แม่เลี้ยงลักษิกากลับมาจากปฏิบัติธรรมแล้ว แต่ก็ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ ของลูกสาวบุญธรรมเลยแม้แต่น้อย เพราะธรินดาเก็บงำทุกอย่างไว้เป็นความลับและพยายามทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุดยามอยู่ต่อหน้าทุกคน อีกทั้งช่วงนี้ปรัชญ์เองก็ไม่ค่อยจะกลับบ้าน ทำให้เธอไม่ต้องเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ พักหลังๆ ธรินดาจึงสบายใจและเข้มแข็งขึ้นมาก
พระอาทิตย์เริ่มจะเคลื่อนคล้อยลงต่ำ หญิงสาวหยิบเอาตะกร้าหวายเพื่อจะไปตัดกุหลาบที่ปลูกอยู่ในแปลงบนเนินเขาหลังบ้านมาจัดแจกันในห้องพระและห้องรับแขก แต่วันนี้จักรยานที่เคยจอดอยู่ในโรงรถหายไป ธรินดาจึงเดินถือตะกร้าไปยังแปลงกุหลาบแทน
ร่างบางย่อตัวลงตัดกุหลาบใส่ในตะกร้า ซึ่งส่วนใหญ่เธอจะเลือกตัดสีขาวเพื่อใส่ในห้องพระและสีชมพูสำหรับห้องรับแขก กระทั่งได้กุหลาบสวยๆ จนเกือบเต็มตะกร้า หญิงสาวจึงนั่งลงและทอดสายตาไปยังพระอาทิตย์ดวงโตที่ตอนนี้กำลังทอดตัวลงลับเหลี่ยมเขา ก่อนที่แสงสุดท้ายของวันจะหมดลงในที่สุด
ความมืดคืบคลานเข้ามาพร้อมๆ กับไอหมอกสีขาวจางๆ ที่แผ่ขยายไปทั่วอาณาบริเวณอย่างรวดเร็ว ธรินดาถอนหายใจเล็กน้อยที่ความงดงามของธรรมชาติยามเย็นเลือนหายไปอีกวัน ร่างบางลุกขึ้นแล้วเดินลัดเลาะมาตามถนนที่ทอดยาวตรงไปยังตัวบ้าน ขณะที่เท้าเล็กๆ เดินย่ำแบบเอื่อยๆ ไม่ได้เร่งรีบอะไรนั้น เสียงกระดิ่งของจักรยานที่ถูกใครบางคนปั่นมาจากทางด้านหลังก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงทุ้มดุห้วนกระด้าง
“ไปไหนมา”
“คุณปรัชญ์!” เสียงหวานอุทานออกมาด้วยความตกใจ ร่างบางสะดุ้งน้อยๆ แม้จะเห็นหน้าเจ้าของเสียงไม่ถนัดนักเพราะถูกความมืดบดบัง แต่เธอก็จำเรือนกายสูงตระหง่านที่นั่งอยู่บนอานจักรยานและน้ำเสียงเขาได้ถนัด...เขากลับมาตอนไหน ทำไมเธอถึงไม่เห็นรถของเขาจอดอยู่ที่โรงรถ
“ทำไมจะต้องตกใจขนาดนั้น” ปรัชญ์ถามขึ้นอย่างไม่พอใจอีก “ฉันเป็นยักษ์เป็นมารหรือไง”
“เล็กก็แค่ตกใจ”
“ตกใจอะไรนักหนา ไปทำความผิดอะไรมาหรือไง”
อยากจะตอบไปว่าที่ตกใจนักหนาก็เพราะไม่คิดว่าจะเจอเขาหลังจากไม่ได้เจอกันหลายวัน และที่สำคัญไม่คิดว่าจะเจอเขาที่นี่
“เล็กไม่ได้ทำอะไรผิด แค่ออกมาตัดดอกไม้”
“เธอมาค่ำๆ มืดๆ แบบนี้เป็นประจำเหรอ”
“ค่ะ เล็กชอบมาตัดดอกไม้ช่วงเย็น แล้วคุณปรัชญ์ล่ะคะไปไหนมา”
“ไปไหนก็ได้มั้ง ที่นี่มันบ้านฉันนี่”
