ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงเคาะประตูหนักๆ ดังขึ้นกลางดึกทำให้คนที่นอนหลับอยู่บนเตียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ ธรินดาลุกขึ้นนั่งแล้วเงี่ยหูฟังว่าเสียงนั้นมาจากไหน เมื่อไม่แน่ใจหญิงสาวจึงลุกขึ้นจากเตียง เอาหูแนบประตูจึงรู้ว่าเสียงเคาะที่ดังแบบไม่เกรงใจนั้นมาจากหน้าห้องของตนนี่เอง
“ใครคะ” เสียงหวานถามออกไปโดยที่ยังไม่ยอมเปิดประตูตามสัญชาตญาณระมัดระวังตัวยามอยู่คนเดียว
“ฉันเอง เปิดประตูเดี๋ยวนี้ธรินดา” เสียงที่ตะโกนตอบกลับมาไม่ได้แค่ตอบแต่ยังออกคำสั่งไปพร้อมกันด้วย
ธรินดาตกใจมากกว่าเดิม เมื่อได้ยินเสียงดุๆ ที่บ่งบอกความเอาแต่ใจนั้นอย่างชัดเจน เธอจำได้ดีทีเดียวว่าเสียงนั้นเป็นเสียงใคร ปรัชญ์กลับมาบ้านคืนนี้ แถมมาเคาะห้องเธอดึกๆ แบบนี้ ไม่แคล้วคงจะมาหาเรื่องเธออีกเป็นแน่
“คุณปรัชญ์มีอะไรคะ” ธรินดาถามกลับไป แต่ยังไม่คิดจะเปิดประตูให้ตามคำสั่งของคนข้างนอกง่ายๆ เพราะรู้ดีว่าคนคนนั้นชอบระรานตัวเองแค่ไหน
“นี่เธอจะไม่เปิดใช่ไหม”
“ถ้าคุณปรัชญ์มีอะไรจะให้เล็กช่วยก็บอกมาสิคะ หรือถ้ามีเรื่องอยากคุยกับเล็กเอาไว้คุยพรุ่งนี้เถอะค่ะ”
หลังจากธรินดาบอกเสร็จ เธอก็รู้สึกว่าปรัชญ์เงียบไป และคล้ายกับจะได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเดินห่างออกไปแล้ว หญิงสาวจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่เรื่องจบลงด้วยดี
ร่างบางกำลังจะกลับไปนอน แต่แล้วก็ต้องร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่อลูกบิดถูกขยับก่อนที่แสงจากข้างนอกจะสะท้อนเข้ามาในห้อง พร้อมๆ กับที่ประตูถูกผลักเข้ามา
“คุณปรัชญ์!”
ธรินดาอุทานออกมาอย่างตกใจ รีบดันประตูห้องให้ปิดลงด้วยมือไม้อันสั่นเทา ตอนนี้ร่างสูงยืนค้ำตระหง่านอยู่ที่หน้าห้อง ใบหน้าหล่อเหลาที่มีหนวดเครารกครึ้มแดงก่ำ ลมหายใจกรุ่นไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์เข้มข้น บ่งบอกว่าดื่มมาอย่างหนัก ร่างเล็กใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีผลักประตู แต่ประตูนั้นไม่ได้ปิดลงตามที่เธออยากให้เป็น เพราะมันถูกมือแข็งแรงของคนเมาดันเอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงอันมหาศาลของเขา
