมกว่าปกติ เขาสอนเนื้อหาวรรณคดีด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง ฉันรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้น ทุกครั้งที่เขาหันมามอง หัวใจของฉันรู้สึกเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อชั่วโมงเรียนจบลงและนักเรียนคนอื่นๆ เริ่มออกจากห้อง ฉันเก็บของช้าๆ หวังว่าจะได้อยู่คนเดียวสักพัก แต่ทันใดนั้น เสียงของครูพีทก็ดังขึ้นข้างหลังฉัน
"ลิลลี่ มาที่หน้าห้องสิ” ครูพีทพูดเสียงเบา แต่กลับมีอำนาจที่ทำให้ฉันไม่อาจปฏิเสธได้ ฉันหันไปมองเขา หัวใจของฉันเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง
“หนูทำอะไรผิดหรือเปล่าคะ?” ฉันถามเสียงเบา
"เธอไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก แต่ฉันคิดว่าเธอมีบางอย่างที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม" ครูพีทยิ้มเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือมาแตะที่คางเพื่อยกหน้าของฉันให้สบตากับเขา
สายตาของครูพีทที่มองมาเต็มไปด้วยความปรารถนาที่ไม่สามารถปิดบังได้ ฉันรู้สึกถึงความร้อนที่เพิ่มขึ้นในอก และลมหายใจที่เริ่มติดขัดเมื่อเขาเข้ามาใกล้ขึ้น
“บทเรียนอะไรเหรอคะ?” ฉันพึมพำออกมาไม่มั่นใจ
“หลังเลิกเรียนเธอมาหาฉันที่ห้องพักครู ฉันจะได้สอนบทเรียนที่เธอยังไม่เข้าใจ” ครูพีทยิ้มมุมปาก
ฉันพยักหน้าเบาๆ "ได้ค่ะ หนูจะไป"
หลังจากเลิกเรียน ฉันเดินไปที่ห้องพักครูด้วยหัวใจที่เต้นแรง ฉันไม่แน่ใจว่าทำไมครูพีทถึงต้องการพบฉันเป็นการส่วนตัว แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจทำให้ฉันรู้สึกทั้งตื่นเต้นและระแวงในเวลาเดียวกัน
เมื่อฉันมาถึงหน้าห้องพักครู ฉันเคาะประตูเบาๆ แล้วเปิดเข้าไป ครูพีทนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของเขา และเมื่อเขาเห็นฉัน เขายิ้มอย่างอบอุ่น
"เข้ามาสิ ลิลลี่" เขาพูดขณะที่ชี้ไปที่เก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับเขา
ฉันนั่งลงและพยายามควบคุมความตื่นเต้นในใจ "ครูจะสอนบทเรียนอะไรคะ?"
ครูพีทหยิบเอกสารบางอย่างขึ้นมา "ฉันเห็นว่าเธอมีปัญหากับการทำความเข้าใจบทเรียนนี้ ฉันคิดว่าเราควรจะทบทวนมันด้วยกัน"
ฉันพยักหน้าและเริ่มเปิดหนังสือเรียนของฉัน แต่ทุกครั้งที่ฉันพยายามตั้งสมาธิ สายตาของครูพีทกลับดึงดูดฉันให้หลุดออกจากความคิดที่ควรจะเป็น
การทบทวนเนื้อหาดำเนินไปอย่างช้าๆ ฉันพยายามที่จะสนใจในสิ่งที่ครูพีทกำลังอธิบาย แต่ความใกล้ชิดของเขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าไปในความสัมพันธ์ที่ฉันไม่ควรมี
เมื่อการทบทวนจบลง ครูพีทยิ้มให้ฉันอีกครั้ง "เธอเข้าใจมากขึ้นไหม?"
ฉันพยักหน้า "ค่ะ ขอบคุณครูมากค่ะ"
"ยินดีเสมอ ถ้าเธอมีปัญหาอะไรก็มาหาฉันได้เสมอ" เขาพูดขณะที่วางมือบนไหล่ของฉันอีกครั้ง
การสัมผัสนั้นทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง ฉันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้น แต่ฉันกลับไม่สามารถห้ามตัวเองได้
ฉันมองเข้าไปในดวงตาของครูพีท รู้สึกถึงความดึงดูดที่ทวีความรุนแรงขึ้น "หนูจะจำไว้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ"
"ยังมีบทเรียนที่เธอต้องเรียนรู้เพิ่มนะ" เขาพูดเบาๆ ก่อนที่จะยิ้มให้ฉันอีกครั้ง
“อะไรคะ?” ฉันมองเขาด้วยความสงสัย
“บทเรียนเกี่ยวกับความรู้สึก... และสิ่งที่เธออาจยังไม่เข้าใจดีพอ”
“เอ๋?”
