รถกระบะสีดำแบบสี่ประตูแล่นเข้ามาจอดที่โรงรถอย่างไม่ค่อยนุ่มนวลนักเช่นเดียวกับบุคลิกของคนขับ ธรินดาลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อถึงบ้านเสียที มือเล็กจัดการปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยแล้วเอี้ยวตัวเพื่อจะเปิดประตูรถ แต่เสียงของปรัชญ์ดังขึ้นห้ามอย่างดุๆ เสียก่อน
“เดี๋ยวก่อนธรินดา”
“มีอะไรคะ” แม้จะไม่อยากพูดด้วยเลยสักนิด แต่ครั้งนี้ธรินดาก็ยอมฝืนใจตัวเอง เพราะตอนนี้รถจอดแล้ว ปรัชญ์สามารถเล่นงานเธอได้เต็มที่
“เธอขอบคุณฉันหรือยังที่ฉันอุตส่าห์ไปรับถึงสนามบิน”
“ขอบคุณค่ะ”
มือเล็กยกขึ้นไหว้เขา ถึงแม้จะแอบคิดว่าเธอไม่ได้อยากให้เขาไปรับสักนิด และอยากจะบอกเขาไปว่าถ้าคนที่บ้านไม่ว่างจริงๆ เธอเรียกแท็กซี่กลับเองก็ได้ แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดเพราะกลัวว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเปล่าๆ
ธรินดาคิดว่าไหว้ขอบคุณแล้วปรัชญ์จะจบ แต่เขาไม่ยอมจบ เพราะตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลานั้นโฉบเข้ามาใกล้หน้าหวานใสของเธอแล้วฉวยโอกาสกดจมูกโด่งลงบนพวงแก้มซีกขวาหนักๆ โดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว
“คุณปรัชญ์!” ธรินดาอุทานเสียงเขียวพลางยกมือขึ้นกุมแก้มด้านที่ถูกหอมเมื่อครู่นี้ ขนาดระวังตัวแล้วก็ยังโดนรังแกเอาจนได้
“ฉันชอบให้ผู้หญิงขอบคุณแบบนี้มากกว่า โดยเฉพาะผู้หญิงที่เป็นเมีย...เก็บ” เขาเลิกคิ้วเข้มขึ้นพร้อมทั้งยิ้มใส่ตาคนที่กำลังหน้าร้อนอย่างยียวน
“คนบ้ากาม! ไม่ได้สำเหนียกเลยสักนิดว่าตัวเองกำลังจะหมั้นแล้ว เล็กเกลียดคุณ”
ธรินดาก่นด่าเขาอย่างเหลืออดแล้วลนลานเปิดประตูรถ เมื่อลงได้ก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้านโดยไม่ยอมเหลียวหลังกลับมาเลยสักแวบ เพราะกลัวปรัชญ์จะตามมาทันและถูกเขารังแกอีกรอบ
วันนี้คุ้มลักษิกาคึกคักตั้งแต่เช้าตรู่ ธรินดาเองก็ตื่นมาแต่เช้า แต่ไม่ใช่เพื่อเตรียมข้าวของใส่บาตรเช่นเคย หญิงสาวอาบน้ำและอยู่ในชุดคลุมสีขาว ก่อนที่ช่างแต่งหน้าทำผมสองคนจะเข้ามาพร้อมอุปกรณ์ส่วนตัว จากนั้นเจ้าของร่างบางก็ต้องไปนั่งนิ่งๆ หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อให้ช่างทั้งสองคนจัดการแต่งหน้าทำผม โดยใช้เวลาไปเกือบสองชั่วโมง ความจริงธรินดาไม่ชอบการแต่งหน้าทำผมเช่นนี้เท่าไหร่ เธอชอบการหวีผมเรียบๆ ทาแป้งเด็ก และเติมลิปมันสีธรรมชาติมากกว่า แต่ครั้งนี้เป็นคำสั่งของแม่ใหญ่ที่อยากให้ลูกสาวของตนสวยและดูดีที่สุดในวันมงคลของพี่ชาย เธอจึงไม่อยากขัด...
