พี่ชายนั้นลำบากมาก เขาอายุมากกว่าฉันสิบปีตั้งแต่พ่อป่วยเป็นโรคซึมเศร้า บริษัทของครอบครัวก็เริ่มเข้าสู่ช่วงขาลงเขาเรียนเก่งมาก ทั้งยังได้ข้ามชั้นปีอยู่ตลอด ตอนอายุยี่สิบก็เรียนจบมหาวิทยาลัย ก่อนจะเข้าบริษัทแล้วเริ่มรับช่วงต่อจากเด็กไม่รู้ประสาคนหนึ่งที่เพิ่งก้าวเข้าสู่สังคม ตอนนี้ได้กลายเป็นซีอีโอของตระกูลหลินแล้วชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้นไม่ง่ายเลยฉันถึงได้สงสารพี่ชายมากตอนที่พี่ดื่มเหล้าอย่างไม่คิดชีวิตจนถึงดึกดื่นเพื่อหน้าที่การงาน ฉันจะต้มซุปแก้เมาค้างให้เขา แล้วแอบวางไว้บนโต๊ะตื่นเช้ามาก็จะเคี่ยวโจ๊กข้าวฟ่างอุ่นท้องให้เขาพอพี่ชายขยี้ตาด้วยความเหนื่อยล้า ฉันก็ใช้เงินค่าขนมที่ฉันเก็บหอมรอมริบมาทั้งเดือน เปลี่ยนโคมไฟแสงแยงตาบนโต๊ะหนังสือของพี่ทันที ทั้งยังวางยาหยอดตากับวิตามินไว้บนโต๊ะให้เขาด้วยฉันจะรีดเสื้อเชิ้ตที่ซักแล้วของพี่ชายให้เรียบกริบ เหมือนที่แม่ทำฉันคิดว่าการที่แอบดูแลพี่อยู่ห่าง ๆ แบบนี้ก็นับว่าเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระให้เขาอย่างหนึ่งหากไม่ใช่เพราะเขา ฉันคงไม่ได้อยู่บ้านหลังใหญ่โตขนาดนี้แต่ความจริงแล้ว บ้านจะใหญ่โตหหรือเปล่านั้น ฉันไม่เคยสนใจเลยสิ่ง
พี่ชายไม่โทรหาฉันอีกต่อไปก็ถูกต้องแล้วละสำหรับพี่ชายแล้ว การโทรหาสักครั้งหนึ่งก็กับว่าอดทนกับฉันมากที่สุดแล้วยังจำครั้งแรกที่ฉันทะเลาะกับพี่อย่างรุนแรงได้เส้นเอ็นบนมือของเขาปูดโปน ชี้ไปที่นอกประตู ในค่ำคืนที่มืดมิด มองไม่เห็นแม้แต่ห้านิ้วที่ยื่นออกมา “หลินโยวโยว ไสหัวออกไปจากบ้านหลังนี้ซะ”“ฉันไม่มีน้องสาวอย่างเธอ”ฉันปาดน้ำตา ร้องตะโกนใส่เขา“พี่คิดว่าฉันอยากมีพี่ชายแบบพี่หรือ?”“หลินลู่หมิง ฉันเกลียดพี่”เขาตบหน้าฉันด้วยฝ่ามือ ใบหน้าของฉันเห่อร้อนบวมปูดขึ้นมาฉันวิ่งออกประตูไป ขดตัวซ่อนอยู่ริมถนนนอกบ้าน หวังว่าพี่ชายจะออกมาตามหาฉันกลางคืนลมพัดหนาวเหน็บ ฉันสวมชุดนอนผ้าไหมไม่นานมุมปากก็เริ่มกลายเป็นสีม่วง ร่างทั้งร่างก็สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้สุดท้ายฉันก็เสียใจที่ได้รู้ว่า พี่ชายไม่มีทางออกมาตามหาฉันเขาไม่แม้แต่จะก้าวเท้าออกจากประตูจากนั้นก็อากาศก็หนาวจนทนไม่ไหว ทั้งยังไม่มีเงิน จึงจำใจต้องไปบ้านเพื่อนที่สนิทกันพักอยู่หลายคืนสุดท้ายเขาก็โทรหาฉันฉันนึกว่าสุดท้ายแล้วเขาเป็นห่วงฉัน เฝ้ารออย่างคาดหวังสุดหัวใจว่าพี่ชายจะมารับฉันฉันนึกว่าตอนที่เขาเจอครั้ง
