เทอมสุดท้ายของการเรียนปีสี่และการเป็นนักศึกษาเริ่มขึ้นแล้ว ธรินดารู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก เพราะการเรียนและงานสารนิพนธ์ที่ทำคู่กับชนิศาทำให้เธอยุ่งจนแทบไม่มีเวลาคิดเรื่องส่วนตัว
ร่างบางนั่งตรงข้ามกับคู่บัดดี้ทำสารนิพนธ์และต่างก็กำลังจ้องจอแล็ปท็อปอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนที่ธรินดาจะเป็นฝ่ายสะดุ้งเบาๆ เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ในกระเป๋าสะพายดังขึ้น มือเล็กรีบเปิดกระเป๋าและหยิบเอาโทรศัพท์ออกมากดรับ เพราะเกรงใจชนิศาที่เสียงโทรศัพท์ของตนรบกวนสมาธิของเพื่อน
“สวัสดีค่ะแม่ใหญ่” เสียงหวานเอ่ยตอบต้นสายอย่างนุ่มนวลและไม่ใช้เสียงที่ดังเกินไป
“แม่จองตั๋วให้เรียบร้อยแล้วนะหนูเล็ก”
“จองตั๋วไปไหนคะแม่ใหญ่” ธรินดาถามแบบงงๆ เล็กน้อย
“ก็กลับบ้านไงลูก วันเสาร์นี้ก็เป็นวันหมั้นของตาปรัชญ์กับหนูนัสแล้ว หนูเล็กลืมเหรอลูก” แม่เลี้ยงลักษิกาถามกลับแต่ไม่มีความโกรธหรือหงุดหงิดเจืออยู่ เพราะเข้าใจดีว่าธรินดาคงจะยุ่งจนลืมวัน
“ตายจริง ขอโทษนะคะแม่ใหญ่ เล็กลืมไปเลยค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกลูก แม่เข้าใจว่าหนูเล็กยุ่งกับการเรียน เอาเป็นว่าเตรียมตัวเดินทางนะ เป็นวันศุกร์ช่วงเย็น ส่วนชุดแม่เตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว หนูเล็กไม่ต้องกังวล”
“ขอบคุณแม่ใหญ่มากๆ ค่ะ วันศุกร์นี้เจอกันนะคะ”
“จ้ะลูก แล้วเจอกัน”
แม่เลี้ยงลักษิกาวางสายแค่นั้น ธรินดาที่เบี่ยงตัวหันหลังให้หน้าจอคอมพิวเตอร์ตอนรับโทรศัพท์หันกลับมาทางเดิมอีกครั้ง โดยพยายามบังคับให้ตัวเองมีสมาธิจดจ่อกับงานสารนิพนธ์ที่กำลังพิมพ์อยู่เช่นเดิม แต่เหมือนสมาธิจะแตกกระเจิงตั้งแต่ได้ยินว่าต้องกลับบ้านเพื่อไปร่วมงานหมั้นของปรัชญ์แล้ว
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าเล็ก ดูตาลอยๆ ชอบกล” ชนิศาซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามถามขึ้น เมื่อสังเกตเห็นว่าธรินดาจ้องคอมพิวเตอร์แต่ตากลับดูลอยๆ ซึ่งอาการเช่นนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ธรินดาคุยโทรศัพท์เสร็จ
“เปล่าหรอกศา เพียงแต่ว่าวันศุกร์นี้แม่ใหญ่จะให้กลับบ้านน่ะ ที่บ้านมีงานมงคล”
“แล้วไม่ดีใจเหรอที่บ้านมีงานมงคล น่าจะเป็นเรื่องดีนะ ทำไมไม่ยิ้มเลย หรือว่ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจ”
“เปล๊า” รีบปฏิเสธเสียงสูง “เราต้องดีใจสิ ก็นี่ไงยิ้มอยู่นี่ไง”