คำตอบนั้นทำให้ความน้อยใจรุมเล่นงานคนที่อยู่ในฐานะ ‘ผู้อาศัย’ อีกครั้ง ใช่...ที่นี่มันบ้านเขา เธอต่างหากที่เผลอลืมไปว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านตัวเอง
“เล็กขอโทษค่ะที่ถามอะไรโง่ๆ” หญิงสาวว่าประชดตัวเอง แต่กลับยิ่งโดนตอกย้ำจากคนปากร้าย
“ใช่...เธอน่ะมันโง่ โง่ไปซะหมดทุกเรื่อง จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
“ค่ะ...งั้นเล็กขอตัว คุณปรัชญ์จะได้ไม่ต้องรำคาญคนโง่ๆ อย่างเล็ก”
ธรินดาคร้านจะต่อปากต่อคำด้วย เพราะพูดไปก็มีแต่ตัวเธอเองที่เป็นฝ่ายเจ็บกับเจ็บ เนื่องจากปรัชญ์ไม่เคยคิดจะถนอมน้ำใจเวลาที่คุยกันอยู่แล้ว
เท้าเล็กๆ กำลังจะออกเดินต่อ แต่ถูกเสียงห้วนดุขัดขึ้นเสียก่อน
“เดี๋ยวก่อนธรินดา”
“คุณปรัชญ์มีอะไรอีกคะ” เธอหันไปถามทั้งๆ ที่ไม่อยากจะเสวนาด้วยสักนิด
“มาซ้อนท้ายจักรยานฉันสิ เดี๋ยวฉันจะพากลับบ้าน”
“ไม่เป็นไรค่ะ เล็กเดินกลับเองได้”
“นี่คือคำสั่งธรินดา มาซ้อนท้ายจักรยานฉันเดี๋ยวนี้ หรือเธออยากมีเรื่องกับฉัน” เสียงเขาห้วนดุกระด้างบ่งบอกว่าเอาจริงแน่หากเธอคิดจะขัดใจ
“แต่เล็ก...”
“ธรินดา!” เสียงนั้นเข้มดุกว่าเดิม เป็นสัญญาณเตือนถึงอันตรายแก่เจ้าของชื่อ
“ก็ได้ค่ะ”
ธรินดาจำต้องเดินไปนั่งซ้อนด้านหลังของร่างใหญ่ที่ตอนนี้นั่งคร่อมอยู่บนอานจักรยาน แม้จะเป็นการนั่งเอียงข้าง และมีระยะห่างระหว่างเธอกับเขาอยู่พอสมควร แต่หัวใจดวงน้อยๆ กลับเต้นแรงขึ้นมาทันที เมื่อไออุ่นจากร่างใหญ่นั้นแผ่ซ่านมากระทบกาย มือเล็กจึงเผลอกอดกระชับตะกร้าดอกกุหลาบที่ตอนนี้ถูกวางไว้บนตักแน่นขึ้น เพื่อลดอาการประหม่าแกมเขินอายของตัวเอง
“เอาตะกร้ามานี่”
ปรัชญ์เอี้ยวตัวมาพร้อมกับออกคำสั่งอีกครั้ง ธรินดาคร้านจะมีปัญหากับเขาจึงส่งตะกร้าในมือไปให้ง่ายๆ จากนั้นตะกร้าดอกไม้นั้นก็ถูกปรัชญ์เอาไปแขวนไว้ที่แฮนด์ของจักรยาน ก่อนที่เขาจะปั่นมันไปอย่างไม่เร็วนัก
ขณะที่จักรยานแล่นไปตามถนนตามแรงปั่นของคนที่แข็งแรงกว่า การเคลื่อนที่ของมันกลับมีอาการเซซ้ายเซขวาจะล้มแหล่มิล้มแหล่อยู่หลายครั้ง ทำให้เสียงหวานเผลอร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ว้าย! คุณปรัชญ์ปั่นดีๆ สิคะ”
“ฉันก็ปั่นของฉันแบบนี้ เธอนั่นละไม่เคยซ้อนจักรยานหรือไง ถึงได้นั่งตัวแข็งทื่อแบบนั้น ไม่รู้หรือไงว่ามันทำให้ฉันปั่นจักรยานได้ไม่ถนัด เอามือมากอดฉันไว้สิ แล้วทำตัวให้เป็นธรรมชาติ”
