แชร์

บทที่ 14

บทที่ 14

วันนี้เป็นวันหยุด...ร่างสูงจึงยังคงนอนเอื่อยเฉื่อยอยู่บนเตียงทั้งที่ตื่นนานแล้ว อาหารเช้าเขาก็ไม่คิดจะลงไปกิน แต่กระนั้นบัวคำก็ยังอุตส่าห์ยกขึ้นมาเสิร์ฟให้ถึงห้อง ซึ่งก็คงไม่แคล้วเป็นคำสั่งของแม่เลี้ยงลักษิกาอีกตามเคย

ปรัชญ์ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวหลังจากนอนจนฉ่ำใจ จากนั้นก็ลงมาชั้นล่าง ตรงเข้าไปในห้องนั่งเล่นซึ่งตอนนี้ทั้งแม่ทั้งพี่ชายต่างอยู่พร้อมหน้า แต่แปลกที่เขาคิดว่าบ้านเงียบผิดปกติ หรือขาดอะไรบางอย่างไป เพราะไม่เห็นเจ้าของใบหน้าที่เขาชอบค่อนแคะว่าจืดชืดนั่งอยู่กับแม่ของเขาอย่างที่เคยเห็นอยู่เป็นประจำ ครั้นจะเอ่ยปากถามหาก็ผิดปกติวิสัยของตัวเอง จึงได้แต่เดาสุ่มว่าธรินดาชอบไปไหนบ้าง

“ตื่นแล้วเหรอตาปรัชญ์ แล้วนั่นจะไปไหน” แม่เลี้ยงลักษิกาทักลูกชายเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาแล้วก็จะกลับออกไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้นั่งลงเลย

“ไปเดินเล่นครับ”

ตอบแม่แค่นั้นร่างสูงก็พาตัวเองไปหาเป้าหมาย และเขาคาดไม่ผิดจริงๆ เมื่อไปที่ห้องพระแล้วเห็นว่าคนที่ตัวเองตามหากำลังนั่งสมาธิอยู่ในนั้น

ปรัชญ์แทรกตัวเข้าไปข้างใน ปิดประตูห้องพระ แล้วเดินไปล้มตัวลงนอนหนุนตักคนที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ ทำให้ธรินดาต้องลืมตาออกจากสมาธิเพื่อมองว่าใครกันที่จู่ๆ ก็เข้ามาทำเช่นนั้นกับตน

“คุณปรัชญ์!” เสียงหวานอุทานเมื่อก้มลงมองแล้วเห็นว่าคนที่กำลังนอนหนุนตักตัวเองอยู่เป็นใคร

“เป็นอะไรหือ เห็นฉันทุกครั้งจะต้องอุทานเหมือนเห็นยักษ์เห็นมาร” ปรัชญ์ถามเหมือนรำคาญนักหนา แต่กลับยกมือขึ้นกอดอกพลางจ้องหน้าคนที่ก้มลงมองตัวเองตอบอย่างรื่นรมย์

“ก็คุณปรัชญ์ทำตัวเหมือนยักษ์เหมือนมารจริงๆ นี่คะ ไม่เห็นหรือไงคะว่าเล็กนั่งสมาธิอยู่”

“เห็น…แต่เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าฉันเหมือนยักษ์เหมือนมาร ฉันก็เลยมาที่ห้องพระนี่ไง เผื่อความเป็นยักษ์เป็นมารในตัวฉันจะได้ลดลง”

 “ถ้าอย่างนั้นลุกขึ้นสิคะ นี่มันห้องพระนะคะ” ไม่เพียงแต่บอก มือเล็กยังพยายามจะผลักไหล่หนาออกจากตัก แต่ปรัชญ์ก็ไม่ยอมขยับเขยื้อนเลย

“แล้วยังไง ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรเสื่อมเสียนี่”

“แล้วที่นอนหนุนตักเล็กอยู่นี่ล่ะคะ มันไม่เหมาะนะคะคุณปรัชญ์” เสียงหวานเอ่ยเตือนอย่างเดือดเนื้อร้อนใจ

“ฉันแค่อยากรู้สึกเย็นกายเย็นใจแบบเธอบ้าง”

“ถ้าอยากรู้สึกจริงๆ ก็ลุกขึ้นมานั่งสมาธิสิคะ”

“ไม่ละ ฉันเมื่อย นอนสมาธิดีกว่า”

พูดจบดวงตาคมกล้าก็หลับพริ้มลง แต่กลับไม่ได้สงบนิ่งเหมือนเข้าสู่ห้วงสมาธิแต่อย่างใด ใบหน้าอันหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยไรหนวดไรเครานั้นเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม ไม่สนใจคนที่กำลังดิ้นขลุกขลักเพราะเป็นเดือดเป็นร้อนที่ถูกนอนหนุนตักเลยแม้แต่นิด

“คุณปรัชญ์คะ...”