ว่าแล้วธรินดาก็รีบปรับสีหน้าให้ดูร่าเริงพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างจนตาหยีให้ชนิศาดู แม้ว่ารอยยิ้มนั้นจะไม่ได้มาจากความรู้สึกข้างในเลยสักนิดก็ตาม
“เราว่าเล็กยิ้มแปลกๆ”
“อะไรของศา พอไม่ยิ้มก็ว่าเครียด แต่พอยิ้มก็ว่าเราแปลกๆ อีก”
“ก็มันจริงนี่ ปกติเราไม่เคยเห็นเล็กเป็นแบบนี้”
“ช่างเถอะ ไม่มีอะไรหรอก ทำงานกันต่อดีกว่า”
ชนิศาจ้องหน้าหวานใสของคนที่พยายามปกปิดความรู้สึกอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าลงมองหน้าจอแล็ปท็อปเช่นเดิม แม้จะรู้สึกได้ว่าธรินดามีเรื่องบางอย่างอยู่ในใจ แต่ในเมื่อเพื่อนไม่พร้อมจะเล่า เธอก็ไม่คิดจะเซ้าซี้
บ่ายวันศุกร์ธรินดาตรงไปยังสนามบินทันทีหลังจากที่เลิกเรียน แม้ว่าการเดินทางโดยเครื่องบินจะใช้เวลาไม่มากและแม่ใหญ่บอกเธอเอาไว้ว่าจองตั๋วให้ในช่วงเย็น แต่เธอก็ต้องมาก่อนเวลาเกือบสองชั่วโมง เพื่อให้แน่ใจว่าจะเช็กอินทันและไม่ตกเครื่อง รอบนี้เธอกลับโดยยังใส่ชุดนักศึกษาอยู่ และไม่ได้เอาอะไรกลับบ้านด้วย นอกจากกระเป๋าสะพายข้างใบเดียว เพราะบ่ายวันอาทิตย์ก็ต้องกลับมากรุงเทพฯ แล้ว
เครื่องบินในประเทศร่อนลงจอดในสนามบินนานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ในเวลาเกือบหนึ่งทุ่มกว่า ดีเลย์จากเวลาบินปกติประมาณห้านาทีเนื่องจากสภาพภูมิอากาศไม่เอื้ออำนวยเท่าใดนัก โดยกัปตันบนเครื่องได้ประกาศแจ้งล่วงหน้า ซึ่งธรินดาก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรกับเวลาเล็กน้อยแค่นั้น เมื่อเทียบกับความปลอดภัยของการบินและคนบนเครื่อง
ร่างบางลงจากเครื่องได้ก็ตรงเข้าไปยังอาคารผู้โดยสารทันที ใบหน้าหวานใสเริ่มจะมีรอยยิ้มให้เห็น เมื่อคิดว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะได้เจอแม่ใหญ่ผู้ที่รักและเมตตาเธอมากที่สุดแล้ว
รอยยิ้มเกลื่อนอยู่ทั่วใบหน้าค่อยๆ เจื่อนหายไปฉับพลัน เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนรออยู่ไม่ใช่แม่ใหญ่เหมือนเคย ร่างสูงที่กำลังเป็นเป้าสายตาของใครต่อใครยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงยีนและจ้องเขม็งมายังเธอราวกับพบเป้าหมายแล้ว ภาพที่ปรัชญ์ถูกหญิงสาวหรือแม้แต่ผู้ชายด้วยกันเองมอง ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสำหรับธรินดา เพราะถึงแม้ว่าภาพลักษณ์ของปรัชญ์จะเป็นผู้ชายเซอร์ๆ แต่เขาก็หล่อและดึงดูดสายตาของใครต่อใครแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่สิ่งที่ธรินดาไม่รู้จะรับมืออย่างไรนั่นก็คือการที่พบว่าเขามารอรับเธอ ทั้งๆ ที่คนรออยู่น่าจะเป็นแม่ใหญ่มากกว่า