ปรัชญ์ออกคำสั่งขณะยังปั่นจักรยาน แต่ธรินดาไม่ยอมทำตาม เขาจึงหยุดรถแล้วหันหน้ามาทางคนที่นั่งอยู่ข้างหลัง ใช้มือใหญ่จับมือเล็กของเธอมาโอบที่เอวสอบของตัวเองอย่างถือวิสาสะ จากนั้นก็ปั่นจักรยานต่ออีกครั้ง
ธรินดาหน้าร้อนวูบ ทั้งเขิน ทั้งกระดาก และอับอายไปหมดที่ต้องมานั่งซ้อนท้ายจักรยานผู้ชายซึ่งชอบข่มขู่รังแกตัวเองอย่างปรัชญ์ แล้วยังต้องกอดเขาอีก มือเล็กกำลังจะละออกมา แต่ถูกเสียงห้วนๆ ดังแทรกขึ้นทันทีที่เธอเพียงแค่ขยับมือ
“อย่าเอามือออกเชียวนะธรินดา ไม่งั้นฉันจะจอดรถแล้วลงไปกอดเธอเอง บอกไว้ก่อนนะว่าฉันจะไม่ทำแค่กอดแน่ๆ ข้างทางมีแต่หญ้านุ่มๆ เธอคิดเอาเองก็แล้วกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุ่งกว้างๆ แบบนี้ เธอจะครางดังเท่าไหร่ก็ได้ มันคงให้อารมณ์ดีพิลึก แต่คงได้แผลที่หลังเป็นที่ระลึกกันบ้างละ อ้อ...เตือนไว้อีกอย่างว่าวันนี้ฉันไม่ได้พกถุงยาง ไม่รับประกันความปลอดภัยของเธอหลังจากเสร็จนะ”
คำขู่และคำเตือนของเขายิ่งทำให้ธรินดาอับอายมากกว่าเดิมเป็นเท่าทวี และมากกว่าอับอายก็คือความหวาดหวั่น นึกอยากจะละมือออกมาแล้วทุบหลังเขาแรงๆ ให้หายเจ็บใจบ้าง แต่ก็ไม่กล้าเสี่ยงกับพายุอารมณ์ของเขา
เมื่อคนปั่นถูกคนซ้อนที่นั่งอยู่ด้านหลังยอมทำทุกอย่างตามที่ตัวเองบอกอย่างว่าง่ายและไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่ง คราวนี้จักรยานก็แล่นฉิวตรงไปยังคุ้มลักษิกาตามแรงถีบจากเท้าอันแข็งแรงของคนปั่น
ไอเย็นจากอากาศรอบกายปะทะร่างบางเป็นระยะ ทำให้เธอรู้สึกหนาวขึ้นมานิดหน่อย ทว่าส่วนเดียวที่ยังอุ่นซ่านอยู่ก็คือมือเล็กที่ตอนนี้โอบกระชับบนเอวสอบของคนอารมณ์ร้ายอยู่
ไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศหรือเพราะคนที่กำลังปั่นจักรยานเงียบๆ กันแน่ที่ทำให้ธรินดานั่งใจลอย กระทั่งไม่รู้ว่าตอนนี้จักรยานมาจอดอยู่ที่โรงรถของคุ้มลักษิกาแล้ว
“ถึงแล้วก็เอามือออกสิ หรือว่ากอดฉันแล้วติดใจ”
ปรัชญ์หันหน้ามาถามอย่างล้อเลียนพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ราวกับเย้ยหยัน ทำให้ธรินดาได้สติ จึงรีบละมือออกมาจากเอวสอบที่ให้ความอบอุ่นกับมือเล็กของตนมาตลอดช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วลนลานลงมาจากจักรยาน ก่อนจะพึมพำด่าเขาไปคำหนึ่งอย่างไม่รู้ว่าจะตอบโต้อย่างไรให้หายเจ็บใจและหายอับอายได้บ้าง
“คนโรคจิต...”
