แชร์

บทที่ 13

บทที่ 13

แม่เลี้ยงลักษิกากลับมาจากปฏิบัติธรรมแล้ว แต่ก็ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ ของลูกสาวบุญธรรมเลยแม้แต่น้อย เพราะธรินดาเก็บงำทุกอย่างไว้เป็นความลับและพยายามทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุดยามอยู่ต่อหน้าทุกคน อีกทั้งช่วงนี้ปรัชญ์เองก็ไม่ค่อยจะกลับบ้าน ทำให้เธอไม่ต้องเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ พักหลังๆ ธรินดาจึงสบายใจและเข้มแข็งขึ้นมาก

พระอาทิตย์เริ่มจะเคลื่อนคล้อยลงต่ำ หญิงสาวหยิบเอาตะกร้าหวายเพื่อจะไปตัดกุหลาบที่ปลูกอยู่ในแปลงบนเนินเขาหลังบ้านมาจัดแจกันในห้องพระและห้องรับแขก แต่วันนี้จักรยานที่เคยจอดอยู่ในโรงรถหายไป ธรินดาจึงเดินถือตะกร้าไปยังแปลงกุหลาบแทน

ร่างบางย่อตัวลงตัดกุหลาบใส่ในตะกร้า ซึ่งส่วนใหญ่เธอจะเลือกตัดสีขาวเพื่อใส่ในห้องพระและสีชมพูสำหรับห้องรับแขก กระทั่งได้กุหลาบสวยๆ จนเกือบเต็มตะกร้า หญิงสาวจึงนั่งลงและทอดสายตาไปยังพระอาทิตย์ดวงโตที่ตอนนี้กำลังทอดตัวลงลับเหลี่ยมเขา ก่อนที่แสงสุดท้ายของวันจะหมดลงในที่สุด

ความมืดคืบคลานเข้ามาพร้อมๆ กับไอหมอกสีขาวจางๆ ที่แผ่ขยายไปทั่วอาณาบริเวณอย่างรวดเร็ว ธรินดาถอนหายใจเล็กน้อยที่ความงดงามของธรรมชาติยามเย็นเลือนหายไปอีกวัน ร่างบางลุกขึ้นแล้วเดินลัดเลาะมาตามถนนที่ทอดยาวตรงไปยังตัวบ้าน ขณะที่เท้าเล็กๆ เดินย่ำแบบเอื่อยๆ ไม่ได้เร่งรีบอะไรนั้น เสียงกระดิ่งของจักรยานที่ถูกใครบางคนปั่นมาจากทางด้านหลังก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงทุ้มดุห้วนกระด้าง

“ไปไหนมา”  

“คุณปรัชญ์!” เสียงหวานอุทานออกมาด้วยความตกใจ ร่างบางสะดุ้งน้อยๆ แม้จะเห็นหน้าเจ้าของเสียงไม่ถนัดนักเพราะถูกความมืดบดบัง แต่เธอก็จำเรือนกายสูงตระหง่านที่นั่งอยู่บนอานจักรยานและน้ำเสียงเขาได้ถนัด...เขากลับมาตอนไหน ทำไมเธอถึงไม่เห็นรถของเขาจอดอยู่ที่โรงรถ

“ทำไมจะต้องตกใจขนาดนั้น” ปรัชญ์ถามขึ้นอย่างไม่พอใจอีก “ฉันเป็นยักษ์เป็นมารหรือไง”

“เล็กก็แค่ตกใจ”

“ตกใจอะไรนักหนา ไปทำความผิดอะไรมาหรือไง”

                อยากจะตอบไปว่าที่ตกใจนักหนาก็เพราะไม่คิดว่าจะเจอเขาหลังจากไม่ได้เจอกันหลายวัน และที่สำคัญไม่คิดว่าจะเจอเขาที่นี่

                “เล็กไม่ได้ทำอะไรผิด แค่ออกมาตัดดอกไม้”

                “เธอมาค่ำๆ มืดๆ แบบนี้เป็นประจำเหรอ”

                “ค่ะ เล็กชอบมาตัดดอกไม้ช่วงเย็น แล้วคุณปรัชญ์ล่ะคะไปไหนมา”

                “ไปไหนก็ได้มั้ง ที่นี่มันบ้านฉันนี่”

                คำตอบนั้นทำให้ความน้อยใจรุมเล่นงานคนที่อยู่ในฐานะ ‘ผู้อาศัย’ อีกครั้ง ใช่...ที่นี่มันบ้านเขา เธอต่างหากที่เผลอลืมไปว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านตัวเอง

                “เล็กขอโทษค่ะที่ถามอะไรโง่ๆ” หญิงสาวว่าประชดตัวเอง แต่กลับยิ่งโดนตอกย้ำจากคนปากร้าย