ฉันเอียงคอมองครูพีทด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะตกใจเมื่อครูพีทดึงฉันเข้าไปใกล้ชิด มือของเขาเคลื่อนมาสัมผัสที่เอวของฉัน ฉันรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย หัวใจของฉันเต้นแรง ความตื่นเต้นและกังวลประดังเข้ามาพร้อมกัน แต่ฉันไม่อาจขยับตัวหนีได้
“ครูคะ..” น้ำเสียงของฉันสั่นเล็กน้อย
“ลิลลี่ บางสิ่งในชีวิตไม่สามารถเรียนรู้ได้จากหนังสือ เธอจะต้องสัมผัสมันด้วยตัวเอง” ครูพีทมองมาที่ฉันด้วยสายตาเจ้าชู้ มุมปากของเขายิ้มขึ้น
ฉันรู้สึกถึงลมหายใจของครูพีทที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกจากตัวของเขา ริมฝีปากของเขาอยู่ใกล้เพียงไม่กี่นิ้ว
ขณะที่ฉันรู้สึกว่าโลกทั้งใบกำลังหยุดนิ่ง ครูพีทก็โน้มตัวเข้ามาใกล้จนริมฝีปากของเขาแตะที่ริมฝีปากของฉันเบาๆ การจูบครั้งแรกนี้อ่อนโยนแต่กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย ฉันรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงจนแทบจะระเบิดออกมา
ฉันไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกนี้ได้ ฉันตอบรับการจูบของครูพีทด้วยความลังเลและความตื่นเต้นที่ปะปนกัน มือของฉันสั่นเล็กน้อยเมื่อครูพีทกอดฉันแน่น ร่างกายฉันรู้สึกอุ่นขึ้นและเต็มไปด้วยความปรารถนาที่ฉันไม่เคยรู้สึกมาก่อน
หลังจากการจูบที่ยาวนานและลึกซึ้ง ครูพีทถอนริมฝีปากออกจากฉันอย่างช้าๆ สายตาของเขามองมาที่ฉันด้วยความปรารถนา ฉันรู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงที่เกินกว่าความเป็นครูกับนักเรียน
“นี่เป็นเพียงบทเรียนแรกเท่านั้น ลิลลี่” ครูพีทกระซิบเบาๆ ข้างหูของฉัน
“เธอพร้อมที่จะเรียนรู้ต่อหรือยัง?”
หลังจากบทเรียนที่ไม่ธรรมดาของวันก่อน ฉันได้สัมผัสครูพีทในแบบที่ไม่เคยคาดคิด ภาพของเขาและการจูบที่ลึกซึ้งนั้นก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของฉัน ฉันพยายามจะลืมมัน พยายามบอกตัวเองว่ามันไม่ควรเกิดขึ้น แต่ทุกครั้งที่ฉันหลับตา ภาพเหล่านั้นกลับชัดเจนยิ่งขึ้น ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่คอยกระซิบบอกฉันว่าความสัมพันธ์แบบนี้เป็นสิ่งที่ผิด กลับถูกบดบังด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่ฉันไม่สามารถควบคุมได้เช้านี้ ฉันเดินเข้าสู่ห้องเรียนด้วยความรู้สึกสับสนในใจ ทันทีที่ฉันก้าวเข้าสู่ห้อง สายตาของฉันก็พบกับครูพีทที่ยืนอยู่หน้าชั้นเรียน เขามองฉันด้วยสายตาที่เข้มข้นและเต็มไปด้วยความหมาย เพียงเสี้ยววินาทีที่เขามองมาที่ฉัน หัวใจของฉันก็เต้นแรงขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างกายของฉันรู้สึกราวกับถูกไฟส่องผ่านเมื่อเขามองมา สายตาของเขาช่างคมกริบและเต็มไปด้วยความปรารถนาที่ฉันรู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่เพียงแค่ฉันที่รู้สึกเช่นนั้น ฉันรู้สึกถึงความร้อนที่เริ่มก่อตัวในท้องของฉัน มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายตลอดชั่วโมงเรียน ฉันพยายามจะมีสมาธิกับบทเรียน แต่ความคิดของฉันกลับวกวนไปที่ครูพีท และสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราครั้งก่อน ความ
