แชร์

บทที่ 15

บทที่ 15

“แล้วแม่เลี้ยงมีอะไรกับผมอีกหรือเปล่า” ปรัชญ์ถามแม่คล้ายกับอยากสะสางเรื่องให้จบๆ ไปทีเดียว

                “มี...แม่อยากให้ปรัชญ์เลิกเรียกหนูนัสว่านัสรินแล้วเรียกชื่อเล่นน้องแทน ส่วนปรัชญ์เวลาพูดกับน้องก็ให้แทนตัวเองว่าพี่ แม่ขอแค่นี้ได้หรือเปล่า”

                “เพื่ออะไร?”

                “ก็แกกับน้องจะแต่งงานกัน ควรจะต้องทำตัวให้สนิทสนมกันเข้าไว้สิ อีกอย่างเรียกน้องแบบนั้นมันฟังดูห่างเหินและเหมือนเราไว้ตัว”

                “งั้นผมต้องเรียกธรินดาว่าน้องเล็กด้วยหรือเปล่า จะได้ฟังดูไม่ห่างเหิน” เขาเน้นประโยคหลังเป็นพิเศษ คนถูกพาดพิงร้อนใจจนต้องเงยหน้าขึ้นมองคนหาเรื่อง และเขาก็ตวัดมองมาพอดี  ตาที่เหมือนจะเรียบเฉยคู่นั้นแฝงไว้ด้วยความนัยที่รู้กันสองคน ทำเอาธรินดาถึงกับวุ่นวายใจไปชั่วขณะเลยทีเดียว

                “แม่ก็บอกให้เรียกตั้งนานแล้ว แต่เราไม่ยอมเรียกเองนี่” แม่เลี้ยงลักษิกาย้อนลูกชาย และไม่ได้สังเกตเห็นสายตาระหว่างคนทั้งคู่ที่มองกันแปลกๆ เพราะปรัชญ์ชอบหาเรื่องรวนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

                “ก็แต่ก่อนไม่สนิท แต่ตอนนี้ ‘สนิท’ กันแล้วนี่ครับแม่เลี้ยง”

                “แกไปสนิทกับน้องตอนไหน”

                “ก็ตอน...” ปรัชญ์แกล้งลากเสียง จนธรินดาถึงกับลืมหายใจขณะรอฟังคำตอบของเขา “...ตอนที่แม่เลี้ยงไม่อยู่นั่นแหละ ทำไมครับแม่เลี้ยงไม่อยากให้ผมสนิทกับลูกสาวคนเล็กของแม่เลี้ยงหรือไง”

                “แกน่ะมันชอบหาเรื่องพาล แม่ไม่เคยห้ามไม่ให้แกสนิทกับน้อง มีแต่แกนั่นแหละที่ท่ามาก ถ้าสนิทกันแล้วจริงๆ แม่ก็ดีใจ”

“แล้วเธอล่ะธรินดา อยากให้ฉันเรียกว่ายังไง” คราวนี้เขาถามคนที่ตัวเองกำลังจ้องอยู่

                “แล้วแต่คุณปรัชญ์สะดวกเถอะค่ะ เล็กยังไงก็ได้” ธรินดาตอบแบบกลางๆ แล้วเสมองจานข้าวเช่นเดิม เพื่อหลบตาคนที่จงใจทำให้เธอเดือดร้อนใจ

                “ว่าง่ายดีจริงๆ นะครับลูกสาวแม่เลี้ยงเนี่ย” ปรัชญ์หันไปพูดกับมารดาอีก เมื่อคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเอาแต่ก้มหน้างุดจนคอแทบจรดคางอยู่แล้ว

                “ก็แหงละ แม่เลี้ยงของแม่มาดี มีแต่แกนั่นละที่ดื้อ แหกคอก ไม่รู้ไปได้นิสัยห่ามๆ ขวางโลกพวกนี้มาจากใคร พ่อเราก็ออกจะเป็นสุภาพบุรุษ ปราณต์ก็ออกจะว่าง่าย” แม่เลี้ยงลักษิกาอดบ่นไม่ได้ แม้จะชินชาเสียแล้วกับนิสัยของลูกชายคนเล็ก

                “บางทีคนที่เป็นลูกบุญธรรมของแม่เลี้ยงอาจเป็นผมก็ได้มั้ง พี่ปราณต์กับธรินดาต่างหากที่เป็นลูกแม่เลี้ยงจริงๆ” ปรัชญ์ยังไม่วายพูดยอกย้อนมารดาอีกประโยค ก่อนจะรวบช้อน ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม และลุกจากโต๊ะอาหารเป็นคนแรกอีกเช่นเคย