                “ใช่...เธอน่ะมันโง่ โง่ไปซะหมดทุกเรื่อง จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”

                “ค่ะ...งั้นเล็กขอตัว คุณปรัชญ์จะได้ไม่ต้องรำคาญคนโง่ๆ อย่างเล็ก”

                ธรินดาคร้านจะต่อปากต่อคำด้วย เพราะพูดไปก็มีแต่ตัวเธอเองที่เป็นฝ่ายเจ็บกับเจ็บ เนื่องจากปรัชญ์ไม่เคยคิดจะถนอมน้ำใจเวลาที่คุยกันอยู่แล้ว

เท้าเล็กๆ กำลังจะออกเดินต่อ แต่ถูกเสียงห้วนดุขัดขึ้นเสียก่อน

“เดี๋ยวก่อนธรินดา”

“คุณปรัชญ์มีอะไรอีกคะ” เธอหันไปถามทั้งๆ ที่ไม่อยากจะเสวนาด้วยสักนิด

“มาซ้อนท้ายจักรยานฉันสิ เดี๋ยวฉันจะพากลับบ้าน”

“ไม่เป็นไรค่ะ เล็กเดินกลับเองได้”

“นี่คือคำสั่งธรินดา มาซ้อนท้ายจักรยานฉันเดี๋ยวนี้ หรือเธออยากมีเรื่องกับฉัน” เสียงเขาห้วนดุกระด้างบ่งบอกว่าเอาจริงแน่หากเธอคิดจะขัดใจ

“แต่เล็ก...”

“ธรินดา!” เสียงนั้นเข้มดุกว่าเดิม เป็นสัญญาณเตือนถึงอันตรายแก่เจ้าของชื่อ

“ก็ได้ค่ะ”

ธรินดาจำต้องเดินไปนั่งซ้อนด้านหลังของร่างใหญ่ที่ตอนนี้นั่งคร่อมอยู่บนอานจักรยาน แม้จะเป็นการนั่งเอียงข้าง และมีระยะห่างระหว่างเธอกับเขาอยู่พอสมควร แต่หัวใจดวงน้อยๆ กลับเต้นแรงขึ้นมาทันที เมื่อไออุ่นจากร่างใหญ่นั้นแผ่ซ่านมากระทบกาย มือเล็กจึงเผลอกอดกระชับตะกร้าดอกกุหลาบที่ตอนนี้ถูกวางไว้บนตักแน่นขึ้น เพื่อลดอาการประหม่าแกมเขินอายของตัวเอง

“เอาตะกร้ามานี่”

ปรัชญ์เอี้ยวตัวมาพร้อมกับออกคำสั่งอีกครั้ง ธรินดาคร้านจะมีปัญหากับเขาจึงส่งตะกร้าในมือไปให้ง่ายๆ จากนั้นตะกร้าดอกไม้นั้นก็ถูกปรัชญ์เอาไปแขวนไว้ที่แฮนด์ของจักรยาน ก่อนที่เขาจะปั่นมันไปอย่างไม่เร็วนัก

ขณะที่จักรยานแล่นไปตามถนนตามแรงปั่นของคนที่แข็งแรงกว่า การเคลื่อนที่ของมันกลับมีอาการเซซ้ายเซขวาจะล้มแหล่มิล้มแหล่อยู่หลายครั้ง ทำให้เสียงหวานเผลอร้องออกมาด้วยความตกใจ

“ว้าย! คุณปรัชญ์ปั่นดีๆ สิคะ”

“ฉันก็ปั่นของฉันแบบนี้ เธอนั่นละไม่เคยซ้อนจักรยานหรือไง ถึงได้นั่งตัวแข็งทื่อแบบนั้น ไม่รู้หรือไงว่ามันทำให้ฉันปั่นจักรยานได้ไม่ถนัด เอามือมากอดฉันไว้สิ แล้วทำตัวให้เป็นธรรมชาติ”

ปรัชญ์ออกคำสั่งขณะยังปั่นจักรยาน แต่ธรินดาไม่ยอมทำตาม เขาจึงหยุดรถแล้วหันหน้ามาทางคนที่นั่งอยู่ข้างหลัง ใช้มือใหญ่จับมือเล็กของเธอมาโอบที่เอวสอบของตัวเองอย่างถือวิสาสะ จากนั้นก็ปั่นจักรยานต่ออีกครั้ง

ธรินดาหน้าร้อนวูบ ทั้งเขิน ทั้งกระดาก และอับอายไปหมดที่ต้องมานั่งซ้อนท้ายจักรยานผู้ชายซึ่งชอบข่มขู่รังแกตัวเองอย่างปรัชญ์ แล้วยังต้องกอดเขาอีก มือเล็กกำลังจะละออกมา แต่ถูกเสียงห้วนๆ ดังแทรกขึ้นทันทีที่เธอเพียงแค่ขยับมือ

“อย่าเอามือออกเชียวนะธรินดา ไม่งั้นฉันจะจอดรถแล้วลงไปกอดเธอเอง บอกไว้ก่อนนะว่าฉันจะไม่ทำแค่กอดแน่ๆ ข้างทางมีแต่หญ้านุ่มๆ เธอคิดเอาเองก็แล้วกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุ่งกว้างๆ แบบนี้ เธอจะครางดังเท่าไหร่ก็ได้ มันคงให้อารมณ์ดีพิลึก แต่คงได้แผลที่หลังเป็นที่ระลึกกันบ้างละ อ้อ...เตือนไว้อีกอย่างว่าวันนี้ฉันไม่ได้พกถุงยาง ไม่รับประกันความปลอดภัยของเธอหลังจากเสร็จนะ”

คำขู่และคำเตือนของเขายิ่งทำให้ธรินดาอับอายมากกว่าเดิมเป็นเท่าทวี และมากกว่าอับอายก็คือความหวาดหวั่น นึกอยากจะละมือออกมาแล้วทุบหลังเขาแรงๆ ให้หายเจ็บใจบ้าง แต่ก็ไม่กล้าเสี่ยงกับพายุอารมณ์ของเขา

เมื่อคนปั่นถูกคนซ้อนที่นั่งอยู่ด้านหลังยอมทำทุกอย่างตามที่ตัวเองบอกอย่างว่าง่ายและไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่ง คราวนี้จักรยานก็แล่นฉิวตรงไปยังคุ้มลักษิกาตามแรงถีบจากเท้าอันแข็งแรงของคนปั่น

ไอเย็นจากอากาศรอบกายปะทะร่างบางเป็นระยะ ทำให้เธอรู้สึกหนาวขึ้นมานิดหน่อย ทว่าส่วนเดียวที่ยังอุ่นซ่านอยู่ก็คือมือเล็กที่ตอนนี้โอบกระชับบนเอวสอบของคนอารมณ์ร้ายอยู่

ไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศหรือเพราะคนที่กำลังปั่นจักรยานเงียบๆ กันแน่ที่ทำให้ธรินดานั่งใจลอย กระทั่งไม่รู้ว่าตอนนี้จักรยานมาจอดอยู่ที่โรงรถของคุ้มลักษิกาแล้ว

“ถึงแล้วก็เอามือออกสิ หรือว่ากอดฉันแล้วติดใจ”

ปรัชญ์หันหน้ามาถามอย่างล้อเลียนพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ราวกับเย้ยหยัน ทำให้ธรินดาได้สติ จึงรีบละมือออกมาจากเอวสอบที่ให้ความอบอุ่นกับมือเล็กของตนมาตลอดช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วลนลานลงมาจากจักรยาน ก่อนจะพึมพำด่าเขาไปคำหนึ่งอย่างไม่รู้ว่าจะตอบโต้อย่างไรให้หายเจ็บใจและหายอับอายได้บ้าง

“คนโรคจิต...”

“เธอว่าไงนะ” ปรัชญ์แกล้งถามอย่างยียวนและเลิกคิ้วเข้มขึ้นทั้งๆ ที่ได้ยินเต็มสองหู

ธรินดาได้แต่ตวัดตามองอย่างเคืองแค้น ก่อนจะหลุดคำเดิมออกไป คราวนี้ดังและชัดเจนกว่าเดิมจนเกือบเป็นตะโกนใส่หน้าคนแกล้งไม่ได้ยิน

“เล็กว่าคุณปรัชญ์เป็นพวกโรคจิตค่ะ”

พูดจบก็รีบหันหลังและย่ำเท้าเล็กถี่ๆ หนีกลับเข้าบ้าน ไม่สนใจเสียงที่ตะโกนตามหลังมา

“เดี๋ยวก่อนธรินดา แล้วตะกร้าดอกไม้ของเธอนี่ล่ะ”

                ปรัชญ์ตั้งใจจะตะโกนถามกวนโมโหไปอย่างนั้น รู้ดีว่าคนที่เดินไวๆ หนีไปนั้นคงไม่กลับมาเอาตะกร้าดอกไม้ให้ถูกเขาแกล้งหรอก ดังนั้นเขาจึงต้องเป็นคนถือตะกร้าดอกไม้นั้นเข้าไปตั้งไว้ในบ้านให้เสียเอง

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status