หลังจากช่างแต่งหน้าทำผมเสร็จ ธรินดาก็เปลี่ยนชุดและจรดเท้าเรียวเล็กสะอาดลงในรองเท้าส้นสูงสีขาว สำรวจความเรียบร้อยของตัวเองอีกครั้ง แล้วหยิบกระเป๋าสะพายใบเล็กที่เข้ากับชุดขึ้นมาคล้องไหล่ ก่อนจะก้าวออกจากห้อง
แม่เลี้ยงลักษิกาและปราณต์ที่แต่งตัวเสร็จก่อนต่างยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นธรินดาก้าวลงบันไดมา หญิงสาวใส่ชุดเดรสผ้าไหมแขนสามส่วนสีชมพูอ่อนที่แม่เลี้ยงลักษิกาสั่งตัดเตรียมไว้ให้เป็นพิเศษ คลื่นผมสีดำขลับเป็นธรรมชาติที่ยาวเหยียดถึงกลางหลังถูกช่างม้วนดัดแต่งช่วงปลายให้เป็นลอนสะบัดพลิ้วเข้ากับหน้ารูปไข่ ผมด้านข้างถูกรวบอย่างอ่อนช้อยขึ้นไปเก็บรวมกันไว้ที่ด้านหลัง เปิดให้เห็นดวงหน้าอ่อนหวานที่แต่งเพียงแค่บางเบา แต่แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้ใบหน้านั้นดูสวยสดใสแบบคนสุขภาพดีตามเทรนด์ออกงานสมัยใหม่ ใบหูทั้งสองข้างมีต่างหูแบบห้อยติดอยู่ ช่วงคอระหงประดับด้วยสร้อยทองคำขาวรูปหยดน้ำเข้าชุดกันกับต่างหู
สายตาที่แม่กับพี่ชายบุญธรรมมองมาอย่างชื่นชมเช่นนั้นทำให้ธรินดาอดที่จะประหม่าอายไม่ได้ เธอแทบจะไม่ค่อยได้มีโอกาสแต่งตัวไปงานเลย จึงรู้สึกไม่คุ้นเคยกับตัวเองในภาพลักษณ์เช่นนี้เท่าไหร่ ทว่าแม่เลี้ยงลักษิกากลับยิ้มกว้างแทบไม่หุบอย่างภูมิใจ เมื่อเห็นความสวยซึ้งของลูกสาวตัวเอง
“วันนี้ลูกสาวแม่สวยที่สุดเลยลูก แม่คิดแล้วว่าหนูเล็กใส่ชุดนี้แล้วจะต้องสวยมาก” แม่เลี้ยงลักษิกากล่าวอย่างปลื้มปริ่ม พลางยื่นมือไปกระชับต้นแขนกลมกลึง ขณะที่ตายังคงพิศมองความงดงามหวานซึ้งตรงหน้าแบบชื่นชม
“จริงเหรอคะแม่ใหญ่ นี่เล็กเขินไปหมดเลยนะคะ เล็กไม่ค่อยได้แต่งตัวแบบนี้แม่ใหญ่ก็ทราบ”
“แม่จะพาเล็กไปออกงาน แต่เล็กก็ไม่ยอมไปกับแม่สักทีนี่ลูก แบบนี้แหละถึงไม่ค่อยชิน”
“เล็กไม่ชอบงานเลี้ยงนี่คะแม่ใหญ่”
“ก็นั่นไง แม่ถึงไม่ฝืนใจ แต่วันนี้ลูกสาวแม่สวยจริงๆ ใช่มั้ยตาปราณต์” ประโยคหลังแม่เลี้ยงลักษิกาหันไปทางลูกชายคนโตที่ยืนมองธรินดาอยู่อย่างพึงพอใจเช่นกัน
“จริงครับแม่ วันนี้น้องเล็กสวยมาก”
“ระวังจะสวยเกินหน้าเกินตาว่าที่เจ้าสาวของผมนะครับ”
ประโยคที่เต็มไปด้วยความยียวนนั้นไม่ได้หลุดจากปากของใครคนใดคนหนึ่งที่ยืนรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น แต่คนพูดคือคนที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาในบ้านนั่นเอง ทำให้แม่เลี้ยงลักษิกาและทุกคนต่างหันไปมองยังเขาเป็นตาเดียวกัน