ทั้งที่ออกจะตกใจและแปลกใจที่เห็นเขา แต่ธรินดาก็ไม่ได้เดินเลี่ยงไปทางไหน ร่างบางตรงเข้าไปหาเจ้าของร่างสูงนั้นเป็นอัตโนมัติ เหมือนกับว่าเท้าของเธอถูกสายตาคมดุนั้นสะกดให้ต้องเดินไปหาเขา
“สวัสดีค่ะ แม่ใหญ่ไปไหนเหรอคะ ทำไมคุณถึงได้มารับเล็ก” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้เขาพร้อมกับถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัย
“แม่ใหญ่ของเธอไม่ว่างเพราะต้องเทกแคร์ครอบครัวว่าที่คู่หมั้นของฉัน อินแปงขับรถให้แม่เลี้ยง ส่วนพี่ปราณต์มีเคสด่วนตอนเย็น เธอจะถามหาใครอีกมั้ย” เขาตอบแบบลงท้ายด้วยการยียวน น้ำเสียงแข็งกระด้างเช่นเดิม ทำให้ธรินดาคร้านจะตอแยด้วย
“ไม่ค่ะ” เธอปฏิเสธสั้นๆ ดวงหน้าหวานใสราวกับกุหลาบแรกแย้มนั้นยังคงเรียบเฉย แต่ภายในกลับกำลังพยายามข่มความขุ่นมัวของตัวเองอย่างเต็มที่
“มีกระเป๋ามั้ย” คราวนี้ปรัชญ์เป็นคนถาม
“ไม่มีค่ะ”
“งั้นก็กลับ”
เขาสรุปง่ายๆ แล้วขยับมาใกล้ธรินดา ยกมือแข็งแรงขึ้นโอบเอวเล็กของเธออย่างสนิทสนม
“ปล่อยเล็กค่ะคุณปรัชญ์” หญิงสาวบอกเสียงแข็ง พลางขยับตัวจะก้าวหนีออกไปที่ลานจอดรถ แต่ถูกมือที่หนึบราวกับหนวดปลาหมึกเกี่ยวเอวเล็กเอาไว้แนบแน่น
“ก็แค่พี่ชายกอดน้องสาวมันจะแปลกตรงไหน”
“แต่เล็กไม่ใช่”
“อ้อ...ลืมไปว่าเธอไม่ใช่น้องสาวฉันแล้ว แต่เป็น...”
“หยุดนะคะคุณปรัชญ์ แล้วก็ปล่อยเล็กด้วย”
ธรินดาอดหน้าร้อนวูบไม่ได้กับสัมผัสและคำพูดที่เกือบจะหลุดจากปากของปรัชญ์ พวงแก้มใสปรากฏริ้วสีแดงระเรื่อขึ้นจนคนที่กำลังก้มลงมองแลเห็นได้ถนัด พร้อมกันนั้นก็ยังพยายามบ่ายเบี่ยงออกจากการถูกโอบด้วยมือแข็งแรง
“อย่าดีดดิ้นให้มากนัก ไม่งั้นจะกอดและจูบโชว์คนทั้งสนามบิน”
“ห้ามทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นนะคะ” เสียงหวานบอกอย่างร้อนรน มองซ้ายมองขวาด้วยกลัวว่าคนอื่นจะเห็นว่าตัวเองกำลังถูกปรัชญ์โอบเอว แต่นั่นก็ยังไม่มากเท่ากับกลัวว่าเขาจะทำอะไรห่ามๆ แบบที่เขาว่าจริงๆ
“เธอก็รู้ว่าห้ามฉันไม่ได้ถ้าฉันคิดจะทำ เพราะฉะนั้นก็หยุดดื้อกับฉันถ้าไม่อยากอายคน”
เขาก้มลงกระซิบพร่า ทว่าแววตามุ่งมาดจริงจัง จนทำให้ใบหน้าของคนถูกข่มขู่ซีดเผือดลง และในที่สุดก็ไม่กล้าดื้อดึงอีกต่อไป ร่างบางยอมให้เขาโอบเอวจนมาถึงรถ แต่เธอก็ไม่ยอมพูดด้วย แม้ว่าหลังจากขึ้นรถแล้วปรัชญ์จะยั่วแค่ไหนก็ตาม
