บทที่ 15
“แล้วแม่เลี้ยงมีอะไรกับผมอีกหรือเปล่า” ปรัชญ์ถามแม่คล้ายกับอยากสะสางเรื่องให้จบๆ ไปทีเดียว
“มี...แม่อยากให้ปรัชญ์เลิกเรียกหนูนัสว่านัสรินแล้วเรียกชื่อเล่นน้องแทน ส่วนปรัชญ์เวลาพูดกับน้องก็ให้แทนตัวเองว่าพี่ แม่ขอแค่นี้ได้หรือเปล่า”
“เพื่ออะไร?”
“ก็แกกับน้องจะแต่งงานกัน ควรจะต้องทำตัวให้สนิทสนมกันเข้าไว้สิ อีกอย่างเรียกน้องแบบนั้นมันฟังดูห่างเหินและเหมือนเราไว้ตัว”
“งั้นผมต้องเรียกธรินดาว่าน้องเล็กด้วยหรือเปล่า จะได้ฟังดูไม่ห่างเหิน” เขาเน้นประโยคหลังเป็นพิเศษ คนถูกพาดพิงร้อนใจจนต้องเงยหน้าขึ้นมองคนหาเรื่อง และเขาก็ตวัดมองมาพอดี ตาที่เหมือนจะเรียบเฉยคู่นั้นแฝงไว้ด้วยความนัยที่รู้กันสองคน ทำเอาธรินดาถึงกับวุ่นวายใจไปชั่วขณะเลยทีเดียว
“แม่ก็บอกให้เรียกตั้งนานแล้ว แต่เราไม่ยอมเรียกเองนี่” แม่เลี้ยงลักษิกาย้อนลูกชาย และไม่ได้สังเกตเห็นสายตาระหว่างคนทั้งคู่ที่มองกันแปลกๆ เพราะปรัชญ์ชอบหาเรื่องรวนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“ก็แต่ก่อนไม่สนิท แต่ตอนนี้ ‘สนิท’ กันแล้วนี่ครับแม่เลี้ยง”
“แกไปสนิทกับน้องตอนไหน”
“ก็ตอน...” ปรัชญ์แกล้งลากเสียง จนธรินดาถึงกับลืมหายใจขณะรอฟังคำตอบของเขา “...ตอนที่แม่เลี้ยงไม่อยู่นั่นแหละ ทำไมครับแม่เลี้ยงไม่อยากให้ผมสนิทกับลูกสาวคนเล็กของแม่เลี้ยงหรือไง”
“แกน่ะมันชอบหาเรื่องพาล แม่ไม่เคยห้ามไม่ให้แกสนิทกับน้อง มีแต่แกนั่นแหละที่ท่ามาก ถ้าสนิทกันแล้วจริงๆ แม่ก็ดีใจ”
“แล้วเธอล่ะธรินดา อยากให้ฉันเรียกว่ายังไง” คราวนี้เขาถามคนที่ตัวเองกำลังจ้องอยู่
“แล้วแต่คุณปรัชญ์สะดวกเถอะค่ะ เล็กยังไงก็ได้” ธรินดาตอบแบบกลางๆ แล้วเสมองจานข้าวเช่นเดิม เพื่อหลบตาคนที่จงใจทำให้เธอเดือดร้อนใจ
“ว่าง่ายดีจริงๆ นะครับลูกสาวแม่เลี้ยงเนี่ย” ปรัชญ์หันไปพูดกับมารดาอีก เมื่อคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเอาแต่ก้มหน้างุดจนคอแทบจรดคางอยู่แล้ว
“ก็แหงละ แม่เลี้ยงของแม่มาดี มีแต่แกนั่นละที่ดื้อ แหกคอก ไม่รู้ไปได้นิสัยห่ามๆ ขวางโลกพวกนี้มาจากใคร พ่อเราก็ออกจะเป็นสุภาพบุรุษ ปราณต์ก็ออกจะว่าง่าย” แม่เลี้ยงลักษิกาอดบ่นไม่ได้ แม้จะชินชาเสียแล้วกับนิสัยของลูกชายคนเล็ก
“บางทีคนที่เป็นลูกบุญธรรมของแม่เลี้ยงอาจเป็นผมก็ได้มั้ง พี่ปราณต์กับธรินดาต่างหากที่เป็นลูกแม่เลี้ยงจริงๆ” ปรัชญ์ยังไม่วายพูดยอกย้อนมารดาอีกประโยค ก่อนจะรวบช้อน ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม และลุกจากโต๊ะอาหารเป็นคนแรกอีกเช่นเคย
