แชร์

บทที่ 17

บทที่ 17

รถกระบะสีดำแบบสี่ประตูแล่นเข้ามาจอดที่โรงรถอย่างไม่ค่อยนุ่มนวลนักเช่นเดียวกับบุคลิกของคนขับ ธรินดาลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อถึงบ้านเสียที มือเล็กจัดการปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยแล้วเอี้ยวตัวเพื่อจะเปิดประตูรถ แต่เสียงของปรัชญ์ดังขึ้นห้ามอย่างดุๆ เสียก่อน 

                “เดี๋ยวก่อนธรินดา”

                “มีอะไรคะ” แม้จะไม่อยากพูดด้วยเลยสักนิด แต่ครั้งนี้ธรินดาก็ยอมฝืนใจตัวเอง เพราะตอนนี้รถจอดแล้ว ปรัชญ์สามารถเล่นงานเธอได้เต็มที่

                “เธอขอบคุณฉันหรือยังที่ฉันอุตส่าห์ไปรับถึงสนามบิน”

                “ขอบคุณค่ะ”

                มือเล็กยกขึ้นไหว้เขา ถึงแม้จะแอบคิดว่าเธอไม่ได้อยากให้เขาไปรับสักนิด และอยากจะบอกเขาไปว่าถ้าคนที่บ้านไม่ว่างจริงๆ เธอเรียกแท็กซี่กลับเองก็ได้ แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดเพราะกลัวว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเปล่าๆ 

                ธรินดาคิดว่าไหว้ขอบคุณแล้วปรัชญ์จะจบ แต่เขาไม่ยอมจบ เพราะตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลานั้นโฉบเข้ามาใกล้หน้าหวานใสของเธอแล้วฉวยโอกาสกดจมูกโด่งลงบนพวงแก้มซีกขวาหนักๆ โดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว

                “คุณปรัชญ์!” ธรินดาอุทานเสียงเขียวพลางยกมือขึ้นกุมแก้มด้านที่ถูกหอมเมื่อครู่นี้ ขนาดระวังตัวแล้วก็ยังโดนรังแกเอาจนได้

                “ฉันชอบให้ผู้หญิงขอบคุณแบบนี้มากกว่า โดยเฉพาะผู้หญิงที่เป็นเมีย...เก็บ” เขาเลิกคิ้วเข้มขึ้นพร้อมทั้งยิ้มใส่ตาคนที่กำลังหน้าร้อนอย่างยียวน 

                “คนบ้ากาม! ไม่ได้สำเหนียกเลยสักนิดว่าตัวเองกำลังจะหมั้นแล้ว เล็กเกลียดคุณ”

                ธรินดาก่นด่าเขาอย่างเหลืออดแล้วลนลานเปิดประตูรถ เมื่อลงได้ก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้านโดยไม่ยอมเหลียวหลังกลับมาเลยสักแวบ เพราะกลัวปรัชญ์จะตามมาทันและถูกเขารังแกอีกรอบ

วันนี้คุ้มลักษิกาคึกคักตั้งแต่เช้าตรู่ ธรินดาเองก็ตื่นมาแต่เช้า แต่ไม่ใช่เพื่อเตรียมข้าวของใส่บาตรเช่นเคย หญิงสาวอาบน้ำและอยู่ในชุดคลุมสีขาว ก่อนที่ช่างแต่งหน้าทำผมสองคนจะเข้ามาพร้อมอุปกรณ์ส่วนตัว จากนั้นเจ้าของร่างบางก็ต้องไปนั่งนิ่งๆ หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อให้ช่างทั้งสองคนจัดการแต่งหน้าทำผม โดยใช้เวลาไปเกือบสองชั่วโมง ความจริงธรินดาไม่ชอบการแต่งหน้าทำผมเช่นนี้เท่าไหร่ เธอชอบการหวีผมเรียบๆ ทาแป้งเด็ก และเติมลิปมันสีธรรมชาติมากกว่า แต่ครั้งนี้เป็นคำสั่งของแม่ใหญ่ที่อยากให้ลูกสาวของตนสวยและดูดีที่สุดในวันมงคลของพี่ชาย เธอจึงไม่อยากขัด...

