วันนี้เป็นวันหยุด...ร่างสูงจึงยังคงนอนเอื่อยเฉื่อยอยู่บนเตียงทั้งที่ตื่นนานแล้ว อาหารเช้าเขาก็ไม่คิดจะลงไปกิน แต่กระนั้นบัวคำก็ยังอุตส่าห์ยกขึ้นมาเสิร์ฟให้ถึงห้อง ซึ่งก็คงไม่แคล้วเป็นคำสั่งของแม่เลี้ยงลักษิกาอีกตามเคย
ปรัชญ์ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวหลังจากนอนจนฉ่ำใจ จากนั้นก็ลงมาชั้นล่าง ตรงเข้าไปในห้องนั่งเล่นซึ่งตอนนี้ทั้งแม่ทั้งพี่ชายต่างอยู่พร้อมหน้า แต่แปลกที่เขาคิดว่าบ้านเงียบผิดปกติ หรือขาดอะไรบางอย่างไป เพราะไม่เห็นเจ้าของใบหน้าที่เขาชอบค่อนแคะว่าจืดชืดนั่งอยู่กับแม่ของเขาอย่างที่เคยเห็นอยู่เป็นประจำ ครั้นจะเอ่ยปากถามหาก็ผิดปกติวิสัยของตัวเอง จึงได้แต่เดาสุ่มว่าธรินดาชอบไปไหนบ้าง
“ตื่นแล้วเหรอตาปรัชญ์ แล้วนั่นจะไปไหน” แม่เลี้ยงลักษิกาทักลูกชายเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาแล้วก็จะกลับออกไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้นั่งลงเลย
“ไปเดินเล่นครับ”
ตอบแม่แค่นั้นร่างสูงก็พาตัวเองไปหาเป้าหมาย และเขาคาดไม่ผิดจริงๆ เมื่อไปที่ห้องพระแล้วเห็นว่าคนที่ตัวเองตามหากำลังนั่งสมาธิอยู่ในนั้น
ปรัชญ์แทรกตัวเข้าไปข้างใน ปิดประตูห้องพระ แล้วเดินไปล้มตัวลงนอนหนุนตักคนที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ ทำให้ธรินดาต้องลืมตาออกจากสมาธิเพื่อมองว่าใครกันที่จู่ๆ ก็เข้ามาทำเช่นนั้นกับตน
“คุณปรัชญ์!” เสียงหวานอุทานเมื่อก้มลงมองแล้วเห็นว่าคนที่กำลังนอนหนุนตักตัวเองอยู่เป็นใคร
“เป็นอะไรหือ เห็นฉันทุกครั้งจะต้องอุทานเหมือนเห็นยักษ์เห็นมาร” ปรัชญ์ถามเหมือนรำคาญนักหนา แต่กลับยกมือขึ้นกอดอกพลางจ้องหน้าคนที่ก้มลงมองตัวเองตอบอย่างรื่นรมย์
“ก็คุณปรัชญ์ทำตัวเหมือนยักษ์เหมือนมารจริงๆ นี่คะ ไม่เห็นหรือไงคะว่าเล็กนั่งสมาธิอยู่”
“เห็น…แต่เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าฉันเหมือนยักษ์เหมือนมาร ฉันก็เลยมาที่ห้องพระนี่ไง เผื่อความเป็นยักษ์เป็นมารในตัวฉันจะได้ลดลง”
“ถ้าอย่างนั้นลุกขึ้นสิคะ นี่มันห้องพระนะคะ” ไม่เพียงแต่บอก มือเล็กยังพยายามจะผลักไหล่หนาออกจากตัก แต่ปรัชญ์ก็ไม่ยอมขยับเขยื้อนเลย
“แล้วยังไง ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรเสื่อมเสียนี่”
“แล้วที่นอนหนุนตักเล็กอยู่นี่ล่ะคะ มันไม่เหมาะนะคะคุณปรัชญ์” เสียงหวานเอ่ยเตือนอย่างเดือดเนื้อร้อนใจ
“ฉันแค่อยากรู้สึกเย็นกายเย็นใจแบบเธอบ้าง”
“ถ้าอยากรู้สึกจริงๆ ก็ลุกขึ้นมานั่งสมาธิสิคะ”
“ไม่ละ ฉันเมื่อย นอนสมาธิดีกว่า”
พูดจบดวงตาคมกล้าก็หลับพริ้มลง แต่กลับไม่ได้สงบนิ่งเหมือนเข้าสู่ห้วงสมาธิแต่อย่างใด ใบหน้าอันหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยไรหนวดไรเครานั้นเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม ไม่สนใจคนที่กำลังดิ้นขลุกขลักเพราะเป็นเดือดเป็นร้อนที่ถูกนอนหนุนตักเลยแม้แต่นิด
“คุณปรัชญ์คะ...”