เวลาสองสัปดาห์สำหรับช่วงปิดเทอมของธรินดาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่เธอกลับมาบ้านนั้นจะเกิดเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมากมายกับตัวเอง ทว่าเธอก็กำลังพยายามจะลืมและบอกตัวเองว่าเรื่องพวกนั้นไม่เคยเกิดขึ้น
กระเป๋าสองใบถูกแพ็กไว้เรียบร้อย เป้ที่เคยแฟบๆ ตอนสะพายมาจากกรุงเทพฯ ตอนนี้เต็มจนแทบยัดไม่ได้ เพราะแม่เลี้ยงลักษิกาซื้อเสื้อผ้าใหม่และของใช้หลายอย่างให้ ส่วนอีกใบสำหรับบรรจุเสบียงโดยเฉพาะ และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องไปสนามบิน บัวคำก็ขึ้นมาช่วยยกกระเป๋าไปใส่ท้ายรถ จากนั้นอินแปงก็เปิดประตูหลังเพื่อให้แม่เลี้ยงลักษิกากับธรินดาขึ้นไปนั่งแต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะขึ้นรถ เสียงแตรของรถอีกคันที่แล่นเข้ามาใหม่ก็ดังขึ้น
ปริ๊น...ปริ๊น...
ทั้งแม่เลี้ยงลักษิกาและธรินดาต่างแปลกใจอย่างมากเมื่อเห็นว่ารถที่แล่นเข้ามาใหม่เป็นรถของใคร ร่างสูงก้าวลงมาจากรถโดยไม่ได้ดับเครื่อง
“มาได้ไงตาปราณต์” คนเป็นแม่ถามเมื่อลูกชายคนโตก้าวเข้ามาหา
“พอดีคนไข้ไม่เยอะครับ ผมก็เลยลางานมาสองชั่วโมง ทันเวลาส่งน้องเล็กพอดี”
“นี่ลางานมาเพื่อจะไปส่งน้องเลยเหรอ”
“ครับแม่ ก็ตอนน้องเล็กมาผมไม่ได้ไปรับ เลยชดเชยความผิดด้วยการไปส่ง”
“งั้นอินแปงไปยกกระเป๋าคุณหนูเล็กขึ้นรถหมอปราณต์” แม่เลี้ยงลักษิกาหันไปสั่งคนขับรถส่วนตัว ก่อนจะแตะเอวเล็กของลูกสาวบุญธรรมให้ขยับไปยังรถของปราณต์แทน
“เล็กไปก่อนนะคะลุงอินแปง พี่บัวคำ” ธรินดาบอกกับทั้งสองคนที่เดินมาส่งถึงรถปราณต์แล้วยกมือไหว้ลาอย่างไม่ถือตัว
“เดินทางปลอดภัยค่ะคุณหนูเล็ก” อินแปงกับบัวคำรับไหว้พร้อมกับยิ้มและกล่าวอวยพรให้กับหญิงสาวที่วางตัวดีเช่นนี้มาตลอด
แม่เลี้ยงลักษิกาให้ธรินดานั่งหน้าคู่กับปราณต์ ส่วนตัวเองนั่งเบาะหลัง จากนั้นปราณต์ก็พารถเคลื่อนตัวออกจากคุ้มลักษิกา หัวใจดวงน้อยวูบโหวงเหมือนเช่นทุกครั้งที่จะจากบ้าน ทว่าครั้งนี้มันมีความรู้สึกแปลกๆ อย่างอื่นแทรกเข้ามาด้วย
รถเคลื่อนผ่านสวนหย่อมที่อยู่ติดกับโรงรถ ทำให้ธรินดานึกถึงคืนแรกที่ตัวเองกลับมาถึงบ้านไม่ได้ จากนั้นเรื่องราวต่างๆ ก็พร่างพรูตามเข้ามาในหัวทั้งๆ ที่กำลังพยายามลืมอยู่แท้ๆ แต่สมองกลับยิ่งเหมือนจะจดจำภาพพวกนั้นชัดขึ้นๆ ตาคู่สวยกะพริบถี่ๆ เพื่อบังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้ไปตามอารมณ์อันสุดอ่อนไหวที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ทว่าก็ไม่อาจข่มความน้อยใจไว้ได้ทั้งหมด ธรินดารู้ดีว่าไม่ควรรู้สึกแบบนั้นกับคนที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิด เพราะอย่างมากเธอก็เป็นได้แค่กาฝากในบ้านและ ‘เมียคืนแรม’ คืนหนึ่งเท่านั้น