“เธอว่าไงนะ” ปรัชญ์แกล้งถามอย่างยียวนและเลิกคิ้วเข้มขึ้นทั้งๆ ที่ได้ยินเต็มสองหู
ธรินดาได้แต่ตวัดตามองอย่างเคืองแค้น ก่อนจะหลุดคำเดิมออกไป คราวนี้ดังและชัดเจนกว่าเดิมจนเกือบเป็นตะโกนใส่หน้าคนแกล้งไม่ได้ยิน
“เล็กว่าคุณปรัชญ์เป็นพวกโรคจิตค่ะ”
พูดจบก็รีบหันหลังและย่ำเท้าเล็กถี่ๆ หนีกลับเข้าบ้าน ไม่สนใจเสียงที่ตะโกนตามหลังมา
“เดี๋ยวก่อนธรินดา แล้วตะกร้าดอกไม้ของเธอนี่ล่ะ”
ปรัชญ์ตั้งใจจะตะโกนถามกวนโมโหไปอย่างนั้น รู้ดีว่าคนที่เดินไวๆ หนีไปนั้นคงไม่กลับมาเอาตะกร้าดอกไม้ให้ถูกเขาแกล้งหรอก ดังนั้นเขาจึงต้องเป็นคนถือตะกร้าดอกไม้นั้นเข้าไปตั้งไว้ในบ้านให้เสียเอง
บทที่ 14วันนี้เป็นวันหยุด...ร่างสูงจึงยังคงนอนเอื่อยเฉื่อยอยู่บนเตียงทั้งที่ตื่นนานแล้ว อาหารเช้าเขาก็ไม่คิดจะลงไปกิน แต่กระนั้นบัวคำก็ยังอุตส่าห์ยกขึ้นมาเสิร์ฟให้ถึงห้อง ซึ่งก็คงไม่แคล้วเป็นคำสั่งของแม่เลี้ยงลักษิกาอีกตามเคยปรัชญ์ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวหลังจากนอนจนฉ่ำใจ จากนั้นก็ลงมาชั้นล่าง ตรงเข้าไปในห้องนั่งเล่นซึ่งตอนนี้ทั้งแม่ทั้งพี่ชายต่างอยู่พร้อมหน้า แต่แปลกที่เขาคิดว่าบ้านเงียบผิดปกติ หรือขาดอะไรบางอย่างไป เพราะไม่เห็นเจ้าของใบหน้าที่เขาชอบค่อนแคะว่าจืดชืดนั่งอยู่กับแม่ของเขาอย่างที่เคยเห็นอยู่เป็นประจำ ครั้นจะเอ่ยปากถามหาก็ผิดปกติวิสัยของตัวเอง จึงได้แต่เดาสุ่มว่าธรินดาชอบไปไหนบ้าง“ตื่นแล้วเหรอตาปรัชญ์ แล้วนั่นจะไปไหน” แม่เลี้ยงลักษิกาทักลูกชายเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาแล้วก็จะกลับออกไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้นั่งลงเลย“ไปเดินเล่นครับ”ตอบแม่แค่นั้นร่างสูงก็พาตัวเองไปหาเป้าหมาย และเขาคาดไม่ผิดจริงๆ เมื่อไปที่ห้องพระแล้วเห็นว่าคนที่ตัวเองตามหากำลังนั่งสมาธิอยู่ในนั้นปรัชญ์แทรกตัวเข้าไปข้างใน ปิดประตูห้องพระ แล้วเดินไปล้มตัวลงนอนหนุนตักคนที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ ทำให้ธรินดาต้องลืมตาออกจา
บทที่ 15“แล้วแม่เลี้ยงมีอะไรกับผมอีกหรือเปล่า” ปรัชญ์ถามแม่คล้ายกับอยากสะสางเรื่องให้จบๆ ไปทีเดียว “มี...แม่อยากให้ปรัชญ์เลิกเรียกหนูนัสว่านัสรินแล้วเรียกชื่อเล่นน้องแทน ส่วนปรัชญ์เวลาพูดกับน้องก็ให้แทนตัวเองว่าพี่ แม่ขอแค่นี้ได้หรือเปล่า” “เพื่ออะไร?” “ก็แกกับน้องจะแต่งงานกัน ควรจะต้องทำตัวให้สนิทสนมกันเข้าไว้สิ อีกอย่างเรียกน้องแบบนั้นมันฟังดูห่างเหินและเหมือนเราไว้ตัว” “งั้นผมต้องเรียกธรินดาว่าน้องเล็กด้วยหรือเปล่า จะได้ฟังดูไม่ห่างเหิน” เขาเน้นประโยคหลังเป็นพิเศษ คนถูกพาดพิงร้อนใจจนต้องเงยหน้าขึ้นมองคนหาเรื่อง