ทุกครั้งที่ฉันนึกถึงครูพีท ใจฉันก็เต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมา ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่ทำไมฉันถึงหยุดคิดถึงเขาไม่ได้เลย ฉันรู้ดีว่าสิ่งที่เราทำคือการท้าทายกฎระเบียบที่โรงเรียนเคร่งครัดที่สุด แต่ยิ่งฉันคิดถึงมัน ฉันก็ยิ่งรู้สึกถึงความเร่าร้อนที่ซ่อนอยู่ในใจฉันเช้านี้ฉันตื่นขึ้นมาในหอพักเหมือนเช่นเคย แต่ความรู้สึกที่ติดค้างอยู่ในหัวใจทำให้ฉันไม่สามารถทำตัวเหมือนปกติได้ ฉันพยายามจะไม่คิดถึงเขา แต่ทุกครั้งที่ฉันปิดตา ภาพของครูพีทก็จะปรากฏขึ้นมาในหัว ความใกล้ชิดของเรามันผิด ฉันรู้ดี แต่ฉันก็ไม่สามารถหยุดความรู้สึกนี้ได้“เมื่อวานกลับดึกเหรอ” ซาร่าทักทายฉัน ขณะที่ฉันกำลังเดินไปยังห้องเรียน“เอ้อ...ก็นิดนึง” ฉันหน้าแดงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน“ไม่สบายรึเปล่า?” ซาร่าจ้องมองฉัน ก่อนจะเอามือมาอังที่หน้าผาก“ปะ..เปล่า” ฉันรีบปฏิเสธทันที“ครูพีทใช้งานหนักเหรอ?” ซาร่าพึมพำด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ“ก็...ไม่นะ..”“วันนี้ต้องไปช่วยครูอีกมั้ยอะ?”“อะ..ไม่แน่ใจอะ” ฉันแบ่งรับแบ่งสู้“ฉันไปช่วยมั้ย?” ซาร่าเสนอตัวเอง“ไหวเหรอ มีแต่บทเรียนวรรณคดีทั้งนั้นเลยนะ” ฉันเอียงคอถามเพื่อน เพราะร
ฉันนั่งอยู่บนเตียงในห้องพักที่เงียบสงบ สายตาของฉันจับจ้องไปที่กระดาษแผ่นหนึ่งในมือ มันคือกฎระเบียบของโรงเรียนเซนต์เอมิลี่ ซึ่งฉันได้รับมาเมื่อตอนเข้ามาใหม่ ฉันควรจะอ่านมันตั้งแต่วันแรก แต่ด้วยเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น ฉันกลับลืมไปเสียสนิท กระดาษแผ่นนี้เหมือนเป็นเตือนความจำของสิ่งที่ควรและไม่ควรทำฉันค่อยๆ พลิกกระดาษไปเรื่อยๆ จนมาถึงหน้าสุดท้าย สายตาของฉันก็สะดุดกับกฎข้อที่ 10 ที่ถูกเขียนไว้ด้วยตัวหนังสือสีเข้มกว่าปกติ ฉันรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นทันทีเมื่ออ่านมันกฎข้อที่ 10: ห้ามมิให้มีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่เกินขอบเขตของความเป็นครูและนักเรียน หากพบว่ามีการกระทำเช่นนี้ จะมีการสอบสวนและลงโทษอย่างเคร่งครัดทั้งครูและนักเรียนที่เกี่ยวข้องฉันอ่านประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง ใจของฉันเริ่มเต้นแรงขึ้นเมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับครูพีท ความสัมพันธ์ของเรานั้นข้ามเส้นที่ถูกเขียนไว้ในกฎระเบียบนี้อย่างชัดเจน และฉันก็รู้ดีว่าถ้ามีใครรู้เรื่องนี้ ผลที่ตามมาอาจจะไม่ดีเลยเสียงเปิดประตูดังขึ้น ฉันเงยหน้าขึ้นมองเห็นซาร่า เพื่อนร่วมห้องของฉันเดินเข้ามาพร้อมกับยิ้มกว้าง เธอเพิ่งกลับจา
ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ รู้สึกเหมือนหัวของฉันหนักอึ้งและร่างกายของฉันอ่อนล้าอย่างประหลาด ฉันขยับตัวเล็กน้อยเพื่อพยายามระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยความงุนงงว่าฉันกลับมาถึงหอพักได้อย่างไรขณะที่ฉันกำลังพยายามเรียกสติกลับมา ประตูห้องพักก็เปิดออกอย่างเบามือ ฉันหันไปมองเห็นซาร่า เพื่อนร่วมห้องของฉันเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง“ลิลลี่ เธอโอเคหรือเปล่า?” ซาร่าถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล“ฉันเห็นเธอดูไม่ค่อยดีเลยเมื่อคืนนี้ ตอนที่ครูพีทอุ้มเธอกลับมาที่หอพัก”ฉันชะงักไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของซาร่า“ครูพีท... อุ้มฉันกลับมาที่หอพักงั้นเหรอ?”ฉันถามกลับด้วยเสียงที่ยังคงแหบพร่า หัวใจฉันเต้นแรงขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำว่า ‘ครูพีท’ ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อวานค่อยๆ ทยอยกลับมาในหัวของฉันทีละเล็กทีละน้อย“ใช่ เธอสลบไป ฉันตกใจมากเลยอะ” ซาร่าพูดพลางนั่งลงข้างเตียงของฉัน“ฉัน... ฉันไม่ค่อยแน่ใจ” ฉันตอบกลับเสียงแผ่ว รู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่วใบหน้าเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน“ฉันคงรู้สึกเหนื่อยมากน่ะ...”“เธอแน่ใจนะ เมื่อวานเธอ