บทที่ 16เทอมสุดท้ายของการเรียนปีสี่และการเป็นนักศึกษาเริ่มขึ้นแล้ว ธรินดารู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก เพราะการเรียนและงานสารนิพนธ์ที่ทำคู่กับชนิศาทำให้เธอยุ่งจนแทบไม่มีเวลาคิดเรื่องส่วนตัว ร่างบางนั่งตรงข้ามกับคู่บัดดี้ทำสารนิพนธ์และต่างก็กำลังจ้องจอแล็ปท็อปอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนที่ธรินดาจะเป็นฝ่ายสะดุ้งเบาๆ เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ในกระเป๋าสะพายดังขึ้น มือเล็กรีบเปิดกระเป๋าและหยิบเอาโทรศัพท์ออกมากดรับ เพราะเกรงใจชนิศาที่เสียงโทรศัพท์ของตนรบกวนสมาธิของเพื่อน “สวัสดีค่ะแม่ใหญ่” เสียงหวานเอ่ยตอบต้นสายอย่างนุ่มนวลและไม่ใช้เสียงที่ดังเกินไป “แม่จองตั๋วให้เรียบร้อยแล้วนะหนูเล็ก” “จองตั๋วไปไหนคะแม่ใหญ่” ธรินดาถามแบบงงๆ เล็กน้อย “ก็กลับบ้านไงลูก วันเสาร์นี้ก็เป็นวันหมั้นของตาปรัชญ์กับหนูนัสแล้ว หนูเล็กลืมเหรอลูก” แม่เลี้ยงลักษิกาถามกลับแต่ไม่มีความโกรธหรือหงุดหงิดเจืออยู่ เพราะเข้าใจดีว่าธรินดาคงจะยุ่งจนลืมวัน “ตายจริง ขอโทษนะคะแม่ใหญ่ เล็กลืมไปเลยค่ะ” “ไม่เป็นไรหรอกลูก แม่เ
บทที่ 17รถกระบะสีดำแบบสี่ประตูแล่นเข้ามาจอดที่โรงรถอย่างไม่ค่อยนุ่มนวลนักเช่นเดียวกับบุคลิกของคนขับ ธรินดาลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อถึงบ้านเสียที มือเล็กจัดการปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยแล้วเอี้ยวตัวเพื่อจะเปิดประตูรถ แต่เสียงของปรัชญ์ดังขึ้นห้ามอย่างดุๆ เสียก่อน “เดี๋ยวก่อนธรินดา” “มีอะไรคะ” แม้จะไม่อยากพูดด้วยเลยสักนิด แต่ครั้งนี้ธรินดาก็ยอมฝืนใจตัวเอง เพราะตอนนี้รถจอดแล้ว ปรัชญ์สามารถเล่นงานเธอได้เต็มที่ “เธอขอบคุณฉันหรือยังที่ฉันอุตส่าห์ไปรับถึงสนามบิน” “ขอบคุณค่ะ” มือเล็กยกขึ้นไหว้เขา ถึงแม้จะแอบคิดว่าเธอไม่ได้อยากให้เขาไปรับสักนิด และอยากจะบอกเขาไปว่าถ้าคนที่บ้านไม่ว่างจริงๆ เธอเรียกแท็กซี่กลับเองก็ได้ แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดเพราะกลัวว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเปล่าๆ ธรินดาคิดว่าไหว้ขอบคุณแล้วปรัชญ์จะจบ แต่เขาไม่ยอมจบ เพราะตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลานั้นโฉบเข้ามาใกล้หน้าหวานใสของเธอแล้วฉวยโอกาสกดจมูกโด่งลงบนพวงแก้มซีกขวาหนักๆ โดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว “คุณปรัชญ์!” ธรินดาอุทานเสียงเข