“ฉันบอกให้เปิดประตูทำไมไม่เปิด ต้องให้ฉันเสียเวลาไปเอากุญแจสำรองมาเปิดเอง” เขาเล่นงานเธอด้วยเสียงที่ดุดันและบ่งบอกความหงุดหงิดทันที
“เล็กเห็นว่ามันดึกแล้วนี่คะ”
“เธอตั้งใจจะหลบหน้าฉันมากกว่า คิดเหรอว่าจะหลบพ้นน่ะ”
ไม่แค่ถามแต่ร่างสูงยังย่างสามขุมขยับเข้ามาใกล้จนแทบจะชนกับร่างบาง ทำให้ธรินดาต้องละมือจากประตู แล้วรีบถอยร่นหนีคนที่กำลังรุกคืบเข้ามาจนเกือบประชิดตัว หากเปรียบเป็นการรบ ตอนนี้เธอก็ถูกข้าศึกบุกผ่านกำแพงเมืองเข้ามาข้างในแล้ว
“ทำไมเล็กจะต้องหลบหน้าคุณปรัชญ์ด้วย” ทั้งที่กลัวแสนกลัวแต่ก็ยังพยายามทำใจดีสู้เสือ โดยการตอบโต้กลับไปด้วยเสียงสั่นๆ
“ก็วันนี้เป็นวันที่เจ็ดที่เธอสาบานไว้กับฉันพอดีไม่ใช่เหรอ” ปรัชญ์ตอบพลางใช้มือดันประตูห้องให้ปิดลง แล้วสืบเท้าเข้าหาร่างบางที่เอาแต่ถอยหลังหนี ท่ามกลางความมืดสนิทของห้อง เพราะธรินดารูดม่านให้ปิดตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแล้ว แสงไฟจากด้านนอกจึงไม่สามารถลอดผ่านเข้ามาได้
”แล้วมันเกี่ยวอะไรกันคะ” เจ้าของเสียงหวานทั้งถาม ทั้งถอยหนี
“ฉันก็จะมาพิสูจน์คำสาบานของเธอน่ะสิธรินดา”
ธรินดาไม่คิดว่าเขาจะจริงจังกับเรื่องวันนั้นถึงเพียงนี้ ขนาดเธอยังลืมไปแล้วและไม่คิดจะเก็บมันมาใส่ใจ ซึ่งเธอคิดว่าเขาเองก็น่าจะไม่ใส่ใจกับการโต้เถียงกันเพียงไม่กี่ประโยคในวันนั้นเหมือนกัน
“พิสูจน์ยังไงคะ”
“เธอสาบานว่าถ้าเธอโกหกว่าไม่ได้คิดถึงฉัน ขอให้เธอตกเป็นเมียฉันภายในสามวันเจ็ดวันไม่ใช่เหรอ”
“เล็กไม่ได้พูด คุณปรัชญ์พูดเองเออเองทั้งนั้น”
“ไม่ว่าจะใครพูดแต่นั่นก็คือคำสาบาน”
ปรัชญ์ก้าวยาวๆ จนถึงตัวของธรินดา แล้วตวัดแขนรั้งร่างบางเข้ามากอดอย่างรวดเร็วในแบบที่เธอไม่มีทางหลบเลี่ยงได้เลย นั่นทำให้หญิงสาวยิ่งตกใจเพราะไม่คิดว่าปรัชญ์จะกล้าทำเช่นนั้น
“ปล่อยเล็กค่ะคุณปรัชญ์ ถ้าคุณปรัชญ์เมาก็ไปนอนเถอะนะคะ” เสียงหวานร้องอุทธรณ์ขึ้น ในยามนี้ธรินดาไม่รู้จะขอความช่วยเหลือจากใครได้ เพราะแม่ใหญ่ไปปฏิบัติธรรม ส่วนปราณต์ก็เข้าเวรที่โรงพยาบาล ชั้นบนนี้จึงมีเพียงเธอกับปรัชญ์อยู่กันตามลำพังเท่านั้น
“เธอมีสิทธิ์มาสั่งฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ธรินดา”
“เล็กไม่ได้สั่งนะคะ เล็กแค่ขอร้อง...”
