เช้าวันนี้ ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องลอดผ่านหน้าต่างหอพัก เข้ามาทักทายฉันด้วยความอ่อนโยน ฉันรู้ดีว่าวันนี้จะไม่ใช่วันธรรมดา ครูพีทจะมารับฉันตอน 10 โมงเช้าเพื่อไปดูงานนิทรรศการภาพถ่ายวรรณคดีในเมือง และมันทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงทุกครั้งที่คิดถึงการได้ใช้เวลาทั้งวันกับเขา
ขณะที่ฉันกำลังนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ และซาร่า เพื่อนร่วมห้องของฉันก็เดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนทุกครั้ง
“ลิลลี่ ตื่นแล้วเหรอ? วันนี้ฉันต้องกลับบ้านนะ” ซาร่าพูดขึ้นพร้อมกับลากกระเป๋าเดินทางของเธอเข้ามา
“ที่บ้านมีธุระที่ต้องจัดการ ฉันคงจะกลับมาเรียนอีกทีวันจันทร์เลย”
“เอ๊ะ วันจันทร์เลยเหรอ?” ฉันเงยหน้ามองซาร่า ความรู้สึกหวาดหวั่นเกิดขึ้นเมื่อฉันต้องอยู่หอพักเพียงลำพังคนเดียว
“ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าเหงาแบบนั้นดิ วันจันทร์แค่แปปเดียวเอง” ซาร่ายื่นมือมาดึงแก้มฉัน
“อื้อๆ รู้แล้ว” ฉันส่งยิ้มให้เธอหายกังวลใจ
“ถ้ามีอะไรที่อยากคุย ก็โทรหาฉันนะ” ซาร่าย้ำ พร้อมกับลากกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กไปหน้าประตู
ฉันพยักหน้าและส่งยิ้มให้เธอ ก่อนที่ซาร่าจะออกจากห้องไป ฉันมองตามเธอที่เดินหายไปจนลับสายตา ความเงียบที่ตามมาหลังจากนั้นทำให้ความคิดเกี่ยวกับครูพีทและสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันนี้เริ่มวนเวียนอยู่ในหัวของฉันอย่างไม่หยุดยั้ง
ฉันเลือกชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนที่มีลายดอกไม้เล็กๆ ทั่วทั้งชุด กระโปรงยาวคลุมเข่าและมีแขนเสื้อพองนิดๆ ที่ทำให้ฉันดูสดใสและน่ารักขึ้น ฉันแต่งหน้าเบาๆ และรวบผมครึ่งศีรษะด้วยโบว์เล็กๆ ที่เข้ากับชุด หวังว่าเสื้อผ้าหน้าผมในวันนี้จะดูดีพอสำหรับวันพิเศษนี้
เมื่อถึงเวลาสิบโมงตามนัด ฉันเดินออกมาจากหอพัก ครูพีทก็มารออยู่ที่หน้าประตูแล้ว เขายืนพิงรถของเขาและหันมายิ้มให้ฉัน รอยยิ้มนั้นทำให้ฉันรู้สึกถึงความอบอุ่นและมั่นใจมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงยิ่งขึ้น
ครูพีทแต่งตัวเรียบง่ายแต่ดูดีมาก เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดที่เข้ารูปพอดีกับรูปร่างของเขา กางเกงสแล็คสีดำทำให้เขาดูสุภาพและมีเสน่ห์มากขึ้น เขาใส่นาฬิกาข้อมือเรือนหรูที่เข้ากับบุคลิกของเขาอย่างลงตัว สายตาของฉันไม่สามารถละไปจากเขาได้เลย
แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็สังเกตเห็นว่าเขากำลังมองมาที่ฉันอย่างตั้งใจ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมและความทึ่ง ราวกับว่าเขาไม่คาดคิดว่าฉันจะแต่งตัวน่ารักและสดใสแบบนี้ ฉันรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ซ่านขึ้นมาบนใบหน้าขณะที่เขามองฉัน
“ลิลลี่...วันนี้เธอสวยมากจริงๆ”