“แล้วยังไง หรือแกว่าน้องไม่สวยล่ะตาปรัชญ์”
“ก็งั้นๆ”
“อย่าไปฟังคนปากเสียนะหนูเล็ก” แม่เลี้ยงลักษิกาหันไปทางลูกสาว ก่อนจะหันกลับมาเล่นงานลูกชายคนเล็ก “แล้วนี่แกอย่าบอกนะว่าเพิ่งกลับบ้าน”
“ใช่ครับ เมื่อคืนผมไม่ได้กลับ” ปรัชญ์ยักไหล่และไม่ปฏิเสธคำถามของมารดา เขามาส่งธรินดาเสร็จก็กลับออกไปข้างนอก และ เพิ่งจะกลับเข้าบ้านช่วงใกล้รุ่งสางนี่เอง
“โอ๊ย...แม่จะอกแตกตาย อุตส่าห์กำชับแล้วกำชับอีกว่าไม่ให้เถลไถล แล้วนี่จะทันฤกษ์หมั้นไหม ยังไม่ทันอาบน้ำแต่งตัวเลย”
“ฤกษ์ตั้งเก้าโมง แต่นี่มันเพิ่งจะหกโมงเองนะครับแม่เลี้ยง นอนอีกสักงีบก็ยังได้”
“ไม่ได้เด็ดขาดเลยตาปรัชญ์ ห้ามนอนเชียวนะ ขึ้นไปนี่ก็อาบน้ำอาบท่าแต่งตัวซะ และแม่ขอนะไอ้หนวดเคราน่ะ โกนให้มันเรียบร้อยเสียด้วย”
ปรัชญ์ไม่ตอบรับคำขอของผู้เป็นแม่ แต่เดินหนีขึ้นบันไดไปดื้อๆ ทำให้แม่เลี้ยงลักษิกาได้แต่ระบายลมหายใจออกมาหนักๆ แล้วก็ส่ายศีรษะน้อยๆ ด้วยความกลัดกลุ้ม ธรินดาจึงเข้ามาโอบเอวมารดาบุญธรรมลูบไปมาบนเอวอวบนั้นเบาๆ เพื่อปลอบใจ เช่นเดียวกับที่ปราณต์เองก็ทำโดยการพูดให้แม่คลายใจ
“อย่าห่วงเลยครับแม่ รับรองว่าตาปรัชญ์ไปทันฤกษ์”
“อยู่ดูน้องให้แม่หน่อยได้มั้ยปราณต์ แม่ละไม่วางใจพ่อตัวดีเลย” แม่เลี้ยงลักษิกายังไม่คลายความกังวลจึงพูดกับลูกชายคนโตเช่นนั้น
“อย่าเลยครับแม่ แม่ก็รู้ว่าตาปรัชญ์เป็นคนยังไง ยิ่งบังคับก็ยิ่งต่อต้าน ถ้าเราปล่อย เขาก็จะทำของเขาเองนั่นละครับ เรารีบไปกันก่อนดีกว่านะครับ เดี๋ยวทางโน้นจะรอ”
“ถ้าปรัชญ์ว่าง่ายได้สักครึ่งหนึ่งของปราณต์ก็ดีสินะ” คนเป็นแม่ได้แต่รำพึง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะลูกๆ ไม่ใช่เด็กแบเบาะที่จะจับวางอย่างไรก็ได้อีกต่อไปแล้ว
บทที่ 18ในห้องโถงสำหรับจัดงานของโรงแรมถูกจัดตกแต่งสถานที่ด้วยโซฟาสุดหรูนำเข้าจากฝรั่งเศส ด้านหลังเป็นฉากสีชมพู มีดอกไม้สีขาวและสีชมพูประดับอย่างสวยงามลงตัวและไม่มากจนเกินไป เหมาะกับงานหมั้นเล็กๆ ที่จัดขึ้นภายในครอบครัวเท่านั้น และที่นั่นธรินดาถูกแม่เลี้ยงลักษิกาแนะนำให้รู้จักกับนัสรินว่าที่สะใภ้ของครอบครัวเป็นครั้งแรก นัสรินสวยสง่าในชุดเดรสสีขาวแบบเปิดไหล่เล็กน้อย แขนยาว ตัดเย็บอย่างประณีตด้วยผ้าลูกไม้สีขาวทั้งชุด ธรินดาเป็นฝ่ายยกมือขึ้นไหว้ก่อนเพราะอีกฝ่ายอายุมากกว่า“สวัสดีค่ะคุณนัสริน”“สวัสดีจ้ะน้องเล็ก