“อยากร้องก็ร้องไปสิ ฉันไม่ได้ห้ามนี่” เขาตอบยียวนและใช้แขนกอดรัดร่างเล็กแน่นกว่าเดิม
“ทำไมคุณปรัชญ์ถึงจงเกลียดจงชังเล็กนัก”
“ใช่...ฉันเกลียดเธอ เกลียดตาซื่อๆ ใสๆ ของเธอ เกลียดสีหน้าท่าทางที่เหมือนไร้ความรู้สึกของเธอ เกลียดที่เธอชอบทำให้ฉันหงุดหงิด เกลียดที่เธอทำให้ฉันไม่เป็นตัวของตัวเองเวลาที่อยู่ใกล้ๆ เธอ เกลียดที่เธอทำให้ฉันอยากทำแบบนี้กับเธอไงล่ะธรินดา”
เขาพูดโดยที่ธรินดาไม่มีโอกาสได้เห็นว่าสายตาเขาสื่ออะไรขณะพูดกับเธอเช่นนั้น จบคำปรัญช์ก็ก้มหน้าลงระดมจูบ คนถูกรุกรานรีบส่ายหน้าหนีเป็นพัลวัน แต่หลบปากและจมูกของคนพาลได้แค่ที่หน้า เพราะปรัชญ์ซุกหน้าลงไปหาซอกคอขาวละมุนของเธอแทน
“ปล่อยเล็กค่ะคุณปรัชญ์...ปล่อยเล็ก...”
ธรินดาร้องห้ามและพยายามจะสะบัดตัวให้หลุดจากอ้อมกอดของเขาให้ได้ แต่เรี่ยวแรงของเธอช่างน้อยนิดเหลือเกิน เมื่อเทียบกับลำแขนกำยำที่เต็มไปด้วยความแข็งแรงของเขา ยิ่งลำคอถูกเขาซุกไซ้อย่างชวนสยิวเช่นนี้ เธอยิ่งรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอลงไปมากกว่าครึ่ง
ยิ่งเธอดิ้น ปรัชญ์ก็ยิ่งจูบ ใบหน้าของเขาคลุกอยู่ที่ซอกคอของเธอ ธรินดารู้สึกถึงสัมผัสหลากหลายที่เจือมากับฤทธิ์แอลกอฮอล์ ปรัชญ์ทั้งจูบ ดูด เม้ม และบางจังหวะก็ขบกัดเบาๆ ที่แอ่งชีพจร ทำให้เธอขนลุกซู่ นึกถึงแดร็กคูล่าหนุ่มผู้กระหายเลือดและฝังเขี้ยวคมๆ ลงบนซอกคอของหญิงสาวสักคน ใบหน้าของผู้หญิงเหล่านั้นไม่ได้ฟ้องถึงความเจ็บเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับหลับตาลง เหมือนกับได้รับความสุขมากเหลือเกินจากการถูกดูดเลือด เช่นเดียวกับเธอที่ตอนนี้สั่นเทาไปทั้งตัว
ชั่วพริบตาต่อมาปรัชญ์ก็หยุดจูบ ทำให้ธรินดาเรียกสติของตัวเองกลับมาได้ พร้อมๆ กับที่ร่างบางถูกช้อนอุ้มแล้วพาไปยังเตียงที่เธอเพิ่งจะลุกมา
เตียงที่เคยกว้างแคบลงไปถนัดตาเมื่อร่างใหญ่ก่ายเกยขึ้นมานอนด้วย ธรินดาพยายามจะยกมือขึ้นผลักไหล่หนาออกห่าง ปรัชญ์จึงรวบสองมือเล็กของเธอตรึงไว้เหนือศีรษะด้วยมือเพียงข้างเดียวของเขา ก่อนจะเอื้อมอีกข้างไปเปิดไฟหัวเตียง
บทที่ 9แสงไฟจากหัวเตียงสาดส่องลงมายังสองร่างที่ฝ่ายหนึ่งนอนหงายอยู่เบื้องล่างโดยมีร่างกำยำนอนเกยทับอยู่ ธรินดามองหน้าปรัชญ์ได้ชัดกว่าตอนที่เขายืนอยู่หน้าประตู เช่นเดียวกับที่สายตาคมของเขาเองก็จ้องมองลงมาที่ใบหน้าเนียนละเอียดของเธอเช่นกัน ประกายตาของหญิงสาวฉายแววตื่นตระหนก ไม่คิดว่าแค่ชั่วเวลาไม่ถึงห้านาที