“รบกวนคนทำสมาธิมันบาปนะธรินดา” เสียงเขาดังพึมพำทั้งที่หลับตาอยู่
ธรินดาได้แต่ถอนหายใจ เพราะไม่ว่าจะทำอย่างไรปรัชญ์ก็ไม่ยอมลุก สุดท้ายเธอก็ได้แต่นั่งนิ่งๆ เนื่องจากปรัชญ์ไม่ได้นอนสมาธิแล้วแต่เขาหลับจริงๆ เพราะมีเสียงกรนเบาๆ ให้เธอได้ยิน ตาคู่สวยจึงเผลอมองสำรวจทั่วใบหน้าของคนใจร้ายนั้นอยู่เงียบๆ ก่อนจะรีบดึงความสนใจของตัวเองมาจากเขา แล้วหลับตาลงทำสมาธิต่อโดยที่จิตใจไม่สงบสักนิด
ค่ำนั้นเป็นอีกค่ำที่สมาชิกในครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา แม่เลี้ยงลักษิกาจึงถือโอกาสพูดเรื่องหมั้นของปรัชญ์อย่างเป็นจริงเป็นจังเสียที หลังจากที่ก่อนหน้านี้ลูกชายคนเล็กกลับบ้านบ้างไม่กลับบ้าง หรือถ้ากลับก็ดึกดื่นซะจนคนในบ้านหลับกันหมดแล้ว เลยไม่มีโอกาสได้คุยกันสักครั้ง
“แม่ได้ฤกษ์หมั้นมาแล้วนะตาปรัชญ์ เดือนหน้านี้เลย แม่ว่าจะจัดงานที่โรงแรมในกรุงเทพฯ หรือปรัชญ์ว่าจะจัดที่บ้านของหนูนัสริน” คนเป็นแม่ถามเป็นเชิงปรึกษาหารือกับเจ้าตัวที่ตอนนี้กำลังนั่งกินข้าวอยู่เงียบๆ
“จัดที่โรงแรมของเราที่เชียงใหม่ดีกว่าครับ”
“จะบ้าเหรอตาปรัชญ์ ทำไมจะต้องให้เขาเดินทางมาซะไกล แล้วไหนจะหนูเล็กอีก ตอนที่แกหมั้นหนูเล็กก็เปิดเทอมแล้วนะ” ว่าพลางมองไปยังลูกสาวบุญธรรมที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำให้ปรัชญ์มองตาม ธรินดาจึงรีบก้มหน้างุดเพื่อหลบตาดุๆ คู่นั้น
“จะลำบากอะไรกันนักหนา นั่งเครื่องบินมาชั่วโมงเดียวก็ถึงแล้ว ไม่ใช่ยุคขี่เกวียนนะครับแม่เลี้ยง” ปรัชญ์บอกง่ายๆ ส่วนใหญ่เขามักจะเรียกแม่ตัวเองว่า ‘แม่เลี้ยง’ อยู่เสมอเวลาที่พูดอะไรเป็นทางการ เหมือนจะกั้นตัวเองออกห่างจากผู้เป็นแม่มาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งแม่เลี้ยงลักษิกากับคนในครอบครัวก็ชินเสียแล้วกับการพูดเช่นนั้นของเขา
“ตาปรัชญ์นี่ทำไมเป็นคนขวางโลกอย่างนี้นะ หนูนัสเป็นฝ่ายหญิงจะให้หอบหิ้วกันมาหมั้นถึงบ้านของฝ่ายชายได้ยังไง”
“ก็ไม่ได้หมั้นที่บ้านนี่ครับ ผมบอกว่าจัดที่โรงแรม อีกอย่างผมก็ไม่ได้เป็นคนอยากหมั้น ถ้าใครอยากหมั้นหรืออยากมาร่วมงานนักก็ให้มากันเอง”
“ตาปรัชญ์!” แม่เลี้ยงลักษิกาทำเสียงเขียวใส่ แต่มีหรือที่ปรัชญ์จะสน