เช้าวันนี้ ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องลอดผ่านหน้าต่างหอพัก เข้ามาทักทายฉันด้วยความอ่อนโยน ฉันรู้ดีว่าวันนี้จะไม่ใช่วันธรรมดา ครูพีทจะมารับฉันตอน 10 โมงเช้าเพื่อไปดูงานนิทรรศการภาพถ่ายวรรณคดีในเมือง และมันทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงทุกครั้งที่คิดถึงการได้ใช้เวลาทั้งวันกับเขาขณะที่ฉันกำลังนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ และซาร่า เพื่อนร่วมห้องของฉันก็เดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนทุกครั้ง“ลิลลี่ ตื่นแล้วเหรอ? วันนี้ฉันต้องกลับบ้านนะ” ซาร่าพูดขึ้นพร้อมกับลากกระเป๋าเดินทางของเธอเข้ามา“ที่บ้านมีธุระที่ต้องจัดการ ฉันคงจะกลับมาเรียนอีกทีวันจันทร์เลย”“เอ๊ะ วันจันทร์เลยเหรอ?” ฉันเงยหน้ามองซาร่า ความรู้สึกหวาดหวั่นเกิดขึ้นเมื่อฉันต้องอยู่หอพักเพียงลำพังคนเดียว“ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าเหงาแบบนั้นดิ วันจันทร์แค่แปปเดียวเอง” ซาร่ายื่นมือมาดึงแก้มฉัน“อื้อๆ รู้แล้ว” ฉันส่งยิ้มให้เธอหายกังวลใจ“ถ้ามีอะไรที่อยากคุย ก็โทรหาฉันนะ” ซาร่าย้ำ พร้อมกับลากกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กไปหน้าประตูฉันพยักหน้าและส่งยิ้มให้เธอ ก่อนที่ซาร่าจะอ
ครูพีทขับรถพาฉันไปที่คอนโดของเขา ซึ่งอยู่ห่างจากสวนสาธารณะไม่ไกลนัก เมื่อเรามาถึง ฉันรู้สึกประทับใจกับความหรูหราและเรียบง่ายของสถานที่นี้ คอนโดของครูพีทอยู่ในอาคารสูงที่มองเห็นวิวเมืองกรุงเทพฯ จากที่สูง เขาพาฉันขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบนสุดของอาคาร ซึ่งเป็นที่พักของเขาเองเมื่อประตูคอนโดเปิดออก ฉันรู้สึกถึงบรรยากาศที่อบอุ่นและสะดวกสบายภายในห้อง พื้นที่ถูกตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์นและเฟอร์นิเจอร์ที่มีรสนิยม ทุกอย่างดูสะอาดและเป็นระเบียบ แสงจากโคมไฟที่นุ่มนวลทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น“นี่คือห้องน้ำ และนี่คือเสื้อของฉัน เธอไปอาบน้ำแล้วเปลี่ยนชุดซะ”ครูพีทบอกขณะยื่นเสื้อเชิ้ตสีขาวของเขาให้ฉัน และชี้ไปที่ห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกลฉันรับเสื้อคลุมจากเขา รู้สึกอุ่นใจและขอบคุณในความเอาใจใส่ของเขา“ขอบคุณค่ะ... หนูจะรีบเปลี่ยนเดี๋ยวนี้”ฉันเดินเข้าไปในห้องน้ำและปิดประตูเบาๆ มองตัวเองในกระจก เห็นสภาพที่เปียกชื้นและผมที่ชุ่มน้ำ ฉันถอดเสื้อผ้า รวมถึงชุดชั้นในที่เปียกออกและอาบน้ำเพื่อล้างตัวที่เปียกฝน ก่อนจะเช็ดตัวและเป่าผมอย่างรีบเร่งให้แห้งหมาด ก่อนจะสวมเสื้อเชิ้ตของครูพีท“หอมจัง...” ฉันพึมพำเบาๆ เมื่อได้
แสงแดดยามบ่ายคล้อยสาดส่องเข้ามาผ่านม่านบางเบาในห้องของครูพีท ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้น สัมผัสแรกที่รับรู้คือความอ่อนเพลียที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย กล้ามเนื้อของฉันรู้สึกเหมือนถูกใช้งานจนหมดแรงทุกส่วน ความรู้สึกนี้ทำให้ฉันนอนนิ่งอยู่บนเตียงนุ่มๆ โดยไม่มีแรงแม้แต่จะขยับตัวฉันหันหน้าไปมองรอบห้อง ทุกอย่างเงียบสงบ มีเพียงเสียงนาฬิกาแขวนบนผนังที่บอกเวลาว่าเป็นเวลาบ่ายสี่โมงเย็นแล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่ฉันน่าจะมีพลังสดชื่น แต่ในวันนี้กลับต่างออกไปหัวของฉันหมุนเล็กน้อยขณะที่ฉันพยายามจะลุกขึ้น แต่ร่างกายกลับไม่ยอมตามใจ รู้สึกเหนื่อยล้าและหนักอึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกอบอุ่นจากผ้าห่มที่คลุมร่างกายอยู่ทำให้ฉันอยากจะหลับต่อไปอีกหน่อย แต่ภาพความทรงจำจากเมื่อก่อนหน้านี้ก็ไหลเวียนกลับเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็วครูพีท... เขากลั่นแกล้งฉันอย่างไร้ความปราณี ความรู้สึกของความสุขและความสุขสมที่เขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนอยู่บนสวรรค์และตกอยู่ในห้วงแห่งความสุขไม่รู้กี่รอบ ร่างกายของฉันยังคงรู้สึกถึงสัมผัสที่อ่อนโยนแต่ทรงพลังนั้น ความทรงจำเหล่านั้นทำให้ฉันรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ซ่านอยู่ภายใน แต่ในขณะเดียวกันก็ท