ตอนนี้ตัวเองจะมานอนอยู่ใต้ร่างของผู้ชายที่เธออยากจะวิ่งหนีเขามากที่สุดชายหนุ่มเพ่งมองเจ้าของเตียงที่ตอนนี้สั่นเทาไปทั้งตัว สองมือเล็กๆ ยังพยายามบิดเพื่อให้พ้นจากมือเขา เช่นเดียวกับที่เรือนกายแสนนุ่มนิ่มก็ยังดิ้นรนอยู่ใต้ร่างของเขาเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ ปากอิ่มสีชมพูระเรื่ออย่างคนสุขภาพดีสั่นระริก สายตาฟ้องชัดว่าตื่นกลัวกับการมีเขาทาบทับอยู่บนร่างเล็กๆ และรวบมือน้อยๆ ของเธอเอาไว้แค่ไหน...ให้ตายเถอะธรินดา เธอไม่รู้หรือไงว่ายิ่งทำแบบนั้นก็ยิ่งเป็นการยั่วยุ ให้เขาอยากจะทำอะไรตามใจตัวเองมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม...“อย่ารังแกเล็กเลยนะคะ...” เสียงหวานร้องห้ามปรามเขาออกมา ทั้งๆ ที่ความหวังของตัวเองช่างน้อยนิด เพราะเธอรู้ดีว่าหากปรัชญ์คิดจะทำอะไรแล้วเขาไม่เคยเปลี่ยนใจ“ถ้าเธอไม่คิดถึงฉันจริงๆ
บทที่ 10ธรินดาตื่นมาตั้งแต่เช้าตรู่เช่นเดียวกับทุกเช้า ทว่าเช้านี้หญิงสาวไม่ได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่นเหมือนเช่นเคย ความรู้สึกผิดและความเศร้าหมองเกาะกินหัวใจจนปวดร้าว ทำได้เพียงร้องไห้เงียบๆ กับสิ่งที่ต้องสูญเสียไปอย่างไม่อาจเรียกร้องกลับคืน ครั้นจะให้โทษว่าเธอถูกปรัชญ์ข่มเหงรังแกก็พูดได้ไม่เต็มปากเลยสักนิด เพราะเขาบอกแล้วว่าหากเธอปฏิเสธเขาก็พร้อมจะหยุด ธรินดาไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงไม่พูด ทำไมสมองถึงไม่สั่งการ ทำไมร่างกายมันถึงได้มีปฏิกิริยาสวนทางกับสิ่งที่ตัวเองรู้สึก ทำไมไม่ต่อต้านเขาให้ถึงที่สุด ทำไมเมื่อคืนนี้ตัวเองถึงได้เหมือนกับเนยเหลวโดนอังไฟ ปรัชญ์กลับห้องนอนของเขาหลังจากที่เธอเอาแต่นิ่งเงียบ แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่วายจูบแก้มซึ่งนองด้วยน้ำตาของเธอหนักๆ ก่อนจะลุกจากเตียงออกไปอย่างเฉยชา เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ธรินดาอยากจะคิดว่าทั้งหมดมันเป็นแค่ความฝัน หากร่างกายที่ยังคงปวดแปลบอย่างชัดเจนในบางส่วนก็ฟ้องชัดว่า...นับแต่นี้เธอไม่ใช่ผู้หญิงบริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว!ร่างบางลุกขึ้นจากเตียงเพื่อจะอาบน้ำชำระล้างราคีออกไปจากใจและกาย ทว่าดวงตาที่ฝ้าฟางไปด้วยม่านน้ำ