บทที่ 17รถกระบะสีดำแบบสี่ประตูแล่นเข้ามาจอดที่โรงรถอย่างไม่ค่อยนุ่มนวลนักเช่นเดียวกับบุคลิกของคนขับ ธรินดาลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อถึงบ้านเสียที มือเล็กจัดการปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยแล้วเอี้ยวตัวเพื่อจะเปิดประตูรถ แต่เสียงของปรัชญ์ดังขึ้นห้ามอย่างดุๆ เสียก่อน “เดี๋ยวก่อนธรินดา” “มีอะไรคะ” แม้จะไม่อยากพูดด้วยเลยสักนิด แต่ครั้งนี้ธรินดาก็ยอมฝืนใจตัวเอง เพราะตอนนี้รถจอดแล้ว ปรัชญ์สามารถเล่นงานเธอได้เต็มที่ “เธอขอบคุณฉันหรือยังที่ฉันอุตส่าห์ไปรับถึงสนามบิน” “ขอบคุณค่ะ” มือเล็กยกขึ้นไหว้เขา ถึงแม้จะแอบคิดว่าเธอไม่ได้อยากให้เขาไปรับสักนิด และอยากจะบอกเขาไปว่าถ้าคนที่บ้านไม่ว่างจริงๆ เธอเรียกแท็กซี่กลับเองก็ได้ แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดเพราะกลัวว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเปล่าๆ ธรินดาคิดว่าไหว้ขอบคุณแล้วปรัชญ์จะจบ แต่เขาไม่ยอมจบ เพราะตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลานั้นโฉบเข้ามาใกล้หน้าหวานใสของเธอแล้วฉวยโอกาสกดจมูกโด่งลงบนพวงแก้มซีกขวาหนักๆ โดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว “คุณปรัชญ์!” ธรินดาอุทานเสียงเข
บทที่ 18ในห้องโถงสำหรับจัดงานของโรงแรมถูกจัดตกแต่งสถานที่ด้วยโซฟาสุดหรูนำเข้าจากฝรั่งเศส ด้านหลังเป็นฉากสีชมพู มีดอกไม้สีขาวและสีชมพูประดับอย่างสวยงามลงตัวและไม่มากจนเกินไป เหมาะกับงานหมั้นเล็กๆ ที่จัดขึ้นภายในครอบครัวเท่านั้น และที่นั่นธรินดาถูกแม่เลี้ยงลักษิกาแนะนำให้รู้จักกับนัสรินว่าที่สะใภ้ของครอบครัวเป็นครั้งแรก นัสรินสวยสง่าในชุดเดรสสีขาวแบบเปิดไหล่เล็กน้อย แขนยาว ตัดเย็บอย่างประณีตด้วยผ้าลูกไม้สีขาวทั้งชุด ธรินดาเป็นฝ่ายยกมือขึ้นไหว้ก่อนเพราะอีกฝ่ายอายุมากกว่า“สวัสดีค่ะคุณนัสริน”“สวัสดีจ้ะน้องเล็ก ไม่ต้องเรียกพี่ว่าคุณนัสรินก็ได้ เรียกว่าพี่นัสดีกว่านะจะได้กันเอง” นัสรินบอกอย่างเป็นกันเองพลางยิ้มให้บางๆ“หนูนัสพูดถูก เดี๋ยวต่อไปก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เรียกว่าพี่นัสดีกว่านะหนูเล็ก” แม่เลี้ยงลักษิกาเสริมขึ้นอีกแรงทำให้ธรินดารับคำอย่างว่าง่าย“ได้ค่ะแม่ใหญ่ ต่อไปเล็กจะเรียกคุณนัสรินว่าพี่นัสค่ะ”“แล้วนี่ตาปรัชญ์ยังไม่มาเหรอคะแม่เลี้ยง” คุณนิภามารดาของนัสรินถามพลางมองหาว่าที่ลูกเขยซึ่งไม่ได้มาพร้อมกับครอบครัว“ไม่ได้มาพร้อมกันค่ะคุณนิภา มัวแต่เสริมหล่ออยู่นั่นแหละ แต่ยังไง