และเขาก็ตวัดมองมาพอดี ตาที่เหมือนจะเรียบเฉยคู่นั้นแฝงไว้ด้วยความนัยที่รู้กันสองคน ทำเอาธรินดาถึงกับวุ่นวายใจไปชั่วขณะเลยทีเดียว “แม่ก็บอกให้เรียกตั้งนานแล้ว แต่เราไม่ยอมเรียกเองนี่” แม่เลี้ยงลักษิกาย้อนลูกชาย และไม่ได้สังเกตเห็นสายตาระหว่างคนทั้งคู่ที่มองกันแปลกๆ เพราะปรัชญ์ชอบหาเรื่องรวนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว “ก็แต่ก่อนไม่สนิท แต่ตอนนี้ ‘สนิท’ กันแล้วนี่ครับแม่เลี้ยง”
บทที่ 16เทอมสุดท้ายของการเรียนปีสี่และการเป็นนักศึกษาเริ่มขึ้นแล้ว ธรินดารู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก เพราะการเรียนและงานสารนิพนธ์ที่ทำคู่กับชนิศาทำให้เธอยุ่งจนแทบไม่มีเวลาคิดเรื่องส่วนตัว ร่างบางนั่งตรงข้ามกับคู่บัดดี้ทำสารนิพนธ์และต่างก็กำลังจ้องจอแล็ปท็อปอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนที่ธรินดาจะเป็นฝ่ายสะดุ้งเบาๆ เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ในกระเป๋าสะพายดังขึ้น มือเล็กรีบเปิดกระเป๋าและหยิบเอาโทรศัพท์ออกมากดรับ เพราะเกรงใจชนิศาที่เสียงโทรศัพท์ของตนรบกวนสมาธิของเพื่อน “สวัสดีค่ะแม่ใหญ่” เสียงหวานเอ่ยตอบต้นสายอย่างนุ่มนวลและไม่ใช้เสียงที่ดังเกินไป “แม่จองตั๋วให้เรียบร้อยแล้วนะหนูเล็ก” “จองตั๋วไปไหนคะแม่ใหญ่” ธรินดาถามแบบงงๆ เล็กน้อย “ก็กลับบ้านไงลูก วันเสาร์นี้ก็เป็นวันหมั้นของตาปรัชญ์กับหนูนัสแล้ว หนูเล็กลืมเหรอลูก” แม่เลี้ยงลักษิกาถามกลับแต่ไม่มีความโกรธหรือหงุดหงิดเจืออยู่ เพราะเข้าใจดีว่าธรินดาคงจะยุ่งจนลืมวัน “ตายจริง ขอโทษนะคะแม่ใหญ่ เล็กลืมไปเลยค่ะ” “ไม่เป็นไรหรอกลูก แม่เ
บทที่ 17รถกระบะสีดำแบบสี่ประตูแล่นเข้ามาจอดที่โรงรถอย่างไม่ค่อยนุ่มนวลนักเช่นเดียวกับบุคลิกของคนขับ ธรินดาลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อถึงบ้านเสียที มือเล็กจัดการปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยแล้วเอี้ยวตัวเพื่อจะเปิดประตูรถ แต่เสียงของปรัชญ์ดังขึ้นห้ามอย่างดุๆ เสียก่อน “เดี๋ยวก่อนธรินดา” “มีอะไรคะ” แม้จะไม่อยากพูดด้วยเลยสักนิด แต่ครั้งนี้ธรินดาก็ยอมฝืนใจตัวเอง เพราะตอนนี้รถจอดแล้ว ปรัชญ์สามารถเล่นงานเธอได้เต็มที่ “เธอขอบคุณฉันหรือยังที่ฉันอุตส่าห์ไปรับถึงสนามบิน” “ขอบคุณค่ะ” มือเล็กยกขึ้นไหว้เขา ถึงแม้จะแอบคิดว่าเธอไม่ได้อยากให้เขาไปรับสักนิด และอยากจะบอกเขาไปว่าถ้าคนที่บ้านไม่ว่างจริงๆ เธอเรียกแท็กซี่กลับเองก็ได้ แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดเพราะกลัวว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเปล่าๆ ธรินดาคิดว่าไหว้ขอบคุณแล้วปรัชญ์จะจบ แต่เขาไม่ยอมจบ เพราะตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลานั้นโฉบเข้ามาใกล้หน้าหวานใสของเธอแล้วฉวยโอกาสกดจมูกโด่งลงบนพวงแก้มซีกขวาหนักๆ โดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว “คุณปรัชญ์!” ธรินดาอุทานเสียงเข