ครูพีทยกยิ้มมุมปาก แววตาที่อาบย้อมไปด้วยความปรารถนาใคร่อยากทำสิ่งที่มากกว่านี้ ทำให้ฉันรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
“ขอบคุณค่ะครู คุณก็หล่อมากเหมือนกัน” ฉันตอบกลับด้วยเสียงที่สั่นเล็กน้อย ความรู้สึกอายและตื่นเต้นปะปนกันอยู่ในใจ
ครูพีทยังคงมองฉันด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก สายตาของเขาที่มองฉันนั้นลึกซึ้งและอบอุ่น ราวกับว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้งอยู่ภายในใจ แต่เขาไม่ได้พูดออกมา
“อยู่ข้างนอกเรียกพี่พีทสิ” ครูพีทยิ้มกรุ้มกริ่ม
“จะดีเหรอคะ?” ฉันถามด้วยความไม่แน่ใจ
“ดีสิ” ครูพีทยิ้มกว้างให้ฉัน
“ค่ะ พี่พีท” ฉันตอบรับด้วยความเขินอาย
“ไปกันเถอะ” ครูพีทยิ้ม พร้อมกับเดินไปเปิดประตูรถให้ฉัน
ขณะที่ฉันนั่งลงในรถและครูพีทขับรถออกไป ฉันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความตื่นเต้นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ฉันไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจตอนที่เขามองฉัน แต่มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันเป็นคนสำคัญสำหรับเขา และนั่นก็ทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงไม่หยุด
เมื่อรถของครูพีทแล่นเข้าสู่ถนนที่เรียงรายด้วยต้นไม้ใหญ่ ฉันรู้สึกถึงความตื่นเต้นที่เต้นแรงอยู่ในอก ภายในรถเงียบสงบ มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่เบาๆ กับเสียงหัวใจของฉันที่เต้นรัวจนฉันได้ยินชัดเจน ครูพีทนั่งขับรถอยู่ข้างๆ ฉัน สายตาของเขาจับจ้องไปยังถนนข้างหน้า ฉันแอบมองการแต่งตัวของครูพีท ที่ช่างดูเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์สุดๆ ความคิดของฉันเตลิดไปเมื่อนึกถึงร่างกายภายใต้เสื้อผ้าของเขา
“ลิลลี่ มองฉันแบบนี้ เดี๋ยวฉันขับรถไม่ได้กันพอดี” เสียงของครูพีททำให้ฉันหยุดความคิดทั้งหมด เขาหันมามองฉันแวบหนึ่งก่อนจะกลับไปสนใจถนนข้างหน้า
“เอ่อ..หนูตื่นเต้นน่ะค่ะ” ฉันตอบเสียงเบา ความรู้สึกหลายอย่างปะปนกันอยู่ในใจ ทั้งความตื่นเต้น ความคาดหวัง และความรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“นิทรรศการนี้พิเศษมากนะ เป็นการแสดงภาพถ่ายที่ถ่ายทอดเรื่องราวของวรรณคดีผ่านมุมมองของศิลปินหลายคน ฉันคิดว่าเธอต้องชอบแน่ๆ” ครูเจ้าเสน่ห์ยิ้มมุมปากเล็กน้อย
ฉันยิ้มบางๆ และพยักหน้า แม้ในใจจะรู้สึกประหม่า แต่ฉันก็รู้สึกว่าครูพีทเข้าใจในสิ่งที่ฉันรักและสนใจ นั่นทำให้ฉันรู้สึกดีและรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ฉันสามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงได้
เมื่อเราไปถึงหอศิลป์ ครูพีทจอดรถและเดินลงมาช่วยฉันเปิดประตูรถ ฉันรู้สึกถึงลมเย็นๆ ที่พัดผ่านผิวหน้า ทำให้ฉันรู้สึกสดชื่นและตื่นตัวมากขึ้น