ไม่ต้องเรียกพี่ว่าคุณนัสรินก็ได้ เรียกว่าพี่นัสดีกว่านะจะได้กันเอง” นัสรินบอกอย่างเป็นกันเองพลางยิ้มให้บางๆ“หนูนัสพูดถูก เดี๋ยวต่อไปก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เรียกว่าพี่นัสดีกว่านะหนูเล็ก” แม่เลี้ยงลักษิกาเสริมขึ้นอีกแรงทำให้ธรินดารับคำอย่างว่าง่าย“ได้ค่ะแม่ใหญ่ ต่อไปเล็กจะเรียกคุณนัสรินว่าพี่นัสค่ะ”“แล้วนี่ตาปรัชญ์ยังไม่มาเหรอคะแม่เลี้ยง” คุณนิภามารดาของนัสรินถามพลางมองหาว่าที่ลูกเขยซึ่งไม่ได้มาพร้อมกับครอบครัว“ไม่ได้มาพร้อมกันค่ะคุณนิภา มัวแต่เสริมหล่ออยู่นั่นแหละ แต่ยังไง
บทที่ 19พิธีเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีเพียงคนของสองครอบครัวที่มาร่วมงาน เมื่อการสวมแหวนหมั้นผ่านพ้นไปด้วยดี ช่างภาพที่แม่เลี้ยงลักษิกาว่าจ้างเอาไว้ก็ถ่ายรูปรวมสองครอบครัวกับภาพคู่ของว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นที่ระลึก ยังถ่ายไม่ทันเสร็จดีจู่ๆ นัสรินก็ทรุดฮวบและพับลงไป เพราะถูกอาการหน้ามืดเล่นงานจนหมดสติ“ว้าย! ตายแล้วยัยนัส”ประโยคนั้นแม่ของนัสรินเป็นคนอุทานขึ้น ปรัชญ์ซึ่งยืนอยู่ใกล้ที่สุดเป็นคนย่อตัวลงไปช้อนอุ้มเอาร่างของคู่หมั้นสาวไปนอนยังโซฟา และปราณต์ขยับเข้าไปทรุดตัวนั่งลงใกล้ๆ เพื่อตรวจดูอาการเบื้องต้นคุณหมอหนุ่มจับชีพจร พร้อมกับหันไปสั่งพนักงานโรงแรมให้นำกระเป๋าปฐมพยาบาลมาให้ เขาบอกกับทุกคนว่าไม่ต้องตกใจเพราะนัสรินเพียงแค่เป็นลมปราณต์ใช้เวลาปฐมพยาบาลคู่หมั้นของน้องชายได้ไม่นานนัสรินก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางความโล่งอกของทุกคน“หนูนัสเป็นยังไงบ้าง” แม่เลี้ยงลักษิกาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะคุณป้า”“ป้าเป้ออะไรกัน ต่อไปต้องเรียกแม่ว่าแม่เหมือนตาปรัชญ์แล้วนะหนูนัส ว่าแต่เป็นลมแบบนี้บ่อยๆ เหรอลูก”“เปล่าค่ะ นัสเพิ่งเป็นครั้งแรก”“สงสัยจะตื่นเต้นจนกินไม่ได้นอนไม่หลั
บทที่ 20ตู้มมม!!!เสียงของสองร่างกระแทกน้ำดังขึ้นพร้อมกับการสาดกระเซ็นและการกระเพื่อมของน้ำในสระ อารามตกใจและสัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นอย่างธรินดารีบเกาะไหล่ของปรัชญ์ยึดเอาไว้มั่นเป็นพัลวัน ปรัชญ์ที่ตัวสูงเกือบสองเมตรสามารถยืนในน้ำลึกเมตรครึ่งได้สบายๆ ขณะที่ธรินดากลัวจนไม่กล้าเอาเท้าแตะกับพื้นด้วยซ้ำ ปรัชญ์ตวัดแขนข้างหนึ่งกอดเอวเล็กของคนที่กำลังเบียดร่างเข้าหาเพื่อเอาตัวรอด รอยยิ้มผุดขึ้นบนเรียวปากหยักของเขาด้วยความขบขันและพอใจยิ่งนักเมื่อถูกกอดความตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอย่างอื่น แม้อ้อมแขนนั้นจะทำให้เธอปลอดภัยขึ้น แต่ปรัชญ์ก็ไม่ควรมากอดเธอเช่นนี้ เพราะเขาเพิ่งจะหมั้นมาหยกๆ“ปล่อยเล็กค่ะคุณปรัชญ์”“เบื่อจริง เอะอะอะไรก็พูดแต่คำเดิมๆ ว่าปล่อยเล็กๆ เธอลืมไปหรือเปล่าธรินดา ว่าเธอเป็นคนกระเสือกกระสนเข้ามาหาฉันเอง” เขาพูดอย่างคนที่เป็นต่อกว่า โดยอ้อมแขนยังไม่คลายไปจากเอวเล็กแต่อย่างใด ทำให้ธรินดาดิ้นแรงกว่าเดิม“คุณปรัชญ์ก็รู้ว่าเล็กว่ายน้ำไม่เป็น แล้วดึงเล็กลงมาด้วยทำไมคะ”“เธอก็รู้ว่าฉันไม่ยอมถูกใครเอาเปรียบ แล้วผลักฉันลงมาทำไมฮึ นี่คือการลงโทษคนที่คิดจะทำร้
บทที่ 21ทันทีที่เห็นราวบันได มือเล็กก็คว้าเอาไว้แน่น แล้วรีบก้าวขาขึ้นจากสระน้ำและหนีอ้อมกอดของคนพาล พอขึ้นมาได้ก็รีบเดินแกมวิ่งไปยืนข้างๆ แม่บุญธรรมของตนอย่างคนหาที่พึ่ง ส่วนปรัชญ์ค่อยๆ ตามหลังขึ้นมาอย่างใจเย็น“ตาปรัชญ์รีบไปบอกคนของโรงแรมเอาผ้าขนหนูมาให้น้องสิ น้องหนาวจะแย่แล้ว เดี๋ยวน้องก็ไม่สบายหรอก” คนเป็นแม่ออกคำสั่งทันทีที่ลูกชายพ้นขึ้นมาจากขอบสระ“แช่น้ำแค่นี้ไม่เป็นไรง่ายๆ หรอกครับแม่เลี้ยง ก็เพราะแม่เลี้ยงโอ๋ลูกสาวและเลี้ยงเป็นไข่ในหินแบบนี้น่ะสิ หนูเล็กของแม่เลี้ยงถึงได้บอบบางเหลือเกิน ถูกกอดนิดกอดหน่อยก็เหมือนจะแตกจะหัก”“เอ๊ะ! ตาปรัชญ์นี่ทำไมพูดแบบนี้กับแม่ แล้วไปกอดน้องตอนไหนบอกแม่มานะ”ไม่ใช่แต่แม่เลี้ยงลักษิกาที่เดือดเนื้อร้อนใจกับคำพูดของปรัชญ์ แต่ธรินดาก็พลอยหน้าร้อนวูบไปด้วย กลัวว่าเขาจะพูดอะไรบ้าๆ ห่ามๆ ออกมาให้เธอได้เดือดร้อน“ก็กอดตอนอยู่ในน้ำนั่นละครับ หรือแม่เลี้ยงไม่เห็นว่าลูกสาวของแม่เลี้ยงเกาะผมแน่นแจเสียขนาดนั้น”“เฮ้อ...ไปๆ อย่ามามัวแต่กวนโมโหแม่อยู่เลย อ้อ...แกเองก็เหมือนกัน ไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวซะให้เรียบร้อย แล้วไปรอส่งครอบครัวหนูนัสรินเสียด้วย อีกสักพักจ