บทที่ 18ในห้องโถงสำหรับจัดงานของโรงแรมถูกจัดตกแต่งสถานที่ด้วยโซฟาสุดหรูนำเข้าจากฝรั่งเศส ด้านหลังเป็นฉากสีชมพู มีดอกไม้สีขาวและสีชมพูประดับอย่างสวยงามลงตัวและไม่มากจนเกินไป เหมาะกับงานหมั้นเล็กๆ ที่จัดขึ้นภายในครอบครัวเท่านั้น และที่นั่นธรินดาถูกแม่เลี้ยงลักษิกาแนะนำให้รู้จักกับนัสรินว่าที่สะใภ้ของครอบครัวเป็นครั้งแรก นัสรินสวยสง่าในชุดเดรสสีขาวแบบเปิดไหล่เล็กน้อย แขนยาว ตัดเย็บอย่างประณีตด้วยผ้าลูกไม้สีขาวทั้งชุด ธรินดาเป็นฝ่ายยกมือขึ้นไหว้ก่อนเพราะอีกฝ่ายอายุมากกว่า“สวัสดีค่ะคุณนัสริน”“สวัสดีจ้ะน้องเล็ก ไม่ต้องเรียกพี่ว่าคุณนัสรินก็ได้ เรียกว่าพี่นัสดีกว่านะจะได้กันเอง” นัสรินบอกอย่างเป็นกันเองพลางยิ้มให้บางๆ“หนูนัสพูดถูก เดี๋ยวต่อไปก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เรียกว่าพี่นัสดีกว่านะหนูเล็ก” แม่เลี้ยงลักษิกาเสริมขึ้นอีกแรงทำให้ธรินดารับคำอย่างว่าง่าย“ได้ค่ะแม่ใหญ่ ต่อไปเล็กจะเรียกคุณนัสรินว่าพี่นัสค่ะ”“แล้วนี่ตาปรัชญ์ยังไม่มาเหรอคะแม่เลี้ยง” คุณนิภามารดาของนัสรินถามพลางมองหาว่าที่ลูกเขยซึ่งไม่ได้มาพร้อมกับครอบครัว“ไม่ได้มาพร้อมกันค่ะคุณนิภา มัวแต่เสริมหล่ออยู่นั่นแหละ แต่ยังไง
บทที่ 19พิธีเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีเพียงคนของสองครอบครัวที่มาร่วมงาน เมื่อการสวมแหวนหมั้นผ่านพ้นไปด้วยดี ช่างภาพที่แม่เลี้ยงลักษิกาว่าจ้างเอาไว้ก็ถ่ายรูปรวมสองครอบครัวกับภาพคู่ของว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นที่ระลึก ยังถ่ายไม่ทันเสร็จดีจู่ๆ นัสรินก็ทรุดฮวบและพับลงไป เพราะถูกอาการหน้ามืดเล่นงานจนหมดสติ“ว้าย! ตายแล้วยัยนัส”ประโยคนั้นแม่ของนัสรินเป็นคนอุทานขึ้น ปรัชญ์ซึ่งยืนอยู่ใกล้ที่สุดเป็นคนย่อตัวลงไปช้อนอุ้มเอาร่างของคู่หมั้นสาวไปนอนยังโซฟา และปราณต์ขยับเข้าไปทรุดตัวนั่งลงใกล้ๆ เพื่อตรวจดูอาการเบื้องต้นคุณหมอหนุ่มจับชีพจร พร้อมกับหันไปสั่งพนักงานโรงแรมให้นำกระเป๋าปฐมพยาบาลมาให้ เขาบอกกับทุกคนว่าไม่ต้องตกใจเพราะนัสรินเพียงแค่เป็นลมปราณต์ใช้เวลาปฐมพยาบาลคู่หมั้นของน้องชายได้ไม่นานนัสรินก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางความโล่งอกของทุกคน“หนูนัสเป็นยังไงบ้าง” แม่เลี้ยงลักษิกาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะคุณป้า”“ป้าเป้ออะไรกัน ต่อไปต้องเรียกแม่ว่าแม่เหมือนตาปรัชญ์แล้วนะหนูนัส ว่าแต่เป็นลมแบบนี้บ่อยๆ เหรอลูก”“เปล่าค่ะ นัสเพิ่งเป็นครั้งแรก”“สงสัยจะตื่นเต้นจนกินไม่ได้นอนไม่หลั