“ตามนั้นครับแม่เลี้ยง ถ้าไม่ได้ตามนั้นก็ให้คนอื่นหมั้นแทนผมก็แล้วกัน หรือจะยกเลิกงานหมั้นไปเลยก็ได้ ผมไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว”
“โอย...ฉันจะบ้าตายกับลูกคนนี้ เอาเถอะๆ จะเอาอย่างนั้นก็ตามใจ พ่อคนขวางโลก”
แม่เลี้ยงลักษิกาถอนหายใจและจำต้องอ่อนข้อให้ในเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ตัวเองต้องลำบากใจไม่น้อยกับการต้องไปพูดกับครอบครัวว่าที่คู่หมั้นของลูกชาย แต่แม่เลี้ยงลักษิกาก็รู้ดีว่าที่ปรัชญ์กล้าพูดเช่นนั้น ก็เพราะตอนนี้ทางครอบครัวของตนถือไพ่เหนือกว่าครอบครัวของนัสริน ทั้งนี้ก็เพราะบิดาของนัสรินเป็นนายทหารระดับนายพลรุ่นเดียวกับปภพพ่อของปราณต์และปรัชญ์ ทั้งคู่สนิทสนมกันมากและมีนิสัยเถรตรงเหมือนกัน ก่อนหน้าที่สามีของนางจะเสียชีวิต พลเอกปภพเคยเปรยไว้ว่าอยากให้สองครอบครัวเป็นทองแผ่นเดียวกัน โดยจะยกหนี้สินทั้งหมดที่ครอบครัวของเพื่อนสนิทติดค้างอยู่ให้เป็นสินสอดพร้อมกับเพิ่มให้อีกจำนวนหนึ่ง แต่ไม่ทันได้เป็นจริง สามีของนางก็ด่วนจากไปเสียก่อน แต่แม่เลี้ยงลักษิกาก็ยังไม่ล้มเลิกที่จะสานต่อความปรารถนาของสามีให้สำเร็จดังที่ตั้งใจไว้
บทที่ 15“แล้วแม่เลี้ยงมีอะไรกับผมอีกหรือเปล่า” ปรัชญ์ถามแม่คล้ายกับอยากสะสางเรื่องให้จบๆ ไปทีเดียว “มี...แม่อยากให้ปรัชญ์เลิกเรียกหนูนัสว่านัสรินแล้วเรียกชื่อเล่นน้องแทน ส่วนปรัชญ์เวลาพูดกับน้องก็ให้แทนตัวเองว่าพี่ แม่ขอแค่นี้ได้หรือเปล่า” “เพื่ออะไร?” “ก็แกกับน้องจะแต่งงานกัน ควรจะต้องทำตัวให้สนิทสนมกันเข้าไว้สิ อีกอย่างเรียกน้องแบบนั้นมันฟังดูห่างเหินและเหมือนเราไว้ตัว” “งั้นผมต้องเรียกธรินดาว่าน้องเล็กด้วยหรือเปล่า จะได้ฟังดูไม่ห่างเหิน” เขาเน้นประโยคหลังเป็นพิเศษ คนถูกพาดพิงร้อนใจจนต้องเงยหน้าขึ้นมองคนหาเรื่อง และเขาก็ตวัดมองมาพอดี ตาที่เหมือนจะเรียบเฉยคู่นั้นแฝงไว้ด้วยความนัยที่รู้กันสองคน ทำเอาธรินดาถึงกับวุ่นวายใจไปชั่วขณะเลยทีเดียว “แม่ก็บอกให้เรียกตั้งนานแล้ว แต่เราไม่ยอมเรียกเองนี่” แม่เลี้ยงลักษิกาย้อนลูกชาย และไม่ได้สังเกตเห็นสายตาระหว่างคนทั้งคู่ที่มองกันแปลกๆ เพราะปรัชญ์ชอบหาเรื่องรวนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว “ก็แต่ก่อนไม่สนิท แต่ตอนนี้ ‘สนิท’ กันแล้วนี่ครับแม่เลี้ยง”