หอศิลป์แห่งนี้เป็นอาคารที่มีสถาปัตยกรรมแบบโมเดิร์น ดูเรียบง่ายแต่แฝงด้วยความหรูหรา ภายในอาคารเงียบสงบ มีเพียงเสียงก้าวเดินเบาๆ ของผู้เข้าชมนิทรรศการ ฉันรู้สึกเหมือนถูกพาเข้าสู่โลกใหม่ โลกที่เต็มไปด้วยศิลปะและความงดงามที่ล้ำลึก
เมื่อเราเดินเข้าไปในห้องแสดงนิทรรศการ ฉันตะลึงกับภาพถ่ายที่จัดแสดงอยู่ ภาพถ่ายเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่ภาพสวยงาม แต่แต่ละภาพล้วนสะท้อนถึงเนื้อหาของวรรณคดีอย่างลึกซึ้ง ทุกภาพเต็มไปด้วยความหมายที่ซ่อนอยู่ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ราวกับว่าแต่ละภาพกำลังเล่าเรื่องราวของมันเอง
“ฉันคิดว่าเธอคงชอบภาพนี้”
ครูพีทกล่าวขึ้นขณะที่เราหยุดยืนอยู่หน้าภาพถ่ายภาพหนึ่ง ภาพนั้นเป็นภาพของหญิงสาวที่ยืนอยู่กลางป่า โดยมีแสงแดดอ่อนๆ ที่ลอดผ่านต้นไม้ลงมาส่องกระทบใบหน้าของเธอ แววตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยความเศร้าและความฝัน ราวกับว่าเธอกำลังมองหาบางสิ่งที่หายไป
ฉันจ้องมองภาพนั้นอย่างไม่วางตา รู้สึกถึงความลึกซึ้งของภาพที่แฝงไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกที่หลากหลาย มันทำให้ฉันนึกถึงตัวเอง ความรู้สึกที่มักจะแฝงอยู่ในความเงียบ ความปรารถนาที่อยากจะค้นหาความหมายของชีวิต และการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด
“มันสวยมากค่ะ” ฉันพูดออกมาเบาๆ รู้สึกเหมือนเสียงของตัวเองแทบจะหลอมละลายไปกับบรรยากาศในห้องนั้น
“ภาพนี้ทำให้ฉันคิดถึงหลายๆ อย่าง... มันเหมือนกำลังเล่าเรื่องราวของคนที่กำลังตามหาความสุขในชีวิต”
ครูพีทยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ฉันพูด
“เธอเข้าใจมันได้ดีเลยลิลลี่ ศิลปินที่สร้างภาพนี้ต้องการสื่อถึงความปรารถนาที่ลึกซึ้งของมนุษย์ ความต้องการที่จะค้นพบตัวเอง และการเดินทางที่เราทุกคนต้องเผชิญในชีวิต”
ฉันหันมามองครูพีท เขามองฉันด้วยสายตาที่ลึกซึ้งและอบอุ่น ฉันรู้สึกถึงความเชื่อมโยงที่ไม่อาจอธิบายได้ระหว่างเรา มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกนี้
หลังจากที่เราใช้เวลาเดินชมภาพถ่ายวรรณคดีในนิทรรศการอย่างเต็มที่ ครูพีทก็พาฉันไปยังร้านอาหารเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ภายในหอศิลป์ ร้านอาหารนี้ตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์น เรียบง่าย แต่หรูหรา มีผนังที่เป็นกระจกใส มองเห็นสวนเล็กๆ ที่มีงานประติมากรรมตั้งอยู่เป็นจุดๆ ลมเย็นๆ พัดเข้ามาเบาๆ ผ่านบานหน้าต่างที่เปิดไว้ ทำให้บรรยากาศภายในร้านรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย
ครูพีทเลือกโต๊ะที่มุมหนึ่งของร้าน ซึ่งเป็นมุมที่เงียบสงบและมีวิวสวนที่สวยงามอยู่เบื้องหลัง ฉันรู้สึกว่าทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้อย่างลงตัว ราวกับว่าที่นี่เป็นที่สำหรับเราสองคนโดยเฉพาะ
“ร้านนี้มีเมนูที่น่าลองหลายอย่าง” ครูพีทพูดพลางเปิดเมนูให้ฉันดู
“เธออยากลองอะไรเป็นพิเศษไหม?”