บทที่ 22ช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ธรินดาเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยมีปราณต์ขับรถไปส่งที่สนามบินตามลำพัง ส่วนแม่เลี้ยงลักษิกาออกจากบ้านไปยังไร่เดชาธรตั้งแต่ตอนสายๆ หญิงสาวแต่งตัวด้วยชุดลำลอง ส่วนชุดนักศึกษาเธอพับใส่ถุงกระดาษและหิ้วกลับไปซักที่หอพักการนั่งรถมากับปราณต์สองคนไม่ได้ทำให้ธรินดารู้สึกอึดอัดแม้แต่เศษเสี้ยวนาที ปราณต์เป็นพี่ชายที่ใจดีกับเธอเช่นเคย และไม่เคยมีคำพูดใดที่จะทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจหรือน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนใครบางคน“เล็กไปก่อนนะคะพี่ปราณต์ ขอบคุณที่มาส่งค่ะ”มือเล็กยกขึ้นไหว้ปราณต์เมื่อเขาเดินเข้ามาส่งถึงห้องผู้โดยสารและรอจนเธอเช็กอินเสร็จ ปราณต์ไม่ได้รับไหว้แต่รวบร่างบางเข้าไปกอดแบบหลวมๆ แล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมนุ่มสลวยอย่างอ่อนโยน“เดินทางปลอดภัยนะน้องเล็ก จะกลับอีกเมื่อไหร่ก็โทร.บอกพี่นะ พี่จะได้มารับ”“เล็กไม่กล้ารบกวนพี่ปราณต์หรอกค่ะ พี่ปราณต์งานยุ่งจะตาย”“ถึงยุ่งก็ปลีกเวลามาได้”“แม้แต่ตอนอยู่ในห้องผ่าตัดเหรอคะ” ธรินดากล้าพูดเล่นกับเขาเพราะรู้ว่าปราณต์ไม่ถือสา“พี่จะพยายามไม่ผ่าใครในตอนที่น้องเล็กกลับมาก็แล้วกัน”“อย่าลำเอียงสิคะคุณหมอ คนไข้ต้องสำคัญกว่าเล็ก
บทที่ 23ธรินดาหันขวับมาเหมือนครั้งแรกที่ได้ยินเสียงเขา แต่ครั้งนี้ต่างกับเมื่อครู่เพราะใบหน้าของปรัชญ์อยู่ห่างจากใบหน้าของเธอแค่ไม่ถึงนิ้ว ทำให้ปากอิ่มเกือบจะชนเข้ากับปากของคนที่ชอบพูดจาหาเรื่อง “อย่าทำอะไรบ้าๆ นะคะคุณปรัชญ์” ธรินดารีบเอ่ยห้ามเสียงขุ่นโดยไม่กล้าเสียงดังนัก เพราะกลัวจะตกเป็นเป้าสายตาคนบนเครื่อง “บ้าตรงไหนแค่หอมแก้มกับไซ้คอ” “แต่นี่มันบนเครื่องบิน” “งั้นที่ไหนล่ะ ที่ฉันจะหอมแก้มและไซ้คอเธอได้ ตอนที่เธอนั่งบนตักฉัน ตอนที่เธอขึ้นเตียงกับฉัน หรือว่าตอนไหนก็ได้ที่ไม่มีคนเห็น” “คุณปรัชญ์!” “หือ...ได้หมดอย่างที่ฉันว่ามาใช่ไหม ยกเว้นตอนนี้” คิ้วเข้มเลิกขึ้นและทำหน้าตายคล้ายกับไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำให้เธออายและโกรธระคนกัน “เลิกหาเรื่องเล็กซะทีเถอะค่ะ เล็กอยากนั่งเงียบๆ” ธรินดาพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเพื่อยุติการปะทะคารมครั้งนี้เสียที “โอเค...นั่งเงียบๆ ก็นั่งเงียบๆ” ปรัชญ์ยอมขยับไปนั่งตัวตรงอย่างว่าง่าย ทำให้ธรินดาแอบถอนหายใจออกม