หลังจากที่ฉันทานอาหารเสร็จ ความรู้สึกอบอุ่นและพึงพอใจจากอาหารที่ครูพีททำให้ยังคงอยู่ในใจ ฉันวางช้อนลงอย่างเบามือ ครูพีทยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นฉันทานจนหมดชาม“ขอบคุณค่ะ พี่พีท อาหารอร่อยมากเลยค่ะ” ฉันพูดพร้อมกับยิ้มให้เขาก่อนที่ครูพีทจะตอบอะไร เสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น ทำให้ฉันหันไปมองตามเสียง ครูพีทยืนขึ้นจากเก้าอี้และหันมาพูดกับฉันด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน“น่าจะเป็นแม่บ้านน่ะ”ขณะที่ครูพีทเดินไปที่ประตูเพื่อรับชุดเดรส ฉันก็ลุกขึ้น เริ่มเก็บจานและชามไปที่ห้องครัว ฉันยกถาดอาหารและเดินไปที่ห้องครัว เบาๆ วางถาดบนเคาน์เตอร์ และเริ่มล้างจานในอ่างน้ำอุ่นที่ไหลผ่านมือทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลาย ล้างจานอย่างใจเย็น ความคิดของฉันยังคงวนเวียนถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกับครูพีท ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความใกล้ชิดและความอบอุ่นแบบนี้จากเขา มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งหวานและเต็มไปด้วยแรงปรารถนาเสียงประตูเปิดและปิดเบาๆ ฉันหันไปมองก็เห็นเขายืนอยู่ที่ประตูห้องครัว ในมือของเขามีชุดเดรสที่ถูกพับอย่างเรียบร้อยอยู่บนแขนของเขา“ลิลลี่ ไม่ต้องล้างจานหรอก เดี๋ยวฉันจัดการเอง” ครูพีทพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ
ห้องจัดเลี้ยงในโรงแรมหรูใจกลางลอนดอนเต็มไปด้วยแขกผู้มีเกียรติจากหลากหลายวงการ บรรยากาศอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะและบทสนทนาอันอบอุ่นของผู้คนที่แต่งกายอย่างสง่างาม ผ้าปูโต๊ะสีขาวเรียบหรูตัดกับแสงไฟระยิบระยับ พ่อเฮนรี่และพ่อของครูพีทยืนอยู่ด้านหน้าเวที ทั้งสองทักทายแขกเหรื่อด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจเสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ จากวงออร์เคสตราที่มุมห้อง เพิ่มความหรูหราให้กับบรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ แขกที่มาร่วมงานล้วนแต่งกายงดงามในชุดทางการ ผู้หญิงในชุดราตรียาวสวยหรู ส่วนผู้ชายในสูทตัดเย็บอย่างประณีตฉันยืนอยู่ด้านหลังม่านด้วยความรู้สึกตื่นเต้นระคนประหม่า สวมชุดราตรีสีขาวงาช้างที่ออกแบบมาเพื่อฉันโดยเฉพาะ ผ้าซาตินเนื้อดีจับเดรปอย่างประณีต โอบรับช่วงเอวให้ดูคอด ก่อนชายกระโปรงจะบานออกเล็กน้อยอย่างอ่อนช้อย ผมยาวของฉันถูกเกล้าเป็นมวยต่ำ ประดับด้วยไข่มุกเล็กๆ ที่จัดวางอย่างละเมียดละไม ต่างหูเพชรระยิบระยับที่แม่เลือกให้อย่างพิถีพิถัน ยิ่งช่วยขับความงดงามของลุคนี้ให้สมบูรณ์แบบฉันสูดลมหายใจลึก พยายามสงบจิตใจขณะเสียงพูดคุยจากห้องจัดเลี้ยงดังแว่วเข้ามาเสียงกระซิบและเสียงหัวเราะเบาๆ ของแขก