บทที่ 11วันนี้หน้าคุ้มลักษิกาที่เคยมีโต๊ะใส่บาตรตั้งอยู่เป็นประจำ ปราศจากภาพอันคุ้นเคยตา เมื่อแม่เลี้ยงเจ้าของคุ้มไปปฏิบัติธรรมและลูกสาวคนเล็กก็ของดเว้นการทำบุญหนึ่งวันร่างบางปั่นจักรยานมาจอดข้างๆ ถังขยะใบใหญ่ ลมหายใจถูกระบายออกมาเบาๆ ขณะที่มือเล็กหย่อนห่อฟอยล์ที่พันด้วยกระดาษทิชชูอย่างแน่นหนาลงไปในนั้นจักรยานคันเดิมถูกปั่นกลับเข้าไปในบ้าน ตาคู่สวยมองเห็นรถกระบะสี่ประตูสีดำกำลังแล่นออกมาจากโรงรถ แม้จะมองเห็นแต่ไกล ก็รู้ว่าเป็นรถของปรัชญ์ ปรัชญ์ใช้รถกระบะเพราะช่วงนี้เขาต้องไปคุมไซต์งานโครงการบ้านจัดสรรซึ่งเป็นโครงการใหม่ที่กำลังเริ่มก่อสร้าง แม้จะอยู่บนถนนคนละเลน แต่ธรินดาก็ไม่อยากจะปั่นจักรยานสวนกับเขาเลย หญิงสาวมองตรงอย่างเดียว ไม่แม้แต่จะเอียงหน้าไปยังถนนอีกเลนตอนที่รถของปรัชญ์แล่นใกล้เข้ามา ทว่าเสียงหวานก็ต้องร้องวี้ดออกมาด้วยความตกใจเมื่อคนที่ขับรถกระบะหักพวงมาลัยข้ามเลนมาจนเกือบชนกับรถจักรยานของเธอ สัญชาตญาณทำให้ธรินดารีบหักหลบเข้าข้างทางที่เป็นสนามหญ้า จักรยานของเธอเสียหลักจนเกือบล้มแต่ดีว่าเบรกทันปรัชญ์หยุดรถแล้วเปิดกระจกด้านข้างออกมามองคนที่กำลังประคองจักรยานอย่างทุลักทุเล
บทที่ 12“ปล่อยเล็กค่ะคุณปรัชญ์” ธรินดาดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดของคนชอบหาเรื่อง“เธอโผเข้ามาให้ฉันกอดเองนะ ช่วยไม่ได้”“คนกักขฬะ ออกไปจากห้องเล็กนะคะคุณปรัชญ์ ไม่งั้นแม่ใหญ่กลับมาเล็กจะฟ้องแม่ใหญ่” ธรินดาไม่รู้จะช่วยตัวเองให้หลุดพ้นจากสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร จึงได้แต่หยิบยกเอาคนที่คิดว่าปรัชญ์จะเกรงใจที่สุดมาอ้าง“ฟ้องว่าไง” คิ้วหนาดกดำเป็นปื้นเลิกขึ้นขณะถามอย่างยียวนแกมท้าทาย“ฟ้องว่าคุณปรัชญ์เข้ามารังแกเล็ก”“รังแกยังไง” ปรัชญ์ถามต่ออีก“เล็กจะบอกแม่ใหญ่ว่าคุณปรัชญ์ขืนใจเล็ก” เธอขู่เขาไปเช่นนั้นทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเธอคงไม่กล้าจะบอกเรื่องนี้กับใคร“ขืนใจงั้นเหรอ แน่ใจนะธรินดา เมื่อคืนฉันบอกเธอแล้วนี่ ว่าถ้าไม่เต็มใจให้บอกฉันให้หยุด แต่ฉันจำได้ว่าไม่ได้ยินเธอพูดคำว่าหยุดสักคำนะ มีแต่บอกว่า อย่าค่ะ...อื้อ...คุณปรัชญ์ขาเล็กเสียว...” ปรัชญ์ยกคำพูดของเธอมาล้อเลียนแบบหน้าตาย ทำเอาธรินดาร้อนวาบไปทั้งหน้า“คนบ้า! หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ! เล็กไม่ได้พูดอะไรบ้าๆ แบบนั้น เล็กจะฟ้องแม่ใหญ่! เล็กเกลียดคุณ!”“แม่ใหญ่ของเธอรู้อยู่แล้วมั้งว่าเธอเกลียดฉัน คงไม่ต้องบอกซ้ำหรอก”แม่ใหญ่น่ะเหรอที่รู้...วันนั้
บทที่ 13แม่เลี้ยงลักษิกากลับมาจากปฏิบัติธรรมแล้ว แต่ก็ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ ของลูกสาวบุญธรรมเลยแม้แต่น้อย เพราะธรินดาเก็บงำทุกอย่างไว้เป็นความลับและพยายามทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุดยามอยู่ต่อหน้าทุกคน อีกทั้งช่วงนี้ปรัชญ์เองก็ไม่ค่อยจะกลับบ้าน ทำให้เธอไม่ต้องเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ พักหลังๆ ธรินดาจึงสบายใจและเข้มแข็งขึ้นมากพระอาทิตย์เริ่มจะเคลื่อนคล้อยลงต่ำ หญิงสาวหยิบเอาตะกร้าหวายเพื่อจะไปตัดกุหลาบที่ปลูกอยู่ในแปลงบนเนินเขาหลังบ้านมาจัดแจกันในห้องพระและห้องรับแขก แต่วันนี้จักรยานที่เคยจอดอยู่ในโรงรถหายไป ธรินดาจึงเดินถือตะกร้าไปยังแปลงกุหลาบแทนร่างบางย่อตัวลงตัดกุหลาบใส่ในตะกร้า ซึ่งส่วนใหญ่เธอจะเลือกตัดสีขาวเพื่อใส่ในห้องพระและสีชมพูสำหรับห้องรับแขก กระทั่งได้กุหลาบสวยๆ จนเกือบเต็มตะกร้า หญิงสาวจึงนั่งลงและทอดสายตาไปยังพระอาทิตย์ดวงโตที่ตอนนี้กำลังทอดตัวลงลับเหลี่ยมเขา ก่อนที่แสงสุดท้ายของวันจะหมดลงในที่สุดความมืดคืบคลานเข้ามาพร้อมๆ กับไอหมอกสีขาวจางๆ ที่แผ่ขยายไปทั่วอาณาบริเวณอย่างรวดเร็ว ธรินดาถอนหายใจเล็กน้อยที่ความงดงามของธรรมชาติยามเย็นเลือนหายไปอีกวัน ร่างบางลุกขึ้นแล้ว
บทที่ 14วันนี้เป็นวันหยุด...ร่างสูงจึงยังคงนอนเอื่อยเฉื่อยอยู่บนเตียงทั้งที่ตื่นนานแล้ว อาหารเช้าเขาก็ไม่คิดจะลงไปกิน แต่กระนั้นบัวคำก็ยังอุตส่าห์ยกขึ้นมาเสิร์ฟให้ถึงห้อง ซึ่งก็คงไม่แคล้วเป็นคำสั่งของแม่เลี้ยงลักษิกาอีกตามเคยปรัชญ์ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวหลังจากนอนจนฉ่ำใจ จากนั้นก็ลงมาชั้นล่าง ตรงเข้าไปในห้องนั่งเล่นซึ่งตอนนี้ทั้งแม่ทั้งพี่ชายต่างอยู่พร้อมหน้า แต่แปลกที่เขาคิดว่าบ้านเงียบผิดปกติ หรือขาดอะไรบางอย่างไป เพราะไม่เห็นเจ้าของใบหน้าที่เขาชอบค่อนแคะว่าจืดชืดนั่งอยู่กับแม่ของเขาอย่างที่เคยเห็นอยู่เป็นประจำ ครั้นจะเอ่ยปากถามหาก็ผิดปกติวิสัยของตัวเอง จึงได้แต่เดาสุ่มว่าธรินดาชอบไปไหนบ้าง“ตื่นแล้วเหรอตาปรัชญ์ แล้วนั่นจะไปไหน” แม่เลี้ยงลักษิกาทักลูกชายเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาแล้วก็จะกลับออกไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้นั่งลงเลย“ไปเดินเล่นครับ”ตอบแม่แค่นั้นร่างสูงก็พาตัวเองไปหาเป้าหมาย และเขาคาดไม่ผิดจริงๆ เมื่อไปที่ห้องพระแล้วเห็นว่าคนที่ตัวเองตามหากำลังนั่งสมาธิอยู่ในนั้นปรัชญ์แทรกตัวเข้าไปข้างใน ปิดประตูห้องพระ แล้วเดินไปล้มตัวลงนอนหนุนตักคนที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ ทำให้ธรินดาต้องลืมตาออกจา
บทที่ 15“แล้วแม่เลี้ยงมีอะไรกับผมอีกหรือเปล่า” ปรัชญ์ถามแม่คล้ายกับอยากสะสางเรื่องให้จบๆ ไปทีเดียว “มี...แม่อยากให้ปรัชญ์เลิกเรียกหนูนัสว่านัสรินแล้วเรียกชื่อเล่นน้องแทน ส่วนปรัชญ์เวลาพูดกับน้องก็ให้แทนตัวเองว่าพี่ แม่ขอแค่นี้ได้หรือเปล่า” “เพื่ออะไร?” “ก็แกกับน้องจะแต่งงานกัน ควรจะต้องทำตัวให้สนิทสนมกันเข้าไว้สิ อีกอย่างเรียกน้องแบบนั้นมันฟังดูห่างเหินและเหมือนเราไว้ตัว” “งั้นผมต้องเรียกธรินดาว่าน้องเล็กด้วยหรือเปล่า จะได้ฟังดูไม่ห่างเหิน” เขาเน้นประโยคหลังเป็นพิเศษ คนถูกพาดพิงร้อนใจจนต้องเงยหน้าขึ้นมองคนหาเรื่อง และเขาก็ตวัดมองมาพอดี ตาที่เหมือนจะเรียบเฉยคู่นั้นแฝงไว้ด้วยความนัยที่รู้กันสองคน ทำเอาธรินดาถึงกับวุ่นวายใจไปชั่วขณะเลยทีเดียว “แม่ก็บอกให้เรียกตั้งนานแล้ว แต่เราไม่ยอมเรียกเองนี่” แม่เลี้ยงลักษิกาย้อนลูกชาย และไม่ได้สังเกตเห็นสายตาระหว่างคนทั้งคู่ที่มองกันแปลกๆ เพราะปรัชญ์ชอบหาเรื่องรวนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว “ก็แต่ก่อนไม่สนิท แต่ตอนนี้ ‘สนิท’ กันแล้วนี่ครับแม่เลี้ยง”
บทที่ 16เทอมสุดท้ายของการเรียนปีสี่และการเป็นนักศึกษาเริ่มขึ้นแล้ว ธรินดารู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก เพราะการเรียนและงานสารนิพนธ์ที่ทำคู่กับชนิศาทำให้เธอยุ่งจนแทบไม่มีเวลาคิดเรื่องส่วนตัว ร่างบางนั่งตรงข้ามกับคู่บัดดี้ทำสารนิพนธ์และต่างก็กำลังจ้องจอแล็ปท็อปอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนที่ธรินดาจะเป็นฝ่ายสะดุ้งเบาๆ เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ในกระเป๋าสะพายดังขึ้น มือเล็กรีบเปิดกระเป๋าและหยิบเอาโทรศัพท์ออกมากดรับ เพราะเกรงใจชนิศาที่เสียงโทรศัพท์ของตนรบกวนสมาธิของเพื่อน “สวัสดีค่ะแม่ใหญ่” เสียงหวานเอ่ยตอบต้นสายอย่างนุ่มนวลและไม่ใช้เสียงที่ดังเกินไป “แม่จองตั๋วให้เรียบร้อยแล้วนะหนูเล็ก” “จองตั๋วไปไหนคะแม่ใหญ่” ธรินดาถามแบบงงๆ เล็กน้อย “ก็กลับบ้านไงลูก วันเสาร์นี้ก็เป็นวันหมั้นของตาปรัชญ์กับหนูนัสแล้ว หนูเล็กลืมเหรอลูก” แม่เลี้ยงลักษิกาถามกลับแต่ไม่มีความโกรธหรือหงุดหงิดเจืออยู่ เพราะเข้าใจดีว่าธรินดาคงจะยุ่งจนลืมวัน “ตายจริง ขอโทษนะคะแม่ใหญ่ เล็กลืมไปเลยค่ะ” “ไม่เป็นไรหรอกลูก แม่เ