ฉันมองใบหน้าถมึงทึงของพี่ชายที่นอนอยู่บนโซฟาเผยยิ้มออกมาในที่สุดเพราะรู้ว่าใกล้ถึงช่วงปิดเทอมของน้องสาวฉันตอนที่ฉันเรียนประถมน้องสาวต่างสายเลือดก็ปรากฏตัวที่บ้านของฉันว่ากันว่าหน้าตาเหมือนแม่แท้ ๆ ของฉันที่จากไปไม่น้อยเพราะอย่างนั้นพี่ชายถึงเต็มใจที่ดูแลเธอฉันคิดอยู่บ่อย ๆ ว่าถ้าฉันหน้าตาเหมือนแม้บ้างสักนิดคงจะดีไม่น้อยอย่างน้อยพ่อกับพี่ชายคงไม่เกลียดฉันมากขนาดนี้หลินเสี่ยวหย่าวิ่งกระโดดโลนเต้นไปยังหน้ารถของพี่ชาย สวมชุดกระโปรงสีขาวฟู่ฟ่อง องศาของเรียวคิ้วและดวงตาที่ยกขึ้นชวนให้คนเอ็นดู ปลายจมูกแดงระเรื่อ รอยยิ้มสดใสทั้งยังเป็นเจ้าหญิงที่ถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมตั้งแต่เล็กจนโตเธอเก่งเรื่องออดอ้อนให้พี่ชายและพ่ออารมณ์ดี จึงกลายเป็นที่เอ็นดูของคนอื่นได้อย่างง่ายดายไม่เหมือนฉัน ซุ่มซ่าม ขี้กลัวฉันไม่กล้าเพราะทุกครั้งที่สงสัยหรือร้องไห้งอแง สิ่งที่ได้รับกลับคืนมานั้นคือคำสบถด่าและความรุนแรงที่โหดร้ายยิ่งกว่าพี่ชายอุ้มเสี่ยวหย่ามานั่งบนตักของตัวเองคลอเคลียใบหน้าของเธอ“มีแต่เสี่ยวหย่าของพวกเรานั่นแหละที่เป็นเด็กดี”“ไม่เหมือนยัยตัวซวยหลินโยวโยวนั่น ผ่านมาห
”อย่าว่าพี่โยวโยวอย่างนั้นสิคะ”“เธออาจจะกำลังโมโห”“ผิดที่หนูเอง ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดของหนู พี่สาวก็คงไม่โกรธพี่ชายขนาดนี้”เฮ้อ กลิ่นอันคุ้นเคยของหลินเสี่ยวหย่ากลิ่นหอมฟุ้งกระจายทำอย่างไรฉันก็ไม่สามารถเชื่อมโยงเด็กผู้หญิงตรงหน้ากับแม่ผู้แสนอ่อนโยนในภาพถ่ายได้เลยเหมือนจริง ๆ หรือ?“เสี่ยวหย่าใจดีจัง หลินโยวโยวร้ายกับเราขนาดนี้ แต่เรายังพูดแก้ต่างให้เธออีก” พี่ชายลูบหัวของหลินเสี่ยวหย่าอย่างเบามือ“พ่อเขียนไว้ในพินัยกรรมว่าให้พี่กับหลินโยวโยวแบ่งทรัพย์สินกันคนละครึ่ง”“แต่พี่เห็นท่าทางบ้าบอของเธอแล้ว จะคู่ควรกับการเป็นน้องสาวพี่ได้ยังไง”“เพราะอย่างนั้น พี่ถึงตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนชื่อคนในพินัยกรรมเป็นน้องเสี่ยวหย่าแทน”ความรู้สึกพะอืดพะอมบางอย่างแล่นริ้วขึ้นมาจากกระเพาะอาหารฉันอยากไปจากที่นีแต่เหมือนวิญญาณถูกล่ามเอาไว้ขยับตัวไม่ได้ในหัวเสียงดังอื้ออึงเสียงของพี่ชายดังขึ้นข้างหูฉัน“อันที่จริงตอนที่ช่วยชีวิตพ่อกลับมาได้ เขาอยากเจอหลินโยวโยว”“พ่อยังบอกให้พี่ดูแลน้องสาวให้ดี บอกว่าขอโทษเธอ”“ไม่ทันไรพ่อก็ยกโทษให้เธอแล้ว”“แต่พี่ไม่”...หลินเสี่ยวหย่ากอดแขนพี่
ตอนที่หลิ่นเสี่ยวหย่าเพิ่งเข้ามา ก็นับว่าดีกับฉันไม่น้อยอย่างน้อยตอนอยู่ที่บ้านเธอมักจะตามหลังฉันต้อย ๆ หัวเราะคิกคักร้องเรียกฉัน “พี่โยวโยว”จนกระทั่งเธอพบว่าพ่อไม่สนใจฉัน พี่ร้ายกับฉันเธอถึงได้เริ่มร้ายกับฉันตามฉันถึงได้รู้ว่าอันที่จริงหลินเสี่ยวหย่านั้นไม่ชอบยิ้มเธอเคยขังฉันไว้ในห้องน้ำที่โรงเรียน ให้ผู้หญิงคนอื่นกระชากหัวฉัน กดฉันลงกับพื้นทิ้งรอยเท้าไว้บริเวณใต้ร่มผ้าตั้งใจให้ฉันเจ็บแต่ไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้หาอย่างไรก็ไม่เจอแม้แต่รอยช้ำ“พี่โยวโยว อย่าเกลียดฉันเลยนะคะ”“ถ้าจะเกลียด ก็เกลียดพี่ชายของพี่เถอะ ฉันถึงได้ทำกับพี่แบบนี้”“เขาอนุญาตทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นลูกเลี้ยงอย่างฉัน จะทำอะไรรุนแรงแบบนี้ได้ยังไง”นั่นสินะ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ชายอนุญาตเธอจะกล้ารังแกฉันถึงขนาดนี้ได้ยังไง?ที่แท้พี่ชายอยากให้ฉันตายจริง ๆหลังจากนั้นฉันก็ไม่หวังให้พี่ชายมาช่วยฉันอีกฉันขอแค่เธออย่าลงไม้ลงมือกับฉัน“เจ็บ”เจ็บจนฉันร้องไม่ออกฉันมาคิดดูแล้ว เธอนั้นเหมือนน้องสาวของพี่ชายมากกว่าจริง ๆโหดร้ายเหมือนกันไร้หัวใจเหมือนกัน
นับครั้งที่ไม่ถ้วนที่กลับบ้านมาพร้อมกับเส้นผมและเสื้อผ้ายุ่งเหยิงพอพี่ชายเห็นก็แค่มองฉันอย่างเย็นชา แล้วลากฉันมาถาม “หลินโยวโยว นี่เธอออกไปเกเรข้างนอกมาใช่ไหม?”“เธอยังอายุไม่ถึงสิบแปดด้วยซ้ำ เธอจะสู้หน้าแม่ยังไง?”ฉันกลั้นน้ำตาเอาไว้ฉันห้ามตัวเองไม่ให้พูดออกไปแต่ความเจ็บปวดทางร่างกายและใจนั้นกลับห้ามไม่อยู่ฉันอยากบอกพี่ชายแต่หลินเสี่ยวหย่ารวมหัวกับผู้ชายในห้อง ถอดเสื้อผ้าฉัน ถ่ายรูปฉันในสภาพที่ดูไม่ได้ใบหน้าสวยของเธอยกยิ้มไร้พิษภัย“หลินโยวโยว เธอว่าถ้าฉันปล่อยรูปพวกนี้ออกไป”“พอถึงตอนนั้นแล้ว เธอว่าพี่จะคิดกับเธอยังไง”คิดยังไงสำคัญด้วยเหรอ?ฉันคิดไม่ถึงเลยเมื่อฉันเริ่มกินยาผมก็ร่วงเป็นกำ ๆแต่ก็ไม่มีประโยชน์ฉันไปหาคลินิกจิตแพทย์คุณป้าลูบหัวฉัน ความอบอุ่นและใส่ใจที่หาได้ยากนักฉายในแววตาจมูกของฉันพลันแสบร้อนขึ้นมา น้ำตาไหลพรากความหวังดีและใส่ใจนี้ ฉันไม่เคยพบเห็นมาก่อน“โยวโยว เธอยังเด็ก อนาคตยังอีกไกล”“ไม่มีปัญหาอะไรที่แก้ไม่ได้”“ถ้าเล่าให้คนในครอบครัวฟังไม่ได้ ก็เล่าให้ฉันฟังได้นะ”สุดท้ายสติสัมปชัญญะของฉันห้ามฉันไม่ให้ทำลายตัวเองฉันหยิบมีดขึ้น