บทที่ 19พิธีเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีเพียงคนของสองครอบครัวที่มาร่วมงาน เมื่อการสวมแหวนหมั้นผ่านพ้นไปด้วยดี ช่างภาพที่แม่เลี้ยงลักษิกาว่าจ้างเอาไว้ก็ถ่ายรูปรวมสองครอบครัวกับภาพคู่ของว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นที่ระลึก ยังถ่ายไม่ทันเสร็จดีจู่ๆ นัสรินก็ทรุดฮวบและพับลงไป เพราะถูกอาการหน้ามืดเล่นงานจนหมดสติ“ว้าย! ตายแล้วยัยนัส”ประโยคนั้นแม่ของนัสรินเป็นคนอุทานขึ้น ปรัชญ์ซึ่งยืนอยู่ใกล้ที่สุดเป็นคนย่อตัวลงไปช้อนอุ้มเอาร่างของคู่หมั้นสาวไปนอนยังโซฟา และปราณต์ขยับเข้าไปทรุดตัวนั่งลงใกล้ๆ เพื่อตรวจดูอาการเบื้องต้นคุณหมอหนุ่มจับชีพจร พร้อมกับหันไปสั่งพนักงานโรงแรมให้นำกระเป๋าปฐมพยาบาลมาให้ เขาบอกกับทุกคนว่าไม่ต้องตกใจเพราะนัสรินเพียงแค่เป็นลมปราณต์ใช้เวลาปฐมพยาบาลคู่หมั้นของน้องชายได้ไม่นานนัสรินก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางความโล่งอกของทุกคน“หนูนัสเป็นยังไงบ้าง” แม่เลี้ยงลักษิกาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะคุณป้า”“ป้าเป้ออะไรกัน ต่อไปต้องเรียกแม่ว่าแม่เหมือนตาปรัชญ์แล้วนะหนูนัส ว่าแต่เป็นลมแบบนี้บ่อยๆ เหรอลูก”“เปล่าค่ะ นัสเพิ่งเป็นครั้งแรก”“สงสัยจะตื่นเต้นจนกินไม่ได้นอนไม่หลั
บทที่ 20ตู้มมม!!!เสียงของสองร่างกระแทกน้ำดังขึ้นพร้อมกับการสาดกระเซ็นและการกระเพื่อมของน้ำในสระ อารามตกใจและสัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นอย่างธรินดารีบเกาะไหล่ของปรัชญ์ยึดเอาไว้มั่นเป็นพัลวัน ปรัชญ์ที่ตัวสูงเกือบสองเมตรสามารถยืนในน้ำลึกเมตรครึ่งได้สบายๆ ขณะที่ธรินดากลัวจนไม่กล้าเอาเท้าแตะกับพื้นด้วยซ้ำ ปรัชญ์ตวัดแขนข้างหนึ่งกอดเอวเล็กของคนที่กำลังเบียดร่างเข้าหาเพื่อเอาตัวรอด รอยยิ้มผุดขึ้นบนเรียวปากหยักของเขาด้วยความขบขันและพอใจยิ่งนักเมื่อถูกกอดความตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอย่างอื่น แม้อ้อมแขนนั้นจะทำให้เธอปลอดภัยขึ้น แต่ปรัชญ์ก็ไม่ควรมากอดเธอเช่นนี้ เพราะเขาเพิ่งจะหมั้นมาหยกๆ“ปล่อยเล็กค่ะคุณปรัชญ์”“เบื่อจริง เอะอะอะไรก็พูดแต่คำเดิมๆ ว่าปล่อยเล็กๆ เธอลืมไปหรือเปล่าธรินดา ว่าเธอเป็นคนกระเสือกกระสนเข้ามาหาฉันเอง” เขาพูดอย่างคนที่เป็นต่อกว่า โดยอ้อมแขนยังไม่คลายไปจากเอวเล็กแต่อย่างใด ทำให้ธรินดาดิ้นแรงกว่าเดิม“คุณปรัชญ์ก็รู้ว่าเล็กว่ายน้ำไม่เป็น แล้วดึงเล็กลงมาด้วยทำไมคะ”“เธอก็รู้ว่าฉันไม่ยอมถูกใครเอาเปรียบ แล้วผลักฉันลงมาทำไมฮึ นี่คือการลงโทษคนที่คิดจะทำร้