หลังจากช่างแต่งหน้าทำผมเสร็จ ธรินดาก็เปลี่ยนชุดและจรดเท้าเรียวเล็กสะอาดลงในรองเท้าส้นสูงสีขาว สำรวจความเรียบร้อยของตัวเองอีกครั้ง แล้วหยิบกระเป๋าสะพายใบเล็กที่เข้ากับชุดขึ้นมาคล้องไหล่ ก่อนจะก้าวออกจากห้อง

แม่เลี้ยงลักษิกาและปราณต์ที่แต่งตัวเสร็จก่อนต่างยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นธรินดาก้าวลงบันไดมา หญิงสาวใส่ชุดเดรสผ้าไหมแขนสามส่วนสีชมพูอ่อนที่แม่เลี้ยงลักษิกาสั่งตัดเตรียมไว้ให้เป็นพิเศษ คลื่นผมสีดำขลับเป็นธรรมชาติที่ยาวเหยียดถึงกลางหลังถูกช่างม้วนดัดแต่งช่วงปลายให้เป็นลอนสะบัดพลิ้วเข้ากับหน้ารูปไข่ ผมด้านข้างถูกรวบอย่างอ่อนช้อยขึ้นไปเก็บรวมกันไว้ที่ด้านหลัง เปิดให้เห็นดวงหน้าอ่อนหวานที่แต่งเพียงแค่บางเบา แต่แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้ใบหน้านั้นดูสวยสดใสแบบคนสุขภาพดีตามเทรนด์ออกงานสมัยใหม่ ใบหูทั้งสองข้างมีต่างหูแบบห้อยติดอยู่ ช่วงคอระหงประดับด้วยสร้อยทองคำขาวรูปหยดน้ำเข้าชุดกันกับต่างหู

สายตาที่แม่กับพี่ชายบุญธรรมมองมาอย่างชื่นชมเช่นนั้นทำให้ธรินดาอดที่จะประหม่าอายไม่ได้ เธอแทบจะไม่ค่อยได้มีโอกาสแต่งตัวไปงานเลย  จึงรู้สึกไม่คุ้นเคยกับตัวเองในภาพลักษณ์เช่นนี้เท่าไหร่ ทว่าแม่เลี้ยงลักษิกากลับยิ้มกว้างแทบไม่หุบอย่างภูมิใจ เมื่อเห็นความสวยซึ้งของลูกสาวตัวเอง

“วันนี้ลูกสาวแม่สวยที่สุดเลยลูก แม่คิดแล้วว่าหนูเล็กใส่ชุดนี้แล้วจะต้องสวยมาก” แม่เลี้ยงลักษิกากล่าวอย่างปลื้มปริ่ม พลางยื่นมือไปกระชับต้นแขนกลมกลึง ขณะที่ตายังคงพิศมองความงดงามหวานซึ้งตรงหน้าแบบชื่นชม

“จริงเหรอคะแม่ใหญ่ นี่เล็กเขินไปหมดเลยนะคะ เล็กไม่ค่อยได้แต่งตัวแบบนี้แม่ใหญ่ก็ทราบ”

“แม่จะพาเล็กไปออกงาน แต่เล็กก็ไม่ยอมไปกับแม่สักทีนี่ลูก แบบนี้แหละถึงไม่ค่อยชิน”

“เล็กไม่ชอบงานเลี้ยงนี่คะแม่ใหญ่”

“ก็นั่นไง แม่ถึงไม่ฝืนใจ แต่วันนี้ลูกสาวแม่สวยจริงๆ ใช่มั้ยตาปราณต์” ประโยคหลังแม่เลี้ยงลักษิกาหันไปทางลูกชายคนโตที่ยืนมองธรินดาอยู่อย่างพึงพอใจเช่นกัน