บทที่ 18ในห้องโถงสำหรับจัดงานของโรงแรมถูกจัดตกแต่งสถานที่ด้วยโซฟาสุดหรูนำเข้าจากฝรั่งเศส ด้านหลังเป็นฉากสีชมพู มีดอกไม้สีขาวและสีชมพูประดับอย่างสวยงามลงตัวและไม่มากจนเกินไป เหมาะกับงานหมั้นเล็กๆ ที่จัดขึ้นภายในครอบครัวเท่านั้น และที่นั่นธรินดาถูกแม่เลี้ยงลักษิกาแนะนำให้รู้จักกับนัสรินว่าที่สะใภ้ของครอบครัวเป็นครั้งแรก นัสรินสวยสง่าในชุดเดรสสีขาวแบบเปิดไหล่เล็กน้อย แขนยาว ตัดเย็บอย่างประณีตด้วยผ้าลูกไม้สีขาวทั้งชุด ธรินดาเป็นฝ่ายยกมือขึ้นไหว้ก่อนเพราะอีกฝ่ายอายุมากกว่า“สวัสดีค่ะคุณนัสริน”“สวัสดีจ้ะน้องเล็ก ไม่ต้องเรียกพี่ว่าคุณนัสรินก็ได้ เรียกว่าพี่นัสดีกว่านะจะได้กันเอง” นัสรินบอกอย่างเป็นกันเองพลางยิ้มให้บางๆ“หนูนัสพูดถูก เดี๋ยวต่อไปก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เรียกว่าพี่นัสดีกว่านะหนูเล็ก” แม่เลี้ยงลักษิกาเสริมขึ้นอีกแรงทำให้ธรินดารับคำอย่างว่าง่าย“ได้ค่ะแม่ใหญ่ ต่อไปเล็กจะเรียกคุณนัสรินว่าพี่นัสค่ะ”“แล้วนี่ตาปรัชญ์ยังไม่มาเหรอคะแม่เลี้ยง” คุณนิภามารดาของนัสรินถามพลางมองหาว่าที่ลูกเขยซึ่งไม่ได้มาพร้อมกับครอบครัว“ไม่ได้มาพร้อมกันค่ะคุณนิภา มัวแต่เสริมหล่ออยู่นั่นแหละ แต่ยังไง
บทที่ 19พิธีเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีเพียงคนของสองครอบครัวที่มาร่วมงาน เมื่อการสวมแหวนหมั้นผ่านพ้นไปด้วยดี ช่างภาพที่แม่เลี้ยงลักษิกาว่าจ้างเอาไว้ก็ถ่ายรูปรวมสองครอบครัวกับภาพคู่ของว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นที่ระลึก ยังถ่ายไม่ทันเสร็จดีจู่ๆ นัสรินก็ทรุดฮวบและพับลงไป เพราะถูกอาการหน้ามืดเล่นงานจนหมดสติ“ว้าย! ตายแล้วยัยนัส”ประโยคนั้นแม่ของนัสรินเป็นคนอุทานขึ้น ปรัชญ์ซึ่งยืนอยู่ใกล้ที่สุดเป็นคนย่อตัวลงไปช้อนอุ้มเอาร่างของคู่หมั้นสาวไปนอนยังโซฟา และปราณต์ขยับเข้าไปทรุดตัวนั่งลงใกล้ๆ เพื่อตรวจดูอาการเบื้องต้นคุณหมอหนุ่มจับชีพจร พร้อมกับหันไปสั่งพนักงานโรงแรมให้นำกระเป๋าปฐมพยาบาลมาให้ เขาบอกกับทุกคนว่าไม่ต้องตกใจเพราะนัสรินเพียงแค่เป็นลมปราณต์ใช้เวลาปฐมพยาบาลคู่หมั้นของน้องชายได้ไม่นานนัสรินก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางความโล่งอกของทุกคน“หนูนัสเป็นยังไงบ้าง” แม่เลี้ยงลักษิกาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะคุณป้า”“ป้าเป้ออะไรกัน ต่อไปต้องเรียกแม่ว่าแม่เหมือนตาปรัชญ์แล้วนะหนูนัส ว่าแต่เป็นลมแบบนี้บ่อยๆ เหรอลูก”“เปล่าค่ะ นัสเพิ่งเป็นครั้งแรก”“สงสัยจะตื่นเต้นจนกินไม่ได้นอนไม่หลั