บทที่ 21ทันทีที่เห็นราวบันได มือเล็กก็คว้าเอาไว้แน่น แล้วรีบก้าวขาขึ้นจากสระน้ำและหนีอ้อมกอดของคนพาล พอขึ้นมาได้ก็รีบเดินแกมวิ่งไปยืนข้างๆ แม่บุญธรรมของตนอย่างคนหาที่พึ่ง ส่วนปรัชญ์ค่อยๆ ตามหลังขึ้นมาอย่างใจเย็น“ตาปรัชญ์รีบไปบอกคนของโรงแรมเอาผ้าขนหนูมาให้น้องสิ น้องหนาวจะแย่แล้ว เดี๋ยวน้องก็ไม่สบายหรอก” คนเป็นแม่ออกคำสั่งทันทีที่ลูกชายพ้นขึ้นมาจากขอบสระ“แช่น้ำแค่นี้ไม่เป็นไรง่ายๆ หรอกครับแม่เลี้ยง ก็เพราะแม่เลี้ยงโอ๋ลูกสาวและเลี้ยงเป็นไข่ในหินแบบนี้น่ะสิ หนูเล็กของแม่เลี้ยงถึงได้บอบบางเหลือเกิน ถูกกอดนิดกอดหน่อยก็เหมือนจะแตกจะหัก”“เอ๊ะ! ตาปรัชญ์นี่ทำไมพูดแบบนี้กับแม่ แล้วไปกอดน้องตอนไหนบอกแม่มานะ”ไม่ใช่แต่แม่เลี้ยงลักษิกาที่เดือดเนื้อร้อนใจกับคำพูดของปรัชญ์ แต่ธรินดาก็พลอยหน้าร้อนวูบไปด้วย กลัวว่าเขาจะพูดอะไรบ้าๆ ห่ามๆ ออกมาให้เธอได้เดือดร้อน“ก็กอดตอนอยู่ในน้ำนั่นละครับ หรือแม่เลี้ยงไม่เห็นว่าลูกสาวของแม่เลี้ยงเกาะผมแน่นแจเสียขนาดนั้น”“เฮ้อ...ไปๆ อย่ามามัวแต่กวนโมโหแม่อยู่เลย อ้อ...แกเองก็เหมือนกัน ไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวซะให้เรียบร้อย แล้วไปรอส่งครอบครัวหนูนัสรินเสียด้วย อีกสักพักจ
บทที่ 22ช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ธรินดาเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยมีปราณต์ขับรถไปส่งที่สนามบินตามลำพัง ส่วนแม่เลี้ยงลักษิกาออกจากบ้านไปยังไร่เดชาธรตั้งแต่ตอนสายๆ หญิงสาวแต่งตัวด้วยชุดลำลอง ส่วนชุดนักศึกษาเธอพับใส่ถุงกระดาษและหิ้วกลับไปซักที่หอพักการนั่งรถมากับปราณต์สองคนไม่ได้ทำให้ธรินดารู้สึกอึดอัดแม้แต่เศษเสี้ยวนาที ปราณต์เป็นพี่ชายที่ใจดีกับเธอเช่นเคย และไม่เคยมีคำพูดใดที่จะทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจหรือน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนใครบางคน“เล็กไปก่อนนะคะพี่ปราณต์ ขอบคุณที่มาส่งค่ะ”มือเล็กยกขึ้นไหว้ปราณต์เมื่อเขาเดินเข้ามาส่งถึงห้องผู้โดยสารและรอจนเธอเช็กอินเสร็จ ปราณต์ไม่ได้รับไหว้แต่รวบร่างบางเข้าไปกอดแบบหลวมๆ แล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมนุ่มสลวยอย่างอ่อนโยน“เดินทางปลอดภัยนะน้องเล็ก จะกลับอีกเมื่อไหร่ก็โทร.บอกพี่นะ พี่จะได้มารับ”“เล็กไม่กล้ารบกวนพี่ปราณต์หรอกค่ะ พี่ปราณต์งานยุ่งจะตาย”“ถึงยุ่งก็ปลีกเวลามาได้”“แม้แต่ตอนอยู่ในห้องผ่าตัดเหรอคะ” ธรินดากล้าพูดเล่นกับเขาเพราะรู้ว่าปราณต์ไม่ถือสา“พี่จะพยายามไม่ผ่าใครในตอนที่น้องเล็กกลับมาก็แล้วกัน”“อย่าลำเอียงสิคะคุณหมอ คนไข้ต้องสำคัญกว่าเล็ก