บทที่ 16เทอมสุดท้ายของการเรียนปีสี่และการเป็นนักศึกษาเริ่มขึ้นแล้ว ธรินดารู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก เพราะการเรียนและงานสารนิพนธ์ที่ทำคู่กับชนิศาทำให้เธอยุ่งจนแทบไม่มีเวลาคิดเรื่องส่วนตัว ร่างบางนั่งตรงข้ามกับคู่บัดดี้ทำสารนิพนธ์และต่างก็กำลังจ้องจอแล็ปท็อปอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนที่ธรินดาจะเป็นฝ่ายสะดุ้งเบาๆ เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ในกระเป๋าสะพายดังขึ้น มือเล็กรีบเปิดกระเป๋าและหยิบเอาโทรศัพท์ออกมากดรับ เพราะเกรงใจชนิศาที่เสียงโทรศัพท์ของตนรบกวนสมาธิของเพื่อน “สวัสดีค่ะแม่ใหญ่” เสียงหวานเอ่ยตอบต้นสายอย่างนุ่มนวลและไม่ใช้เสียงที่ดังเกินไป “แม่จองตั๋วให้เรียบร้อยแล้วนะหนูเล็ก” “จองตั๋วไปไหนคะแม่ใหญ่” ธรินดาถามแบบงงๆ เล็กน้อย “ก็กลับบ้านไงลูก วันเสาร์นี้ก็เป็นวันหมั้นของตาปรัชญ์กับหนูนัสแล้ว หนูเล็กลืมเหรอลูก” แม่เลี้ยงลักษิกาถามกลับแต่ไม่มีความโกรธหรือหงุดหงิดเจืออยู่ เพราะเข้าใจดีว่าธรินดาคงจะยุ่งจนลืมวัน “ตายจริง ขอโทษนะคะแม่ใหญ่ เล็กลืมไปเลยค่ะ” “ไม่เป็นไรหรอกลูก แม่เ
บทที่ 17รถกระบะสีดำแบบสี่ประตูแล่นเข้ามาจอดที่โรงรถอย่างไม่ค่อยนุ่มนวลนักเช่นเดียวกับบุคลิกของคนขับ ธรินดาลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อถึงบ้านเสียที มือเล็กจัดการปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยแล้วเอี้ยวตัวเพื่อจะเปิดประตูรถ แต่เสียงของปรัชญ์ดังขึ้นห้ามอย่างดุๆ เสียก่อน “เดี๋ยวก่อนธรินดา” “มีอะไรคะ” แม้จะไม่อยากพูดด้วยเลยสักนิด แต่ครั้งนี้ธรินดาก็ยอมฝืนใจตัวเอง เพราะตอนนี้รถจอดแล้ว ปรัชญ์สามารถเล่นงานเธอได้เต็มที่ “เธอขอบคุณฉันหรือยังที่ฉันอุตส่าห์ไปรับถึงสนามบิน” “ขอบคุณค่ะ” มือเล็กยกขึ้นไหว้เขา ถึงแม้จะแอบคิดว่าเธอไม่ได้อยากให้เขาไปรับสักนิด และอยากจะบอกเขาไปว่าถ้าคนที่บ้านไม่ว่างจริงๆ เธอเรียกแท็กซี่กลับเองก็ได้ แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดเพราะกลัวว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเปล่าๆ ธรินดาคิดว่าไหว้ขอบคุณแล้วปรัชญ์จะจบ แต่เขาไม่ยอมจบ เพราะตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลานั้นโฉบเข้ามาใกล้หน้าหวานใสของเธอแล้วฉวยโอกาสกดจมูกโด่งลงบนพวงแก้มซีกขวาหนักๆ โดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว “คุณปรัชญ์!” ธรินดาอุทานเสียงเข