บทที่ 24ปรัชญ์โบกแท็กซี่ที่แล่นผ่านมาพอดี เขาเปิดประตูหลังดันร่างบางเข้าไปก่อน จากนั้นก็พาตัวเองก้าวตามขึ้นไปและบอกจุดหมายกับคนขับ“ไปคอนโดฯ...” เขาบอกชื่อคอนโดมิเนียมที่อยู่ในย่านเพลินจิต ซึ่งนั่นไม่ใช่ทางที่จะไปหอพักของธรินดาเลย“คุณปรัชญ์จะพาเล็กไปไหนคะ เล็กจะกลับหอพักนะคะ ถ้าคุณปรัชญ์มีธุระทำไมไม่ปล่อยให้เล็กกลับคนเดียว” หญิงสาวหันหน้าไปมองเขาพร้อมกับเอ่ยปากต่อว่า“เงียบเถอะน่า...ถ้าเธอไม่เงียบฉันจะจูบเธอบนแท็กซี่นี่ละ”เขาขู่เหมือนกับที่ขู่เธอตอนนั่งอยู่บนเครื่องแต่ไม่ได้ออมเสียงแม้แต่น้อย คำพูดนั้นดังไปกระทบหูคนฟังอย่างจังทำให้คนขับรถแท็กซี่ซึ่งนั่งอยู่เบาะหน้าอมยิ้ม แต่ก็ไม่ได้เสียมารยาทอะไร คนขับยังคงทำหน้าที่ของตน และปล่อยให้ผู้โดยสารของตัวเองมีความเป็นส่วนตัวต่อไป“คุณปรัชญ์ก็ดีแต่ขู่นั่นแหละ” เสียงหวานพูดออกไปด้วยความอึดอัดที่ตกเป็นเบี้ยล่างคนชอบขู่อยู่ร่ำไป“ไม่ได้ดีแต่ขู่ ฉันพูดจริงทำจริงเสมอ หรืออยากจะลอง”ไม่พูดเปล่าแต่ปรัชญ์ยังยื่นหน้ามาใกล้ๆ จนเกือบชิด ทำให้ธรินดาต้องรีบเอนตัวหนี พลางเอ่ยห้ามโดยไม่กล้าเสียงดังนัก“อย่านะคะ!”แค่ห้ามเขาธรินดาก็ยังไม่ไว้ใจสถานการณ์ จึง
บทที่ 25พระอาทิตย์เริ่มอ่อนแสงลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นวงกลมสีแดงขนาดใหญ่ที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวลงลาลับขอบฟ้าในบรรยากาศที่ดูผ่อนคลายจนลืมไปว่าที่แห่งนี้อยู่ในย่านใจกลางเมืองหลวง ปรัชญ์ยังอาบน้ำไม่เสร็จทั้งๆ ที่ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ธรินดาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ฉวยโอกาสนั้นหนีกลับไปหอพักตัวเองไปเสีย อาจเป็นเพราะคำขู่ของเขากระมังที่ทำให้เธอไม่กล้าเสี่ยง เพราะรู้ดีว่าคนอย่างปรัชญ์พูดจริงทำจริงและคาดเดาได้ยากเสมอความมืดของรัตติกาลสยายปีกแผ่ขยายปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณของแม่น้ำเจ้าพระยาหลังจากพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า บัดนี้เบื้องล่างนั้นมืดสนิทแล้วและมีแสงสว่างจากไฟตามอาคารบ้านเรือน ท้องถนน และสะพานเข้ามาแทนที่ หญิงสาวจึงพาตัวเองออกห่างจากกระจกบานใหญ่แล้วไปนั่งลงบนโซฟาสีดำซึ่งวางอยู่กลางห้องโถงประตูห้องน้ำเปิดพร้อมกับที่เจ้าของร่างใหญ่สูง 185 เซนติเมตรก้าวออกมาจากข้างใน ตาคู่สวยเหลือบไปมองก็เห็นว่าตอนนี้ปรัชญ์อยู่ในสภาพของคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ ผมยาวของเขาเปียกลู่ คงเป็นเพราะสระผมถึงได้อาบน้ำนานเช่นนั้น หยดน้ำเม็ดกลมๆ เกาะอยู่ตามร่างกายท่อนบนซึ่งเปลือยเปล่าอวดให้เห็นหัวไหล่หนา