“จริงครับแม่ วันนี้น้องเล็กสวยมาก”

“ระวังจะสวยเกินหน้าเกินตาว่าที่เจ้าสาวของผมนะครับ”

ประโยคที่เต็มไปด้วยความยียวนนั้นไม่ได้หลุดจากปากของใครคนใดคนหนึ่งที่ยืนรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น แต่คนพูดคือคนที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาในบ้านนั่นเอง ทำให้แม่เลี้ยงลักษิกาและทุกคนต่างหันไปมองยังเขาเป็นตาเดียวกัน

“แล้วยังไง หรือแกว่าน้องไม่สวยล่ะตาปรัชญ์”

“ก็งั้นๆ”

“อย่าไปฟังคนปากเสียนะหนูเล็ก” แม่เลี้ยงลักษิกาหันไปทางลูกสาว ก่อนจะหันกลับมาเล่นงานลูกชายคนเล็ก “แล้วนี่แกอย่าบอกนะว่าเพิ่งกลับบ้าน”

“ใช่ครับ เมื่อคืนผมไม่ได้กลับ” ปรัชญ์ยักไหล่และไม่ปฏิเสธคำถามของมารดา เขามาส่งธรินดาเสร็จก็กลับออกไปข้างนอก และ เพิ่งจะกลับเข้าบ้านช่วงใกล้รุ่งสางนี่เอง

“โอ๊ย...แม่จะอกแตกตาย อุตส่าห์กำชับแล้วกำชับอีกว่าไม่ให้เถลไถล แล้วนี่จะทันฤกษ์หมั้นไหม ยังไม่ทันอาบน้ำแต่งตัวเลย”

“ฤกษ์ตั้งเก้าโมง แต่นี่มันเพิ่งจะหกโมงเองนะครับแม่เลี้ยง นอนอีกสักงีบก็ยังได้”

“ไม่ได้เด็ดขาดเลยตาปรัชญ์ ห้ามนอนเชียวนะ ขึ้นไปนี่ก็อาบน้ำอาบท่าแต่งตัวซะ และแม่ขอนะไอ้หนวดเคราน่ะ โกนให้มันเรียบร้อยเสียด้วย”

ปรัชญ์ไม่ตอบรับคำขอของผู้เป็นแม่ แต่เดินหนีขึ้นบันไดไปดื้อๆ ทำให้แม่เลี้ยงลักษิกาได้แต่ระบายลมหายใจออกมาหนักๆ แล้วก็ส่ายศีรษะน้อยๆ ด้วยความกลัดกลุ้ม ธรินดาจึงเข้ามาโอบเอวมารดาบุญธรรมลูบไปมาบนเอวอวบนั้นเบาๆ เพื่อปลอบใจ เช่นเดียวกับที่ปราณต์เองก็ทำโดยการพูดให้แม่คลายใจ

“อย่าห่วงเลยครับแม่ รับรองว่าตาปรัชญ์ไปทันฤกษ์”

“อยู่ดูน้องให้แม่หน่อยได้มั้ยปราณต์ แม่ละไม่วางใจพ่อตัวดีเลย” แม่เลี้ยงลักษิกายังไม่คลายความกังวลจึงพูดกับลูกชายคนโตเช่นนั้น

“อย่าเลยครับแม่ แม่ก็รู้ว่าตาปรัชญ์เป็นคนยังไง ยิ่งบังคับก็ยิ่งต่อต้าน ถ้าเราปล่อย เขาก็จะทำของเขาเองนั่นละครับ เรารีบไปกันก่อนดีกว่านะครับ เดี๋ยวทางโน้นจะรอ”

“ถ้าปรัชญ์ว่าง่ายได้สักครึ่งหนึ่งของปราณต์ก็ดีสินะ” คนเป็นแม่ได้แต่รำพึง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะลูกๆ ไม่ใช่เด็กแบเบาะที่จะจับวางอย่างไรก็ได้อีกต่อไปแล้ว

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status