“รบกวนคนทำสมาธิมันบาปนะธรินดา” เสียงเขาดังพึมพำทั้งที่หลับตาอยู่

ธรินดาได้แต่ถอนหายใจ เพราะไม่ว่าจะทำอย่างไรปรัชญ์ก็ไม่ยอมลุก สุดท้ายเธอก็ได้แต่นั่งนิ่งๆ เนื่องจากปรัชญ์ไม่ได้นอนสมาธิแล้วแต่เขาหลับจริงๆ เพราะมีเสียงกรนเบาๆ ให้เธอได้ยิน ตาคู่สวยจึงเผลอมองสำรวจทั่วใบหน้าของคนใจร้ายนั้นอยู่เงียบๆ ก่อนจะรีบดึงความสนใจของตัวเองมาจากเขา แล้วหลับตาลงทำสมาธิต่อโดยที่จิตใจไม่สงบสักนิด 

ค่ำนั้นเป็นอีกค่ำที่สมาชิกในครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา แม่เลี้ยงลักษิกาจึงถือโอกาสพูดเรื่องหมั้นของปรัชญ์อย่างเป็นจริงเป็นจังเสียที หลังจากที่ก่อนหน้านี้ลูกชายคนเล็กกลับบ้านบ้างไม่กลับบ้าง หรือถ้ากลับก็ดึกดื่นซะจนคนในบ้านหลับกันหมดแล้ว เลยไม่มีโอกาสได้คุยกันสักครั้ง

“แม่ได้ฤกษ์หมั้นมาแล้วนะตาปรัชญ์ เดือนหน้านี้เลย แม่ว่าจะจัดงานที่โรงแรมในกรุงเทพฯ หรือปรัชญ์ว่าจะจัดที่บ้านของหนูนัสริน” คนเป็นแม่ถามเป็นเชิงปรึกษาหารือกับเจ้าตัวที่ตอนนี้กำลังนั่งกินข้าวอยู่เงียบๆ 

“จัดที่โรงแรมของเราที่เชียงใหม่ดีกว่าครับ”

“จะบ้าเหรอตาปรัชญ์ ทำไมจะต้องให้เขาเดินทางมาซะไกล แล้วไหนจะหนูเล็กอีก ตอนที่แกหมั้นหนูเล็กก็เปิดเทอมแล้วนะ” ว่าพลางมองไปยังลูกสาวบุญธรรมที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำให้ปรัชญ์มองตาม ธรินดาจึงรีบก้มหน้างุดเพื่อหลบตาดุๆ คู่นั้น

“จะลำบากอะไรกันนักหนา นั่งเครื่องบินมาชั่วโมงเดียวก็ถึงแล้ว ไม่ใช่ยุคขี่เกวียนนะครับแม่เลี้ยง” ปรัชญ์บอกง่ายๆ ส่วนใหญ่เขามักจะเรียกแม่ตัวเองว่า ‘แม่เลี้ยง’ อยู่เสมอเวลาที่พูดอะไรเป็นทางการ เหมือนจะกั้นตัวเองออกห่างจากผู้เป็นแม่มาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งแม่เลี้ยงลักษิกากับคนในครอบครัวก็ชินเสียแล้วกับการพูดเช่นนั้นของเขา

“ตาปรัชญ์นี่ทำไมเป็นคนขวางโลกอย่างนี้นะ หนูนัสเป็นฝ่ายหญิงจะให้หอบหิ้วกันมาหมั้นถึงบ้านของฝ่ายชายได้ยังไง”

“ก็ไม่ได้หมั้นที่บ้านนี่ครับ ผมบอกว่าจัดที่โรงแรม อีกอย่างผมก็ไม่ได้เป็นคนอยากหมั้น ถ้าใครอยากหมั้นหรืออยากมาร่วมงานนักก็ให้มากันเอง”

“ตาปรัชญ์!” แม่เลี้ยงลักษิกาทำเสียงเขียวใส่ แต่มีหรือที่ปรัชญ์จะสน

“ตามนั้นครับแม่เลี้ยง ถ้าไม่ได้ตามนั้นก็ให้คนอื่นหมั้นแทนผมก็แล้วกัน หรือจะยกเลิกงานหมั้นไปเลยก็ได้ ผมไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว”

“โอย...ฉันจะบ้าตายกับลูกคนนี้ เอาเถอะๆ จะเอาอย่างนั้นก็ตามใจ พ่อคนขวางโลก”

แม่เลี้ยงลักษิกาถอนหายใจและจำต้องอ่อนข้อให้ในเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ตัวเองต้องลำบากใจไม่น้อยกับการต้องไปพูดกับครอบครัวว่าที่คู่หมั้นของลูกชาย แต่แม่เลี้ยงลักษิกาก็รู้ดีว่าที่ปรัชญ์กล้าพูดเช่นนั้น ก็เพราะตอนนี้ทางครอบครัวของตนถือไพ่เหนือกว่าครอบครัวของนัสริน ทั้งนี้ก็เพราะบิดาของนัสรินเป็นนายทหารระดับนายพลรุ่นเดียวกับปภพพ่อของปราณต์และปรัชญ์ ทั้งคู่สนิทสนมกันมากและมีนิสัยเถรตรงเหมือนกัน ก่อนหน้าที่สามีของนางจะเสียชีวิต พลเอกปภพเคยเปรยไว้ว่าอยากให้สองครอบครัวเป็นทองแผ่นเดียวกัน โดยจะยกหนี้สินทั้งหมดที่ครอบครัวของเพื่อนสนิทติดค้างอยู่ให้เป็นสินสอดพร้อมกับเพิ่มให้อีกจำนวนหนึ่ง แต่ไม่ทันได้เป็นจริง สามีของนางก็ด่วนจากไปเสียก่อน แต่แม่เลี้ยงลักษิกาก็ยังไม่ล้มเลิกที่จะสานต่อความปรารถนาของสามีให้สำเร็จดังที่ตั้งใจไว้

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status