บทที่ 18ในห้องโถงสำหรับจัดงานของโรงแรมถูกจัดตกแต่งสถานที่ด้วยโซฟาสุดหรูนำเข้าจากฝรั่งเศส ด้านหลังเป็นฉากสีชมพู มีดอกไม้สีขาวและสีชมพูประดับอย่างสวยงามลงตัวและไม่มากจนเกินไป เหมาะกับงานหมั้นเล็กๆ ที่จัดขึ้นภายในครอบครัวเท่านั้น และที่นั่นธรินดาถูกแม่เลี้ยงลักษิกาแนะนำให้รู้จักกับนัสรินว่าที่สะใภ้ของครอบครัวเป็นครั้งแรก นัสรินสวยสง่าในชุดเดรสสีขาวแบบเปิดไหล่เล็กน้อย แขนยาว ตัดเย็บอย่างประณีตด้วยผ้าลูกไม้สีขาวทั้งชุด ธรินดาเป็นฝ่ายยกมือขึ้นไหว้ก่อนเพราะอีกฝ่ายอายุมากกว่า“สวัสดีค่ะคุณนัสริน”“สวัสดีจ้ะน้องเล็ก ไม่ต้องเรียกพี่ว่าคุณนัสรินก็ได้ เรียกว่าพี่นัสดีกว่านะจะได้กันเอง” นัสรินบอกอย่างเป็นกันเองพลางยิ้มให้บางๆ“หนูนัสพูดถูก เดี๋ยวต่อไปก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เรียกว่าพี่นัสดีกว่านะหนูเล็ก” แม่เลี้ยงลักษิกาเสริมขึ้นอีกแรงทำให้ธรินดารับคำอย่างว่าง่าย“ได้ค่ะแม่ใหญ่ ต่อไปเล็กจะเรียกคุณนัสรินว่าพี่นัสค่ะ”“แล้วนี่ตาปรัชญ์ยังไม่มาเหรอคะแม่เลี้ยง” คุณนิภามารดาของนัสรินถามพลางมองหาว่าที่ลูกเขยซึ่งไม่ได้มาพร้อมกับครอบครัว“ไม่ได้มาพร้อมกันค่ะคุณนิภา มัวแต่เสริมหล่ออยู่นั่นแหละ แต่ยังไง
บทที่ 19พิธีเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีเพียงคนของสองครอบครัวที่มาร่วมงาน เมื่อการสวมแหวนหมั้นผ่านพ้นไปด้วยดี ช่างภาพที่แม่เลี้ยงลักษิกาว่าจ้างเอาไว้ก็ถ่ายรูปรวมสองครอบครัวกับภาพคู่ของว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นที่ระลึก ยังถ่ายไม่ทันเสร็จดีจู่ๆ นัสรินก็ทรุดฮวบและพับลงไป เพราะถูกอาการหน้ามืดเล่นงานจนหมดสติ“ว้าย! ตายแล้วยัยนัส”ประโยคนั้นแม่ของนัสรินเป็นคนอุทานขึ้น ปรัชญ์ซึ่งยืนอยู่ใกล้ที่สุดเป็นคนย่อตัวลงไปช้อนอุ้มเอาร่างของคู่หมั้นสาวไปนอนยังโซฟา และปราณต์ขยับเข้าไปทรุดตัวนั่งลงใกล้ๆ เพื่อตรวจดูอาการเบื้องต้นคุณหมอหนุ่มจับชีพจร พร้อมกับหันไปสั่งพนักงานโรงแรมให้นำกระเป๋าปฐมพยาบาลมาให้ เขาบอกกับทุกคนว่าไม่ต้องตกใจเพราะนัสรินเพียงแค่เป็นลมปราณต์ใช้เวลาปฐมพยาบาลคู่หมั้นของน้องชายได้ไม่นานนัสรินก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางความโล่งอกของทุกคน“หนูนัสเป็นยังไงบ้าง” แม่เลี้ยงลักษิกาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะคุณป้า”“ป้าเป้ออะไรกัน ต่อไปต้องเรียกแม่ว่าแม่เหมือนตาปรัชญ์แล้วนะหนูนัส ว่าแต่เป็นลมแบบนี้บ่อยๆ เหรอลูก”“เปล่าค่ะ นัสเพิ่งเป็นครั้งแรก”“สงสัยจะตื่นเต้นจนกินไม่ได้นอนไม่หลั
บทที่ 20ตู้มมม!!!เสียงของสองร่างกระแทกน้ำดังขึ้นพร้อมกับการสาดกระเซ็นและการกระเพื่อมของน้ำในสระ อารามตกใจและสัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นอย่างธรินดารีบเกาะไหล่ของปรัชญ์ยึดเอาไว้มั่นเป็นพัลวัน ปรัชญ์ที่ตัวสูงเกือบสองเมตรสามารถยืนในน้ำลึกเมตรครึ่งได้สบายๆ ขณะที่ธรินดากลัวจนไม่กล้าเอาเท้าแตะกับพื้นด้วยซ้ำ ปรัชญ์ตวัดแขนข้างหนึ่งกอดเอวเล็กของคนที่กำลังเบียดร่างเข้าหาเพื่อเอาตัวรอด รอยยิ้มผุดขึ้นบนเรียวปากหยักของเขาด้วยความขบขันและพอใจยิ่งนักเมื่อถูกกอดความตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอย่างอื่น แม้อ้อมแขนนั้นจะทำให้เธอปลอดภัยขึ้น แต่ปรัชญ์ก็ไม่ควรมากอดเธอเช่นนี้ เพราะเขาเพิ่งจะหมั้นมาหยกๆ“ปล่อยเล็กค่ะคุณปรัชญ์”“เบื่อจริง เอะอะอะไรก็พูดแต่คำเดิมๆ ว่าปล่อยเล็กๆ เธอลืมไปหรือเปล่าธรินดา ว่าเธอเป็นคนกระเสือกกระสนเข้ามาหาฉันเอง” เขาพูดอย่างคนที่เป็นต่อกว่า โดยอ้อมแขนยังไม่คลายไปจากเอวเล็กแต่อย่างใด ทำให้ธรินดาดิ้นแรงกว่าเดิม“คุณปรัชญ์ก็รู้ว่าเล็กว่ายน้ำไม่เป็น แล้วดึงเล็กลงมาด้วยทำไมคะ”“เธอก็รู้ว่าฉันไม่ยอมถูกใครเอาเปรียบ แล้วผลักฉันลงมาทำไมฮึ นี่คือการลงโทษคนที่คิดจะทำร้
บทที่ 21ทันทีที่เห็นราวบันได มือเล็กก็คว้าเอาไว้แน่น แล้วรีบก้าวขาขึ้นจากสระน้ำและหนีอ้อมกอดของคนพาล พอขึ้นมาได้ก็รีบเดินแกมวิ่งไปยืนข้างๆ แม่บุญธรรมของตนอย่างคนหาที่พึ่ง ส่วนปรัชญ์ค่อยๆ ตามหลังขึ้นมาอย่างใจเย็น“ตาปรัชญ์รีบไปบอกคนของโรงแรมเอาผ้าขนหนูมาให้น้องสิ น้องหนาวจะแย่แล้ว เดี๋ยวน้องก็ไม่สบายหรอก” คนเป็นแม่ออกคำสั่งทันทีที่ลูกชายพ้นขึ้นมาจากขอบสระ“แช่น้ำแค่นี้ไม่เป็นไรง่ายๆ หรอกครับแม่เลี้ยง ก็เพราะแม่เลี้ยงโอ๋ลูกสาวและเลี้ยงเป็นไข่ในหินแบบนี้น่ะสิ หนูเล็กของแม่เลี้ยงถึงได้บอบบางเหลือเกิน ถูกกอดนิดกอดหน่อยก็เหมือนจะแตกจะหัก”“เอ๊ะ! ตาปรัชญ์นี่ทำไมพูดแบบนี้กับแม่ แล้วไปกอดน้องตอนไหนบอกแม่มานะ”ไม่ใช่แต่แม่เลี้ยงลักษิกาที่เดือดเนื้อร้อนใจกับคำพูดของปรัชญ์ แต่ธรินดาก็พลอยหน้าร้อนวูบไปด้วย กลัวว่าเขาจะพูดอะไรบ้าๆ ห่ามๆ ออกมาให้เธอได้เดือดร้อน“ก็กอดตอนอยู่ในน้ำนั่นละครับ หรือแม่เลี้ยงไม่เห็นว่าลูกสาวของแม่เลี้ยงเกาะผมแน่นแจเสียขนาดนั้น”“เฮ้อ...ไปๆ อย่ามามัวแต่กวนโมโหแม่อยู่เลย อ้อ...แกเองก็เหมือนกัน ไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวซะให้เรียบร้อย แล้วไปรอส่งครอบครัวหนูนัสรินเสียด้วย อีกสักพักจ
บทที่ 22ช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ธรินดาเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยมีปราณต์ขับรถไปส่งที่สนามบินตามลำพัง ส่วนแม่เลี้ยงลักษิกาออกจากบ้านไปยังไร่เดชาธรตั้งแต่ตอนสายๆ หญิงสาวแต่งตัวด้วยชุดลำลอง ส่วนชุดนักศึกษาเธอพับใส่ถุงกระดาษและหิ้วกลับไปซักที่หอพักการนั่งรถมากับปราณต์สองคนไม่ได้ทำให้ธรินดารู้สึกอึดอัดแม้แต่เศษเสี้ยวนาที ปราณต์เป็นพี่ชายที่ใจดีกับเธอเช่นเคย และไม่เคยมีคำพูดใดที่จะทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจหรือน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนใครบางคน“เล็กไปก่อนนะคะพี่ปราณต์ ขอบคุณที่มาส่งค่ะ”มือเล็กยกขึ้นไหว้ปราณต์เมื่อเขาเดินเข้ามาส่งถึงห้องผู้โดยสารและรอจนเธอเช็กอินเสร็จ ปราณต์ไม่ได้รับไหว้แต่รวบร่างบางเข้าไปกอดแบบหลวมๆ แล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมนุ่มสลวยอย่างอ่อนโยน“เดินทางปลอดภัยนะน้องเล็ก จะกลับอีกเมื่อไหร่ก็โทร.บอกพี่นะ พี่จะได้มารับ”“เล็กไม่กล้ารบกวนพี่ปราณต์หรอกค่ะ พี่ปราณต์งานยุ่งจะตาย”“ถึงยุ่งก็ปลีกเวลามาได้”“แม้แต่ตอนอยู่ในห้องผ่าตัดเหรอคะ” ธรินดากล้าพูดเล่นกับเขาเพราะรู้ว่าปราณต์ไม่ถือสา“พี่จะพยายามไม่ผ่าใครในตอนที่น้องเล็กกลับมาก็แล้วกัน”“อย่าลำเอียงสิคะคุณหมอ คนไข้ต้องสำคัญกว่าเล็ก