บทที่ 20ตู้มมม!!!เสียงของสองร่างกระแทกน้ำดังขึ้นพร้อมกับการสาดกระเซ็นและการกระเพื่อมของน้ำในสระ อารามตกใจและสัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นอย่างธรินดารีบเกาะไหล่ของปรัชญ์ยึดเอาไว้มั่นเป็นพัลวัน ปรัชญ์ที่ตัวสูงเกือบสองเมตรสามารถยืนในน้ำลึกเมตรครึ่งได้สบายๆ ขณะที่ธรินดากลัวจนไม่กล้าเอาเท้าแตะกับพื้นด้วยซ้ำ ปรัชญ์ตวัดแขนข้างหนึ่งกอดเอวเล็กของคนที่กำลังเบียดร่างเข้าหาเพื่อเอาตัวรอด รอยยิ้มผุดขึ้นบนเรียวปากหยักของเขาด้วยความขบขันและพอใจยิ่งนักเมื่อถูกกอดความตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอย่างอื่น แม้อ้อมแขนนั้นจะทำให้เธอปลอดภัยขึ้น แต่ปรัชญ์ก็ไม่ควรมากอดเธอเช่นนี้ เพราะเขาเพิ่งจะหมั้นมาหยกๆ“ปล่อยเล็กค่ะคุณปรัชญ์”“เบื่อจริง เอะอะอะไรก็พูดแต่คำเดิมๆ ว่าปล่อยเล็กๆ เธอลืมไปหรือเปล่าธรินดา ว่าเธอเป็นคนกระเสือกกระสนเข้ามาหาฉันเอง” เขาพูดอย่างคนที่เป็นต่อกว่า โดยอ้อมแขนยังไม่คลายไปจากเอวเล็กแต่อย่างใด ทำให้ธรินดาดิ้นแรงกว่าเดิม“คุณปรัชญ์ก็รู้ว่าเล็กว่ายน้ำไม่เป็น แล้วดึงเล็กลงมาด้วยทำไมคะ”“เธอก็รู้ว่าฉันไม่ยอมถูกใครเอาเปรียบ แล้วผลักฉันลงมาทำไมฮึ นี่คือการลงโทษคนที่คิดจะทำร้
บทที่ 21ทันทีที่เห็นราวบันได มือเล็กก็คว้าเอาไว้แน่น แล้วรีบก้าวขาขึ้นจากสระน้ำและหนีอ้อมกอดของคนพาล พอขึ้นมาได้ก็รีบเดินแกมวิ่งไปยืนข้างๆ แม่บุญธรรมของตนอย่างคนหาที่พึ่ง ส่วนปรัชญ์ค่อยๆ ตามหลังขึ้นมาอย่างใจเย็น“ตาปรัชญ์รีบไปบอกคนของโรงแรมเอาผ้าขนหนูมาให้น้องสิ น้องหนาวจะแย่แล้ว เดี๋ยวน้องก็ไม่สบายหรอก” คนเป็นแม่ออกคำสั่งทันทีที่ลูกชายพ้นขึ้นมาจากขอบสระ“แช่น้ำแค่นี้ไม่เป็นไรง่ายๆ หรอกครับแม่เลี้ยง ก็เพราะแม่เลี้ยงโอ๋ลูกสาวและเลี้ยงเป็นไข่ในหินแบบนี้น่ะสิ หนูเล็กของแม่เลี้ยงถึงได้บอบบางเหลือเกิน ถูกกอดนิดกอดหน่อยก็เหมือนจะแตกจะหัก”“เอ๊ะ! ตาปรัชญ์นี่ทำไมพูดแบบนี้กับแม่ แล้วไปกอดน้องตอนไหนบอกแม่มานะ”ไม่ใช่แต่แม่เลี้ยงลักษิกาที่เดือดเนื้อร้อนใจกับคำพูดของปรัชญ์ แต่ธรินดาก็พลอยหน้าร้อนวูบไปด้วย กลัวว่าเขาจะพูดอะไรบ้าๆ ห่ามๆ ออกมาให้เธอได้เดือดร้อน“ก็กอดตอนอยู่ในน้ำนั่นละครับ หรือแม่เลี้ยงไม่เห็นว่าลูกสาวของแม่เลี้ยงเกาะผมแน่นแจเสียขนาดนั้น”“เฮ้อ...ไปๆ อย่ามามัวแต่กวนโมโหแม่อยู่เลย อ้อ...แกเองก็เหมือนกัน ไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวซะให้เรียบร้อย แล้วไปรอส่งครอบครัวหนูนัสรินเสียด้วย อีกสักพักจ