“พี่พีท!!”เสียงอุทานของลิลลี่ดังขึ้น ดวงตาคู่สวยของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นผมยืนอยู่ตรงหน้าผมกลั้นยิ้มไว้แทบไม่อยู่ เมื่อเห็นสีหน้าทั้งงุนงงและไม่เชื่อสายตาของเธอ“ว่าไงครับ?คู่หมั้นของผม” ผมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ พลางส่งยิ้มให้เธอ“ทะ...ทำไม?” ลิลลี่ยังคงอึ้งจนแทบพูดไม่ออก คำถามที่เต็มไปด้วยความสงสัยปรากฏชัดในสายตาของเธอ“ยังจะปฏิเสธผมอีกมั้ย?” ผมถามยั่วเย้า รอยยิ้มของผมยิ่งกว้างขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าที่แดงซ่านของเธอผมยื่นมือขึ้น ลูบแก้มเธอเบาๆ ราวกับต้องการย้ำเตือนให้เธอรู้ว่านี่คือความจริง ปลายนิ้วสัมผัสกับผิวอ่อนนุ่มของเธอ ความคิดถึงที่เก็บสะสมมานานพลุ่งพล่านขึ้นมาจนผมแทบระงับไว้ไม่อยู่“คิดถึงจะแย่แล้ว เธอล่ะ คิดถึงฉันมั้ย?”“คือ...หนู...งงไปหมดแล้ว...” ลิลลี่ยังคงมึนงง เธอพึมพำเหมือนยังไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น“หนูไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยคะ?” ดวงตาคู่สวยจ้องมองผมด้วยความไม่แน่ใจ มือเรียวเล็กเอื้อมมาสัมผัสที่ตัวผมเบาๆ ราวกับต้องการพิสูจน์ผมยิ้มอ่อนให้เธอ ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปใกล้ กดจูบลงบนริมฝีปากบางของเธอด้วยความอ่อนโยน ความคิดถึงทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านจูบนั้นริมฝีปากของเราส
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันตื่นขึ้นมาด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ความคิดถึงคำพูดของแม่เมื่อคืนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ราวกับภาพยนตร์ที่ถูกฉายซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันไม่อยากเชื่อว่าตัวเองกำลังถูกบังคับให้พบกับว่าที่คู่หมั้น และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะปฏิเสธเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ ขัดจังหวะความคิดในหัว ก่อนที่แม่บ้านจะเปิดประตูเข้ามา พร้อมสาวใช้ประจำตัวของฉันที่เดินตามหลัง“คุณหนูคะ คุณหญิงสั่งให้เราเตรียมตัวให้คุณดูดีที่สุดค่ะ” แม่บ้านพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่เต็มไปด้วยความนอบน้อม“ดูดีที่สุด?” ฉันทวนคำในใจอย่างขมขื่น ราวกับคำสั่งนี้ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกที่กำลังต่อต้าน“วันนี้คุณหญิงบอกว่ามีแขกคนสำคัญจะมาเยี่ยมค่ะ”สาวใช้พูดเสริม ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า และหยิบชุดเดรสผ้าซาตินสีขาวออกมาชุดที่พวกเธอเลือกเป็นเดรสที่ดูเรียบหรู ตัดเย็บอย่างประณีต พร้อมกับรองเท้าส้นสูงสีเงินที่เข้ากัน ทุกอย่างดูงดงามและเหมาะสมเกินกว่าจะปฏิเสธพวกเธอช่วยฉันแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน เส้นผมยาวสลวยถูกจัดเป็นลอนคลายอย่างอ่อนหวาน และเกล้าครึ่งศีรษะอย่างประณีต ใบหน้าของฉันได้รับการแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง
ชีวิตฉันในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเหมือนตกอยู่ในฝันที่ทั้งสวยงามและวุ่นวายไปพร้อมกัน หลังจากได้รับรางวัลนักเขียนบทวรรณคดีดีเด่น งานเขียนและโปรเจกต์ใหม่ๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ฉันพยายามจัดการทุกอย่างอย่างเต็มที่ เพื่อพิสูจน์ตัวเองและแสดงให้แม่เห็นว่าฉันสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเองเวลาผ่านไปเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย คือการติดต่อกับครูพีท เรายังคงแลกเปลี่ยนข้อความและวิดีโอคอลกันเสมอ ทุกครั้งที่ฉันเหนื่อยล้าหรือรู้สึกท้อแท้ คำพูดที่แสนอบอุ่นของเขาก็เหมือนแรงผลักดันที่ช่วยให้ฉันยืนหยัดต่อไปแต่แล้ววันที่ฉันไม่เคยคาดคิดก็มาถึง...เย็นวันศุกร์ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ฉันเพิ่งกลับมาจากงานสัมมนาวรรณกรรม ใบหน้าฉันยังคงประดับด้วยรอยยิ้มจาง ๆ จากคำชื่นชมที่ได้รับในวันนี้ แต่เมื่อฉันเปิดประตูห้องพักเข้าไป ฉันต้องชะงัก“แม่?” ฉันเรียกด้วยความประหลาดใจ“แม่มาได้ไงคะ?”“ลิลลี่ ไปกับแม่เดี๋ยวนี้” แม่พูดเสียงนิ่ง แต่หนักแน่น ก่อนจะลุกขึ้นเดินนำออกจากห้องพักไป ทิ้งฉันไว้กับความงุนงง แต่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเดินตามไปไม่นานนัก แม่ก็พาฉันมาถึงบ้านของพ่อเฮนรี่ บ้านหล