ฉันมองเมนูที่เต็มไปด้วยรายการอาหารที่มีชื่อเสียงและการนำเสนอที่สวยงาม ทุกอย่างดูน่าทานไปหมด แต่ฉันยังลังเลเล็กน้อย
“หนูไม่แน่ใจค่ะครู เอ่อ พี่พีท... ทุกอย่างดูน่าทานไปหมด” ฉันเปลี่ยนสรรพนามทันที เมื่อเห็นดวงตาคมกริบมองจ้องมา ครูพีทคลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ
“งั้นฉันจะช่วยเลือกให้แล้วกันนะ ฉันคิดว่าเธอน่าจะชอบลองชิมเมนูนี้” เขาชี้ไปที่เมนูพิเศษของร้าน ซึ่งเป็นสลัดที่ทำจากวัตถุดิบสดใหม่ที่ปลูกในสวนของหอศิลป์เอง ตามด้วยพาสต้าเส้นสดที่ปรุงด้วยซอสทรัฟเฟิลหอมกรุ่น
ฉันพยักหน้าเห็นด้วย รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ลองอาหารที่ครูพีทเลือกให้
ไม่นานนัก อาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสลัดสดและซอสทรัฟเฟิลลอยขึ้นมาแตะจมูก ทำให้ฉันรู้สึกหิวมากขึ้น พอเริ่มทาน ฉันพบว่าอาหารนั้นอร่อยเกินกว่าที่ฉันคาดไว้ ความสดของวัตถุดิบที่ใช้ในการทำอาหารนี้สะท้อนถึงความพิถีพิถันของเชฟ ทำให้ทุกคำที่ฉันลิ้มรสนั้นเต็มไปด้วยความสุข
“รสชาติเหมือนที่ฉันบอกมั้ย?” ครูพีทถาม
“ค่ะ... อร่อยมากจริงๆ” ฉันตอบพร้อมกับยิ้มให้
ขณะที่เราทานอาหารไปพร้อมกับพูดคุยเรื่องวรรณคดีและศิลปะที่เราได้ชมในนิทรรศการ ครูพีทก็เปิดเผยเรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเขา เขาเล่าให้ฉันฟังถึงความรักในศิลปะและวรรณกรรมตั้งแต่วัยเด็ก และเหตุผลที่เขาตัดสินใจย้ายมาทำงานในประเทศไทย ทั้งหมดนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่าเราสองคนมีความเข้าใจและเชื่อมโยงกันในระดับที่ลึกซึ้งขึ้น
ฉันรับฟังเรื่องราวของเขาด้วยความสนใจและเคารพในตัวตนของเขามากขึ้น ในขณะที่ฉันก็เปิดใจเล่าเรื่องราวบางส่วนของตัวเองให้เขาฟัง แม้จะไม่ได้เปิดเผยทุกอย่างที่ฉันซ่อนอยู่ในใจ แต่ฉันก็รู้สึกว่าการได้พูดคุยกับเขาทำให้ฉันรู้สึกเบาสบาย และรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ฉันสามารถวางใจได้
บรรยากาศในร้านอาหารที่เงียบสงบ มีเพียงเสียงพูดคุยเบาๆ ระหว่างเราสองคน และเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเรากำลังอยู่ในโลกส่วนตัวของเราเอง
หลังจากทานอาหารเสร็จ ครูพีทก็พาฉันไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะใกล้ๆ กับหอศิลป์ เป็นสวนที่มีบรรยากาศเงียบสงบและเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ สวนนี้เป็นสถานที่ที่คนเมืองมักจะมาใช้เวลาพักผ่อนในช่วงเย็น ฉันรู้สึกตื่นเต้นกับการได้ใช้เวลาเพิ่มเติมกับครูพีทในสถานที่ที่ดูผ่อนคลายและธรรมชาติแบบนี้
เมื่อเรามาถึงสวนสาธารณะ สายลมเย็นๆ ของยามเย็นพัดผ่าน ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจและสดชื่น เราเดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยหินและล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงที่ให้ร่มเงา เสียงนกร้องและเสียงลมพัดผ่านใบไม้ทำให้บรรยากาศในสวนดูเงียบสงบและเป็นธรรมชาติมากขึ้น
“ลิลลี่ เธอชอบสถานที่นี่ไหม?” ครูพีทถามขณะที่เราหยุดยืนอยู่ริมบ่อน้ำเล็กๆ ที่มีดอกบัวเบ่งบานอยู่
“ชอบมากค่ะ” ฉันตอบพร้อมกับยิ้มออกมา
“มันทำให้ฉันรู้สึกสงบและผ่อนคลายมาก”
ครูพีทยิ้มตอบก่อนจะหันไปมองวิวรอบๆ “ฉันก็ชอบที่นี่มากเหมือนกัน เวลาที่รู้สึกเครียดหรือเหนื่อยจากงาน ฉันก็มักจะมาที่นี่ มันทำให้รู้สึกว่าสามารถปลดปล่อยความคิดและรีเซ็ตตัวเองได้”