เวลาสองสัปดาห์สำหรับช่วงปิดเทอมของธรินดาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่เธอกลับมาบ้านนั้นจะเกิดเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมากมายกับตัวเอง ทว่าเธอก็กำลังพยายามจะลืมและบอกตัวเองว่าเรื่องพวกนั้นไม่เคยเกิดขึ้น

                กระเป๋าสองใบถูกแพ็กไว้เรียบร้อย เป้ที่เคยแฟบๆ ตอนสะพายมาจากกรุงเทพฯ ตอนนี้เต็มจนแทบยัดไม่ได้ เพราะแม่เลี้ยงลักษิกาซื้อเสื้อผ้าใหม่และของใช้หลายอย่างให้ ส่วนอีกใบสำหรับบรรจุเสบียงโดยเฉพาะ และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องไปสนามบิน บัวคำก็ขึ้นมาช่วยยกกระเป๋าไปใส่ท้ายรถ จากนั้นอินแปงก็เปิดประตูหลังเพื่อให้แม่เลี้ยงลักษิกากับธรินดาขึ้นไปนั่งแต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะขึ้นรถ เสียงแตรของรถอีกคันที่แล่นเข้ามาใหม่ก็ดังขึ้น

                ปริ๊น...ปริ๊น...

                ทั้งแม่เลี้ยงลักษิกาและธรินดาต่างแปลกใจอย่างมากเมื่อเห็นว่ารถที่แล่นเข้ามาใหม่เป็นรถของใคร ร่างสูงก้าวลงมาจากรถโดยไม่ได้ดับเครื่อง

                “มาได้ไงตาปราณต์” คนเป็นแม่ถามเมื่อลูกชายคนโตก้าวเข้ามาหา

                “พอดีคนไข้ไม่เยอะครับ ผมก็เลยลางานมาสองชั่วโมง ทันเวลาส่งน้องเล็กพอดี”

                “นี่ลางานมาเพื่อจะไปส่งน้องเลยเหรอ”

                “ครับแม่ ก็ตอนน้องเล็กมาผมไม่ได้ไปรับ เลยชดเชยความผิดด้วยการไปส่ง”

                “งั้นอินแปงไปยกกระเป๋าคุณหนูเล็กขึ้นรถหมอปราณต์” แม่เลี้ยงลักษิกาหันไปสั่งคนขับรถส่วนตัว ก่อนจะแตะเอวเล็กของลูกสาวบุญธรรมให้ขยับไปยังรถของปราณต์แทน

                “เล็กไปก่อนนะคะลุงอินแปง พี่บัวคำ” ธรินดาบอกกับทั้งสองคนที่เดินมาส่งถึงรถปราณต์แล้วยกมือไหว้ลาอย่างไม่ถือตัว

                “เดินทางปลอดภัยค่ะคุณหนูเล็ก” อินแปงกับบัวคำรับไหว้พร้อมกับยิ้มและกล่าวอวยพรให้กับหญิงสาวที่วางตัวดีเช่นนี้มาตลอด

                แม่เลี้ยงลักษิกาให้ธรินดานั่งหน้าคู่กับปราณต์ ส่วนตัวเองนั่งเบาะหลัง จากนั้นปราณต์ก็พารถเคลื่อนตัวออกจากคุ้มลักษิกา หัวใจดวงน้อยวูบโหวงเหมือนเช่นทุกครั้งที่จะจากบ้าน ทว่าครั้งนี้มันมีความรู้สึกแปลกๆ อย่างอื่นแทรกเข้ามาด้วย

                รถเคลื่อนผ่านสวนหย่อมที่อยู่ติดกับโรงรถ ทำให้ธรินดานึกถึงคืนแรกที่ตัวเองกลับมาถึงบ้านไม่ได้ จากนั้นเรื่องราวต่างๆ ก็พร่างพรูตามเข้ามาในหัวทั้งๆ ที่กำลังพยายามลืมอยู่แท้ๆ แต่สมองกลับยิ่งเหมือนจะจดจำภาพพวกนั้นชัดขึ้นๆ ตาคู่สวยกะพริบถี่ๆ เพื่อบังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้ไปตามอารมณ์อันสุดอ่อนไหวที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ทว่าก็ไม่อาจข่มความน้อยใจไว้ได้ทั้งหมด ธรินดารู้ดีว่าไม่ควรรู้สึกแบบนั้นกับคนที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิด เพราะอย่างมากเธอก็เป็นได้แค่กาฝากในบ้านและ ‘เมียคืนแรม’ คืนหนึ่งเท่านั้น

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status