ทันทีที่ฉันเปิดประตู ใบหน้าคุ้นเคยก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของฉัน“พี่พีท!!”เสียงของฉันแทบจะหลุดเป็นเสียงกรี๊ดด้วยความตกใจและดีใจสุดขีด ราวกับว่าเวลาในตอนนั้นหยุดนิ่ง มีเพียงสายตาของเราที่สบกัน และหัวใจของฉันที่เต้นแรงจนแทบหลุดออกมาครูพีทโน้มตัวลงมาจูบฉันอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากร้อนทาบลงอย่างแนบแน่น มือใหญ่ประคองใบหน้าฉันไว้มั่น ก่อนจะดันตัวฉันเข้ามาในห้องพร้อมปิดและล็อคประตูเขาดันฉันไปชิดกับผนัง ริมฝีปากกดจูบอย่างเร่าร้อนและเต็มไปด้วยความปรารถนา ลิ้นของเขาสอดแทรกเข้ามาในโพรงปาก ไล่ต้อนและดูดดุนลิ้นของฉันอย่างลึกซึ้ง จนหัวใจฉันเต้นรัวแทบไม่เป็นจังหวะมือของเขาสอดเข้ามาใต้เสื้อของฉัน ปลดตะขอบราออกด้วยมือเพียงข้างเดียว อีกมือเลื่อนขึ้นมาสัมผัสอกอวบอิ่ม คลึงเบา ๆ จนยอดถันชูชันตอบรับต่อสัมผัสอันร้อนแรง“อื้ม..”ฉันครางเบา ๆ ในลำคอ ความเสียวซ่านพุ่งผ่านทุกอณูเมื่อปลายนิ้วของเขาบีบคลึงยอดถันกระตุ้นอารมณ์ให้พลุ่งพล่านฉันดึงเสื้อของเขาออกจากศีรษะอย่างรวดเร็ว มือบางลูบไล้ไปตามลอนกล้ามเนื้อที่เรียงตัวสวยงามของเขา เราสบตากันชั่วครู่ก่อนริมฝีปากจะประกบกันอีกครั้ง จูบกันอย่างดูดดื่ม ราวกับไม่มีสิ่งใดในโ
เสียงปรบมือดังก้องไปทั่วห้องโถงใหญ่ของโรงแรมหรูใจกลางลอนดอน ผู้คนในชุดทางการต่างลุกขึ้นยืนปรบมือแสดงความยินดี ฉันยืนอยู่บนเวทีด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ มือข้างหนึ่งถือรางวัล “นักเขียนบทวรรณคดีดีเด่นแห่งปี” ส่วนอีกข้างยกขึ้นโบกมือให้กับผู้คนที่มาร่วมงานฉันไม่เคยคิดเลยว่า ชีวิตในวัยเพียง 19 ปี จะพาฉันมายืนอยู่ตรงจุดนี้ ในฐานะนักเขียนรุ่นใหม่ที่ได้รับการยอมรับจากทั้งผู้อ่านและนักวิจารณ์ นิตยสารชื่อดังต่างพูดถึงฉันในฐานะคนรุ่นใหม่ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนในเจเนอเรชันเดียวกันหลังจากการมอบรางวัลสิ้นสุดลง ฉันเดินลงจากเวทีด้วยรอยยิ้ม ทีมงานของผู้จัดงานพาฉันไปยังห้องรับรองเพื่อเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์กับนักข่าวระหว่างเดิน ฉันพยายามหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อรวบรวมสติและเสริมความมั่นใจให้ตัวเอง บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความคึกคัก แต่ในใจของฉันกลับรู้สึกสงบนิ่ง พร้อมที่จะเล่าถึงเส้นทางที่พาฉันมาถึงจุดนี้“คุณลิลลี่ อลิสา วัฒนชัย” มิเชล ผู้สัมภาษณ์คนแรกจาก The London Chronicle สำนักข่าววรรณกรรมชื่อดังแห่งลอนดอนกล่าวขึ้น ขณะนั่งลงตรงข้ามฉันในห้องรับรองที่ตกแต่งอย่างหรูหรา“คุณกลายเป็นบุคค