บทที่ 23ธรินดาหันขวับมาเหมือนครั้งแรกที่ได้ยินเสียงเขา แต่ครั้งนี้ต่างกับเมื่อครู่เพราะใบหน้าของปรัชญ์อยู่ห่างจากใบหน้าของเธอแค่ไม่ถึงนิ้ว ทำให้ปากอิ่มเกือบจะชนเข้ากับปากของคนที่ชอบพูดจาหาเรื่อง “อย่าทำอะไรบ้าๆ นะคะคุณปรัชญ์” ธรินดารีบเอ่ยห้ามเสียงขุ่นโดยไม่กล้าเสียงดังนัก เพราะกลัวจะตกเป็นเป้าสายตาคนบนเครื่อง “บ้าตรงไหนแค่หอมแก้มกับไซ้คอ” “แต่นี่มันบนเครื่องบิน” “งั้นที่ไหนล่ะ ที่ฉันจะหอมแก้มและไซ้คอเธอได้ ตอนที่เธอนั่งบนตักฉัน ตอนที่เธอขึ้นเตียงกับฉัน หรือว่าตอนไหนก็ได้ที่ไม่มีคนเห็น” “คุณปรัชญ์!” “หือ...ได้หมดอย่างที่ฉันว่ามาใช่ไหม ยกเว้นตอนนี้” คิ้วเข้มเลิกขึ้นและทำหน้าตายคล้ายกับไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำให้เธออายและโกรธระคนกัน “เลิกหาเรื่องเล็กซะทีเถอะค่ะ เล็กอยากนั่งเงียบๆ” ธรินดาพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเพื่อยุติการปะทะคารมครั้งนี้เสียที “โอเค...นั่งเงียบๆ ก็นั่งเงียบๆ” ปรัชญ์ยอมขยับไปนั่งตัวตรงอย่างว่าง่าย ทำให้ธรินดาแอบถอนหายใจออกม
บทที่ 24ปรัชญ์โบกแท็กซี่ที่แล่นผ่านมาพอดี เขาเปิดประตูหลังดันร่างบางเข้าไปก่อน จากนั้นก็พาตัวเองก้าวตามขึ้นไปและบอกจุดหมายกับคนขับ“ไปคอนโดฯ...” เขาบอกชื่อคอนโดมิเนียมที่อยู่ในย่านเพลินจิต ซึ่งนั่นไม่ใช่ทางที่จะไปหอพักของธรินดาเลย“คุณปรัชญ์จะพาเล็กไปไหนคะ เล็กจะกลับหอพักนะคะ ถ้าคุณปรัชญ์มีธุระทำไมไม่ปล่อยให้เล็กกลับคนเดียว” หญิงสาวหันหน้าไปมองเขาพร้อมกับเอ่ยปากต่อว่า“เงียบเถอะน่า...ถ้าเธอไม่เงียบฉันจะจูบเธอบนแท็กซี่นี่ละ”เขาขู่เหมือนกับที่ขู่เธอตอนนั่งอยู่บนเครื่องแต่ไม่ได้ออมเสียงแม้แต่น้อย คำพูดนั้นดังไปกระทบหูคนฟังอย่างจังทำให้คนขับรถแท็กซี่ซึ่งนั่งอยู่เบาะหน้าอมยิ้ม แต่ก็ไม่ได้เสียมารยาทอะไร คนขับยังคงทำหน้าที่ของตน และปล่อยให้ผู้โดยสารของตัวเองมีความเป็นส่วนตัวต่อไป“คุณปรัชญ์ก็ดีแต่ขู่นั่นแหละ” เสียงหวานพูดออกไปด้วยความอึดอัดที่ตกเป็นเบี้ยล่างคนชอบขู่อยู่ร่ำไป“ไม่ได้ดีแต่ขู่ ฉันพูดจริงทำจริงเสมอ หรืออยากจะลอง”ไม่พูดเปล่าแต่ปรัชญ์ยังยื่นหน้ามาใกล้ๆ จนเกือบชิด ทำให้ธรินดาต้องรีบเอนตัวหนี พลางเอ่ยห้ามโดยไม่กล้าเสียงดังนัก“อย่านะคะ!”แค่ห้ามเขาธรินดาก็ยังไม่ไว้ใจสถานการณ์ จึง