แชร์

บทที่ 5

บทที่ 5

วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่ธรินดากลับมาอยู่บ้านในช่วงการปิดเทอม แต่กลับเป็นวันแรกที่ลูกชายคนเล็กของแม่เลี้ยงลักษิกายอมกลับบ้านมาร่วมโต๊ะอาหารเย็นกับครอบครัว คนซึ่งเป็นใหญ่ที่สุดในบ้านพอใจจนยิ้มแก้มแทบปริ แม้ว่ากว่าจะตามปรัชญ์ให้กลับบ้านได้จะเหนื่อยในการโทร.จิกอยู่หลายครั้งหลายคราก็ตาม

“คลินิกทำไปถึงไหนแล้วตาปราณต์” แม่เลี้ยงลักษิกาซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะหันไปถามลูกชายคนโตที่นั่งอยู่ด้านขวามือของตน โดยปรัชญ์นั่งอยู่ถัดจากพี่ชาย ส่วนธรินดานั่งทานอาหารเงียบๆ อยู่ด้านซ้าย

“เกือบเสร็จแล้วครับแม่ เดือนหน้าก็น่าจะเปิดได้”

“จะไม่เหนื่อยเกินไปเหรอลูก ไหนจะต้องทำงานที่โรงพยาบาล ไหนจะต้องมาดูแลคลินิกอีก ตรวจโอพีดีอยู่ทุกวันไม่ใช่เหรอ”

“อีกสองเดือนผมก็ไม่ต้องตรวจโอพีดีแล้วละครับ ตอนนี้มีหมอมาบรรจุใหม่หลายคน ทางโรงพยาบาลจะให้หมอใหม่ตรวจโอพีดีแทน ส่วนผมก็ตรวจคนไข้ใน น่าจะพอมีเวลาดูคลินิกครับ แต่คงไม่ได้ทำคนเดียว คงหาผู้ช่วย ไม่งั้นก็ไม่ไหวเหมือนกัน”

“ความจริงไม่เห็นต้องทำให้เหนื่อยเลย ทำงานที่โรงพยาบาลอย่างเดียวก็พอ เย็นก็กลับมาพักผ่อน เงินทองบ้านเราก็พอมีไม่ได้เดือดร้อนอะไร ทำไมไม่เอาเวลามาพักผ่อน” แม่เลี้ยงลักษิกาไม่ค่อยจะเห็นด้วยในเรื่องที่ลูกชายจะเปิดคลินิกเท่าใดนัก เพราะลำพังงานหมอในช่วงกลางวันก็หนักพอแล้ว

“ผมไม่ได้ทำเพื่อเงินหรอกครับแม่ ที่เปิดก็เพราะสงสารคนไข้ส่วนหนึ่งที่ต้องไปนั่งรอที่โรงพยาบาล บางคนรอเป็นครึ่งค่อนวันกว่าจะได้ตรวจ แม่ก็รู้ว่าโรงพยาบาลคนเยอะแค่ไหน”

“แล้วเรื่องค่ารักษาล่ะ ปราณต์จะเก็บยังไง”

“เก็บไม่แพงหรอกครับ ก็อย่างที่บอกว่าผมไม่ได้คิดจะเปิดคลินิกเพื่อเงิน อยากช่วยเหลือคนไข้ที่พอจะช่วยได้ตามกำลังตัวเองมากกว่า”

ธรินดาซึ่งนั่งฟังการสนทนาระหว่างพี่ชายคนโตกับแม่บุญธรรมของตัวเองอยู่เงียบๆ ยิ่งนึกชื่นชมต่อความเป็นคนดีและมีน้ำใจอันน่ายกย่องของปราณต์ สมแล้วที่เขาเลือกเรียนหมอ เพราะหลังจากจบมาก็คิดแต่จะช่วยเหลือคนที่เจ็บป่วยด้วยใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเอื้ออาทรจริงๆ

“เอาเถอะ แม่ก็แค่เป็นห่วง แต่ถ้าปราณต์ทำแล้วสบายใจแม่ก็คงไม่ห้าม แล้วแต่ปราณต์ก็แล้วกัน” แม่เลี้ยงลักษิกาไม่คิดจะคัดค้านอีกเมื่อลูกชายยืนยันเช่นนั้น “แล้วปรัชญ์ล่ะ เรื่องหมั้นกับหนูนัสรินจะว่ายังไง ปรัชญ์ผลัดแม่มานานแล้วนะ”

เสร็จจากเรื่องของลูกชายคนโต คนเป็นแม่ก็หันไปถามลูกชายคนเล็กบ้าง เพราะเขาผลัดวันประกันพรุ่งในเรื่องนี้มานานหลายปีแล้ว ความจริงแม่เลี้ยงลักษิกาอยากให้ปรัชญ์หมั้นกับนัสรินซึ่งเป็นลูกสาวของเพื่อนสามีผู้ล่วงลับตั้งแต่ก่อนเขาจะไปเรียนต่อปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกาเสียอีก แต่ปรัญช์ก็ปฏิเสธและหนีไปเรียนเอาเสียดื้อๆ ทว่าแม่เลี้ยงลักษิกาก็ยังคิดที่จะไม่เลิกล้มความตั้งใจของตนเองง่ายๆ เหมือนกัน 