เมื่อเริ่มป่วย อารมณ์ของฉันก็แปรปรวนท่าทีที่มีต่อหลินเสี่ยวหย่าและหลินลู่หมิงก็แย่กว่าเดิมเช่นกันการสอบประจำเดือนครั้งนั้น ฉันสอบได้คะแนนน้อยลงเพราะว่าป่วย แต่ก็ยังนำหน้าหลินเสี่ยวหย่าฉันดีใจมากอย่างน้อยฉันก็เหนือกว่าเธอด้านการเรียนฉันเงยหน้าสบตากับแววตาเกลียดชังของเธอแถมมุมปากของเธอยังเผยยิ้มเจ้าเล่ห์อีกต่างหากตอนแรกฉันไม่เข้าใจว่านั่นหมายความว่าอะไรจนกระทั่งเธอพาพรรคพวกสองสามคนเดินออกไปหลังจากกลับมาไม่นาน ข่าวลือที่ว่าฉันเป็นตัวซวยที่ทำให้แม่ตัวเองต้องตายก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งห้องเมื่อฉันกลับมาหลังจากพักระหว่างคาบ แล้วก็พบว่ามีคนเอางูตายและแมงมุงพิษยัดใส่ที่นั่งของฉันโต๊ะและเก้าอี้ถูกเปลี่ยนเป็นของผุพังที่ใช้งานไม่ได้กลั่นแกล้งกันทางกายนั้นยังไม่เพียงพอหลินเสี่ยวหย่าหันมาทำร้ายจิตใจกันด้วยระหว่างทางที่เดินไปยังประตูโรงเรียนเธอยกยิ้มเยาะใส่ฉัน ดวงตากลมสุกใสเหมือนดั่งกวางน้อยคู่นั้น ทำไมถึงสามารถเก็บซ้อนความสกปรกโสมมไว้ได้มากมายฉันโกรธมาก หัวสมองขาวโพลนไปหมดใช้แรงทั้งหมดที่มีปาหนังสือเรียนในมือใส่เธอ กระแทกโดนหัวของเธอเข้าเต็มเปาเธอทรุดตัวลงในทันที ก
ในช่วงเวลาอันแสนทรมานนั้น ฉันได้พบกับเธอกายใจอ่อนล้า จิตวิญญาณที่ถูกย่ำยีจนไม่เหลือชิ้นดีริมฝีปากแห้งแตกระแหง ดวงตาม่วงช้ำ เส้นผมทั้งยุ่งเหยิงทั้งแห้งกรอบหัวสมองของฉันมึนงง ย่างก้าวไร้เรี่ยวแรงไม่รู้ว่าต้องเดินไปทางไหนสุดท้ายก็หยุดอยู่บนสะพานลอยเปลี่ยวไร้ผู้คนฉันมองลงไปด้านล่างไม่มีคนเลยยังโชคดีที่ไม่สร้างความตื่นตระหนกให้ผู้คนต่อมาเธอถึงได้บอกว่า “ตอนที่ฉันเห็นเธอ ดูไม่ได้คือคำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว ไม่ใช่หน้าตาดูไม่ได้ กลับกันเธอหน้าตาดี เพียงแต่สภาพแย่มาก”“เหมือนกับสัตว์ที่ใกล้จะคอแห้งตายกลางทะเลทราย”“เหมือนปลาที่กำลังจะจมน้ำตายในแม่น้ำ”ฉันยิ้มพลางตีมือเธอ “พูดอะไรเพ้อเจ้อ ปลาจะจมน้ำตายได้ยังไง”เธอกลอกตามองฉัน“ก็ประมาณนั้นแหละน่า”“ให้ความรู้เหมือนหมดอาลัยตายอยาก สามารถตายได้ทุกเมื่อ”รอยยิ้มของฉันแข็งค้างความจริงแล้วบ่ายวันนั้น ฉันตั้งใจจะกระโดดลงจากสะพานลอยเพียงแต่เธอห้ามฉันไว้ก่อน“มีไฟแช็กไหม?”เธอคาบบุหรี่ในปาก ขณะที่เอ่ยประโยคแรกกับฉันฉันส่ายหน้าเธอเหมือนไม่เข้าใจว่าฉันหมายความว่าอะไร ก่อนจะนั่งลงข้างกายฉัน พร่ำเพ้อเล่าเรื่องราวของตัวเอง