เรายืนมองวิวทิวทัศน์รอบๆ บ่อน้ำอย่างเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ลมก็เริ่มพัดแรงขึ้น พร้อมกับเมฆดำที่ลอยเข้ามาปกคลุมท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ฉันเริ่มรู้สึกถึงละอองฝนที่ตกลงมากระทบผิวหน้าของฉันเบาๆ ก่อนที่ฝนจะเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นพายุฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ฝนตกหนักแล้ว เราต้องรีบหาที่หลบแล้วล่ะ!” ครูพีทพูดพร้อมกับพาฉันวิ่งไปที่รถ แต่ด้วยฝนที่ตกหนักและไม่มีที่หลบที่ใกล้พอ ทั้งฉันและครูพีทต่างเปียกปอนไปหมด ฝนที่ตกหนักทำให้เสื้อผ้าและผมของฉันชุ่มน้ำไปจนถึงผิวหนัง ฉันรู้สึกเย็นสั่นจากน้ำฝนที่ซึมเข้ามาทุกส่วนของร่างกาย แต่ก็ไม่สามารถห้ามความตื่นเต้นและสนุกที่เกิดขึ้นได้
เมื่อเราวิ่งมาถึงรถ ครูพีทรีบเปิดประตูและพาฉันเข้าไปนั่งในรถอย่างรวดเร็ว ฉันนั่งหายใจหอบเล็กน้อย ขณะที่ฝนยังคงกระหน่ำตกลงมากระทบกระจกหน้าต่างเสียงดัง ฝนที่ตกลงมาทำให้เสื้อผ้าตัวนอกของฉันเปียกปอนจนแนบไปกับผิว ร่างกายสั่นระริกด้วยความหนาว
“เธอเปียกหมดเลย”
สายตาของครูพีทกวาดตามร่างกายของฉันตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เสื้อผ้าที่เปียกปอนแนบชิดไปกับผิวเผยให้เห็นสัดส่วนที่น่าทึ่ง เมื่อสายตาของเขาหยุดนิ่งอยู่ที่เสื้อชั้นในสีแดงเลือดหมูที่โผล่พ้นจากคอเสื้อที่เปียกชุ่ม ความร้อนในดวงตาของเขาก็ลุกโชนขึ้นมาทันที ริมฝีปากกระชับแน่นราวกับกำลังกลั้นอะไรบางอย่างเอาไว้
“ฉันคงต้องหาที่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอ ก่อนที่เธอจะเป็นหวัด”
“แต่เราจะไปไหนคะ?” ฉันถามด้วยความกังวล
ครูพีทนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมา
“คอนโดฉันอยู่แค่นี้เอง เธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและรอให้เสื้อผ้าแห้งก็แล้วกัน”
ฉันลังเลเล็กน้อย เพราะไม่เคยไปที่พักของครูพีทมาก่อน แต่สถานการณ์ตอนนี้ก็คงไม่มีทางเลือกมากนัก ฉันพยักหน้าตอบตกลง
ครูพีทขับรถพาฉันไปที่คอนโดของเขา ซึ่งอยู่ห่างจากสวนสาธารณะไม่ไกลนัก เมื่อเรามาถึง ฉันรู้สึกประทับใจกับความหรูหราและเรียบง่ายของสถานที่นี้ คอนโดของครูพีทอยู่ในอาคารสูงที่มองเห็นวิวเมืองกรุงเทพฯ จากที่สูง เขาพาฉันขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบนสุดของอาคาร ซึ่งเป็นที่พักของเขาเองเมื่อประตูคอนโดเปิดออก ฉันรู้สึกถึงบรรยากาศที่อบอุ่นและสะดวกสบายภายในห้อง พื้นที่ถูกตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์นและเฟอร์นิเจอร์ที่มีรสนิยม ทุกอย่างดูสะอาดและเป็นระเบียบ แสงจากโคมไฟที่นุ่มนวลทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น“นี่คือห้องน้ำ และนี่คือเสื้อของฉัน เธอไปอาบน้ำแล้วเปลี่ยนชุดซะ”ครูพีทบอกขณะยื่นเสื้อเชิ้ตสีขาวของเขาให้ฉัน และชี้ไปที่ห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกลฉันรับเสื้อคลุมจากเขา รู้สึกอุ่นใจและขอบคุณในความเอาใจใส่ของเขา“ขอบคุณค่ะ... หนูจะรีบเปลี่ยนเดี๋ยวนี้”ฉันเดินเข้าไปในห้องน้ำและปิดประตูเบาๆ มองตัวเองในกระจก เห็นสภาพที่เปียกชื้นและผมที่ชุ่มน้ำ ฉันถอดเสื้อผ้า รวมถึงชุดชั้นในที่เปียกออกและอาบน้ำเพื่อล้างตัวที่เปียกฝน ก่อนจะเช็ดตัวและเป่าผมอย่างรีบเร่งให้แห้งหมาด ก่อนจะสวมเสื้อเชิ้ตของครูพีท“หอมจัง...” ฉันพึมพำเบาๆ เมื่อได้
แสงแดดยามบ่ายคล้อยสาดส่องเข้ามาผ่านม่านบางเบาในห้องของครูพีท ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้น สัมผัสแรกที่รับรู้คือความอ่อนเพลียที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย กล้ามเนื้อของฉันรู้สึกเหมือนถูกใช้งานจนหมดแรงทุกส่วน ความรู้สึกนี้ทำให้ฉันนอนนิ่งอยู่บนเตียงนุ่มๆ โดยไม่มีแรงแม้แต่จะขยับตัวฉันหันหน้าไปมองรอบห้อง ทุกอย่างเงียบสงบ มีเพียงเสียงนาฬิกาแขวนบนผนังที่บอกเวลาว่าเป็นเวลาบ่ายสี่โมงเย็นแล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่ฉันน่าจะมีพลังสดชื่น แต่ในวันนี้กลับต่างออกไปหัวของฉันหมุนเล็กน้อยขณะที่ฉันพยายามจะลุกขึ้น แต่ร่างกายกลับไม่ยอมตามใจ รู้สึกเหนื่อยล้าและหนักอึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกอบอุ่นจากผ้าห่มที่คลุมร่างกายอยู่ทำให้ฉันอยากจะหลับต่อไปอีกหน่อย แต่ภาพความทรงจำจากเมื่อก่อนหน้านี้ก็ไหลเวียนกลับเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็วครูพีท... เขากลั่นแกล้งฉันอย่างไร้ความปราณี ความรู้สึกของความสุขและความสุขสมที่เขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนอยู่บนสวรรค์และตกอยู่ในห้วงแห่งความสุขไม่รู้กี่รอบ ร่างกายของฉันยังคงรู้สึกถึงสัมผัสที่อ่อนโยนแต่ทรงพลังนั้น ความทรงจำเหล่านั้นทำให้ฉันรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ซ่านอยู่ภายใน แต่ในขณะเดียวกันก็ท
หลังจากที่ฉันทานอาหารเสร็จ ความรู้สึกอบอุ่นและพึงพอใจจากอาหารที่ครูพีททำให้ยังคงอยู่ในใจ ฉันวางช้อนลงอย่างเบามือ ครูพีทยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นฉันทานจนหมดชาม“ขอบคุณค่ะ พี่พีท อาหารอร่อยมากเลยค่ะ” ฉันพูดพร้อมกับยิ้มให้เขาก่อนที่ครูพีทจะตอบอะไร เสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น ทำให้ฉันหันไปมองตามเสียง ครูพีทยืนขึ้นจากเก้าอี้และหันมาพูดกับฉันด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน“น่าจะเป็นแม่บ้านน่ะ”ขณะที่ครูพีทเดินไปที่ประตูเพื่อรับชุดเดรส ฉันก็ลุกขึ้น เริ่มเก็บจานและชามไปที่ห้องครัว ฉันยกถาดอาหารและเดินไปที่ห้องครัว เบาๆ วางถาดบนเคาน์เตอร์ และเริ่มล้างจานในอ่างน้ำอุ่นที่ไหลผ่านมือทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลาย ล้างจานอย่างใจเย็น ความคิดของฉันยังคงวนเวียนถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกับครูพีท ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความใกล้ชิดและความอบอุ่นแบบนี้จากเขา มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งหวานและเต็มไปด้วยแรงปรารถนาเสียงประตูเปิดและปิดเบาๆ ฉันหันไปมองก็เห็นเขายืนอยู่ที่ประตูห้องครัว ในมือของเขามีชุดเดรสที่ถูกพับอย่างเรียบร้อยอยู่บนแขนของเขา“ลิลลี่ ไม่ต้องล้างจานหรอก เดี๋ยวฉันจัดการเอง” ครูพีทพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ
ฉันชื่อ ลิลลี่ อายุ 18 ปี วันนี้เป็นวันที่ฉันรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลายลงมา เมื่อฉันต้องย้ายเข้ามาเรียนในโรงเรียนประจำที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะต้องมาอยู่ที่นี่ โรงเรียนแห่งนี้ชื่อว่า "เซนต์เอมิลี่" โรงเรียนที่มีชื่อเสียงด้านความเข้มงวดและกฎระเบียบที่เคร่งครัดที่สุดในประเทศฉันยืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ หัวใจของฉันเต้นแรงจนรู้สึกถึงมันชัดเจน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันเคยรู้จัก ทุกคนที่ฉันเคยสนิท ตอนนี้มันถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง"ลิลลี่ เธอต้องเข้มแข็ง" ฉันพยายามปลอบใจตัวเองก่อนที่จะก้าวเข้าไปในโรงเรียนแห่งนี้ฉันเดินผ่านประตูใหญ่ที่ทำจากเหล็กสีดำสนิท เสาสูงที่ตั้งอยู่สองข้างประตูให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเข้าสู่โลกที่ไม่คุ้นเคย เส้นทางที่ฉันเดินผ่านปูด้วยหินก้อนเล็กๆ เรียงตัวเป็นระเบียบ ข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น แต่กลับรู้สึกเย็นยะเยือกและว่างเปล่าทันทีที่ก้าวเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ ฉันก็ถูกทักทายโดยหญิงสูงวัยในชุดสูทสีเข้ม หน้าตาของเธอดูเคร่งขรึมและเข้มงวด เธอคือ มาร์ธา หัวหน้าอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนนี้"ยินดีต้อนรับสู่เซนต์เอมิลี่" มาร์ธาเอ่ยทักทายด้วยน้ำเส
เช้าวันใหม่ที่เซนต์เอมิลี่มาถึงแล้ว ฉันตื่นขึ้นมาในห้องพักเล็กๆ ที่ยังคงรู้สึกไม่คุ้นเคยกับมันเลยสักนิด แสงแดดอ่อนๆ ที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างทำให้ฉันรู้สึกสดชื่นขึ้นเล็กน้อย ฉันลุกขึ้นจากเตียงและเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการเตรียมตัวไปเรียน ฉันหยิบชุดนักเรียนที่เป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงจีบสีเทาออกมาจากตู้เสื้อผ้า และจัดผมให้เรียบร้อยตามระเบียบของโรงเรียน ความเคร่งครัดที่นี่ทำให้ฉันต้องระมัดระวังทุกการกระทำ ทุกอย่างต้องถูกต้องตามกฎที่ถูกวางไว้ แต่บางอย่างในใจฉันก็ยังรู้สึกว่า มีบางสิ่งที่ฉันกำลังท้าทายมันอยู่เมื่อฉันเดินออกมาจากห้องพัก ฉันก็เจอกับซาร่าที่กำลังเตรียมตัวไปเรียนเหมือนกัน ซาร่าส่งยิ้มให้ฉันด้วยความเป็นมิตรเช่นเคย"พร้อมไปเรียนหรือยัง?" ซาร่าถามด้วยน้ำเสียงสดใส"พร้อมแล้วล่ะ" ฉันตอบกลับพร้อมกับยิ้ม "แต่ยังคงรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง""ไม่ต้องกังวลหรอก เดี๋ยวเธอก็ชิน" ซาร่าพูดพร้อมกับพยักหน้าให้ฉัน "วันนี้มีเรียนวรรณคดีเป็นวิชาแรกด้วยนะ ฉันจำได้ว่าเธอสนใจวรรณคดีมากเลยใช่ไหม?""ใช่ ฉันชอบอ่านนิยาย มันทำให้ฉันได้หลบหนีจากความจริงบ้าง" ฉันตอบอย่างตรงไปตรงมา "แต่...ครูพีทเป็นครูสอนวรรณค
ฉันเดินออกจากห้องเรียนด้วยหัวใจที่เต้นระรัว เสียงฝีเท้าของครูพีทยังคงก้องอยู่ในหู ราวกับว่าทุกก้าวที่เขาเดินออกจากห้องนั้นฝากอะไรบางอย่างไว้ในใจฉัน ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน มันทั้งตื่นเต้นและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน ฉันพยายามสลัดความรู้สึกนี้ออกไป แต่ก็พบว่ามันติดแน่นอยู่ในหัวใจฉันเหมือนฝันร้ายที่ฉันไม่อาจหลีกหนีได้ฉันเดินไปตามทางเดินของโรงเรียนที่เงียบสงบเพราะยังเป็นช่วงพักกลางวัน นักเรียนส่วนใหญ่ยังคงอยู่ที่ห้องอาหาร ฉันพยายามทำตัวให้ปกติ แต่ภายในใจกลับว้าวุ่นจนฉันรู้สึกว่าใครๆ ก็คงมองออกว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับฉันในที่สุดฉันก็กลับมาถึงห้องเรียนและนั่งลงที่โต๊ะของฉัน ฉันหยิบหนังสือเรียนขึ้นมาเปิดอ่าน หวังว่าจะสามารถตั้งสมาธิได้ แต่ความคิดของฉันกลับพุ่งตรงไปยังครูพีทอีกครั้ง ความอบอุ่นจากการสัมผัสมือของเขายังคงติดอยู่ในความทรงจำ และฉันไม่อาจลบมันออกไปได้‘ทำไมฉันถึงรู้สึกแบบนี้?’ ฉันถามตัวเองในใจ แต่ไม่มีคำตอบใดที่สามารถตอบสนองความสงสัยของฉันได้ ฉันรู้ดีว่าครูและนักเรียนไม่ควรมีความสัมพันธ์เกินเลย แต่ทุกครั้งที่ฉันนึกถึงครูพีท ความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้นกลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
หลังจากบทเรียนที่ไม่ธรรมดาของวันก่อน ฉันได้สัมผัสครูพีทในแบบที่ไม่เคยคาดคิด ภาพของเขาและการจูบที่ลึกซึ้งนั้นก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของฉัน ฉันพยายามจะลืมมัน พยายามบอกตัวเองว่ามันไม่ควรเกิดขึ้น แต่ทุกครั้งที่ฉันหลับตา ภาพเหล่านั้นกลับชัดเจนยิ่งขึ้น ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่คอยกระซิบบอกฉันว่าความสัมพันธ์แบบนี้เป็นสิ่งที่ผิด กลับถูกบดบังด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่ฉันไม่สามารถควบคุมได้เช้านี้ ฉันเดินเข้าสู่ห้องเรียนด้วยความรู้สึกสับสนในใจ ทันทีที่ฉันก้าวเข้าสู่ห้อง สายตาของฉันก็พบกับครูพีทที่ยืนอยู่หน้าชั้นเรียน เขามองฉันด้วยสายตาที่เข้มข้นและเต็มไปด้วยความหมาย เพียงเสี้ยววินาทีที่เขามองมาที่ฉัน หัวใจของฉันก็เต้นแรงขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างกายของฉันรู้สึกราวกับถูกไฟส่องผ่านเมื่อเขามองมา สายตาของเขาช่างคมกริบและเต็มไปด้วยความปรารถนาที่ฉันรู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่เพียงแค่ฉันที่รู้สึกเช่นนั้น ฉันรู้สึกถึงความร้อนที่เริ่มก่อตัวในท้องของฉัน มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายตลอดชั่วโมงเรียน ฉันพยายามจะมีสมาธิกับบทเรียน แต่ความคิดของฉันกลับวกวนไปที่ครูพีท และสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราครั้งก่อน ความ
ทุกครั้งที่ฉันนึกถึงครูพีท ใจฉันก็เต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมา ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่ทำไมฉันถึงหยุดคิดถึงเขาไม่ได้เลย ฉันรู้ดีว่าสิ่งที่เราทำคือการท้าทายกฎระเบียบที่โรงเรียนเคร่งครัดที่สุด แต่ยิ่งฉันคิดถึงมัน ฉันก็ยิ่งรู้สึกถึงความเร่าร้อนที่ซ่อนอยู่ในใจฉันเช้านี้ฉันตื่นขึ้นมาในหอพักเหมือนเช่นเคย แต่ความรู้สึกที่ติดค้างอยู่ในหัวใจทำให้ฉันไม่สามารถทำตัวเหมือนปกติได้ ฉันพยายามจะไม่คิดถึงเขา แต่ทุกครั้งที่ฉันปิดตา ภาพของครูพีทก็จะปรากฏขึ้นมาในหัว ความใกล้ชิดของเรามันผิด ฉันรู้ดี แต่ฉันก็ไม่สามารถหยุดความรู้สึกนี้ได้“เมื่อวานกลับดึกเหรอ” ซาร่าทักทายฉัน ขณะที่ฉันกำลังเดินไปยังห้องเรียน“เอ้อ...ก็นิดนึง” ฉันหน้าแดงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน“ไม่สบายรึเปล่า?” ซาร่าจ้องมองฉัน ก่อนจะเอามือมาอังที่หน้าผาก“ปะ..เปล่า” ฉันรีบปฏิเสธทันที“ครูพีทใช้งานหนักเหรอ?” ซาร่าพึมพำด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ“ก็...ไม่นะ..”“วันนี้ต้องไปช่วยครูอีกมั้ยอะ?”“อะ..ไม่แน่ใจอะ” ฉันแบ่งรับแบ่งสู้“ฉันไปช่วยมั้ย?” ซาร่าเสนอตัวเอง“ไหวเหรอ มีแต่บทเรียนวรรณคดีทั้งนั้นเลยนะ” ฉันเอียงคอถามเพื่อน เพราะร