คำถามของแม่บุญธรรมทำให้ธรินดาหันไปมองทางปรัชญ์อย่างเผลอตัว และลุ้นว่าเขาจะออกอาการโวยวายเหมือนเช่นทุกครั้งที่ถูกแม่ถามเรื่องนี้หรือเปล่า ปรัชญ์เองก็เหมือนจะมองมาทางเธอแวบหนึ่งเช่นกัน ทำให้ธรินดาต้องรีบก้มหน้างุดเพื่อหลบตาคมดุคู่นั้น ก่อนที่ชั่วอึดใจต่อมาปรัชญ์จะตอบคำถามของแม่ใหญ่ในแบบที่ทุกคนคาดไม่ถึง

“แม่ยังไม่เลิกคิดจะจับผมคลุมถุงชนอีกเหรอครับ”

“ไม่เลิกหรอก เรื่องอื่นแม่ยอมปรัชญ์หมด แต่เรื่องนี้ปรัชญ์ต้องยอมแม่” แม่เลี้ยงลักษิกายืนกรานความตั้งใจของตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยว คิดว่ายังไงเสียก็จะรบกับลูกชายคนเล็กอีกสักยก ถ้าขืนเขายังไม่ยอมตามใจตนในเรื่องนี้

“งั้นจะทำยังไงก็แล้วแต่แม่เลี้ยงเถอะครับ”

“แสดงว่าปรัชญ์ยอมหมั้นกับหนูนัสแล้วใช่ไหม”

“ครับ” ปรัชญ์ตอบสั้นๆ น้ำเสียงราบเรียบเช่นเดียวกับสีหน้าและแววตา จนไม่มีใครเดาได้ว่าเขาอยู่ในอารมณ์เช่นใด หากแต่ก็นำมาซึ่งความพอใจของคนเป็นแม่เป็นอย่างยิ่ง

“นี่แม่ไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหมตาปราณต์” แม่เลี้ยงลักษิกาหันไป ถามลูกชายคนโตเหมือนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “โอ๊ย...แม่ดีใจจนไม่รู้จะพูดว่าอะไรดีแล้ว เห็นทีต้องรีบไปให้หลวงตาที่วัดดูฤกษ์ให้แล้ว เอาฤกษ์ที่เร็วที่สุดก็แล้วกันนะ”

“แล้วแต่แม่เลี้ยงเถอะครับ”

จบคำปรัญช์ก็รวบช้อน ลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินดุ่มๆ ไปยังห้องตัวเองโดยไม่ยอมดื่มน้ำด้วยซ้ำ โดยมีสายตาสามคู่มองตามด้วยความรู้สึกที่ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก

หลังจากอาหารมื้อค่ำผ่านไป สมาชิกของครอบครัวต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน แม่เลี้ยงลักษิกากับปราณต์ขึ้นชั้นบน ส่วนธรินดาออกไปเดินเล่นบริเวณหน้าบ้าน ที่เธอกล้าก็เพราะคนที่ตัวเองกลัวว่าจะบังเอิญออกมาเผชิญหน้ากับเขานั้นได้กลับมาบ้านแล้ว

ใบหน้าสวยหวานแหงนเงยขึ้นมองท้องฟ้า คืนนี้พระจันทร์ทอแสงริบหรี่ สีเหลืองนวลที่เคยส่องสว่างเต็มดวงหดหายไปจนเหลือให้เห็นแค่เสี้ยวเล็กๆ ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติการโคจรและมุมตกกระทบของแสงระหว่างพระอาทิตย์ พระจันทร์ โลก และยังเป็นสัญญาณอีกว่า อีกไม่กี่วันแสงเสี้ยวเล็กๆ เหล่านั้นก็จะมืดดับลงในคืนวันแรมสิบห้าค่ำ ก่อนจะส่องสว่างใหม่เมื่อคืนวันข้างขึ้นเดินทางมาถึงอีกครั้ง

ธรินดาถอนสายตาจากภาพนั้น ก่อนจะกลับเข้าบ้านพร้อมกับระบายลมหายใจเบาๆ เพื่อสลัดเอาความเหงาอ้างว้างยามที่มองพระจันทร์ซึ่งใกล้จะมืดดับออกไปจากใจ แม้ว่าเธอจะเคยถูกพ่อแม่แท้ๆ ทอดทิ้งไปตั้งแต่เด็ก ทว่าความรู้สึกเหล่านั้นก็ถูกเติมเต็มจนแทบจะสมบูรณ์จากความรักและความอบอุ่นของสมาชิกเกือบทุกคนในบ้านหลังนี้ แม้จะยกเว้นอยู่คนหนึ่งแต่เธอก็ไม่อยากเก็บมันมาเป็นปมใดๆ ในหัวใจ

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status