บทที่ 22ช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ธรินดาเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยมีปราณต์ขับรถไปส่งที่สนามบินตามลำพัง ส่วนแม่เลี้ยงลักษิกาออกจากบ้านไปยังไร่เดชาธรตั้งแต่ตอนสายๆ หญิงสาวแต่งตัวด้วยชุดลำลอง ส่วนชุดนักศึกษาเธอพับใส่ถุงกระดาษและหิ้วกลับไปซักที่หอพักการนั่งรถมากับปราณต์สองคนไม่ได้ทำให้ธรินดารู้สึกอึดอัดแม้แต่เศษเสี้ยวนาที ปราณต์เป็นพี่ชายที่ใจดีกับเธอเช่นเคย และไม่เคยมีคำพูดใดที่จะทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจหรือน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนใครบางคน“เล็กไปก่อนนะคะพี่ปราณต์ ขอบคุณที่มาส่งค่ะ”มือเล็กยกขึ้นไหว้ปราณต์เมื่อเขาเดินเข้ามาส่งถึงห้องผู้โดยสารและรอจนเธอเช็กอินเสร็จ ปราณต์ไม่ได้รับไหว้แต่รวบร่างบางเข้าไปกอดแบบหลวมๆ แล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมนุ่มสลวยอย่างอ่อนโยน“เดินทางปลอดภัยนะน้องเล็ก จะกลับอีกเมื่อไหร่ก็โทร.บอกพี่นะ พี่จะได้มารับ”“เล็กไม่กล้ารบกวนพี่ปราณต์หรอกค่ะ พี่ปราณต์งานยุ่งจะตาย”“ถึงยุ่งก็ปลีกเวลามาได้”“แม้แต่ตอนอยู่ในห้องผ่าตัดเหรอคะ” ธรินดากล้าพูดเล่นกับเขาเพราะรู้ว่าปราณต์ไม่ถือสา“พี่จะพยายามไม่ผ่าใครในตอนที่น้องเล็กกลับมาก็แล้วกัน”“อย่าลำเอียงสิคะคุณหมอ คนไข้ต้องสำคัญกว่าเล็ก
บทที่ 23ธรินดาหันขวับมาเหมือนครั้งแรกที่ได้ยินเสียงเขา แต่ครั้งนี้ต่างกับเมื่อครู่เพราะใบหน้าของปรัชญ์อยู่ห่างจากใบหน้าของเธอแค่ไม่ถึงนิ้ว ทำให้ปากอิ่มเกือบจะชนเข้ากับปากของคนที่ชอบพูดจาหาเรื่อง “อย่าทำอะไรบ้าๆ นะคะคุณปรัชญ์” ธรินดารีบเอ่ยห้ามเสียงขุ่นโดยไม่กล้าเสียงดังนัก เพราะกลัวจะตกเป็นเป้าสายตาคนบนเครื่อง “บ้าตรงไหนแค่หอมแก้มกับไซ้คอ” “แต่นี่มันบนเครื่องบิน” “งั้นที่ไหนล่ะ ที่ฉันจะหอมแก้มและไซ้คอเธอได้ ตอนที่เธอนั่งบนตักฉัน ตอนที่เธอขึ้นเตียงกับฉัน หรือว่าตอนไหนก็ได้ที่ไม่มีคนเห็น” “คุณปรัชญ์!” “หือ...ได้หมดอย่างที่ฉันว่ามาใช่ไหม ยกเว้นตอนนี้” คิ้วเข้มเลิกขึ้นและทำหน้าตายคล้ายกับไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำให้เธออายและโกรธระคนกัน “เลิกหาเรื่องเล็กซะทีเถอะค่ะ เล็กอยากนั่งเงียบๆ” ธรินดาพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเพื่อยุติการปะทะคารมครั้งนี้เสียที “โอเค...นั่งเงียบๆ ก็นั่งเงียบๆ” ปรัชญ์ยอมขยับไปนั่งตัวตรงอย่างว่าง่าย ทำให้ธรินดาแอบถอนหายใจออกม