บทที่ 20ตู้มมม!!!เสียงของสองร่างกระแทกน้ำดังขึ้นพร้อมกับการสาดกระเซ็นและการกระเพื่อมของน้ำในสระ อารามตกใจและสัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นอย่างธรินดารีบเกาะไหล่ของปรัชญ์ยึดเอาไว้มั่นเป็นพัลวัน ปรัชญ์ที่ตัวสูงเกือบสองเมตรสามารถยืนในน้ำลึกเมตรครึ่งได้สบายๆ ขณะที่ธรินดากลัวจนไม่กล้าเอาเท้าแตะกับพื้นด้วยซ้ำ ปรัชญ์ตวัดแขนข้างหนึ่งกอดเอวเล็กของคนที่กำลังเบียดร่างเข้าหาเพื่อเอาตัวรอด รอยยิ้มผุดขึ้นบนเรียวปากหยักของเขาด้วยความขบขันและพอใจยิ่งนักเมื่อถูกกอดความตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอย่างอื่น แม้อ้อมแขนนั้นจะทำให้เธอปลอดภัยขึ้น แต่ปรัชญ์ก็ไม่ควรมากอดเธอเช่นนี้ เพราะเขาเพิ่งจะหมั้นมาหยกๆ“ปล่อยเล็กค่ะคุณปรัชญ์”“เบื่อจริง เอะอะอะไรก็พูดแต่คำเดิมๆ ว่าปล่อยเล็กๆ เธอลืมไปหรือเปล่าธรินดา ว่าเธอเป็นคนกระเสือกกระสนเข้ามาหาฉันเอง” เขาพูดอย่างคนที่เป็นต่อกว่า โดยอ้อมแขนยังไม่คลายไปจากเอวเล็กแต่อย่างใด ทำให้ธรินดาดิ้นแรงกว่าเดิม“คุณปรัชญ์ก็รู้ว่าเล็กว่ายน้ำไม่เป็น แล้วดึงเล็กลงมาด้วยทำไมคะ”“เธอก็รู้ว่าฉันไม่ยอมถูกใครเอาเปรียบ แล้วผลักฉันลงมาทำไมฮึ นี่คือการลงโทษคนที่คิดจะทำร้
บทที่ 21ทันทีที่เห็นราวบันได มือเล็กก็คว้าเอาไว้แน่น แล้วรีบก้าวขาขึ้นจากสระน้ำและหนีอ้อมกอดของคนพาล พอขึ้นมาได้ก็รีบเดินแกมวิ่งไปยืนข้างๆ แม่บุญธรรมของตนอย่างคนหาที่พึ่ง ส่วนปรัชญ์ค่อยๆ ตามหลังขึ้นมาอย่างใจเย็น“ตาปรัชญ์รีบไปบอกคนของโรงแรมเอาผ้าขนหนูมาให้น้องสิ น้องหนาวจะแย่แล้ว เดี๋ยวน้องก็ไม่สบายหรอก” คนเป็นแม่ออกคำสั่งทันทีที่ลูกชายพ้นขึ้นมาจากขอบสระ“แช่น้ำแค่นี้ไม่เป็นไรง่ายๆ หรอกครับแม่เลี้ยง ก็เพราะแม่เลี้ยงโอ๋ลูกสาวและเลี้ยงเป็นไข่ในหินแบบนี้น่ะสิ หนูเล็กของแม่เลี้ยงถึงได้บอบบางเหลือเกิน ถูกกอดนิดกอดหน่อยก็เหมือนจะแตกจะหัก”“เอ๊ะ! ตาปรัชญ์นี่ทำไมพูดแบบนี้กับแม่ แล้วไปกอดน้องตอนไหนบอกแม่มานะ”ไม่ใช่แต่แม่เลี้ยงลักษิกาที่เดือดเนื้อร้อนใจกับคำพูดของปรัชญ์ แต่ธรินดาก็พลอยหน้าร้อนวูบไปด้วย กลัวว่าเขาจะพูดอะไรบ้าๆ ห่ามๆ ออกมาให้เธอได้เดือดร้อน“ก็กอดตอนอยู่ในน้ำนั่นละครับ หรือแม่เลี้ยงไม่เห็นว่าลูกสาวของแม่เลี้ยงเกาะผมแน่นแจเสียขนาดนั้น”“เฮ้อ...ไปๆ อย่ามามัวแต่กวนโมโหแม่อยู่เลย อ้อ...แกเองก็เหมือนกัน ไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวซะให้เรียบร้อย แล้วไปรอส่งครอบครัวหนูนัสรินเสียด้วย อีกสักพักจ