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ค่ำคืนในลอนดอน ฉันนั่งอยู่บนเตียงเล็ก ๆ ในหอพักของโรงเรียน โรเซนฮิลล์ อินเตอร์เนชันแนล อะคาเดมี โรงเรียนประจำที่แม่ส่งฉันมาเรียนในอังกฤษ ห้องนี้เป็นห้องพักรวม มีเพื่อนร่วมห้องอีกสองคนที่ตอนนี้หลับสนิทไปแล้ว หลังจากที่ใช้พลังงานหมดไปกับกิจกรรมในโรงเรียนฉันสวมเสื้อกันหนาวนุ่ม ๆ และเปิดวิดีโอคอลกับซาร่าในมือถือ แสงไฟจากโคมเล็ก ๆ บนหัวเตียงช่วยให้ฉันมองเห็นใบหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น“ซาร่า มีอะไรเหรอ?” ฉันถามพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ความรู้สึกคิดถึงเธอท่วมท้นขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้า“ฉันมีเรื่องเด็ดมาบอก! เธอไม่เชื่อแน่ว่าเกิดอะไรขึ้นที่เซนต์เอมิลี่!” ซาร่าพูดพลางกระซิบเสียงเบา แต่สีหน้าของเธอดูเหมือนกำลังระเบิดด้วยความตื่นเต้น“อะไรอะ?” ฉันถามพร้อมกับขยับตัวให้นั่งสบายขึ้นซาร่ากระซิบ “เกี่ยวกับครูลิซ!”แค่ได้ยินชื่อ หัวใจของฉันก็เต้นรัว ความทรงจำที่ไม่อยากจดจำพุ่งกลับมาทันที ความหวาดหวั่นยังคงหลอกหลอนฉัน แม้ตอนนี้จะอยู่ไกลจากเธอแล้วก็ตาม“ครูลิซ? เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”ซาร่ายิ้มกว้างก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงความสะใจจนฉันรู้สึกได้“ครูลิซโดนไล่ออกแล้ว!!!”“ห๊ะ? ทำไมโดน
บ้านของครอบครัววิลเลียมส์ตั้งอยู่ในย่านที่เงียบสงบของลอนดอน ตัวบ้านโอ่อ่าและหรูหราตามแบบฉบับของครอบครัวชนชั้นสูงในอังกฤษ แสงไฟสีอบอุ่นที่ส่องลอดออกมาจากหน้าต่างช่วยเติมเต็มบรรยากาศของค่ำคืนนี้ที่เย็นสบายผมหยุดยืนอยู่หน้าประตูบ้าน มือกำแน่นรอบแฟ้มเอกสารที่ถือมาด้วย ความรู้สึกเหมือนมีน้ำหนักบางอย่างกดทับอยู่ในใจหลังจากการพูดคุยกับคุณเฮนรี่ แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็มั่นใจว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่คือทางที่ถูกต้องเมื่อผมเปิดประตูเข้าไป กลิ่นหอมของชาดำอ่อนๆ ลอยมาแตะจมูก เสียงพูดคุยเบาๆ ดังมาจากห้องนั่งเล่น ขณะที่ผมเดินเข้าไป ภาพของพ่อและแม่ที่กำลังนั่งจิบชาและพูดคุยกันอย่างผ่อนคลาย ทำให้บรรยากาศในบ้านดูอบอุ่นอย่างประหลาด“พีท!?” เสียงของแม่ผม คุณหญิงสิริกานดา ดังขึ้นทันทีที่เธอเห็นผมเดินเข้ามา ใบหน้าของเธอแสดงความประหลาดใจ แต่แฝงไว้ด้วยความยินดี“ทำไมไม่บอกก่อนว่าจะมา แม่จะได้ส่งคนไปรับที่สนามบิน” เธอรีบลุกจากเก้าอี้ เดินตรงมาหาผม พร้อมทั้งกอดและหอมแก้มผมอย่างรวดเร็ว“เซอร์ไพรส์ไงครับ” ผมพูดพลางยิ้มกริ่ม ก่อนจะโน้มตัวไปหอมแก้มเธอกลับด้วยความคิดถึงแม่หัวเราะเบาๆ ขณะที่จับมือผมไว้แน่น“ไม่เจอตั้
ผมยืนอยู่หน้าประตูบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านในย่านชานเมืองของลอนดอน บ้านของคุณเฮนรี่ แบล็ควูด พ่อของลิลลี่ ผู้เป็นนักธุรกิจชื่อดังในวงการการเงินระดับโลก ทุกอย่างที่นี่ดูเคร่งขรึมและเป็นระเบียบเรียบร้อย สะท้อนถึงบุคลิกของชายผู้ดูแลสถานที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดีผมหันไปมองลิลลี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอดูลังเลเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล แม้จะพยายามเก็บอาการ แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความไม่มั่นใจที่ฉายออกมาจากท่าทางของเธอ“พร้อมมั้ย?” ผมถามเบา ๆ พลางมองเธอด้วยสายตาที่อ่อนโยนลิลลี่พยักหน้าช้า ๆ แต่สายตาเธอยังคงสั่นไหว“ค่ะ แต่...หนูกลัวว่าพ่อจะไม่พอใจ”ผมยิ้มบาง ๆ“อย่ากังวล ฉันจะคุยกับเขาเอง”ในขณะที่เรายืนรออยู่ ประตูบ้านเปิดออก เผยให้เห็นแม่บ้านคนหนึ่งที่ดูสุภาพและเคร่งขรึม เธอพยักหน้าให้เราเล็กน้อย ก่อนจะเชิญเข้าไปด้านในบ้านของคุณเฮนรี่ แบล็ควูดเป็นบ้านที่ใหญ่โตและเต็มไปด้วยความสง่างาม ทุกมุมของที่นี่สะท้อนถึงความสมบูรณ์แบบและรสนิยมอันพิถีพิถัน ตัวบ้านตกแต่งด้วยสไตล์คลาสสิกที่เรียบหรู แต่ก็ให้ความรู้สึกเย็นชาในเวลาเดียวกัน เฟอร์นิเจอร์ไม้สลักลวดลายประณีตตั้งเรียงรายอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะเจา